แม้จะเคยปิดฉากอาชีพนักดนตรีอย่างเฉียบพลันจนแฟนคลับตั้งรับไม่ทันไปเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ อ๊อด- คีรีบูน หรือ รณชัย ถมยาปริวัฒน์ เจ้าของน้ำเสียงที่นุ่มลึก ลูกคอหวานละมุนจับขั้วหัวใจคนนี้ก็ยังไม่ห่างหายไปจากถนนสายดนตรี อาชีพหลักในวันนี้นอกจากจะสวมบทบาทเป็นครูสอนดนตรีแล้ว เขายังเป็นทั้งผู้ออกแบบการสอนเพื่อพัฒนาอัจฉริยภาพเด็กแล้ว และนักธุรกิจผู้ฉีกกฎการทำกำไรอย่างสิ้นเชิง เพราะธุรกิจดนตรีเพื่อการศึกษาที่เขาคิดค้นแม้จะ ได้รับการยอมรับว่าเป็นกระบวนการหนึ่งของรูปแบบปฏิรูปการศึกษาในเมืองไทย แต่นั่นไม่ได้สร้างเม็ดเงินในกระเป๋าให้รวยล้นฟ้าแต่อย่างไร
ในวันว่าง “อ๊อด” ออกมาพูดคุยกับผู้จัดการ LIVE เล่าช่วงเวลาที่มีชื่อเสียงที่สุด พร้อมเปิดใจให้ได้ค้นทุกมุมทุกซอกเหตุออกจากวงการ จนถึงวันที่ผันตัวสู่ธุรกิจผลิตสื่อการเรียนการสอน
**อยากเลิกร้องเพลงเพราะทำให้คนหลง
ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อกว่า 30 ปีก่อน อ๊อด-รณชัย ถมยาปริวัฒน์ เป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้คลั่งไคล้เสียงเพลง หาลู่ทางไปประกวดตามรายการวิทยุต่างๆ เพียงไม่นาน ก็มีแมวมองมาชักชวนไปอัดเสียง ตอนนั้นก็อัดกันเล่นๆปรากฎทางบริษัทอาร์เอสได้มาฟัง เขาเลยชักชวนเราเข้าไปอยู่ในสังกัดในยุคแรกๆ ประมาณปี 2526 ซึ่งช่วงนั้นก็จะมีวงฟรุ๊ตตี้ และวงเรนโบว์ ที่มาพร้อมๆ กัน
ยุคนั้นถ้าเทียบกับตอนนี้คีรีบูนก็เหมือนวงบอยแบนด์วงหนึ่ง เคยมีคนอธิบายว่า ความดังของวงคีรีบูน จะเหมือนยุคที่วง D2B ดัง เผลอๆ อาจดังกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ เพราะศิลปินในยุคนั้นไม่ได้เกิดกันอย่างง่ายเหมือนในปัจจุบัน อีกทั้งตลาดคนฟังก็กว้างกว่า เพราะมีเพลงเก่าและใหม่
“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะเราเป็นคนรักเสียงเพลง ชอบร้องเพลง ชอบแต่งเพลง เรารักในศิลปะมากกว่าที่จะใช้มันทำมาหากิน และถือเป็นความโชคดีที่ครั้งหนึ่งเรากลายเป็นซูเปอร์สตาร์”
หลังออกอัลบั้มชุดแรก “หากรัก” ชื่อเสียงของ “อ๊อด” ก็ดังเป็นแพลุแตก มีแฟนเพลงมากมาย ได้รับเชิญไปออกรายการโลกดนตรีครั้งแรกก็เกือบแย่ แฟนเพลงรุมล้อมมอบดอกไม้เกือบลุกไม่ขึ้น ต้นสังกัดจึงไฟเขียวให้ออกอัลบั้มเพลงชุดที่ 2 รอวันฉันรักเธอ เพื่อตอกย้ำความดังเพิ่มขึ้นอีก
“ช่วงที่ดังสุดของผมคงเป็นอัลบั้มชุดที่ 2 รอวันฉันรักเธอ ตอนนั้นพวกยี่ปั๊วต้องมารอที่หน้าบริษัทตั้งแต่ตี 4 เพื่อที่จะมาแย่งกันซื้อเทปไปขาย เพราะถ้าขืนไปรอส่งเดี๋ยวจะถูกตัดหน้าได้ ดูเหมือนดีแต่จริงๆแล้วชีวิตตอนนั้นก็ไม่ได้สบายนะเพราะยังเป็นนักศึกษา เรียนเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ต้องเรียนและทำงานร้องเพลง โชว์ตัวออกคอนเสิร์ตไปพร้อมๆกัน"
แม้ยอดเทปจะขายได้ถล่มทลายเป็นหลักล้าน แต่รายได้สวนทางกับความดัง เป็นเหตุทำให้คิดลาวงการเพื่อไปประกอบอาชีพตามที่ได้ร่ำเรียนมา แต่ถูกต้นสังกัดฉุดรั้งตัวไว้ จึงฝืนใจทำต่อ ทั้งๆที่ไม่มีความสุขในการร้องเพลงแล้ว "ผมก็มีนั่งคิดถึงคำๆนึงที่พระอาจารย์ที่ผมนับถือพูดกับผมว่า อ๊อดนี่ด้านนึงก็เป็นคนดีนะ ทำให้คนมีความสุข แต่อีกด้านนึงมันคือทำให้คนหลง โอ้โห...คำนี้เหมือนเอามีดมาปักลงไปในกลางใจ แบบค่อยๆทิ่มค่อยๆลึกเข้าไปตรงกลางใจ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึง ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายๆเลยว่า จะเลิก อยากเลิกแล้ว”
** ฉีกสัญญาทาส ผันตัวเป็นนักธุรกิจ
“ตอนนั้นรู้สึกพอดังแล้วชีวิตไม่เห็นคุ้มค่าเลย เมื่อก่อนนั่งรถเมล์ยังมีเงินเหลือเก็บ แต่พอมาเป็นดาราต้องซื้อรถ และยังมีค่าใช้จ่ายในสังคมต่างๆ เรารู้สึกว่ามันไม่เศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ขอขึ้น ก็มีคำถามกลับมาว่าเราจะเอาเงินไปอะไรมากมาย ขอยกเลิกสัญญา แต่บริษัทไม่ยอม เพราะเรากำลังดังทำเงินให้เขา เขาก็ใช้เทคนิคหว่านล้อมเรา จนเรามีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ก็เลยทำต่อเรื่อยมาจนถึงชุดที่ 5 ตอนนั้นเรียกว่าเราอยู่ด้วยความรู้สึกเกรงใจ อยากจะช่วยเหลือเขามากกว่า แต่ถามว่ามีความสุขในการทำงานมั้ย ไม่มีหรอก” อดีตหัวหน้าวงคีรีบูน สะท้อนความคิดในช่วงนั้นให้ฟังอย่างตั้งใจ
อ๊อด-คีรีบูน จัดเป็นหนึ่งในศิลปินลำดับต้นๆ ที่กล้าเปิดตัวเผชิญหน้ากับสิ่งที่เห็นว่า ‘ผิด’ ไปจากอุดมการณ์ที่เขายึดมั่น ครั้งนั้น “อ๊อด” จึงลุกขึ้นมาฉีกสัญญากับค่ายเพลงต้นสังกัด ด้วยเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเอาเปรียบ ครั้งหนึงเขาเล่าให้ฟัง ว่า “จริงๆเราเองก็น่าจะมีโอกาสได้ซื้อรถดีๆกว่านี้ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น กล้าพูดเลยว่าตอนนั้นเราดังแต่รายได้เราไม่ดี เรียกว่ารายได้สวนทางกับความดัง ผมเลยตัดสินใจเดินเข้าไปบอกบริษัทตั้งแต่อัลบั้มชุดที่ 2 ซึ่งเป็นชุดที่ผมดังที่สุดว่า ขอเลิกจากการใช้ชีวิตเป็นนักร้อง เพราะในอดีตเราเองก็ไม่ได้มีความตั้งใจอยากจะเป็นดารา หรืออยากเป็นคนดังอยู่แล้ว
“ความดังเป็นสิ่งที่ผมมองว่าเป็นภัยทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง ตัวเองไม่เป็นอิสระ ไปไหนมาไหนเดินได้ไม่เต็มตัว ต้องคอยระวังตัว เจอแฟนคลับเขาเข้ามากรี๊ดคนรอบข้างก็เริ่มไม่มีความสุขแล้ว ผลกระทบมันลามไปทั่ว ผมคิดถึงสิ่งนี้ก็เลยตัดตัดสินใจเลิกจริงๆ ตอนนั้นตั้งคำถามกับตัวเองชีวิตการเล่นดนตรีแทบไม่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่ เราสามารถทำประโยชน์อะไรให้กับสังคมมากกว่านี้นะ คิดแบบนี้แล้วก็ตัดสินใจเลิก”
“อ๊อด” และวงคีรีบูน สร้างความสุขทางเสียงให้แก่ผู้ฟังจนถึงปี 2531 เมื่อทุกคนเรียนจบมหาวิทยาลัย “อ๊อด” จึงฉีกสัญญากับต้นสังกัด ส่งผลถูกศาลพิพากษาจำคุก 4 ปี รอลงอาญา 2 ปี เพราะไม่เคยทำผิดมาก่อน
“ทบทวนหลายรอบ นั่งเพื่อถามตัวเองว่า สิ่งที่เราจะทำนี้ เราทำด้วยเหตุผลใด เรามีความละโมบเกิดขึ้นในใจมั้ย เช่นไปที่อื่นซึ่งให้เปอร์เซ็นต์ดีกว่าหรือไม่ แต่ไม่ใช่ เพราะไม่ได้คุยกับใคร ถามต่อไปว่าหลังฉีกสัญญาหากมีปัญหาอย่างหนัก ถ้าอย่างนั้น เราก็จะไปตายเอาดาบหน้า ถามตัวเองเพื่อให้มีความบริสุทธิ์ใจในการกระทำ ทุกอย่างที่เราจะดำเนินการนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น ผมเป็นคนที่ระมัดระวังในเรื่องความเห็นแก่ตัวมาก”
**เปิดหลักสูตรแหกคอกสร้าง “ภาวะผู้นำด้วยดนตรี”
หลังอาจหาญฉีกสัญญาทาสไปแล้ว “อ๊อด” ขีดเส้นทางชีวิตตัวเอง ด้วยการควักเงินส่วนตัวทำในสิ่งที่รักแบบชนิดลองผิดถูกเรื่อยไป โดยเปิดบริษัทเพลงเองก็เป็นหนี้ ช่วงนั้น “อ๊อด” ต้องหยุดตัวเองไว้ก่อนจะมานั่งสงบสติ สำรวจความคิดของตัวเอง จนได้พบทางแห่งความสุขที่แท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักควบคู่ไปกับการ “ให้” นั่นคือการสอนดนตรีให้กับเด็กภายใต้โจทย์ที่ว่าจะทำอย่างไรให้แตกต่างจากการเรียนการสอนในอดีตที่ล้าสมัย
“ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เราอยากทำจริงๆมันคืออะไร เราต้องหาทางที่จะเดินต่อไป สิ่งที่ผมได้คำตอบคือ ผมอยากทำอะไรที่ให้กับคน พอดีช่วงนั้นมีโอกาสช่วยคุณแม่ ทำสื่อการสอนให้กับโรงเรียนวัด ช่วยออกแบบว่าทำอย่างไรให้เด็กนักเรียนสอบไม่ตก ในความคิดเราต้องทำแบบนี้สิ เด็กถึงจะสนุก เด็กไม่ตก พี่แต่งเพลงเป็นสูตรท่องจำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เรื่องของ รัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๙ ให้เค้าใช้เลย เชื่อไหมข้อสอบกลางเหมือนเดิม แต่ไม่มีคนตก วันนั้นเรามีความสุขร้องเพลงมันก็แค่ทำให้คนฟชอบ เลยต่อยอดจากตรงนั้นทำงานด้านการศึกษาอย่างจริงจัง”
อ๊อดบอกว่า เขาทั้งสอน คิดค้นหลักสูตรและทดลองทำไปด้วยพร้อมๆกัน ก็คิดค้นกระบวนการมาเรื่อยๆจนกระทั่งมันเป็น “หลักสูตรดนตรีคีรีบูน” ในนาม “บริษัท คีรีบูน จีเนียส มิวสิค
การสอน “หลักสูตรคีรีบูน" เป็นหลักสูตรสอนแบบองค์ความรู้แนวกว้างๆ ไม่ได้สอนให้นักเรียนเล่นดนตรีเหมือนหุ่นยนต์ แต่ฝึกให้นักเรียนมีไหวพริบ สมาธิ เกิดความกระตือรือร้น รู้จักรับผิดชอบ รู้จักการรอคอย ฟังอะไรได้อย่างละเอียดอ่อน แยกแยะเป็น จับประเด็นได้เป็นนักคิด นักบริหารตั้งแต่อนุบาล
“พูด ง่ายๆ เป็นหลักสูตรสร้างภาวะผู้นำโดยใช้ดนตรีเป็นตัวหลอกล่อ เด็กจะเก่งดนตรี โดยที่เขาจะมีนิสัยเป็นคนช่างสังเกต เขาจะเกิดนิสัยในการอ่านใจคนอื่น และก็อ่านใจตัวเอง และรู้จักประเมินสถานการณ์ นี่คือการสร้างคนจากกระบวนการดนตรีของผม หลักสูตรนี้ไม่ใช่ใช้ได้เฉพาะวิชาดนตรีเท่านั้น สามารถประยุกต์ได้กับวิชาอื่นๆ และใช้สำหรับดำเนินชีวิตประจำวัน ได้อีกด้วย ตอนนี้มีโรงเรียนเอกชน ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง ที่ใช้หลักสูตรเรา”
อ๊อด ทำหลักสูตรมาร่วม 20 ปีแล้ว ครูของเขาทุกคนต้องมาเวิร์กช็อป ออกมาสอนให้ดูแล้วเขาจะเป็นคนพิจารณาว่า พูดเยอะไป ทำไมไม่เปลี่ยนคำพูดเป็นอย่างนี้ เด็กจะเข้าใจมากกว่าเยอะเลย “นี่คือกระบวนการจัดการภายในของผม ซึ่งผมจะมีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรของผมด้วย เมื่อถามว่าธุรกิจการศึกษาของผมเป็นเชิงพาณิชย์มั้ย ผมก็ต้องตอบว่าใช่ แต่ธุรกิจของผมไม่ได้ไปเอาเปรียบสังคมเลย เพราะค่าใช้จ่ายมันถูกลงมากกว่า 6-7 เท่า แต่สาระที่เด็กๆจะได้มันมากมายเลยทีเดียว ผมเองก็ไม่ต่างอะไรกับแม่ค้า ที่ขายกับข้าวอยู่หน้าปากซอย ผมต้องทำพะโล้หม้อใหญ่ๆและต้องขายคนจำนวนมากทั้งซอย กว่าผมจะได้กำไรแค่นิดนึง”
ถึงบรรทัดนี้แล้ว เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “อ๊อด” เป็นคุณครูที่เปิดมิติใหม่แห่งการเรียนการสอน
**ชื่อเสียงไม่หวง เสียสละเพื่ออุดมการณ์
แม้จะเป็นศิลปินที่ขับขานบทเพลงหวานซึ้ง แต่ความเป็นคนจริง คนตรงของอดีตหัวหน้าวง”คีรีบูน” คนนี้เข้มข้นนัก เมื่อเห็นความไม่ชอบมาพากลในเรื่องใด เขาไม่เคยละเลย เรื่องของบ้านการเมืองก็เช่นกัน อ๊อด เคยให้สัมภาษณ์สื่อในเครือผู้จัดการเมื่อหลายปีก่อน ถึงอุดมการณ์เพื่อบ้านเมืองของเขาว่า เป็นความบังเอิญที่วัยเด็กมัธยมฯ ต้น ได้มีโอกาสรับใช้พ่อแม่ครูอาจารย์พระสายวัดป่า จนกระทั่งวันหนึ่ง..พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรามาเกี่ยวข้องกับภาคการเมือง ยุคฟองสบู่แตก ประมาณช่วงปี 2540 เกิดโครงการผ้าป่าช่วยชาตินำโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อที่จะมาปกป้องและประคับประคองสถานการณ์ในตอนนั้น จึงเป็นเหตุให้เราเริ่มซึมซับและซาบซึ้งถึงหัวจิตหัวใจที่เสียสละของผู้นำ
“ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มสอนดนตรีแล้ว ผมมองว่า เด็กแม้จะได้รับการพัฒนาดีแค่ไหน แต่ถ้าผู้ใหญ่ยังเห็นแก่ตัวไม่ปล่อยวางก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนั้นได้ดูพี่สนธิพูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง 9 เรานำมาทบทวนเห็นว่าสิ่งที่พี่สนธิพูด ลุงจำลองพูดเป็นเรื่องจริง ส่วนอีกด้านได้เห็นความไม่ชอบมาพากลของฝ่ายการเมือง เพียงไม่นานรายการก็ถูกปิด ก็เลยตามดูและตามฟังพี่เค้าในช่องทางอื่นๆ จนเข้าร่วมและขึ้นเวทีพันธมิตร”
เจ้าของเสียงนามลุ่มลึกขยับตัวเล็กน้อย ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า การแสดงตัวในครั้งนั้น ส่งผลกระทบถึงธุรกิจโรงเรียนของเขาเช่นกัน “ตอนนั้นมีคนถามว่าไม่กลัวเสียชื่อเสียงเหรอ? ผมก็บอกว่าชื่อเสียง เกียรติยศ สรรเสริญ มันไม่เป็นอนิจจังหรอกเหรอ มันไม่เที่ยง จะไปห่วงอะไร ขอให้ห่วงแต่ว่าเกิดมาชาตินี้เคยเสียสละ ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติให้กับส่วนรวมบ้างดีกว่า นี่คือ อ๊อดคีรีบูน ซึ่งเมื่อทำไปแล้วก็รู้สึกดีใจที่ได้ทำ จนถึงวันนี้ผมก็ไม่นึกเสียใจ เพราะทุกสิ่งที่ผมเห็น ผมสัมผัสคือความจริง”
**ขับเคลื่อนความฝันผ่านคอนเสิร์ตของพี่-น้อง
แม้จะวางไมค์ไปเนิ่นนาน หากแต่เมื่อถูกชักชวนให้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตอ๊อดก็พร้อมเสมอ คอนเสิร์ต “พลังใจ เพื่อแผ่นดิน” ที่ทางกลุ่มเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) จัดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายพลังงานและทรัพยากร ก็เช่นกัน โดยทันที ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี อยากเคลื่อนไหวแบบสร้างสรรค์การผ่านเสียงดนตรีเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปกฎหมายพลังงานและทรัพยากร อ๊อด-รณชัยก็ไม่ลังเลที่จะเข้าร่วม
“พอคุยกับม.ล.กรกสิวัฒน์, พี่เปี๊ยก วงสิชล เราก็คิดว่าตรงกันว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่พวกเราจะหยิบยื่นให้สังคมด้วยกัน จึงเกิดคอนเสิร์ต “พลังใจ เพื่อแผ่นดินไทย” ผมไม่ลังเลนะ ตอบตกลงทันที เพราะรู้สึกอยากทำ ส่วนหนี่งผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของคนไทย สังคมนี้ถ้าหากเราเป็นผู้รับ มุ่งหวังตักตวงจากประเทศแต่เพียงอย่างเดียว สังคมมันอยู่ไม่ได้ ผมทำวันนี้เพื่อวันข้างหน้าถ้าเราจากโลกนี้ไป ก็ยังมีสิ่งที่ดีๆ ทิ้งไว้ให้กับเด็กๆ รุ่นหลัง
ถามว่าทำไมผมอยากให้ทุกคนมามีส่วนร่วม เพราะพลังงานเป็นสิ่งสำคัญที่คนไทยไม่เห็นคุณค่า ผมเคยคุยกับเพื่อนฝรั่งคนหนึ่ง เค้าบอกเลยว่าประเทศไทยนี่โชคดี อุดมไปด้วยพลังงานและทรัพยากรอย่างมากมายมหาศาลและดีไม่น้อยหน้าประเทศใด ซึ่งหากมีการบริหารจัดการที่ดีด้วยนั้นยิ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างมากทีเดียว แต่น่าเสียดายที่เราไม่มีการจัดการบริหารที่ดี ผมฟังแล้วรู้สึกอายมาก จึงอยากเชิญชวนทุกคนมาเป็นส่วนหนึ่งของงาน” อ๊อด-รณชัย อดีตหนึ่งในสุดยอดนักร้องเพลงป๊อประดับตำนานของบ้านเรา กล่าวทิ้งท้าย
ระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ที่ได้พูดคุย เรื่องราว ตลอดจนความคิดและคุณธรรมที่เขาบอกเล่า เราคงต้องยอมรับว่าไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ได้ทำความรู้จักผู้ชายคนนี้
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Lite
ภาพโดย ธัชกร กิจไชยภณ