วิจารณ์กันให้แซ่ด!! กับประติมากรรมที่วัดบางขุนเทียนนอก เขตจอมทอง กรุงเทพ ฯ ที่มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย แต่มีดวงตา และขาเหมือนเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่เจ้าอาวาสวัดอ้างตั้งใจสร้างหวังเตือนสติมนุษย์กิเลสหนา ขณะที่มูลนิธิ "Knowing Buddha" เตรียมส่งจดหมายเตือนวัดให้รื้อทิ้ง ชี้ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งยังไม่เหมาะที่จะสร้างโชว์รอบวัดอย่างโจ่งครึ้ม งานนี้เหมาะหรือไม่ ต้องอ่านและถามใจกันเอง!!
“เสือปลัดขิก” ศิลปะอีโรติกจากจินตนาการ!!
ความเชื่อ ความกลัว และเพศ เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ จากสัญชาตญาณทั้ง 3 สิ่ง ทำให้ท่อนไม้ธรรมดาท่อนหนึ่งที่ผ่านการขัดเกลาสร้างส่วนโค้งเว้าจนเป็นรูปลักษณ์ของอวัยวะเพศชาย ที่ถือเป็นเจ้าโลก ก่อนจะนำไปสู่กระบวนการปลุกเสกของเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายวัด ทำเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน ไม่เว้นแม้วัดบางขุนเทียนนอก
พระครูเกษมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดบางขุนเทียนนอก เล่าถึงที่มาของประติมากรรม “เสือปลัดขิก” ที่ตั้งโดดเด่นอยู่รอบวัดจนเรียกเสียงฮือฮาในขณะนี้ ว่าเป็นการสร้างจากจินตนาการส่วนตัว มีลักษณะส่วนหัวเป็นปลัดขิก และตัวมีร่างเป็นเสือ โดยมีวัตถุประสงค์สร้างเพื่อเป็นข้อคิดกับมนุษย์ทั่วไปที่ยังยึดติดในกิเลสตัณหา หมกมุ่นในกามารมณ์ ราคะ
ประติมากรรมดังกล่าวเปรียบเทียบ ให้เห็นว่า ขนาดอวัยวะเพศที่ไม่ได้มีกำลังวังชามากมายด้วยตัวของตัวเอง ยังทำให้โลกวุ่นวายขนาดนี้ ถ้ามีกำลังเหมือนเสือจะวุ่นวายเพียงใด
“จริงๆแล้ว “เสือปลัดขิก” ของวัดนี่สร้างขึ้นเมื่อราว 20 ปีก่อน ตอนนั้นทำขึ้นเป็นชิ้นเล็กๆ ต่อมา มีชาวบ้านปรึกษาปัญหาครอบครัวและอาชีพ ว่ามีการทะเลาะกัน กิจการไม่ก้าวหน้าจึงมอบเสือปลัดขิกให้ไปเป็นขวัญกำลังใจ ปรากฏว่ากิจการก้าวหน้า มีความสามัคคี จึงมีการบอกต่อๆกันก็มรคนสนใจมาขอมากมาย ตอนหลังจึงตัดสินใจสร้างเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำวัด ให้รู้ว่าเค้าดั้งเดิมเสือปลัดขิกนี้มาจากวัดบางขุนเทียนนอกแห่งนี้”
สำหรับ “เสือปลัดขิก” ของวัดบางขุนเทียนนอกนั้น ทำจากวัสดุหลายชนิด ทั้ง โลหะ และไม้ประเภทต่างๆ อาทิ ไม้พะยูง ไม้ชุมแสง ไม้เกิด ไม้มะเกลือ นอกจากประติมากรรมที่เห็น ทางวัดก็จัดทำเป็นเครื่องรางขนาดพกพา ซึ่งรรวมถึงหัวเข็มขัดด้วย เนื่องจากบางคนไม่สะดวกพกพา เมื่อทำเสร็จจะมีการปลุกเสกด้วยคาถาส่วนตัวของหลวงพ่อนั่นเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อตกเป็นกระแสวิจารณ์ในโลกโซเชียล ผู้จัดการ LIVE สอบถามไปยังวัดบางขุนเทียนนอก โดย พระมงคล ฐิตมังคโล เลขานุการเจ้าอาวาสวัดบางขุนเทียนนอก ได้กล่าวถึงกรณ๊เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ว่า ได้ยินมานานแล้ว ซึ่งเรื่องนี้มีทั้งผู้คัดค้านและสนับสนุน ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ ก็สิ่งที่ทุกคนทำได้
“เรื่องของปลัดขิกก็เป็นความเชื่อของแต่ละคน วัดเองตั้งแต่สร้างเสือปลัดขิกมีคนทำบุญมากขึ้น ทำให้วัดมีรายได้มาซ่อมบำรุงส่วนต่างๆ วัดก็พัฒนาไปมาก อย่างล่าสุดตอนนี้กำลังสร้างวิหารหลวงพ่อทวดซึ่งก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงการตกแต่งภายใน และเก็บรายละเอียดเพิ่ม เช่น ปั้นบัวให้สวยงาม
โยมชาวบางขุนเทียนซึ่งมีจิตศรัทธาช่วยสนับสนุนเงินค่าใช้จ่ายให้ก่อนส่วนหนึ่ง เมื่อทางวัดมีเงินทำบุญเข้ามาก็จะนำไปคืน แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีแต่คนคัดค้าน แต่มีผู้สนับสนุนด้วย ทุกวันนี้มีทั้งคนจากที่อื่น และชาวบ้านใกล้ๆ เดินทางมาทำบุญมากมาย” พระมงคล กล่าว
“ปลัดขิก” ขัดคำสอนพระพุทธเจ้า เตรียมแจ้งรื้อทิ้ง!!
แม้ทางวัดจะชี้แจงให้เหตุผลถึงที่มาที่ไปของประติมากรรม เสือปลัดขิก ที่สร้างอย่างชัดเจน หากแต่ มูลนิธิองค์กรปกป้องพระศาสนา (มูลนิธิ "Knowing Buddha") กลับไม่เห็นด้วย โดยชี้ชัดว่า ขัดหลักคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง
มนัส ชารีโคตร กรรมการมูลนิธิ Knowing Buddha กล่าวถึงกรณีความศรัทธาในปลัดขิกของคนไทยทั่วไป ว่า ปลัดขิกถือเป็นเครื่องรางที่คนไทยให้ความศรัทธามาช้านาน ในอดีต ผู้ใหญ่ให้เด็กคาดเอวเพื่อป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ระยะหลังมาบางคนบูชาปลัดขิกตามความเชื่อที่เปลี่ยนไป โดยบางคนเชื่อว่าช่วยเรื่องการค้า ทำให้ซื้อง่าย ขายคล่องของ ขายดีมีกำไร แต่นั้น ก็ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่ไม่มีการนำมาเปิดเผยกันอย่างโจ่งแจ้งเหมือนกับที่วัดบางขุนเทียนนอกได้ทำไป
“ปลัดขิกเป็นสัญลักษณ์ของของลับที่ไม่ควรนำมาเปิดเผย หลักคำสอนทางพุทธศาสนาก็ไม่เคยมีบอกไว้ไว้ในตำราเล่มไหนเลย เกจิอาจารย์สมัยก่อนหลายท่านที่ทำการปลุกเสกเครื่องรางของขลังก็มีทำกันเยอะ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำกันในลักษณะมิดชิด รู้กันในหมู่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธากันจริงๆ ไม่ได้ออกมาเผยแพร่โชว์อย่างวัดบางขุนเทียนนอก ส่วนตัวผมแล้วใครจะศรัทธาอย่างไรก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่ได้ว่ากัน
แต่ส่วนตัวผมเชื่อทุกอย่างเกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น การที่ท่านเจ้าอาวาสวัดออกมาพูดว่าสร้างเพื่อสติญาติโยม ก็แสดงว่าท่านไม่ได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้เลย ซึ่งผมมองว่าไม่ถูกต้อง หลังจากนี้ทางมูลนิธิฯ จะทำหนังสือถึงวัดบางขุนเทียนนอก และสำนักพระพุทธศาสนาเพื่อขอให้ทางวัดรื้อถอนประติมากรรมดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าขัดต่อหลักพุทธศาสนา”
ล่าสุด ตระกูลดังที่เคยสนับสนุน ที่ชาวบ้านในแถบนั้นต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีว่า ได้ทำบุญพร้อมบริจาคเงินเพื่อการบูรณะปฎิสังขรวัดบางขุนเทียนนอกมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่ระยะหลังเมื่อเห็นประติมากรรมปลัดขิกขนาดใหญ่ตามจุดต่างๆของวัด ก็รับไม่ได้ จึงเลิกทำบุญกับวัดดังกล่าว
"ตอนแรกมีปลัดขิกแบบชนิดพ่นน้ำได้ ดูแล้วน่าเกลียดมาก ตอนหลังนำขึ้นไปประดับตัวอาคารบดบังอุโบสถเก่าแก่ ถ้ามองจากสะพานข้ามคลองบางขุนเทียนจะเห็นเลยว่าลดทอนคุณค่าความงาม เดิมยังคิดว่าจะบริจาคเงินบูรณะกุฎฝาไม้ประกนวัด แต่พอมาเห็นแบบนี้ก็รับไม่ได้"
ทั้งนี้ เมื่อสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์แล้ว พบว่าปลัดขิกน่าจะมีรากเหง้าความเชื่อมาจากอิทธิพลของอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ซึ่งชาวฮินดูมีการนับถือแท่งหินที่แกะสลับเป็นรูปร่างของอวัยวะเพศชายตั้งอยู่บนฐานโยนี เป็นเครื่องหมายแทนองค์พระศิวะหรือพระอิศวร ในลัทธิไศวนิกาย อันเป็นตัวแทนของธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และเป็นบิดา มารดาของทุกสิ่งในจักรวาล
สำหรับปลัดขิกในประเทศไทย ไม่แน่ว่ามีความเป็นมาตั้งแต่สมัยใดแน่ แต่ต่างจากการนับถือศิวลึงค์ของชาวฮินดู เพราะปลัดขิกของคนไทยถูกสร้างและปลุกเสกจากผู้มีวิชาความรู้ทางด้านอาคม และชาวไทยสมัยโบราณนิยมห้อยปลัดขิกไว้ที่เอวหรือคอของเด็ก แทบจะทุกคนเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ตามความเชื่อที่ผู้ใหญ่บอกไว้อย่างนั้น
ระยะหลังมีการบูชาปลัดขิกในลักษณะที่ต่างกับอดีต โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าหลายราย นิยมเช่ามาวางไว้ในกล่องเก็บเงิน เพราะเชื่อว่าช่วยเรื่องการค้า ทำให้ซื้อง่าย ขายคล่องของ ขายดีมีกำไร
ส่วน “ปลัดขิก” ที่บรรดาเซียนพระในไทยยกให้เป็นสุดยอดเครื่องรางที่ปลุกเสกโดยเกจิอาจารย์ชื่อดังนั้น มีมากมาย อาทิ ปลัดขิกขี่เสือ ของ หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน จ.นนทบุรี, เสือปลัดขิก หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง, ปลัดขิกหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก จ.ประจวบคีรีขันธ์, ปลัดขิกหนุมาน อุดผงอาถรรพ์ฝังตะกรุด ของ หลวงปู่คีย์ วัดศรีลำยอง จ.สุรินทร์ รวมถึง ปลัดขิกพญางูจงอาง เจ้าทรัพย์ หลวงปู่จัน ขันติโก ผู้วิเศษ กำปงธม กัมพูชา
ขอบคุณ ภาพประกอบจาก ทีนิวส์, wwwpantip, ร้านเครื่องรางอาถรรพ์