xs
xsm
sm
md
lg

"มีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจ" ใช้ไม่ได้กับชีวิต "โอปอล์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"มีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจ" สำนวนนี้คงใช้ไม่ได้กับชีวิต "โอปอล์ ปาณิสรา" และนี่คือบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความรักปนฮาภายใต้ชายคา "อารยะสกุล" ที่ใครหลายคนอาจไม่เคยล่วงรู้มาก่อน...

หากย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่ทั้งคู่เริ่มคบหาดูใจจนได้แต่งงาน และอุ้มท้องลูกแฝด สามีผู้เป็นหมอนั้นก็ไม่เคยห่างไปไหน กระทั่งคลอด "อลิน-อลัน" ออกมาก็ยังดูแลอยู่เคียงข้าง แถมยังช่วย "เมียจ๋า" เลี้ยงลูกในยุคที่ท้าทาย และเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ "เด็ก" จะถูกแรงเหวี่ยงของโลกสมัยใหม่ซัดหัวทิ่มหัวตำอยู่ตลอดเวลา

"เราช่วยกันดูทุกอย่างเลย เราโชคดีมาก" คุณแม่สุดแซ่บเริ่มต้นเล่า "ปอล์เป็นแม่บ้านที่ดูเรื่องราวภายในบ้านทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องคนในบ้าน เรื่องอาหารของทุกคน เรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งพี่โอ๊คจะหาเงินมาให้เราดูแลในส่วนนี้ โดยปอล์เป็นคนจัดสรร (ยิ้มหวานให้สามีที่นั่งอยู่ข้างๆ)



นอกจากนั้น ยังต้องบริหารคนให้ได้ ดูแลสารทุกข์สุขดิบของลูก เพราะปอล์รู้สึกว่าพี่โอ๊คเขาเหนื่อยกับการทำงานข้างนอก แต่ตอนนี้ปอล์เบางานลงละ ปอล์มีรายการแหม่ม ปอล์มอนิ่งทาง PPTV ซึ่งเริ่ม 8 โมงเช้า เลิก 9 โมง จากนั้นปอล์ก็กลับมาอยู่บ้านกับลูกทันที


ส่วนอีเวนต์ก็รับน้อยมาก งานอื่นๆ ก็แทบจะไม่มีอะไร หรือมีบ้างที่ต้องเข้าบริษัทของตัวเอง อย่างตอนนี้ลูกเริ่มโตขึ้น ปอล์เอาไปด้วยเกือบทุกที่ บางวันพาลูกไปกินมื้อเที่ยงกับพี่โอ๊คที่โรงพยาบาล ซึ่งเราจะไม่เอาเรื่องเครียดๆ ไปเข้าหัวพี่โอ๊คเด็ดขาด เพราะเขาเหนื่อยกับงานพอสมควรแล้ว เว้นแต่ว่าลูกเป็นผื่น ปอล์ก็จะถ่ายรูปส่งไปให้ดู เพราะเรื่องลูกเราจะคุยกันตลอด"

"หมอโอ๊ค" ผัวจ๋าของเมียจ๋า

เคยได้ยินมาว่า "ผู้หญิงถ้าได้สามีที่ดีเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1" แต่สำหรับ "โอปอล์" การได้ "หมอโอ๊ค" มาเป็นคู่ชีวิต และเป็นพ่อของลูก ความรู้สึกมันยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เสียอีก



"ปอล์รู้สึกมาตลอดว่าปอล์โชคดี (ยิ้มหวานไปทางสามี) อย่างเวลาเราไปเจอใคร หรือตอนทำรายการน้ำผึ้งพระจันทร์ ฟังแต่ละเรื่องก็รู้สึกว่า เราโชคดีจัง หรือบางบ้าน ทำไมสามีโกรธภรรยา เพราะภรรยาใส่ใจลูก แต่ไม่ใส่ใจสามี เฮ้ย! มันมีเรื่องอย่างนั้นได้อย่างไร

บางทีปอล์บอกพี่โอ๊คว่า ปอล์จะไปเที่ยวกับเพื่อนนะ เขาก็ยินดีไปรับ ไปส่ง หรือเวลาปอล์ทำอะไรผิดพลาด คำที่เราเกลียด และไม่อยากจะได้ยิน เขาก็จะไม่พูด เช่น บอกแล้วไง! ทำไมไม่จำ! คำเหล่านี้เขาไม่เคยพูดออกมาเลย

ดังนั้น พอเราเจอคนที่เข้าใจเรามากๆ คนที่อยู่เคียงข้างเราไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ปอล์ว่าแค่นี้ก็มากพอแล้ว แม้โมโมนต์ความน่ารัก กุ๊กกิ๊กจะไม่ได้มีให้กันตลอดเวลา แต่สำหรับปอล์คือโชคดีมากที่เจอคนที่เข้าใจเรา" พูดจบก็เผยให้เห็นความน่ารักในตัวคุณสามี

"ตั้งแต่ลูกเล็กๆ ปอล์ต้องตื่นมาปั๊มนมทุกๆ 3 ชั่วโมง และพี่โอ๊คก็จะตื่นขึ้นมาด้วยทุกครั้ง ตื่นมาทำอะไร ตื่นมานวดนมให้ค่ะ (กุมมืออีกฝ่ายไว้แน่น) โดย 3 เดือนแรกพี่โอ๊คพักจากงานมาอยู่กับปอล์และลูกๆ เต็มที่ พี่โอ๊คอาบน้ำให้ลูกเป็น เปลี่ยนกางเกงผ้าอ้อมเด็กให้ลูกเป็น ทำได้ดีกว่าเราเสียอีก (หัวเราะ) เพราะว่าปอล์กลัว กลัวว่าลูกจะเป็นอะไร ในขณะที่พี่โอ๊คเขาจะชำนาญมาก ทุกวันนี้ปอล์พาลูกนอนไม่ได้ แต่พี่โอ๊คพาลูกนอนได้" ฟังแบบนี้ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้



เลี้ยงลูก (แฝด) สไตล์ "โอปอล์"

แน่นอนว่าความเป็น "โอปอล์" สิ่งหนึ่งที่ใครหลายคนสัมผัสได้คือ แง่งามทางด้านทัศนคติในการใช้ชีวิต เมื่อมีลูก จึงทำให้เกิดความสนใจที่ว่า เธอมีหลักหรือวิธีการเลี้ยงลูกอย่างไร ซึ่งหากใครได้ติดตามอินสตาแกรมจะเห็นเลยว่า "อลิน-อลัน" น่ารักน่าเอ็นดูมาก

"เคล็ดลับของปอล์คือ อ่านหนังสือ เปิดเพจ หรืออะไรก็ตามให้น้อยที่สุด แล้วเลี้ยงตามจิตวิญญาณของความเป็นพ่อแม่" เธอบอก "คือปอล์จะคุยกับพี่โอ๊คถึงสิ่งที่เราอยากให้ลูกเป็น นั่นก็คือ การให้ลูกเติบโตเป็นเด็กที่มีความสุข เมื่อเขาเป็นเด็กมีความสุข หรือเป็นเด็กมีอารมณ์ขัน ในชีวิตต่อไปข้างหน้าเจออะไร ชีวิตก็จะรอด ปอล์กับพี่โอ๊คเราเชื่อแบบนั้นค่ะ

ดังนั้น เราอยากให้ลูกโตมาแบบ..เหมือนยุคเราเป็นเด็ก คือ กลางดิน กลางทราย ไม่ต้องสะอาดมาก แต่ก็ต้องปลอดภัยนะคะ (เน้นเสียง) ทุกวันนี้มีปอล์เนี่ยแหละที่ชอบให้ลูกอยู่ในห้องแอร์ แต่พี่โอ๊คพยายามปล่อยลูกได้ออกไปโดนแดดบ้าง ใช้ชีวิตวิ่งเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่นบ้าง ถ้าสนามเด็กเล่นมีความปลอดภัยก็ไม่ต้องกลัวอะไร แค่ดูแลอยู่ใกล้ๆ ก็พอ ซึ่งการให้ลูกเจอคนอื่น ได้มีสังคมบ้าง ปอล์เชื่อว่ามันจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของพวกเขาได้เป็นอย่างดี



ส่วนอีกเรื่อง ปอล์เคยเป็นคนที่เห็นแม่บอก ลูก! อย่า! (น้ำเสียงห้ามปราม) ตอนนั้นเราก็คิดในใจ ถ้ามีลูก เราจะไม่เป็นแบบนั้น แต่วันหนึ่ง พอได้เป็นแม่คนแล้วนั้น..ภาพตัดเลยค่ะ อย่าลูก! อย่า! ซึ่งเอาจริงๆ ปอล์กลัวว่าลูกจะหัวกระแทกบ้างล่ะ กลัวจะหกล้มบ้างล่ะ แต่ทุกวันนี้พยายามปล่อยค่ะ เพราะถ้ามัวแต่ อย่าลูก! อย่าลูก! เด็กก็จะไม่กล้าอะไรเลย เพราะเขาจะกลัวมาก"

นอกจากนั้น บ้านนี้ไม่ชอบการ "สปอยล์" ลูก เพราะคำนี้มันโหดร้ายสำหรับเธอมาก "ปอล์กลัวการสปอยล์ หรือตามใจลูกมาก เพราะเราสองคนไม่ใช่เด็กสปอยล์ เรามองว่าการถูกสปอยล์มากๆ มันโหดนะ พอเป็นที่รักมากๆ พ่อแม่ญาติมิตรตามใจกันยกใหญ่ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เขาก็จะมีชีวิตที่สปอยล์มากอ่ะ ซึ่งเรากลัวมาก เราก็เลยกันออกจากลูกเรา"

เช่นเดียวกับหมอโอ๊คที่เห็นตรงกัน "ที่กลัวมากคือ เด็กมีภูมิคุ้มกันน้อย ได้ทุกอย่างง่ายๆ จนรู้สึกว่าทุกอย่างในชีวิตจะต้องเป็นแบบนั้น ดังนั้นบ้านเราเน้นการเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง อยากให้คนชื่นชอบเขาแบบเด็กคนหนึ่ง ไม่ต้องพิเศษไปกว่าเด็กคนอื่น"



ลูก "ตลก" ที่สุดตอนไหนนะ...

ท่ามกลางปัญหาสังคมทั้งอาชญากรรม การเมือง เศรษฐกิจ รวมไปถึงความเครียดจากการทำงาน นับจากนี้จะไม่มีความเครียดใดๆ เพราะจะให้พื้นที่คุณแม่สุดแซ่บได้เปิดใจเล่าเรื่องตลกของ "ลูกแฝด" ว่าหนูน้อยแต่ละคนมีความน่ารักแสนซน แก่น เซี้ยว เปรี้ยว ซ่าในแบบใดกันบ้าง เผื่อว่าเรื่องราวน่ารัก และมีความสุขเหล่านี้จะช่วยสร้างรอยยิ้มในภาวะเครียดกันได้บ้าง

"คือความตลกของลูกอยู่ตรงที่พวกเขาเหมือนเราสองคนมากค่ะ (ยิ้ม) ลูกสาวเหมือนปอล์ ลูกชายเหมือนพี่โอ๊ค อย่างอลินเขาจะเป็นเด็กผู้หญิงที่เถิดเทิงมาก นางมีความสะเดิดเวลาได้ยินเพลง คือต้องบอกก่อนว่า เราไม่เคยเปิดทีวีให้ลูกดู ถ้าเป็นเพลง...วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง (ร้องเพลงพลางปรบมือโยกตัวไปมา) นางจะตั้งวงรำ ซึ่งไม่มีใครสอนนางเลยนะ หรือให้อ่านตัวอักษร ก.ไก่-ฮ.นกฮูก พอถึงตัว ฑ.นางมณโฑ นางก็จะจับจีบรำอยู่แบบนี้ (ทำท่าตั้งวงให้ดู)

ที่เราขำก็คือ เราดูละครจักรๆ วงศ์ๆ แต่เด็ก ปอล์เติบโตมากับการตื่นเช้านั่งดูยอพระกลิ่น และไม่คิดว่าลูกสาวจะได้รับสิ่งนี้ผ่านทางพันธุกรรม แล้วอีกมุมที่ตลกมากๆ คือ เวลาปอล์พูด ปอล์ก็จะพูดไปเรื่อย ลูกสาวเหมือนปอล์เลยค่ะ พูดเก่งมาก พูดแบบรัวๆ ไม่หยุดด้วยนะ"



ขณะที่เรื่องราวของ "อลัน" คุณสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ ขอเป็นคนเล่า "อลันเขาจะชัดเจนในความเป็นเขา เวลาพูดก็จะพูดเสียงดังฟังชัด ไปบังคับเขาไม่ได้เลยนะ ซึ่งอลันเหมือนผมมาก นิ่งๆ แต่ชัดเจน ถ้าเขาอิ่มเขาจะพูดว่า อิ่ม (ทำเสียงใหญ่สุดพลัง) แล้วก็ห้ามป้อนเขานะ ถ้าป้อนนี่ร้องไห้เลย นอกจากนั้นยังมีความน่ารักในแบบของเขาเอง ถ้าตื่นก่อนอลิน เขาก็จะถามถึงอลินทันที หรือถ้าอลินตื่นก่อนเขาก็จะถามถึงอลันเหมือนกัน"

ไม่เพียงเท่านั้น ความน่ารักของทั้งคู่ยังแสดงออกมาให้เห็นเวลาป้อนข้าว "ถ้าป้อนคนนี้ อีกคนจะถามถึงอีกฝ่ายขึ้นมาทันที" โอปอล์เอ่ยขึ้น "หรือเวลาออกไปข้างนอก พออลันเดินนำหน้า อลินก็จะพูดขึ้นมาเลยว่า อลันรออลินด้วย ซึ่งการได้เห็นแบบนี้ ปอล์กับพี่โอ๊ค เรารู้สึกว่าดีจัง เพราะสิ่งที่เรากลัวที่สุดคือลูกไม่รักกัน ดังนั้น อย่างน้อยในสังคมที่วุ่นวาย เขายังมีกันและกันอยู่"



ไม่สนุนเรื่อง FC "ลูกแฝด"

ด้วยความเป็นพ่อแม่ที่เกิดก่อนโซเชียลฯ จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครหลายคน ทำให้ทั้งคู่รู้ทัน และพยายามป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียที่อาจจะตามมาในอนาคต

"เราใช้วิธีว่า เราไม่ได้แชร์ทุกอย่างผ่านโลกโซเชียลฯ คลิปที่เราลงไป คือคลิปทั่วไป เรากังวลมากที่จะเปิดเผยชีวิตส่วนตัวเราผ่านโลกโซเชียลฯ ซึ่งปอล์กับพี่โอ๊ค เราโชคดีที่เกิดเป็นคนในยุคเก่านิดนึง คือโลกโซเชียลฯ เข้ามาตอนที่เราโตแล้ว เราแยกแยะออกว่า เนี่ย ชีวิตจริง เราไม่ต้องใช้ชีวิตจริงผ่านโลกโซเชียล ลูกเราก็ด้วย ส่วนตัวปอล์ยอมรับว่า ช่วงที่มีลูกแรกๆ ก็เหมือนพ่อแม่ทั่วๆ ไป มีรูปอะไร เอาลงทุกอย่างจนมีความชอบที่มากเกินไป

กระทั่งวันหนึ่งมีคนทำแอกเคาต์เป็นอลิน-อลัน FC ปอล์อินบ็อกซ์ไปหาแล้วบอกว่า เราไม่โอเคที่มีชื่อแอกเคาต์ไอจี หรือเฟซบุ๊กที่มีชื่อลูกเรา เราไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่า ยอดคลิกไลค์แฟนเพจตัวเองมีอยู่เท่าไรแล้ว หรือยอดคนติดตามมีอยู่เท่าไรแล้ว สำหรับเรามันไม่ใช่เรื่องของเด็ก เขาไม่ใช่คนในวงการ วันนี้คนนี้ชอบเรา พออีกวันเขาอาจไม่ชอบเราก็ได้ ดังนั้นปอล์ไม่อยากให้ลูกยึดติด เราจึงไม่สนับสนุนในเรื่องแฟนคลับ หรือใดๆ ทั้งสิ้น"



โรงเรียน = ความสุขของลูก

เพราะอนาคตของลูก พ่อแม่สามารถออกแบบรากฐานที่ดีได้ โรงเรียนก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งคงจะปฏิเสธไมได้ว่า โรงเรียนมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการเด็ก ถ้าพ่อแม่เลือกได้ดีเหมาะกับลูก นั่นเท่ากับเป็นการวางรากฐานการศึกษาที่ดีให้แก่ลูกด้วย เช่นเดียวกับครอบครัวนี้ที่กำลังถกเถียงกันอยู่ แต่โจทย์ใหญ่เลยก็คือ ความสุขที่ลูกจะได้รับจากการเรียนในโรงเรียนแห่งนั้น

"เรายังถกเถียงกันอยู่ค่ะ แต่ทั้งหมดทั้งมวล เราอยากเลือกโรงเรียนที่ลูกเรียนแล้วมีความสุข เป็นคีย์ในชีวิตเลย เพราะเราค้นพบว่าสิ่งที่จะทำให้คนเรามีความสุขได้จริงๆ คือการได้รู้ว่าความสุขคืออะไร หรือการที่เป็นคนตลกในความคิดปอล์นะ ที่ผ่านมาเคยเจอเรื่องเฉียดตายมา จะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ แต่ในใจมันคิดเรื่องอะไรที่ตลกขึ้นมานิดหนึ่ง มันทำให้รู้สึกว่า มันไม่แย่ขนาดนั้นนะจนเราผ่านมันมาได้ อย่างลูกเรา เราจะหาที่ที่เหมาะกับเขา เราไม่แคร์ว่าจะเชิงพุทธ หรือโรงเรียนไทย รัฐบาล เอกชน หรือโรงเรียนอินเตอร์ แบบไหนเหมาะกับลูกเรา เรากำลังดูๆ กันอยู่ค่ะ"

ด้านหมอโอ๊ค เสริมขึ้นมาด้วยแนวคิดที่น่าสนใจว่า "เราก็ต้องมองเรื่องคุณภาพด้วย เด็กในยุคต่อไป ผมไม่ได้มองว่าจะต้องเน้นแต่กอบโกย หรือร่ำรวย ต้องเป็นคนดีที่มีความรู้ด้วย อีกอย่าง เราไม่ได้มองว่าลูกของเราจะต้องนำพาความเจริญมาสู่วงศ์ตระกูล หรือประเทศ แต่ผมมองว่าเด็กคือประชาชนของโลกใบนี้"



ดังนั้น ทุกคนเกิดมาไม่ใช่เรื่องหาเงิน หาทองอย่างเดียว แต่จะเปลี่ยนโลกไปในทางที่ดีได้อย่างไรต่างหาก คือสิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูกของบ้านนี้ ก่อนจะปิดท้ายด้วยคำถามที่ใครอยากรู้กับอนาคตในวงการของลูกแฝด ซึ่งทั้งคู่ก็ตอบได้ชัดเจนในทุกๆ ครั้งว่า อยากให้ลูกๆ ใช้ชีวิตตามวัยก่อน ส่วนงานในวงการเป็นหน้าที่ของพ่อแม่มากกว่า

จากใจ "หมอโอ๊ค" ถึง "เมียจ๋า"

"ผมรู้สึกโชคดีที่ผมมีภรรยาเข้าใจ สิ่งนี้คือสำคัญที่สุด อาจจะไม่ได้เป็นโมเมนต์สุดพิเศษใดๆ แต่ด้วยงาน และทุกอย่างในชีวิตของเรา ผมแค่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ ซึ่งประโยคนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม ผมโชคดีมากที่มีคู่ชีวิตดี (จับมือโอปอล์ไว้แน่น) ไม่ว่าเราจะก้าวไปทางไหน หรือผิดพลาดอะไร เราไม่เคยมีความรู้สึกลบต่อกัน

เขาจะไม่มาต่อว่า หรือใช้คำพูดตอกย้ำความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เช่น ทำไมทำแบบนั้น ทำไมทำแบบนี้ เขามีแต่ความเข้าใจว่า มันเกิดขึ้นแล้ว ต่อจากนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ซึ่งคู่เราจะไม่มีการโทษกัน หรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ลง

ทุกวันนี้เราช่วยกันเลี้ยงลูกครับ จะไม่มีการมาบอก หรือมาเน้นว่า นี่มันหน้าที่ฉันนะ นี่มันหน้าที่เธอนะ หากมีอะไรที่ช่วยกันได้ เราช่วยกันเต็มที่อยู่แล้วครับ เพราะนี่คือครอบครัวของเรา ส่วนเคล็ดลับในการเลี้ยงลูก จริงๆ ไม่กล้าแนะนำ เพราะไม่มีใครที่รู้ดีที่สุดสำหรับทุกอย่าง คนที่เข้าใจลูกดีที่สุดก็คือตัวคุณพ่อคุณแม่ ส่วนตัวอยากจะแชร์เรื่องที่เคยเข้าใจผิดมากกว่า



ด้วยความที่เป็นแพทย์ แน่นอนว่าผมจะเป็นห่วงลูกๆ มาก อย่างตอนช่วงแรกๆ ที่ลูกมาอยู่บ้าน ทุกอย่างจะต้องฆ่าเชื้อหมด ใครจะจับตัวลูกต้องผ่านหลายขั้นตอน" พอถึงช่วงนี้ โอปอล์ก็ให้ข้อมูลที่ใครหลายคนอาจคิดว่ามีแต่ในละคร

"จมูกเล็บดิฉันเปื่อยเลยค่ะ (น้ำเสียงกระซิกๆ) คือต้องฆ่าเชื้อให้สะอาดก่อนจับลูก แล้วพี่โอ๊คก็สั่งตัดชุดปลอดเชื้อให้ทุกคนสวมใส่ก่อนเข้าห้องลูก" ส่วนสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่อมยิ้มและรู้สึกผิดที่ทำให้คนรอบข้างลำบาก

"ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าใครเข้าห้องลูกจะต้องสะอาดไว้ก่อน แต่พอผ่านไปสักพักเรารู้สึกว่า เราเก็บลูกไว้ตลอดแบบนี้ไม่ได้ ทั้งชีวิตนี้พวกเขาต้องโตขึ้น ผมก็เลยตั้งหลักใหม่ โดยให้ลูกๆ ได้ออกไปสัมผัสกับโลกภายนอก ให้เขาให้เริ่มเล่น ให้เขาหยิบจับ หรือรับประทานอย่างที่เขาควรจะเป็นตามวัย ซึ่งผลก็คือ มันช่วยกระตุ้นพัฒนาการของพวกเขาได้จริงๆ"

เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ และขอบคุณภาพบางส่วนจากอินสตาแกรม @opalpanisara / หนังสือ "พ่อแม่รู้ พวกหนูต้อง O"
กำลังโหลดความคิดเห็น