xs
xsm
sm
md
lg

เรียนเลขจนมือบวม! สั่งคัด “16,000 ข้อ” ยังไม่เลิกอีกเหรอ? “นกแก้วนกขุนทอง” การศึกษาไทย!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อ่านไม่ผิด!! ครูสั่งให้เด็กชั้น ม.1 คัดโจทย์วิชาคณิตศาสตร์ “16,000 ข้อ” จริงๆ ย้ำชัด “ถ้าไม่ทำติด 0” วัยรุ่นคอซองก็เลยคัดกันเอาเป็นเอาตายยกชั้น หนึ่งในนั้นคัดจน “มือบวม-กล้ามเนื้ออักเสบ” หลังทราบสาเหตุ หมอผู้ตรวจทนไม่ไหว จัดหนักโพสต์โซเชียลฯ ตำหนิ “การศึกษาไทย” บอกเลยวิธีนกแก้วนกขุนทองแบบนี้ไม่เกิดประโยขน์ ฝั่งจิตแพทย์เด็ก-ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการถามกลับ “จะทำไปมากขนาดนั้นไปเพื่ออะไร?”



สงสารเด็ก... หมอขอคุณครู เปลี่ยนวิธีสอนด่วน!!

“วันนี้เจอคนไข้เด็ก ม.1 มือขวาบวม ปวดมาก ปฏิเสธประวัติอุบัติเหตุ ไม่ได้ไปกระแทกอะไร สรุปเป็นเอ็นกับกล้ามเนื้ออักเสบ สาเหตุจากเขียนหนังสือเยอะ จากที่อาจารย์ที่โรงเรียนให้ทำโจทย์คณิต 16,000 ข้อ!!! WTF

นี่ปี พ.ศ. อะไรแล้ว โลกเขาไปถึงไหนต่อไหน แต่การศึกษาไทยยังเป็นแบบนี้อยู่เหรอ จะมี “ไทยแลนด์ 4.0” ไว้เพื่ออะไร บอกเลยโคตรล้มเหลว ให้เด็กมาทรมานแบบนี้ แทนที่จะได้เรียนรู้ เด็กมันจะขยาดวิชานี้ซะมากกว่า แถมเจ็บป่วย เขียนหนังสือไม่ได้อีก เฮ่ออออ”

นี่คือใจความสำคัญจากโพสต์บนเฟซบุ๊ก “นรัญธกร สมรูป” ของคุณหมอเจ้าของเคส ที่ได้พิมพ์ระบายความรู้สึกและตั้งค่าเป็นสาธารณะเอาไว้ จนกลายมาเป็นประเด็นวิจารณ์สนั่นโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้

ด้วยทัศนคติเกี่ยวกับเรื่อง “การศึกษาไทย” ที่น่าสนใจ ทางทีมข่าว ผู้จัดการ Live จึงขอต่อสายตรงไปยังเจ้าของโพสต์เพื่อทราบรายละเอียดเพิ่มเติม จึงได้ทราบต้นสายปลายเหตุจากคนต้นเรื่อง ซึ่งคนทำงานร่วมกันเรียกเขาว่า “หมอบูม” หรือถ้าเรียกชื่อตามยศเต็มๆ เขาคือ นพ.นรัญธกร สมรูป นายแพทย์ปฏิบัติการ ประจำโรงพยาบาลเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ผู้ดูแลเคสนี้


ตั้งแต่เป็นแพทย์มาได้ 2 ปีกว่าๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เจอเรื่องสะเทือนอารมณ์ขนาดนี้ หมอบูมเล่าว่าแทบไม่เชื่อหูในตอนแรกที่เด็กคนนั้นบอกสาเหตุของอาการมือบวม แต่หลังจากถามย้ำจึงได้ทราบว่า ครูสั่งการบ้านยกชั้น ให้ไปคัดโจทย์มาทั้งหมด 16,000 รอบ จากโจทย์คณิตทั้งหมด 10 กว่าข้อ หรือคิดง่ายๆ ก็คือ ให้คัดมาข้อละประมาณ 1,000-2,000 จบนั่นเอง!!

“ทางผมเองก็ไม่ได้สอบถามเรื่องตัวครู สอบถามแค่เรื่องตัวเด็ก ก็เลยไม่รู้ว่านี่คือการสั่งงานธรรมดาของคุณครู หรือเป็นการทำโทษ น้องเขาแค่บอกว่าอาจารย์ให้ทำทั้งห้อง ถ้าส่งไม่ทันหรือไม่ได้ทำ จะติด 0 คาดว่าคุณครูน่าจะสั่งเมื่อประมาณต้นเดือนครับ พอน้องทำมาได้สักอาทิตย์ เกือบ 2 อาทิตย์ก็เริ่มปวด จนต้องมาโรงพยาบาล

ถ้าเรื่องราวที่ออกมาจากปากเด็กชายรายนี้ ไม่ได้เป็นแค่ถ้อยคำกล่าวอ้าง หมอบูมก็อยากจะขอร้องคุณครูเจ้าของการบ้านสุดโหดในกรณีนี้ว่า ให้เปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนของเด็กๆ ใหม่เสียดีกว่า “เพราะมันเป็นการกระทำที่เสียเปล่า แถมยังกระทบกับร่างกายและจิตใจของเด็กด้วย”

“ถ้าพูดถึงวิชาคณิต จากที่ผมเคยสัมผัสมาก็ทราบว่ามันต้องอาศัยความเข้าใจเป็นหลัก คืออาจจะมีการให้ทำซ้ำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ อันนี้ไม่เถียง แต่อาจจะทำแค่สัก 5-10 ข้อ หรือแค่ 4-5 จบ แค่ทำให้เข้าใจ ให้ได้คอนเซ็ปต์ และเอาไปประยุกต์กับโจทย์ได้ก็เพียงพอแล้วครับ แต่ไม่ใช่การมาคัดเป็นพันๆ จบแบบนี้


ถามว่าเด็กๆ จะมีเวลาทำความเข้าใจแค่ไหน ถ้ามัวแต่จะพะวงว่าจะเขียนเสร็จไหม เพราะต้องส่งไม่เกินสิ้นเดือน ถ้าเกิดจะติด 0 คงกลายเป็นสักแต่จะทำ คล้ายๆ กับการเรียนแบบนกแก้วนกขุนทอง ซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์เลย โดยเฉพาะวิชาคณิตที่ต้องใช้ความเข้าใจ มากกว่าการท่องจำ

ผมก็ยังไม่แน่ใจนะครับว่า สิ่งที่น้องพูดมันเป็นเรื่องจริงไหม แต่ถ้ามันจริง ก็ถือว่าคุณครูให้งานเกินกว่าเหตุ ถ้าอาจารย์สั่งตั้งแต่ต้นเดือนจริงๆ ผมก็ยังมองว่าหนักอยู่ดี ให้เขียนตั้ง 16,000 ข้อ หรือต่อให้ใช้เวลา 2 หรือ 3 เดือนก็ตาม มันก็ไม่โอเคอยู่ดี

ถ้าเทียบกับที่ผมเรียนหมอ ผมยังไม่เคยต้องเขียนหรือท่องอะไรเยอะขนาดนี้เลย เราต้องพิจารณาจากประโยชน์ที่ตัวผู้เรียนจะได้รับครับ คือต่อให้กำหนดให้น้องทำให้เสร็จภายใน 1 ปี แต่ใช้วิธีเดิม ประโยชน์มันก็น้อยนิดอยู่ดี ถ้าเทียบกับสิ่งที่เด็กต้องเสียเวลา เสียแรงกาย-แรงใจไปทำ


ตอนที่ตรวจเด็กเสร็จวันนั้น ผมก็บอกผลกับตัวผู้ปกครองของเด็ก แล้วก็บอกเขาว่าให้ฝากไปบอกคุณครูด้วยนะครับว่า อาการของน้องเกิดจากการที่คุณครูให้ทำโจทย์เยอะเกินไป เด็กเลยมีอาการเจ็บป่วยขึ้นมา แต่ผู้ปกครองเด็กก็ไม่ได้ดูโกรธอะไรนะครับ มีสีหน้าปกติ แต่เขาก็พยักหน้ารับรู้ว่าจะไปบอกที่โรงเรียนให้

ผมก็อยากฝากให้เขาพิจารณาเรื่องการเรียนการสอนใหม่ครับ ให้มุ่งประโยชน์สูงสุดให้เด็กเอากลับไปใช้ในชีวิตได้จริง ให้ตรงกับวัตถุประสงค์รายวิชา ไม่ใช่มาตั้งเกณฑ์ชี้วัดที่เลื่อนลอย เพียงแค่มาตั้งตัวเลขเอาไว้ ทำได้ก็ให้ผ่าน คือมองแค่เด็กผ่านเกณฑ์ชี้วัด คุณครูผ่าน โรงเรียนก็ผ่าน แต่กลับมามองผลการเรียน เด็กกลับทำไม่ได้จริงๆ




“10 ครั้ง” หรือ “1,000 ครั้ง” ก็ให้ผลเท่ากัน

วิธีเรียนวิชาคณิตศาสตร์ให้เข้าใจและทำข้อสอบได้ ยังมีอีกหลายกลยุทธ์ที่น่าสนใจ แบบไหนก็ได้ที่ไม่ใช่การสอนแบบ “นกแก้วนกขุนทอง” แบบนี้ หมอบูมยืนยันชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีดังกล่าว

“จริงๆ ผมก็ไม่ถนัดวิชาคณิตมาตั้งแต่ตอนมัธยม แต่ก็เรียนสายวิทย์-คณิตมา เป็นวิชาที่ผมไม่ชอบเหมือนกัน แต่ตอน ม.ปลาย โชคดีที่ได้มาเจออาจารย์ที่สอนให้เราเข้าใจหลักการทำโจทย์ มากกว่าสอนให้ท่องจำอย่างที่เคยเจอมา เลยทำให้เราสนุกกับการเรียนคณิตมากขึ้น

เทียบกับวิธีให้คัดโจทย์ซ้ำๆ ถามว่าได้อะไรไหม เด็กเขาก็คงจำวิธีทำได้ถ้าเจอโจทย์นั้น แต่ถ้าไปเปลี่ยนตัวเลข ประยุกต์เป็นข้อสอบแนวคล้ายๆ กัน พลิกแพลงหน่อย เด็กก็อาจจะทำไม่ได้ก็ได้ เพราะเขาถูกสอนมาแบบนกแก้วนกขุนทอง ผมเลยมองว่าวิธีนี้มันไม่เกิดประโยชน์

เพื่อให้คลายสงสัยเกี่ยวกับวิธีการฝึกเด็กให้ “จดจำ” ได้ ด้วยการให้ “ทำซ้ำ” บ่อยๆ ว่า จำนวนครั้งที่มากขึ้น ส่งผลต่อเรื่องความจำที่มากขึ้นแค่ไหน ทางทีมข่าวจึงต่อสายตรงไปขอความรู้จากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นเพิ่มเติม


เกี่ยวกับกรณีนี้ และได้คำตอบว่าปริมาณที่มากขึ้นเป็นทวีคูณไม่อาจช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้นกว่าเดิม มิหนำซ้ำจะส่งผลเสียให้เด็ก “เบื่อหน่าย” และอาจถึงขั้น “เกลียด” สิ่งนั้นไปเลยก็ได้ และบรรทัดต่อไปนี้ คือข้อเสนอแนะจาก พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล


“ถ้าพูดถึงเรื่องการเลี้ยงดูและการพัฒนาเด็กนั้น เราสามารถสร้างการเรียนรู้และฝึกวินัยได้หลากหลายวิธี แต่วิธีที่ได้รับความนิยมและสอดคล้องกับแง่มุมทางวิชาการที่สุด ก็คือการส่งเสริมให้เด็กรักการเรียนรู้ โดยส่งเสริมให้ใช้ "การสร้างวินัยทางบวก" ให้เด็กรู้คุณค่าของสิ่งที่ตนเองกำลังเรียนรู้ ให้เขาอยากรู้ในสิ่งนั้นมากขึ้นๆ เรื่อยๆ จากแรงบันดาลใจมาจากภายใน

ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยไหน การเรียนรู้ที่ทำให้เขาสนุกสนานไปด้วยได้ ย่อมทำให้เกิดผลดีอยู่แล้ว ถ้าเป็นเด็กชั้นมัธยมก็อาจจะเป็นช่วงรอยต่อระหว่าง "วัยเรียน" กับ "วัยรุ่น" เพราะฉะนั้น การเปิดโอกาสให้เขาได้คิด ได้สร้างสรรค์ โดยที่คนสอนเองสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวที่อยากให้เด็กได้เรียนรู้ กับเรื่องที่เด็กสนใจ ให้ออกมาเป็นรูปแบบกิจกรรมที่ดี ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ที่สูงสุด


ส่วนเรื่องการสอนด้วยวิธีการ "ทำซ้ำๆ" นั้น มันก็มีประโยชน์ในระดับหนึ่ง ในแง่ของการสร้างวงจรของการจดจำให้หนักแน่นมากขึ้น แต่ถ้ามุ่งเน้นแค่เรื่องทำซ้ำๆ ฝึกฝนซ้ำ มันก็มีข้อเสียในแง่ลดความคิดสร้างสรรค์ และความอยากรู้อยากเรียนของตัวเด็กลงไปด้วยเหมือนกัน จึงควรต้องใช้ในระดับที่พอดีๆ ไม่มากจนเกินไป หรือไม่ถึงกับจะตัดทิ้งออกไปเลยเสียทีเดียว เพราะกระบวนการฝึกฝนซ้ำๆ ยังมีประโยชน์ต่อการเรียนในหลายๆ เรื่อง

แต่การสั่งให้เด็กทำอะไรซ้ำๆ มากเกินไปนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เด็กรู้สึกขยาดที่จะเรียนรู้ เนื่องจากตัวเด็กเกิดความอ่อนล้า เบื่อหน่าย จนในที่สุด อาจกลายเป็นความเกลียดในเรื่องที่ถูกบังคับหรือควบคุมให้ทำ เมื่อใดก็ตามที่เขามีอิสรภาพ ไม่ต้องทำเพราะความกลัว ไม่ต้องทำเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษ เขาก็ย่อมจะเลือกที่จะไม่ทำค่ะ เพราะมันไม่ได้เกิดจากการทำด้วยใจรักของเขาเอง

มันคงไม่มีหลักวัดที่ระบุเป็นจำนวนครั้งได้ค่ะว่า ต้องฝึกให้เด็กทำซ้ำๆ เท่าไหร่ ถึงจะได้ผลดี หรือจะทำให้เด็กจดจำได้จริง แต่ถ้าพิจารณาจากวัตถุประสงค์ว่า ฝึกฝนเพื่อให้เด็กทำได้ เราก็ทำในจำนวนครั้ง เท่าที่เด็กจำได้ สมมติว่าทำครบ 10 ครั้งก็จำได้แล้ว หรือทำ 100 ครั้งก็จำได้แล้ว การทำไปถึง 1,000 ครั้งก็คงต้องถามว่า เราจะทำไปมากขนาดนั้นไปเพื่ออะไร?

ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
กำลังโหลดความคิดเห็น