![[ขอบคุณภาพ: Healthy Living และ fb.com/steakhouseforcartoon]](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/560000009414201.JPEG)
แม้จะประคองลมหายใจมาได้ถึง 3 ปี แต่เด็กน้อยเหยื่อรถซิ่งอย่าง “น้องการ์ตูน” กลับยังมีสภาพไม่ต่างไปจากเดิมเท่าใดนัก ยังคงนอนเป็น “ผัก” ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ล่าสุดอยู่ในอาการโคมา ต้องคอยเฝ้าระวังกราฟชีวิตในห้องไอซียู ในขณะที่คู่กรณีผู้ได้รับโทษจำคุกไปแล้ว กำลังจะพ้นผิดและออกมามีชีวิตใหม่...
คุณแม่ของเด็กน้อยยังคงควานหาความยุติธรรมว่าอยู่แห่งหนใด เพราะตั้งแต่คำสั่งศาลออกไป ก็ไม่เคยได้รับเงินชดเชยจำนวน “6 ล้าน” แม้เพียงสักบาทเดียว แต่เธอยังไม่ท้อ เตรียมดิ้นสู้ต่อเพื่ออุดช่องโหว่กฎหมายไทย ขอเปลี่ยนให้ “ขับรถแข่งชนคนตาย = เจตนาฆ่า” ให้สาสมกับความทุกข์ทรมานจากหัวใจผู้สูญเสีย...
เหยื่อรถซิ่งอาการร่อแร่ แต่คนขับกำลังจะมีชีวิตใหม่!!
[ล่าสุด "น้องการ์ตูน" อาการโคมา ต้องเรียกรถพยาบาลมารับ]
“รถโรงพยาบาลกำลังไปรับนะลูก อดทนหน่อยนะ แม่กำลังขับรถตามไปโรงพยาบาล” โพสต์เมื่อวันที่ 1 ก.ย.60 เวลา 19.00 น.
“อัปเดต... ตอนนี้น้องการ์ตูนถึงโรงพยาบาลแล้วค่ะ กำลังตรวจอยู่ในห้องฉุกเฉิน เบื้องต้นหมอแจ้งว่าปอดติดเชื้อค่ะ ไว้มีความคืบหน้าจะมาแจ้งอีกทีนะคะ” โพสต์เมื่อวันที่ 1 ก.ย.60 เวลา 20.32 น.
“อัปเดตอาการน้องตอนนี้ อยู่ ICU มีไข้ขึ้นสูง ยังใช้เครื่องหายใจช่วย เนื่องจากน้องหายใจเองไม่สะดวกค่ะ” โพสต์เมื่อวันที่ 2 ก.ย.60 เวลา 13.36 น.
[ต้องเฝ้าระวังอาการอยู่ในห้องไอซียู]
“เพราะน้องสมองเสียหาย จึงควบคุมการขับเสมหะเองไม่ได้เหมือนคนทั่วไป เมื่อขับเสมหะไม่ได้ เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ปอดก่อน จึงเกิดสภาวะปอดติดเชื้อได้ง่ายกว่าเด็กปกติ หากท่านใดมีเด็กที่ป่วยทางสมอง ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดนะคะ ตอนนี้มีเชื้อหวัดแบบใหม่เกิดขึ้น สำหรับของตูน ต้องรอผลวิเคราะห์เชื้ออีก 1 วัน” โพสต์เมื่อวันที่ 3 ก.ย.60 เวลา 15.53 น.
“คุณแม่กอล์ฟ” ผู้คอยประคบประหงมลูกน้อย มาตั้งแต่วันเกิดเหตุสะเทือนขวัญ ยังคงทำหน้าที่ประคับประคองอาการของ “น้องการ์ตูน” อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงแม้เธอจะสูญเสียคู่ชีวิต “คุณพ่อบอล” ไปด้วยจากเหตุการณ์เดียวกัน แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวจำเป็นรายนี้นี่เอง ที่ทำให้เธอทนฟันฝ่าความเจ็บปวดอย่างสุดแสนสาหัสมาได้จนถึงทุกวันนี้
“เราต้องอยู่แบบมีกำลังใจค่ะ เพราะถ้าเราไม่มีกำลังใจ เราจะดูแลลูกเราไม่ได้เลย” คุณแม่กอล์ฟ-ศรัญญา ชำนิ บอกเล่าความรู้สึกของเธอผ่านน้ำเสียงเย็นๆ ที่ส่งตรงมาจากปลายสาย หลังทีมข่าวผู้จัดการ Live ขอโทร.ถามความคืบหน้าอาการของน้องการ์ตูน ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของผู้คนมีน้ำใจในโลกโซเชียลฯ อยู่ในขณะนี้
[เหตุการณ์สะเทือนขวัญ ทำให้ครอบครัวนี้ต้องสูญเสียเสาหลักครอบครัว และลูกสาวพิการ]
ย้อนกลับไปในวันแห่งฝันร้ายที่เป็นจริง กระบะเครื่องแรง เหยียบมิดไมล์เสียหลักเข้าชนร้านสเตกริมทางย่านบางบอน พุ่งชนครอบครัวหาเช้ากินค่ำ สิ้นเสียงสนั่น คุณแม่วิ่งออกมาดู ปรากฏภาพสามีนอนกระอักเลือดกอดลูกน้อยวัย 5 ขวบไว้แน่น เป็นเหตุให้เสาหลักของครอบครัวไม่อาจมีโอกาสทำหน้าที่ “พ่อ” ได้อีกต่อไป
ส่วนลูกสาวตัวน้อย “น้องการ์ตูน” ก็ถูกกระทบกระเทือนเข้าที่สมองส่วนสำคัญถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ส่งให้ตาบอดและมีสภาพกลายเป็น “ผัก” ไม่สามารถขยับเขยื้อนหรือช่วยเหลือตัวเองได้อีกต่อไป มีเพียงปฏิกิริยาบางอย่างที่ฟื้นคืนกลับมาให้ได้เห็น เช่น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ หรือแม้แต่คราบน้ำตา ที่ดีขึ้นจากเมื่อ 2 ปีก่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
[ภาพในอดีต "น้องการ์ตูน-พ่อบอล" เหยื่อรถซิ่ง ความทรงจำที่ไม่มีวันหวนกลับมา]
“ทำใจยอมรับมาได้ตั้งแต่ศาลตัดสินคดีแล้วค่ะว่า เราคงไม่มีทางได้เงินชดเชยจากคู่กรณี เพราะตอนนี้คู่กรณีก็จะออกจากคุกอยู่แล้วด้วย น่าจะเดือนหน้านี้แหละค่ะ คือหลังจากเขาถูกศาลสั่งจำคุกและจ่ายเงินชดเชยให้กับเรา เราก็ยังไม่เคยได้รับเงินหรือการเข้ามาถามไถ่อะไรอีกเลย
["น้องการ์ตูน" ในวันที่ยังไม่ตกเป็นเหยื่อ]
ตั้งแต่เกิดเรื่อง จนถูกจับติดคุก จนคดีนี้เสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ไม่เคยไถ่ถามหรือช่วยเหลืออะไรเราเลยสักอย่าง ศาลตัดสินให้จ่ายเงินชดเชย 6 ล้าน เขาก็ยังไม่รับผิดชอบเลยสักบาท ได้แค่ค่าซ่อมร้านมา 48,000 ตั้งแต่ตอนรถชนใหม่ๆ และเรื่องยังไม่ขึ้นศาลเลยค่ะ ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ใน 6 ล้านที่ศาลตัดสิน”
ความยุติธรรมของกฎหมายไทย = กระดาษแผ่นเดียว
[มี "คุณแม่กอล์ฟ" คอยดูแล หลังสมองกระทบกระเทือนมาได้นาน 3 ปีแล้ว]
“อย่างที่คุณแม่เคยเขียนโพสต์ "จดหมายถึงคนไทย - ชีวิตเป็นเพียงเส้นด้าย" เอาไว้ตั้งแต่ทราบผลคดีแล้วค่ะว่า เรารับรู้กระบวนการของกฎหมายแล้ว สุดท้ายที่เราสู้มาทั้งหมด เราก็ได้แค่กระดาษแผ่นเดียวกลับมา แล้วก็ต้องเสียเงินไปจ้างทนาย เพื่อสืบทรัพย์เขาเพิ่มเติม
ถ้าพบว่าเขามีทรัพย์ เราก็ยึดทรัพย์เขามา แต่ถ้าเขาไม่มีอะไรเลย ปีที่ 10 เราจะสามารถฟ้องล้มละลายเขาได้ 3 ปี แต่หลังจากพ้นสภาพ 3 ปีนั้นแล้ว เขาก็จะได้กลับเป็นคนปกติเหมือนเดิม”
โพสต์ที่คุณแม่กอล์ฟพูดถึงนั้น คือโพสต์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ปีที่แล้ว หลังรับทราบผลการตัดสินคดีและมีผลให้เป็นที่สิ้นสุดแล้ว โดยมีใจความดังนี้
“ขอฝากอุทาหรณ์ ให้คนไทยได้ตระหนักถึง หากเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น เราจะไม่รู้จักคำว่าชีวิตเป็นเพียงแค่เส้นด้ายเลย
ทุกคนทราบกันดีว่าครอบครัวดิฉันต้องพังลง เพียงเพราะความคึกคะนองของคนขับขี่รถแข่งบนถนนสาธารณะ ที่ได้ยื่นความตายและความเสียหายใหญ่หลวงให้กับครอบครัวดิฉัน 1 คนตาย 1 คนพิการตลอดชีวิต
[เหตุการณ์สะเทือนขวัญ ทำให้ครอบครัวนี้ต้องสูญเสียเสาหลักครอบครัว และลูกสาวพิการ]
3 ชีวิตที่ต้องแบกรับภาระทุกๆ อย่างวางบนบ่า มันหนักมากนะคะ หนักจนเข่าคุณจะทรุดลงแทบติดพื้น แต่ขาคุณจำเป็นต้องก้าวออกไปข้างหน้า แม้คุณจะมีแรงเหลืออยู่น้อยนิดก็ตาม เทียบกับนักกีฬายังมีหยุดพัก แต่ชีวิตดิฉัน ไม่มีกรรมการคอยเป่านกหวีดหยุดเวลาให้ ทั้งๆ ที่ฉันไม่ได้อยากลงสนามแข่งขันเลยก็ตาม
วันนี้ได้รับทราบขั้นตอนการชดใช้ค่าเสียหายของคู่กรณีแล้ว เข่าดิฉันได้ทรุดติดพื้นดินไปแล้วค่ะ ใครที่คิดว่าคนผิดต้องชดใช้ กฎหมายบังคับได้ ในความจริงมันไม่ได้จบสวยแบบนั้นเลยค่ะ ศาลตัดสินให้คู่กรณีจ่ายค่าเสียหาย แต่ศาลไม่มีอำนาจในการบังคับให้จำเลยจ่ายได้
ในส่วนของกรมบังคับคดีจะสืบทรัพย์ และถ้าคู่กรณีมี ถึงจะยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดเพื่อชดใช้ให้ แต่กรณีที่คู่กรณีไม่มีอะไรเลย เขาก็แค่เป็นบุคคลล้มละลายเท่านั้น
สรุปแล้ว ดิฉันมีเพียงกระดาษจากศาล 1 ใบว่าตัดสินให้แล้ว มีของแถมเป็นภาระทุกอย่างที่ฉันไม่ได้ก่อแต่ต้องเป็นคนแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว แลกกับอีกคนที่กลายเป็นเพียง บุคคลล้มละลาย
เราจะต้องอยู่กันอย่างมีความเสี่ยงแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ต้องมีอีกกี่เคสที่มาเจอสภาพเช่นนี้ สภาพที่ไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่เราไม่ได้ยินดีจะรับมัน และเราก็ไม่มีโอกาสพูดปฏิเสธออกไปได้เลย”
ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้คุณแม่หัวใจแกร่งรายนี้ ตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงความไม่ยุติธรรมในข้อกฎหมายไทย โดยในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เธอได้นำรายชื่อจากผู้เห็นด้วยถึง 35,000 รายชื่อ ยื่นเสนอเรื่องต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เรียกร้องให้เพิ่มบทลงโทษต่อผู้ที่ขับรถแข่งบนถนนและทำคนตาย คือให้มีโทษเท่ากับเจตนาฆ่า เหล่าตีนผีทั้งหลายจะได้เกรงกลัวกฎหมาย เพราะไม่เคยคิดว่าคนแข่งรถจะทำโดยประมาท แต่เป็นความตั้งใจมากกว่า
["คุณแม่กอล์ฟ" ต่อสู้เพื่อ "เหยื่อรถซิ่ง" รายอื่นๆ ต่อไป]
“เคยยื่นเรื่องไปทาง สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) แล้วด้วยค่ะ เสนอให้เพิ่มโทษ แต่ได้จดหมายตอบกลับมาจาก สนช.ว่า ไม่มีกฎหมายเอาผิดคนขับรถแข่งในที่สาธารณะ เขาบอกเลยว่า ไม่มีโทษหนักเท่าที่คุณแม่ยื่นเสนอไป มีแค่จะควบคุมไม่ให้เกิดการแข่งรถบนพื้นที่สาธารณะเท่านั้นเอง
โทษมันน่าจะมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ตัดสินเรื่อง ความประมาท แต่อยากให้โทษเทียบเคียงกับ "เจตนาฆ่าคนตาย" เพราะการขับรถแข่ง คุณรู้อยู่แล้วว่ามันอันตราย แข่งขึ้นมาทำให้คนตายได้ รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังจะแข่ง ก็เหมือนเขาเจตนากระทำเหมือนกัน
ตอนนี้ก็กำลังจะทำเรื่องไปเสนอแก้ข้อกกฎหมายเพิ่มอีกค่ะ คืออยากให้ระบุไปเลยว่า การแข่งรถบนถนนสาธารณะคือการกระทำที่อันตราย เพราะมันสามารถฆ่าคนบริสุทธิ์ตายได้
ที่อยากจะต่อสู้ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเราได้ผลประโยชน์อะไรเลยนะคะ แต่ที่ทำเพราะอยากตอบแทนสังคม ให้สมกับกำลังใจที่ทุกคนส่งให้มา และที่สำคัญ อยากให้โทษมันหนักขึ้นสำหรับคนแข่งรถค่ะ ไม่ใช่กำหนดความผิดแค่คนเมาตามสถานบันเทิงเท่านั้น
เพราะคนขับรถแข่ง เขาไม่จำเป็นต้องดื่มก็ได้ไงคะ แค่ขับรถและเขม่นกัน เขาก็แข่งรถกันได้แล้ว และโทษทุกวันนี้ก็น้อยมาก แค่ปรับแค่นั้น แต่สิ่งที่เขาทำกลับส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเหยื่อ อย่างกรณีของครอบครัวเราที่ส่งผลถึงชีวิตในระยะยาว
อย่างกรณีเรา เราทุกข์มาก เพราะเราเจอทั้งสามีเสียในทีเกิดเหตุ ตัวน้องก็ต้องบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต คือถ้าเขาได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไป ตอนนี้ก็อยู่ ป.2 แล้ว
อยากบอกกับสังคมค่ะว่า ถ้าคุณจะแต่งรถ คุณแต่งได้ คุณชอบได้ แต่ให้เอาไปแข่งในสนาม อย่าเอารถออกมาขับในถนนหลวงลย เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มันไม่คุ้มทั้งตัวเขาและตัวเรา เจอกับครอบครัวใครก็ต้องเสียใจค่ะ
เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็แล้วแต่ให้คิดดีๆ นิดนึง เพราะผลพวงที่จะตามมาทีหลัง มันสาหัส มันทำให้คนที่กลายเป็นเหยื่อทุกข์ใจมากๆ จริงๆ หรือแม้แต่ตัวคนชนเอง ครอบครัวเขาก็ต้องทุกข์ใจด้วยเหมือนกัน”
ข่าว: ทีมข่าวผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพ: Healthy Living และ fb.com/steakhouseforcartoon
ช่วยส่งแรงใจอย่างเป็นรูปธรรมให้น้องการ์ตูน: ธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 978-2-19066-8 ชื่อบัญชี "ศรัญญา ชำนิ สาขา ถนนเอกชัยบางบอน"