xs
xsm
sm
md
lg

จากใจ “บี-น้ำทิพย์” บอกเลย “ผีไม่น่ากลัวเท่าคน!!” [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ตอนเด็กๆ บีเคยกลัวผีมาก แต่ตอนนี้กลัวคนมากกว่าค่ะ เพราะผีทำอะไรเราไม่ได้ แต่คนทำร้ายเราได้” แค่คำตอบจากคำถามเพียงข้อเดียว ก็พอจะทำให้รู้แล้วว่า อะไรทำให้มิติในตัวผู้หญิงคนนี้ ไม่เคยหยุดน่าค้นหาเลย ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ชื่อของ “บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์” ยังคงเปล่งแสงอยู่ในโลกของดวงดาวในทุกองศา ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางนางแบบ, นักร้อง, พิธีกร, นักแสดง ไปจนถึงการเป็นเมนต์เทอร์ในรายการสุดพีคอย่าง “The Face Thailand”
 
และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่เธอเลือกจะสร้างเลเยอร์ใหม่ เติมความท้าทายให้ชีวิต ด้วยการรับบทดรามาสุดหินผ่านภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต “เพื่อน..ที่ระลึก” หนังผีแนวหลอนปนเศร้าที่กำลังถูกจับตามองมากที่สุดในขณะนี้ กับกระแสกดดันที่เฝ้าถามถึงตำแหน่ง “นางเอกพันล้าน” ของ GDH คนต่อไป!!



 
เจอมากับตัว!! “เรื่องสยอง 47 ชั้น”

["สาธรยูนีค" ตึกร้าง 47 ชั้น โลเกชันถ่ายทำ "เพื่อน..ที่ระลึก"]
สาธรยูนีค... ตึกร้างกลางกรุงที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าเคล้าวิญญาณ คือสถานที่ถ่ายทำหลักของภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อน..ที่ระลึก” โลเกชันที่ทีมงานเลือกแล้วว่าจะสามารถบอกเล่าความจริงได้ดีที่สุด เพราะเรื่องราวทั้งหมดอิงจาก “ยุคต้มยำกุ้ง” ยุคที่ค่าเงินบาทลอยตัวตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว จนทำให้อสังหาริมทรัพย์มากมายกลายเป็นแค่ตึกล้มละลาย
 
มาจนถึงวันนี้ ตึกเหล่านั้นก็ยังคงเป็นตึกร้าง สร้างไม่เสร็จ ไม่มีลิฟต์ ไม่มีแม้แต่หลังคากำบังฝนในตอนถ่ายทำ ทำให้ทุกครั้งที่มีคิวถ่ายที่นี่ ทางทีมงานและนักแสดงต้องเดินเท้าจากชั้น 1 ขึ้นไปจนถึงชั้นที่ 47 โดยมีไฟฉายดวงเล็กๆ กับไฟนีออนแนวดิ่งที่ติดเอาไว้กลางบันไดวน ช่วยส่องให้รู้สึกอบอุ่นใจ ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน และความยากลำบากนี้เอง ที่ได้กลายมาเป็นเรื่องเล่าในเบื้องหลังกองถ่ายให้นางเอกสาวถ่ายทอดให้เราฟัง
 


เราต้องไปถ่ายกันอยู่บนตึกประมาณ 20 คิวค่ะ แต่คิวหลังๆ ก็จะเริ่มร่นชั้นลงมา เป็นชั้นที่ต่ำจากนั้นหน่อย อาจจะชั้น 33, ชั้น 30, ชั้น 20 หรือชั้น 10 บ้าง สลับกันไป แต่ถ้าให้นับคิวที่ต้องขึ้นไปถ่ายถึงชั้น 47 จริงๆ ก็น่าจะมีประมาณ 10 คิวได้ค่ะ แล้วก็จะเป็นซีนอารมณ์ทั้งหมดเลย มีร้องไห้เยอะมาก เพราะเกิดอะไรขึ้นกับลูกเรา (ในเรื่อง) เยอะแยะมาก
 
ในระหว่างการถ่ายทำ จะมีฉากต้องตามหาลูกด้วย ก็เลยต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงอีกไม่รู้กี่รอบ คือบีวิ่งประมาณ 5 ชั้นค่ะ แต่เพราะหนังใช้กล้องตัวเดียวถ่าย เราเลยต้องถ่ายซ้ำๆ เพื่อให้ได้ภาพทั้งมุมกว้าง มุมแคบ และถ้าเทคไหนยังไม่ได้ เขาก็จะยังไม่ให้ผ่าน เพราะฉะนั้น ในเรื่องก็ถือว่าบีต้องเดินขึ้นเดินลงเยอะกว่าคนอื่น รวมๆ แล้วก็น่าจะตก 100-200 ชั้นได้ (ยิ้ม) เหนื่อยมาก ทั้งที่จริงๆ เป็นคนฟิตนะ”
ถึงแม้จะผ่านงานละครมาหลายต่อหลายเรื่อง จนเรียกได้ว่าเป็นระดับมืออาชีพแล้วก็ตาม แต่สำหรับภาพยนตร์แล้ว แทบจะเรียกได้ว่าต้องใช้คนละศาสตร์การแสดงกันเลยก็ว่าได้ การตัดสินใจมาสวมบทบาท “บุ๋ม” ในหนังเรื่องนี้ จึงเหมือนบีได้เริ่มเรียนรู้หลายๆ อย่างใหม่ตั้งแต่ต้น ได้ก้าวออกมาจาก comfort zone ที่เคยเหยียบอย่างเต็มแรง


“ยากมากเลยค่ะ (เน้นเสียง) เพราะละครมันมี 3 กล้อง แต่หนังมีกล้องตัวเดียว เวลาถ่ายละคร ตอนแสดงอาจจะมี reation ที่เยอะกว่าปกตินิดนึง จะไม่ค่อย realistic เหมือนหนัง แต่หนังจะ real มาก ทุกอย่างที่แสดงออกมามันมีความหมายหมด ทั้งการขยับ การกะพริบตา การหันหน้าไปมอง แค่นิดเดียวก็มีความหมาย คือเราต้องเล่นนิดเดียวจริงๆ แล้วก็ต้อง hold อารมณ์เอาไว้นานมากด้วย

เทียบกับละคร ถ่ายฉากนึง ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ แต่หนัง ฉากนึงยังไม่พอ ยังมีแยกออกเป็นคัตๆ อีกประมาณ 10 คัต ที่เราต้องเล่นให้เหมือนเดิม ซึ่งคัตนึงก็ถ่ายทำกันประมาณ 1 ชั่วโมง สรุป กว่าจะถ่ายซีนนั้นเสร็จ คือปาเข้าไปครึ่งวันหรือวันนึงเลย”


แต่ไม่ว่า “ศาสตร์การแสดง” จะท้าทาย และ “ศาสตร์การถ่ายทำ" จะแปลกใหม่สำหรับบีแค่ไหน แต่ก็ยังดูควบคุมไม่ได้เท่าเรื่อง “ศาสตร์แห่งวิญญาณ” อยู่ดี คิดดูว่ากว่าจะถ่ายทำให้ไร้อุปสรรคได้ ต้องผ่านการขอตัวช่วยหลากหลายขั้นตอน แค่จุดธูปขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางก็ยังไม่ได้ผลพอ เจอของดีกันไปหลายราย และผู้ถูกเลือกหนึ่งในนั้นก็คือนางเอกสาวของเราคนนี้นี่เอง
“ตั้งแต่ก่อนถ่ายทำ เขาก็จะมีให้นักแสดงและทีมงาน ไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางอยู่แล้วค่ะ แต่ช่วงแรกๆ รู้สึกว่าจะมีอะไรติดขัดตลอด คือขึ้นไปถึงชั้น 47 แล้ว แต่ปรากฏว่าถ่ายอะไรไม่ได้เลย เพราะฝนตกหนักมาก เสียงที่อัดมาก็ใช้ไม่ได้อยู่หลายครั้ง ทาง GDH เขาก็ไม่สบายใจ เลยไปนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้นักแสดง-ทีมงานทุกคนพกไว้กับตัว พอหลังจากนั้นก็ถ่ายได้ราบรื่นขึ้นเลยค่ะ


[หลอนทั้งในหนัง ทั้งในกองถ่าย]
ส่วนของบีเอง ถามว่าเจอเรื่องอะไรไหม บีเจอเรื่องนึง คือตอนนั้นนัดกองตี 4 ซึ่งเป็นเวลาปกติที่ถ่ายทำค่ะ (ยิ้ม) ส่วนใหญ่กองนี้จะนัดตี 4 และเลิกกองอีกทีตี 3 ของอีกวัน คือจะอยู่บนนั้นกันทั้งวัน ตอนนั้น บีกำลังจะเดินขึ้นบันไดวนไปชั้น 47 มีพี่อีก 2 คนเดินนำขึ้นไป บีเดินตาม แล้วจู่ๆ ประมาณชั้น 7 ชั้น 8 บีก็เห็นบางอย่างที่หางตา

จากปกติ มองไปจะมืดมาก จะมีไฟส่องอยู่แค่ตรงบันไดที่เราเดิน แต่ตอนนั้นบีเห็นผู้ชายใส่เสื้อสีขาวอยู่ในความมืด วิ่งผ่านหางตาเราไป บีก็ตกใจว่ามันคืออะไร มันเห็นแวบๆ ฟีลเหมือนในหนังเลย แต่คนที่เดินตามหลังบีมา เขาไม่เห็นนะคะ เพราะเขากำลังก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเดียว มีเรานี่แหละ ดันมองนู่นนี่ไปทั่วก็เลยเห็น”


บีเล่าด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายต่อเหตุการณ์สั่นประสาทที่เกิดขึ้นเท่าที่ควรจะเป็น ด้วยความสงสัยจึงถามออกไปว่าเธอกลัวผีหรือเปล่า จึงทำให้รู้ว่าเธอเลิก “กลัวผี” มานานมาแล้ว แต่หันมา “กลัวคน” แทน
“ตอนที่เห็นผู้ชายใส่ชุดขาว บีก็ยังถ่ายหนังได้ตามปกตินะ แล้วก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังด้วย เพิ่งมาแลกเปลี่ยนเรื่องเล่ากัน ตอนถ่ายทำกันวันสุดท้ายนี่เหละค่ะ ก็เลยได้รู้ว่ามีคนเจอเยอะอยู่เหมือนกัน

บีเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้วค่ะ (ยิ้มบางๆ) รู้สึกว่าผีไม่น่ากลัวเท่าคน จริงๆ นะ คนน่ากลัวกว่าตั้งเยอะ คนทำร้ายเราได้ คนฆ่าเราได้ แต่ผีเขาแค่มาให้เราเห็น ทำอะไรเราไม่ได้ แต่คนเรา เดี๋ยวนี้แค่ถือโทรศัพท์ไอโฟนเดินข้างถนน ก็ทำร้ายร่างกายกันได้แล้ว ฆ่ากันตายก็ได้เพื่อของแค่นี้ หรือฆ่าข่มขืน ฆ่าเด็กอายุยังไม่ถึงเดือน ฯลฯ เลยรู้สึกว่าทุกวันนี้สังคมค่อนข้างน่ากลัว”



มีติ-มีชม เล่นใหญ่-อินเนอร์แรง!!

[บีรับบท "บุ๋ม" คุณแม่ผู้รักลูกกว่าชีวิต]
“ยากหมดทุกฉากเลยค่ะ บีรู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลย” ถึงขนาดที่นักแสดงสาวมากความสามารถ เจ้าของ “รางวัลเมขลา” สาขามณีเมขลาดีเด่นยอดนิยมหญิง 2 ปีซ้อน (ปี 2554-2555) และ “รางวัลคมชัดลึก อวอร์ด” สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ประจำปี 2549 ออกปากว่ายากแล้ว แสดงว่าบทที่ได้รับในครั้งนี้ต้องสุดหินจริงๆ
 

ทุกฉากที่ต้องเล่นกับอารมณ์ ต้องเค้นดรามาหนักตลอดทั้งซีน จะเห็นว่าเธอทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจลงไปอินจริงๆ เล่นเอาใครต่อใครที่ได้ตีตั๋วเข้าไปดูแล้ว ชมเป็นเสียงเดียวกันว่า “อินเนอร์แรง” แรงถึงขั้นเล่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นสมองเลยก็มี “บีเป็นคนที่เวลาเครียดมากๆ เส้นเลือดจะปูด และในหนังแทบจะตลอดทั้งเรื่อง เราก็เครียดมาก”



ส่วนที่ยากที่สุดก็คือการควบคุม “ก๊อกอารมณ์” ให้เปิดปิดได้ตามใจ หรือสั่งให้ไหลลื่นต่อเนื่องได้เป็นเวลานานๆ เพราะต้องเล่นซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นหลายเทค เพื่อให้ช่างกล้องเก็บภาพได้ครบทุกมุม แต่ด้วยชั่วโมงบินการแสดงที่สั่งสมมาตั้งแต่ตอนเล่นละคร จึงทำให้เธอผ่านทุกความยากมาได้แบบไม่ลำบากเกินไปนัก
“คงถือเป็นโชคดีที่บีผ่านละครมาแล้วด้วยค่ะ เราก็เลยเคยเล่นหลายเทคมาแล้ว ทำให้เข้าใจการถ่ายว่า เราต้องมีการ refresh อารมณ์อยู่ตลอดเวลา ยิ่งมาถ่ายเป็นหนัง เรายิ่งต้อง refresh ตัวเองให้รู้สึกให้ได้ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราต้องทำอารมณ์เหมือนว่า เพิ่งเริ่มถ่ายกันใหม่ๆ

พอเราได้ refresh อารมณ์ แล้วเล่นด้วยความรู้สึกเหมือนใหม่ บางทีเราก็จะได้ช็อตที่แปลกแตกต่างออกไป และอาจจะเป็นช็อตที่ดีที่สุดของเทคนั้นเลยก็ได้ ซึ่งตรงนี้ทางผู้กำกับเขาก็ต้องไปเลือกเองอีกที จุดที่สำคัญก็คือเราต้องพยายาม refresh อารมณ์ของเราให้ได้ ต้องเล่นให้อารมณ์ต่อเนื่อง และต้อง hold อารมณ์ให้เป็น


ต้องเล่นไปถึงจุดไหน ความรู้สึกถึงจะบอกกับเราได้เองว่า นี่แหละคือจุดพอดีของอารมณ์ นี่แหละคือช็อตที่รอคอย? คนถูกถามนิ่งคิดพักหนึ่งก่อนให้คำตอบว่า “อารมณ์อิน” คือจุดสังเกตที่ง่ายที่สุด “อย่างในหนังจะมีฉากร้องไห้ เราก็จะอินจนร้องไม่หยุด เพราะเราคิดถึงเรื่องจริงว่า เขาจะมาเอาลูกเราไป เราก็จะร้องจนรู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก พอเขาคัตปุ๊บ ก็จะรู้สึกเหนื่อยมาก”

แต่อย่างที่บอก เมื่อมีคำชมก็ต้องมีคำติเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อคนส่วนใหญ่ชมว่า “เล่นดีมาก อินเนอร์แรงมาก” ก็มีคนบางส่วนมองว่าดูจะ “เล่นใหญ่ไปนิดนึง” เกี่ยวกับเรื่องนี้เธอได้แต่พยักหน้ารับทุกคำติชม แล้วตอบไปตรงๆ ว่า “ไม่ว่าใครจะติหรือชมอะไร ก็แล้วแต่เขาค่ะ เราก็จะมองเป็นเรื่อง positive ไป จะจำไว้แค่ว่าถ้าจุดไหนยังไม่ดี เราจะพัฒนาต่อไปในเรื่องหน้า” เธอรู้แค่ว่าเธอเต็มที่กับมันที่สุดแล้วจริงๆ

บีรู้แค่ว่าบีอิน..อินมากกับหนังเรื่องนี้ แล้วก็มีความสุขทุกครั้งเวลาที่บีได้ไปถ่ายหนังเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าบีจะเหนื่อยมาก (ยิ้ม) เหนื่อยจริงจังเลยนะ กลับบ้านไปคือสลบไปเลย แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาและรู้ว่าจะต้องไปกองถ่าย บีจะรู้สึกอยากทำ..อยากทำผลงานชิ้นนี้ออกมาให้ดี


มันไม่ใช่แค่เหตุผลที่ว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกของเรา แต่มันคือสปิริตบางอย่างซึ่งทุกคนในนั้นก็เป็นเหมือนกัน ทั้งนักแสดงทุกคน และทีมงานที่เขาดูตั้งใจทำผลงานชิ้นนี้จริงๆ เวลาเราเจออะไรแบบนี้ เราจะรู้สึกมีแรงผลักดัน อยากทำให้มันดี ทำทุกอย่างให้เขาภูมิใจ ให้เขารู้สึกไม่ผิดหวังที่เลือกเรามาเล่น ทำให้คนดูรู้สึกไม่ผิดหวังที่จะเข้าไปดูเราในโรงหนัง ซึ่งน้อยมากเลยนะที่บีจะมีความรู้สึกแบบนี้ แต่กับหนังเรื่องนี้บีเป็น ทำให้รู้สึกว่าบีเต็มที่สุดๆ แล้ว”
จากปกติก็เป็นคน “เกินร้อย” ในทุกๆ งานที่ทำอยู่แล้ว แต่พอมางานนี้ยิ่งทุ่มให้ทุกวินาทีแบบทวีคูณ “เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เราแล้วไงคะ มันคือทุกคน แม้กระทั่งพี่ๆ สวัสดิการ หรือนักแสดงคนอื่นๆ และนักแสดงส่วนใหญ่ทุกคนก็เป็นหนังเรื่องแรกของเขาเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าทุกคนเต็มที่และตั้งใจจริงๆ

“พี่หญิง ตากล้องหญิงหนึ่งเดียวในกองถ่าย” คือแรงบันดาลใจคนสำคัญที่ทำให้บีมีแรงฮึดสู้ต่อ ท่ามกลางการถ่ายทำที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย

“ทุกครั้งที่เหนื่อย บีก็จะมองพี่หญิง แล้วจะรู้สึกว่า โห..พี่เขาตัวเล็กกว่าเราอีก แต่เขาต้องแบกกล้อง และเวลาเราแสดง ตากล้องเขาก็ไม่ใช่ทำหน้าที่แค่ตั้งกล้องถ่าย อันนี้บีก็เพิ่งเข้าใจเหมือนกันว่า นอกจากเราต้องเล่นแล้ว ตากล้องต้องเล่นกับเราไปด้วย เพราะเขาต้องเป็นคนเล่าเรื่องด้วยภาพ เพราะฉะนั้น การเล่นมันต้องพร้อมกัน ถ้าไม่พร้อมกัน ก็จะไม่ได้ช็อตที่ดี

[เต็มที่ทุกซีน ท้อเมื่อไหร่ บีจะมองไปที่แรงบันดาลใจ "พี่หญิง" ตากล้องผู้หญิงสุดแกร่ง]

เพราะฉะนั้น เวลาเหนื่อยๆ บีก็จะมองพี่หญิงนี่แหละค่ะ เพราะเขาก็ต้องเหนื่อยไม่แพ้เราเหมือนกัน แถมเขายังเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ด้วย เราตัวใหญ่กว่าเขา แถมมีคนดูแลเราอีก มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ว่าจะยังไง เราขอเต็มที่ขอเราก่อน เราต้องทำออกมาให้ดีที่สุด

แต่เนื่องจากมันเป็นหนังเรื่องแรกของบี บางจุดบีก็จะยังรู้สึกว่าตัวเองเก็ตช้า หรือมาคิดได้ทีหลังว่าทำแบบนี้ดีกว่าไหม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับผลงานชิ้นนี้คือชอบค่ะ และคนก็ชมเยอะอยู่เหมือนกัน เราดูเองยังจุกเลย ดูแล้วนึกถึงแม่ตัวเอง เพราะรู้ว่าแม่รักเรามากแค่ไหน ก็อยากให้ลองไปดูกันแบบไม่คาดหวังค่ะ แล้วรับรองว่าจะประทับใจ ส่วนซีนผี บีว่าแบบนี้แหละค่ะคือ “จริง” ของการเห็นผีแล้ว



คาแรกเตอร์ไหน? “ตัวจริงของเธอ"

“ตัวละครที่บีรับบทบาทครั้งนี้ เขาเจอเหตุการณ์ยุคต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจล้มละลาย และพอวันนึงตั้งตัวได้ มีลูก ลูกก็คือทุกสิ่งทุกอย่างของเรา ซึ่งเรื่องความเป็นแม่เป็นลูก บีค่อนข้างที่จะมีเข้าใจอยู่แล้วค่ะ เพราะบีผูกพันกับแม่ และบีก็รู้ว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่มาก เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อเรา เราก็เลยค่อนข้างจะเข้ากับบทนี้ได้ง่าย”
 
ด้วยความที่ครอบครัวแยกทางกันมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ทำให้บีมี “คุณแม่” เป็นเพื่อนที่รู้ใจที่สุดในชีวิต นับตั้งแต่เข้าวงการด้วยงานถ่ายแบบตั้งแต่ตอนอายุ 14 มาจนถึงวันนี้ ก็ยังมีคุณแม่รับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัว คอยดูคิวงาน รับงาน และดูแลเรื่องเงินให้

[อินกับบท "คุณแม่ลูกหนึ่ง" ได้ เพราะมีแบบอย่างที่ดี]

“คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ค่ะ แต่เลิกกันไปนานแล้ว เขาไม่ได้เลี้ยงเราตั้งแต่ตอนเด็กๆ จำความได้ก็เห็นเขามาๆ ไปๆ เพราะฉะนั้น ความผูกพันของบีก็จะมาอยู่กับแม่มากกว่า เพราะแม่ทำให้เราทุกอย่าง อยู่กับเรา เลี้ยงเรา ดูแลทุกอย่าง ก็เลยทำให้เราค่อนข้างเข้าใจคนเป็นแม่ค่ะว่า เขารู้สึกยังไงกับลูก ทันทีที่อ่านบทก็รู้สึกเข้าใจตัวละครนี้มากๆ”

บอกได้เลยว่าทุกมิติที่เป็น “บี-น้ำทิพย์” ล้วนถูกปลูกฝังมาจากคุณแม่ทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่อง “ความกตัญญู” และ “สัมมาคารวะ” ที่บียังคงใช้นำทางในวงการมาจนถึงทุกวันนี้

“คุณแม่มักจะปลูกฝังเรื่องบุญคุณคน แล้วก็เรื่องสัมมาคารวะค่ะ ให้รู้จักกาลเทศะ ต่อให้ทุกวันนี้เราโตแล้ว หรือจะมีรุ่นน้องมากมายเข้ามาไหว้เราก็ตาม เราก็จะไหว้เขากลับ หรือคนที่เราต้องร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น พี่คนเสิร์ฟน้ำ, คนทำงานเบื้องหลัง เราก็ไหว้เขาค่ะ เพราะรู้สึกว่าการนอบน้อมเป็นเรื่องที่ดี

[คุณแม่ เพื่อนสนิทที่รู้ใจบีที่สุด]

ทุกวันนี้ ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาของบีเหมือนกันค่ะ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ก็จะมีผู้ใหญ่คอยให้ความรัก ความเอ็นดู ให้งานดีๆ และว่าเวลาที่เราได้งานดีๆ มา เราก็จะเห็นค่าในสิ่งที่เราได้ แล้วก็ระลึกถึงคนที่ให้โอกาสเราเสมอ

จะมีแค่งานไม่กี่แบบเท่านั้นเอง ที่ไม่ว่าจะยังไง บีก็ขอไม่ยอมรับโอกาสที่หยิบยื่นเข้ามาให้ โดยเฉพาะงานที่ต้องการให้เธอโชว์ความเซ็กซี่แบบเกินลิมิต เพราะนางเอกสาวมาดมั่นคนนี้ถือคติเอาไว้เสมอว่า “ถ้าอะไรทำแล้วไม่สบายจะ ก็จะไม่ทำ” เพราะฉะนั้น ต่อให้อีเวนต์ไหนป้อนค่าตัวแพงๆ มาให้เท่าไหร่ เธอก็ไม่เอา ถ้าต้องให้ทำในสิ่งที่ไม่มีความสุข โดยเฉพาะขอบเขตเรื่อง “งานเซ็กซี่” ที่กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน
ลิมิตของบีคือ ถึงจะโป๊จะเซ็กซี่แค่ไหน ก็จะไม่ให้เห็นตรงนั้นค่ะ จะไม่โชว์ส่วนเป้า ไม่ให้เห็นแก้มก้น และไม่เปิดจุก-โชว์หน้าอกแน่นอน นอกนั้นจะถ่ายเว้าเอว-โชว์หลังยังไงก็ได้ค่ะ แต่จะไม่ใส่ชุดว่ายน้ำ


บีวางลิมิตเอาไว้แบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ บีคิดว่าการถ่ายแบบให้เซ็กซี่ มันไม่จำเป็นต้องให้เห็นอะไรมากมายก็ได้ ถ้าอยากให้ภาพออกมาเซ็กซี่ เรื่อง attitude สำคัญกว่าการเปิดโชว์ซะอีก คือต่อให้ใส่เสื้อผ้ามิดชิด แต่ attitude ได้ ก็เซ็กซี่ได้เหมือนกัน

หรือถ้าใครจะคิดต่างก็ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแบบนี้อยู่ที่สิทธิส่วนบุคคล แล้วแต่แต่ละคนว่าใครอยากเลือกจะทำอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะถ่ายเซ็กซี่หรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในวงการบันเทิงที่ต้องจำไว้ก็คือ การตรงต่อเวลา, มีกาลเทศะ, อย่าลืมบุญคุณคน แล้วก็ต้องเป็นคนดีค่ะ คือรักในสิ่งที่ตัวเองทำ และจริงใจกับสิ่งที่ทำ ทุกอาชีพแหละบีว่า ถ้าจริงใจกับมัน มันไปได้อยู่แล้ว


[เซ็กซี่อย่างมีลิมิต เพราะความเซ็กซี่อยู่ที่ attitude]
ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้ดาวจรัสแสงดวงนี้ ยังคงทอประกายอยู่ในวงการได้นานถึงปีที่ 20 เพราะถึงเธอแม้จะเริ่มต้นด้วยสายงานนางแบบ แต่บีก็ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง เมื่อผันตัวมาหยอกล้อกับตัวโน้ต ก็ประสบความสำเร็จ กลายเป็นศิลปินหญิงเสียงเพราะอีกคนที่มีงานเพลงปล่อยออกมาถึง 3 อัลบั้ม เมื่อหันไปเรียนรู้ศาสตร์ของละคร ก็ตีบทแตกจนได้รับรางวัลด้านการแสดงกลับไปเชยชม

พอลุกขึ้นมาปรับคาแรกเตอร์ แปลงกายเป็นเมนต์เทอร์สุดแซ่บในรายการเรียลิตี “The Face Thailand” บีก็กลับมาโด่งดังถึงขีดสุด จนถูกขนานนามให้เป็นราชินีแห่งรันเวย์ เป็น “ควีนบี” ผู้ชนะในซีซัน 2 ส่งให้ผู้คนได้เห็นความเต็มที่และจริงจังของเธอในอีกมุม จนวันนี้ที่บีเริ่มท้าทายตัวเองในมุมใหม่ๆ อีกครั้ง ด้วยการก้าวเข้ามาลิ้มลองวงการหนัง ก็ยิ่งทำให้สปอตไลต์ดวงใหญ่ของวงการฉายไปที่เธออีกครั้งหนึ่ง


สรุปแล้ว มิติไหนในวงการบันเทิงที่เป็นตัวเองได้มากที่สุด? บีให้คำตอบทันทีแบบแทบไม่ต้องคิดว่า “นักแสดงค่ะ เพราะรู้สึกว่าท้าทายสุดแล้ว” ส่วนความสนุกบนรันเวย์ที่เคยชื่นชอบ ตอนนี้อาจกำลังเดินมาถึง “วันหมดอายุ”

“จริงๆ แล้ว การเป็นนางแบบก็ใช่ตัวเราเหมือนกันค่ะ แต่แค่รู้สึกว่าตอนนี้แก่แล้ว (ยิ้มบางๆ) คงต้องให้เด็กๆ รุ่นน้องๆ มาเดินแทน รู้สึกเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะให้มาโชว์วับๆ แวมๆ มันไม่ค่อยมั่นใจเท่าเดิมแล้ว เพราะพักหลังๆ ก็ไม่ค่อยได้ใส่สั้นแล้วด้วยค่ะ แต่ก็ยังดูแลตัวเองให้ดีอยู่นะคะ ยังรักษาหุ่นอยู่”

อนุญาตให้คนเห็นมาหลายลุค หลากคาแรกเตอร์ ถามตรงๆ ว่าแบบไหนคือตัวจริงของเธอ? ใช่คนแรงๆ อย่างใน The Face Thailand คนนั้นไหม? บีพูดไปยิ้มไป “อันนั้นจะออกแนวแข็งกร้าวไปหน่อยค่ะ มันเหมือนเราต้องตั้งกำแพง ปกป้องตัวเองเอาไว้ตลอดเวลา”

[ฮอตถึงขีดสุด เมื่อมารับบทบาท "เมนต์เทอร์" ใน The Face Thailand]

จริงๆ แล้ว บีเป็นคนง่ายๆ เลยค่ะ กินง่าย อยู่ง่าย ดูแลง่าย สมมติว่าถ้าทำงานกับบี ไม่ต้องดูแลอะไรเลย ไม่ต้องหาของกินให้ด้วยก็ได้ เพราะบีเป็นคนง่ายมาก เซอร์มาก เพราะถ้าไม่เซอร์ คงปีนขึ้นไปถ่ายทำบนตึก 47 ชั้นไม่ได้ อาจจะต้อง request อะไรสักอย่างจากทีมงานไปแล้ว แต่นี่ไม่เลย บีคอนเฟิร์มว่าบีเลี้ยงง่ายจริงๆ” เธอปิดท้ายด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี


 
เพราะรักจากเขา ทำให้เราคิดบวก

เปิดใจคุยมาเกือบชั่วโมงจนแทบไม่เหลือกำแพงกั้นระหว่างกัน แต่พอวกกลับมาถามเรื่องหัวใจ ก็รับรู้ได้ทันทีถึงผนังบางๆ ที่เธอสร้างมันขึ้นมาอีกรอบ จนคู่สนทนาต้องขอพูดตรงๆ ออกไปว่า “ดูบีเป็นคนโลกส่วนตัวสูงเหมือนกันนะ” คนที่อยู่ตรงหน้าจึงได้แต่หัวเราะรับแล้วตอบว่า “ดูรู้เลยใช่ไหม” ก่อนยอมเปิดบางมุมของหัวใจให้ได้เข้าไปสำรวจ เมื่อรู้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวอะไรตรงนั้นมากมายนัก

ที่ยอมเปิดเรื่องนี้มากขึ้น คงเพราะตอนนี้เราโตขึ้นแล้วด้วยมั้งคะ เลยรู้สึกว่าการจะเปิดเผยอะไรแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้ภาพออกมาแล้วดูน่าเกลียด เพราะเด็กๆ แฟนคลับเราก็มีเยอะ บีไม่ได้อยากทำให้ใครรู้สึกอี๋ว่า เป็นแฟนกันแล้วมายืนจูบกัน แต่มันเป็นแค่การที่เราคุยกับคนคนนึง ซึ่งไม่ใช่แค่ปี 2 ปี แต่หลายปีแล้ว

เราก็รู้สึกว่าถ้าจะมีใครสักคนที่เรียกว่า “แฟน” เราก็อยากจะให้น้องๆ แฟนคลับเห็นว่า เราคบกันแล้วพากันไปในทางที่ดีนะ หรือกว่าเราจะคบกัน จนมาพูดคุยออกสื่อได้ เราใช้เวลานะ

เหมือนบีทำเป็นตัวอย่างอะไรบางอย่างด้วยแหละค่ะ เพราะเราก็ไม่ได้อยากเดี๋ยวก็คบ แล้วเดี๋ยวก็เลิก เราต้อง make sure ก่อนว่า คนนี้คือคนที่เราโอเคแล้วจริงๆ เพราะยังไง เป็นผู้หญิง พูดเรื่องแฟนเยอะๆ บีว่ามันก็เสียหายอยู่ดี"

[คบกันมานาน เปิดตัวอย่างเป็นทางการบน IG @beenamthipofficial]

จุดที่สำคัญมาก ที่ทำให้ความสัมพันธ์ในครั้งนี้เดินไปได้อย่างพอดิบพอดี น่าจะเป็นเพราะทั้งคู่มีความเป็นผู้ใหญ่ และเข้าใจพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันมากเพียงพอ

ถ้าเป็นตอนเด็กๆ บีจะเป็นคนที่เครียดมาก คิดเยอะ จริงจัง ขี้หึง ขี้โวยวาย ตบเป็นตบ (หัวเราะ) เป็นคนรุนแรงค่ะ แต่พอโตปุ๊บ เราก็เปลี่ยนละ หลังจากมีปัญหาเข้ามาในชีวิต ก็รู้สึกโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อาจจะเพราะได้ “คุณฮิม” มาคอยช่วยแนะนำด้วยค่ะ เพราะเขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก


[“ฮิม-อิสระ” หวานใจ “บี-น้ำทิพย์”]
“คุณฮิม” ที่บีพูดถึง คือคนรู้ใจที่ใครๆ ในวงสังคมเรียกกันว่า “ไฮโซฮิม” หรือ “อิสริยะ คูหาเปรมกิจ” แต่ถ้าให้มองผ่านสายตาของบี เขาก็คือผู้ชายง่ายๆ ธรรมดาๆ คนนึงที่ไม่ได้มีความเป็นไฮโซอะไรเลย

“จากก่อนหน้านี้ ถ้าเราเจอคนคนนึงทำอะไรไม่ดีกับเรา เราจะเป็นอีกแบบเลย จะคิดมาก เครียดมาก ทำไมคนนั้นเขาถึงมีความสุขได้วะ ทั้งๆ ที่ทำกับเราอย่างนี้ เราก็จะนั่งคิดอยู่คนเดียว แต่ทุกวันนี้บีไม่เป็นอย่างนั้นแล้วค่ะ
เพราะคุณฮิมเป็นคนเดินมาบอกเราว่า บีรู้ไหม ในวันนึงมันมีอยู่แค่ 24 ชั่วโมง เวลา 8 ชั่วโมง บีนอน ส่วนเวลาที่เหลือ บีก็เอาแต่มานั่งคิดถึงคนที่เขาทำไม่ดีกับบี เขาอาจจะมีความสุขไปเท่าไหร่แล้ว แต่บีมานั่งเสียเวลาให้กับคนที่เขาไม่ได้เห็นค่าของเรา หรือไม่ได้คิดว่าจะรักเรา

เขาทำให้เราคิดบวกมากขึ้น ตอนหลังบีก็เลยเลิกคิดถึงอะไรที่เป็น negative แล้วค่ะ คิดได้ว่าชีวิตเรา เราต้องโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญในชีวิตเราจริงๆ ดีกว่า เราก็จะมีความสุข แล้วก็อย่าไปคาดหวังกับคนเยอะว่า คนนั้นจะต้องอย่างนั้น คนนี้จะต้องอย่างนี้ คนจะต้องดูหนังเราเยอะ (ยิ้ม) เอาจริงๆ บีไม่คาดหวังเลย แค่เรารู้ว่าเราทำอะไร และมีความสุขในสิ่งที่เราทำ แค่นี้ก็ happy แล้วจริงๆ

คติประจำใจของบีก็คือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดค่ะ เราจะได้ไม่ต้องมาเสียใจวันหลัง ทุกวันนี้บีจะเป็นคนพยายามอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับช่วงเวลานี้ว่าเราทำอะไรอยู่ สมมติถ้าเราทำงานอยู่ เราก็จะโฟกัสแค่เรื่องงาน ส่วนเรื่องอื่นก็จะตัดไป พอกลับบ้านไปค่อยกลับไปคิดอีกเรื่องนึง คือถ้าตัวเราอยู่ตรงไหน ก็ให้ใจเราอยู่ตรงนั้น”
พูดง่ายๆ ว่ารู้จักลำดับความสำคัญในชีวิตมากขึ้น ซึ่งบีเป็นคนให้เรื่อง “งาน” มาเป็นอันดับ 1, “ครอบครัว” มาเป็นอันดับ 2 ส่วนเรื่อง “แฟน” มาทีหลังสุดเลย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เดินอยู่เคียงข้างเธอในตอนนี้ต้องเข้าใจมากเพียงพอ


“บีว่าไม่ใช่แค่บีนะ แต่ถ้าใครอยากจะให้คนอื่นรักเรา เราต้องเห็นคุณค่าตัวเราก่อน อย่างแรกคือตัวเราเองต้องมีงานที่ดีทำ ต้องดูแลตัวเองได้ เราต้องรักครอบครัวเรา และถ้าจะมีแฟน แฟนเราก็ควรจะเป็นแบบนั้นด้วย คือเขาต้องรักตัวเอง ต้องรักครอบครัวของเขาก่อน ก่อนที่จะมารักเรา มารักครอบครัวของเรา

บีว่ามันเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ ที่เราต้องทำตัวเองให้ดีก่อน แล้วเราถึงจะสามารถมาเผื่อแผ่ความรักให้คนอื่นๆ ได้ แล้วถ้าทำได้ ความรักของคนทั้ง 2 คนก็จะสตรองมากขึ้นเอง

ไม่รู้เป็นเพราะ “หัวใจสีชมพู” ของบีในตอนนี้หรือเปล่า ที่ทำให้เธออยากลองเล่นหนังแนวโรแมนติกของค่าย GDH ดูบ้าง “โรแมนติกคอมเมดี้อาจจะไม่ใช่แนว แต่โรแมนติกดรามาน่าจะได้นะ” ขอกันตรงๆ พูดกันอย่างไม่เขินเลยว่า ตอนนี้หลงเสน่ห์ภาพยนตร์เข้าให้แล้ว!!


นี่ก็เพิ่งเล่นหนังเรื่องเดียวเองค่ะ อยากเล่นอีก (หัวเราะ) รู้สึกว่าหนังมีเสน่ห์มาก มันเป็นอะไรที่ไม่ต้องฝืนธรรมชาติเกินไป ให้ความรู้สึก realistic จริงๆ เป็นศาสตร์อย่างใหม่ที่เรายังไม่เคยมีโอกาสได้เข้ามาลอง และนี่ก็คือการเปิดประตูครั้งแรก

ก่อนหน้านี้ก็คิดอยู่แล้วว่า ถ้ามาเล่นหนังจะต้องติดใจแน่ๆ และพอมาเล่นก็ติดใจจริงๆ ตอนนี้ถ้าเทียบกับละครแล้ว ติดใจหนังมากกว่าด้วยนะ เอาจริงๆ รู้สึกว่ามันท้าทาย เวลาเราอยู่บนหนัง เรารู้สึกมันเจ๋งยังไงไม่รู้ เดินไปไหนก็มีโปสเตอร์เรา และเราก็ไปตีตั๋วเข้าไปดูหนังตัวเองในโรงภาพยนตร์”


รู้แล้วอย่าตกใจ! “พี่เกด” คือไอดอลของบี

เห็นทะเลาะกันในรายการแบบนั้น จริงๆ แล้ว บีชื่นชอบ “พี่เกด (ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม)” มากเลยนะคะ (หัวเราะ) บีว่าเขาเป็นคนที่แฟร์มาก นิสัยฝรั่งมากๆ คือทำงานแบบพูดตรงๆ ซึ่งบีชอบมาก เพราะบีไม่ชอบคนที่ดูเฟคๆ เหนื่อยๆ แต่พี่เกดเขาตรงและชัดเจนมาก และวันงานกาล่า (ฉายภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อน..ที่ระลึก” รอบสื่อมวลชน) เขาก็มา เขาเป็นพี่ที่น่ารักมากๆ ค่ะ
และจริงๆ แล้ว บีไม่ได้เพิ่งชอบพี่เกดนะ คือบีชอบมาตั้งแต่เขาเป็นซูเปอร์โมเดลสมัยก่อนแล้ว และเราเป็นรุ่นน้อง เราชอบเขามาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และก็มองเขาเป็นไอดอลสำหรับการเป็นนางแบบมาเรื่อยๆ จนได้มาร่วมงาน The Face กัน
พูดจริงๆ อยู่ในรายการเกรงใจมากเลย ไม่อยากจะกัดเลย (พูดไปยิ้มไป) แต่เรารู้ว่านั่นคืองานของเราก็คืองานของเรา ถ้าเราไม่ทะเลาะกัน มันก็จะไม่สนุก เราต้องเข้าใจรูปแบบรายการก่อน แต่ก็จะมีแฟนคลับที่ไม่ทันโลกความเป็นจริง คิดว่าเราทะเลาะกันจริงๆ แต่มันไม่ใช่เลย ไม่เคยทะเลาะกันเลย


ส่วนไอดอลด้านการแสดง ต้องยกให้ “พี่นก-สินจัย เปล่งพานิช” ค่ะ รู้สึกว่าพี่เขาทั้งเก่ง ทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีได้ ทั้งเรื่องการงานพี่เขาก็ดี ครอบครัวก็ดี ทุกวันนี้ไปไหน ใครไม่รู้จักพี่นก-สินจัย นี่คือเชยมากนะ เด็กรุ่นนี้ก็ต้องรู้จัก อยากบอกว่าบีชื่นชอบพี่เขาทั้งคู่มานานแล้วค่ะ และไม่เคยเปลี่ยนเลย
กับน้องๆ แฟนคลับ บีก็อยากจะวางตัวให้ได้แบบนั้นค่ะ ให้เขาดูเป็นแบบอย่างได้ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับต้องกดดันตัวเองนะ เพราะเรายังวางตัวอยู่ในพื้นฐานของความเป็นคน ทำอะไรที่เรารู้สึกว่าไม่เดือดร้อนคนอื่น ทำอะไรที่รู้สึกว่าไม่น่าเกลียดออกมา เช่น สูบบุหรี่ข้างทางให้ใครเห็น หรือไปเล่นยา ฯลฯ

ให้รู้ว่าอะไรควร-ไม่ควร คือเราไม่ได้ทำอะไรไม่ดีอยู่แล้ว แต่แค่ต้องรู้จักวางตัว อะไรที่เราสบายใจ เราก็ทำ อะไรที่ไม่เดือดร้อนใคร หรือถ้าทำแล้วจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้ใครเลียนแบบ เราก็เลือกที่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น



“ควีนบี” ในมาดสามีแห่งชาติ!!

#ทีมเมียพี่บี #พี่บีสามีแห่งชาติ หลังความเท่ของ “ควีนบี” ฉายชัดออกมาในรายการ The Face Thailand แฟนคลับของเธอก็ขอตั้งให้เป็นผู้หญิงที่ “หล่อไม่เกรงใจชาย” แถมหยิบมาเป็นคู่จิ้นกับ “คริส หอวัง” เมนต์เทอร์อีกคนของรายการ

แต่นั่นก็ยังไม่สร้างกระแสฮือฮาเท่า การปิดฉากรันเวย์ “Bangkok International Fashion Week 2017” ด้วยช็อตการจูบกับ "แพร-วทานิกา ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา" ดีไซเนอร์เจ้าของห้องเสื้อแบรนด์ดัง "Vatanika" จนทำให้แคตวอล์กลุกเป็นไฟ เมื่อถามเธอเกี่ยวกับความร้อนแรงที่เกิดขึ้นในวันนั้น บีก็ได้แต่หัวเราะรับ แล้วบอกว่ามันคือสิ่งที่ดีไซเนอร์ต้องการ!!
“ต้องบอกก่อนว่า ตอนทำโชว์นี้ ไม่ได้มีการซ้อมกัน ไม่ได้มีการบอกกันล่วงหน้า บอกกันวันนั้นเลย ก่อนโชว์ประมาณชั่วโมงนึง ถึงรู้ว่าต้องทำอะไรแบบนั้น ถามว่าปฏิเสธได้ไหม เราก็คิดว่ามันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเรา กับการที่จะทำให้สิ่งที่ดีไซเนอร์ต้องการมันเกิดขึ้น

คือเหมือนเขาก็เป็นรุ่นน้องเราคนนึงค่ะ บีเคยเดินโชว์ฟินาเล่ให้เขา ตอนโชว์แรกในชีวิตของเขาในประเทศไทย ก็เหมือนรู้จักเขามานานมาแล้ว ถ่าย advertorial ให้เขา มันเหมือนน้องคนนึงที่เรารัก และเขาก็เป็นดีไซเนอร์ที่มีไลฟ์สไตล์ที่เซ็กซี่ เรารู้อยู่แล้วว่าเวลาเขาทำโชว์ เขาจะเป็นคนที่ต้องทำให้มีกิมมิคอยู่แล้วทุกๆ ปี

จูบเบาๆ😄 congrats นะคะ @vatanika @vatanika_official #vatinika #BIFW2017

A post shared by Bee Namthip (@beenamthipofficial) on




และปีนี้ เราก็เพิ่งรู้ว่าเขาอยากได้อะไรแบบนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าทำไมก็ไม่เสียหายหรอก เพราะว่าเขาก็เป็นรุ่นน้อง เป็นเพื่อนเรา และการที่จะต้องทำอะไรแบบนี้ บีคิดว่ามันเป็นงาน ไม่ได้คิดว่าอยากให้ออกมาแล้วมองไม่ดี

แต่คนที่ไม่เคยเห็นก็อาจจะตกใจ (ยิ้ม) เพราะจริงๆ บีต้องบอกก่อนว่า เวลาเล่นละคร ไม่เคยจูบจริงกับใครเลย คือถ้าไม่ใช่แฟน บีจะไม่จูบจริงกับใคร เอางี้ดีกว่า (หัวเราะ) แต่พองานนี้ เราคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง และเราก็ไม่ได้รังเกียจ เรารู้ว่าเราทำไปเพื่องาน และนี่คืองานของเรา เราก็ต้องเป็น professional ในสิ่งที่ดีไซเนอร์เขาต้องการ ทำเพื่อดีไซเนอร์ ทำเพื่อแบรนด์เขา เพราะเราเป็นนางแบบ เราก็ต้องทำได้ แค่นั้นเอง



“โรคซึมเศร้า” โรคยอดฮิตยุคคนเหงา

ประเด็นเรื่องอาการซึมเศร้าแล้วฆ่าตัวตาย บีว่าหนังเรื่องนี้ก็บอกอะไรบางอย่างไว้เหมือนกันนะ อย่างในสายตาบี บีมองว่าการฆ่าตัวตายมันไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง หรือไม่ได้ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น ทำไปแล้วมันก็ไม่ได้จบ การที่เราฆ่าตัวตาย คนที่มีปัญหาอยู่เบื้องหลังเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายฯลฯ เขาก็ยังคงต้องอยู่กับปัญหาเหล่านั้น แถมยังต้องมานั่งเสียใจกับการฆ่าตัวตายของเราอีก

บีก็มีเพื่อนที่เป็น “โรคซึมเศร้า” เหมือนกันนะคะ คือตัวเขาอาจจะไม่รู้ตัวหรอก แต่สำหรับเรา เรามองว่าเขาเป็นแน่ๆ คือคนที่เป็นโรคนี้ เขาจะชอบกดตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่มีค่า จะชอบบ่นเรื่องซ้ำๆ จะชอบเครียด ทั้งๆ ที่ภายนอกอาจจะดูสดใส แต่จริงๆ ข้างในแล้วเครียด ในฐานะที่เราเป็นเพื่อน อาจจะช่วยหาทางออกให้เขา คุยกับเขา

แต่เราก็ทำได้แค่ส่วนนึง ต้องยอมรับว่าการทำงานตรงนี้ จะไปนั่งรับเรื่อง negative เยอะๆ มันก็ไม่ไหว บีก็เลยพยายามให้ทางออกกับเขา โดยการแนะนำให้เขาไปพบจิตแพทย์ แต่คนส่วนใหญ่ก็จะยังมองอย่างไม่เข้าใจอยู่ว่า ไม่ได้บ้า จะไปพบจิตแพทย์ทำไม แต่จริงๆ ไม่จำเป็นต้องบ้าก็ไปพบได้ค่ะ

อย่างบี ถ้าวันนึงบีเครียดเรื่องอะไรและหาทางออกไม่ได้ บีก็คงจะไม่หาจิตแพทย์เหมือนกัน ให้เขาแนะนำว่าจะแก้ได้ยังไงบ้าง เพราะโรคซึมเศร้ามันเกิดมาจากความผิดปกติของสารบางอย่างที่หลั่งมาจากสมอง และต้องกำจัดมันออกไป


ตอนนี้ทาง GDH เขาก็ทำซีรีส์อยู่เรื่องนึงนะคะ นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องโรคซึมเศร้า (Project S The Series | SOS skate ซึม ซ่าส์) ซึ่งบีเห็นแล้วก็รู้สึกดีนะคะ เหมือนเขาทำเรื่องที่มันเกิดขึ้นจริง เรื่องที่คนอาจจะคิดว่าไกลตัว แต่จริงๆ แล้ว โรคซึมเศร้ามันเป็นโรคที่คนในสังคมเป็นเยอะด้วยซ้ำนะในยุคนี้

อาจจะเพราะติดโซเชียลฯ มาก ปิดสังคม ไม่คุยกับคนอื่น อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง เวลาจะคุยกับใครก็จะไม่มีเรื่องสนทนา เลยจะกลายเป็นคนที่เหมือนดูภายนอกแล้วไม่เป็นอะไร แต่จริงๆ เป็นโรคซึมเศร้าก็มี



[น้องลิลลี่ (รับบทลูกสาว), จิม-โสภณ (ผู้กำกับ) และบี-น้ำทิพย์ (แสดงนำ)]




Good morning from Maldives 😁 #workoutbbbstyle #แจกความสดใส @beenamthipdotcom

A post shared by Bee Namthip (@beenamthipofficial) on







สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่องและคลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพ: IG @beenamthipofficial, fb.com/thepromisethemovie
กำลังโหลดความคิดเห็น