xs
xsm
sm
md
lg

(มีคลิป) จากเด็กแพนิค ข้ามผ่านความกลัว สวยเผ็ดจนมงลง “เปมิกา ปาสิเนตตี้” Miss Grand 2017

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ใครจะไปคาดคิดว่าเด็ก “ขี้กลัว” ป่วยเป็นโรคแพนิค อาการรุนแรงถึงขั้นหายใจไม่ออก จนต้องไปนอนกองชักกับพื้น เวลาที่กลัวหรือตื่นเต้นอะไรมากๆ สาวลูกครึ่งไทย-อิตาลี แพม-เปมิกา (ปาเมล่า) ปาสิเนตตี้ วัย 23 ปี อยากที่จะเอาชนะตัวเองและก้าวผ่านความกลัวที่ตัวเองมีมาตั้งแต่เด็กให้ได้ ด้วยการเข้าประกวดมิสแกรนด์ ไทยแลนด์ เฉิดฉายออร่าจับจนมงมาลงที่เธอกันเลยทีเดียว



++ ชีวิตซุกซนก่อนมงลง

ไม่แปลกใจว่าทำไมสาวนัยน์ตาคม แพม-เปมิกา (ปาเมล่า) ปาสิเนตตี้ จะคว้ามงกุฎจากเวทีการประกวด Miss Grand 2017 ไปครอง เพราะเพียงแว๊บแรกที่ได้เห็นรอยยิ้ม อีกทั้งท่วงท่าการเดินช่างดูเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเอง ยิ่งได้นั่งพูดคุยเพื่อล้วงลึกถึงชีวิตของเธอคนนี้ด้วยแล้ว บอกได้เลย แพม-เปมิกา ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา และหุ่นแซบเท่านั้น แต่ความคิดและความมุ่งมั่นของเธอในการจะทำอะไรแต่ละอย่างช่างโตกว่าอายุจริงเธอซะเหลือเกิน

สาวแพม เล่าว่า สมัยเด็กๆ เธอเกิดและเติบโตที่ประเทศอิตาลี เพราะว่าคุณพ่อเป็นคนอิตาลี จากนั้นพ่อกับแม่ของเธอตัดสินใจย้ายครอบครัวเพื่อมาตั้งรกรากกันที่ประเทศไทย ซึ่งตอนนั้นสาวแพมอายุได้เพียง 7 ขวบ พูดภาษาไทยไม่เป็น ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ พูดได้แค่ภาษาเดียว คือ ภาษาอิตาลี

“จริงๆ ตอนที่อยู่อิตาลีแม่ก็พูดภาษาไทยกับแพมอยู่ตลอด แต่แพมก็ยังพูดไม่เก่ง และก็พูดไม่ชัดอยู่ดี”

พอมาอยู่ที่ประเทศไทย อยู่ที่ จ.ภูเก็ต และด้วยความที่เราพูดภาษาไทยไม่เป็น ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ มีอุปสรรคในการหาโรงเรียนเรียนอย่างมาก ซึ่งอายุ 8 ขวบของเราในตอนนั้นต้องขึ้นเรียนชั้น ป.3 แล้ว แต่แพมต้องเรียนซ้ำชั้นไปเริ่มเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 3 ใหม่ เพราะไม่มีโรงเรียนไหนรับเข้าเรียน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็อยู่ประเทศไทยมาตลอดกลับไปอิตาลีก็แค่เพียงไปเที่ยวเท่านั้น

สมัยตอนเรียนอยู่อนุบาลสาวแพม เล่าว่า เธอมักจะโดนเพื่อนล้ออยู่เป็นประจำว่าเป็นเด็กอ้วน เพราะด้วยความที่ต้องมาเรียนชั้นอนุบาลใหม่ ทำให้ต้องใส่เสื้อผ้าของเด็กที่เรียนอยู่ ป.3 เพราะไม่สามารถใส่ชุดเอี๊ยมที่เด็กอนุบาลจะต้องใส่ไปเรียนกันได้ นอกจากตัวเองจะตัวสูงอยู่แล้วเพราะเป็นลูกครึ่ง แถมยังต้องมาเรียนซ้ำชั้นใหม่อีก เพื่อนๆ ก็จะอายุน้อยกว่า เราก็จะแก่กว่าเพื่อนตลอด เราไม่มีโอกาสได้ข้ามชั้นเลย ต้องเรียนให้ครบแต่ละเทอมถึงจะได้เลื่อนชั้นไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้แพมจึงเรียนช้ากว่าเพื่อนไป 3 ปี

เป็นคนที่ชอบเล่นกีฬามาก แข่งอะไรก็ชนะตลอด อย่างมีกีฬาสี เป็นนักวิ่งประจำโรงเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม เป็นนักกีฬากรีฑา มาตลอด และชอบที่จะเป็นผู้นำ ดังนั้นเมื่อไปแข่งอะไรก็จะชนะเสมอ ได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง ได้มาหมด นอกจากนี้ยังชื่นชอบเล่นบาสเก็ตบอล วอลเล่บอล อีกด้วย

จะว่าไปแล้วตั้งแต่เด็กๆ แพม ก็ไม่ได้มีความคิดว่าอยากที่จะเป็นนางงาม หรืออยากที่จะเข้าประกวดตามเวทีไหนเลย เพราะด้วยความที่ชอบเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยห่วงสวย ชอบที่จะตากแดด ตากฝน ออกไปในแนวเด็กทอมบอยซะมากกว่า แถมยังเคยมีเรื่องชกต่อยกับเด็กผู้ชายอยู่หลายครั้ง เพราะเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อย ซนมากๆ

การเป็นลูกคนเดียว แถมความสวยออร่ายังพุ่งแรงขนาดนี้ แน่นอนคุณพ่อของเธอ ย่อมหวงเป็นธรรมดา แถมหวงยิ่งไปกว่านั้นเพราะคุณพ่อของแพมเป็นตำรวจด้วยนะสิ ความหวง และห่วงลูกสาวคนสวยเลยคูณสองโดยไม่ต้องสงสัย
“เพราะคุณพ่อเป็นตำรวจ ดังนั้นทุกอย่างจะต้องเปะหมด และเป็นคนที่หวงลูกสาวมากๆ ด้วย ตั้งแต่เล็กๆ คุณพ่อจะมีกฎระเบียบออกมา และเราต้องทำตามกฎที่คุณพ่อตั้งไว้อย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามกลับบ้านเกิน 3 ทุ่ม จะไปไหนกับใครก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือว่าไปทำงานที่ไหนต้องบอกคุณพ่อล่วงหน้า และห้ามกลับบ้านเกิน 3 ทุ่ม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม รวมถึงในเรื่องของการใช้จ่ายคุณพ่อจะให้จดทุกอย่าง ให้ทำเป็นบัญชีรายรับรายจ่ายเลยว่าในแต่ละวันเราใช้จ่ายอะไรบ้าง เพราะคุณพ่ออยากฝึกให้แพมเป็นเด็กที่มีวินัย และมีความเป็นระเบียบ โดยเฉพาะห้องนอนห้ามมีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว”

นอกจากนี้คุณพ่อยังแอนตี้เรื่องการทำศัลยกรรม โดยคุณพ่อสั่งห้ามทำศัลยกรรมโดยเด็ดขาด แม้ว่าตอนนี้จะโตแล้วมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง คุณพ่อมักจะบอกตลอดว่า

“คนเราถ้าจะสวยต้องสวยมาจากภายใน ต้องมั่นใจ บางคนทำศัลยกรรมไปแล้ว ถ้าไม่มีความมั่นใจก็เหมือนเดิม ดังนั้น คุณพ่อเลยอยากให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจในความสวยที่เรามีมาตั้งแต่เกิด โดยไม่ได้ปรุงแต่งอะไร”

ด้านคุณแม่จะเน้นสอนในเรื่องของธรรมะ ว่าเราควรจะอยู่ยังไงจิตถึงจะสงบ สอนให้ประคองจิตตัวเองให้ได้ อย่างตอนที่แพมได้รับตำแหน่ง คุณแม่จะคอยบอกอยู่ตลอดว่า

“ ใครจะว่าเราหรือจะติเรา เราต้องทำใจเป็นกลาง เพราะการเป็นนางงาม ไม่ใช่ว่าจะอยู่ในจุดนี้ได้ตลอดไป เป็นแค่เพียงโมเม้นท์หนึ่งเท่านั้น ดังนั้น นาทีนี้ที่เราได้รับตำแหน่งเราต้องทำใหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้ววันหนึ่งก็จะมีเด็กใหม่เข้ามายืนแทนที่เราเรื่อยๆ ดังนั้นเราอย่ายึดติดมากเกินไป เราต้องเดินอยู่ในทางสายกลาง”

คุณแม่กินเจมากว่า 20 ปี ดังนั้น คุณแม่จะคอยพร่ำสอนในเรื่องของการมีสติ การใช้ชีวิตให้ได้บนทางสายกลาง นอกจากนี้คุณแม่ยังฝึกให้อ่านหนังสือธรรมะ เพราะแม้สาวแพมจะนับถือศาสนาคริส แต่ก็ไม่ยึดติดจนเกินไป เธอเลือกที่จะศรัทธาทั้งศาสนาคริสต์ตามคุณพ่อ และดำเนินชีวิตตามคำสอนของแม่ตามหลักของศาสนาพุทธ เพราะเธอเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่เธอจะไปโบสถ์ และ ไปวัด





++ สุขใจมีเงินใช้เดือนละแสนแปด

เมื่อเรียนจบชั้นมัธยม แพมเลือกที่จะก้าวเข้าสู่รั้วของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ด้วยความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็น แอร์โฮสเตท อยากทำอะไรที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว มีแต่คนบอกว่าอาชีพแอร์โฮสเตท เป็นงานที่ดี เรามีสิทธิ์ได้เป็นนางฟ้าของสายการบินเอมิเรตส์ จึงตัดสินใจลองเรียนดู

จากความตั้งใจเต็มเปี่ยมและความฝันที่อยากเป็นนางฟ้าลากกระเป๋าเดินเชิดสวยๆ ขึ้นเครื่องบิน เมื่อถึงวันเปิดภาคเรียนและเริ่มเรียน เธอกลับรู้สึกว่า เธอเลือกสาขาเรียนผิด! ประกอบกับช่วงนั้นแพมกำลังเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง เพราะอยากที่จะส่งตัวเองเรียนเอง โดยไม่ต้องให้พ่อแม่ลำบากในการมาจ่ายค่าเทอมให้ เธอต้องการพิสูจน์ให้คนในครอบครัวได้เห็นว่าเธอสามารถยืนหยัดและหาเงินมาส่งเสียตัวเองเรียนได้

บางทีการที่พ่อแม่เข้มงวดกับเรามากๆ เรารู้สึกว่าถ้าเราเป็นผู้ใหญ่กว่านี้และเราสามารถหาเงินด้วยตัวเองได้ ความเข้มงวดของพ่อกับแม่อาจจะเพลาลง เปลี่ยนมาเป็นตามใจเราบ้าง จึงตัดสินใจลองทำงาน และประสบความสำเร็จมีเงินจนสามารถซื้อรถยนต์เป็นของตัวเองด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองได้สำเร็จตอนอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น

“แพมเลือกทำธุรกิจเครือข่าย ที่เลือกธุรกิจนี้ เพราะ เราไม่มีเงินในการลงทุน ไม่กล้าขอเงินจากพ่อกับแม่ จึงมองว่าธุรกิจนี้ง่ายที่สุด โดยเลือกใช้โซเชียลมีเดียในการหาลูกค้า ด้วยความที่อยากทำให้พ่อกับแม่ได้เห็นว่าเราก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย”

ในชีวิตแพมอยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตสักอย่างหนึ่ง จึงตั้งใจและมุ่งมั่นกับการทำธุรกิจจนเธอประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ ด้วยการได้ขึ้นไปพูดบนเวทีเล่าเรื่องราวที่เธอนั้นประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจด้วยวัยเพียง 18 ปี ให้คนเป็นพันๆ คนได้ฟัง ถึงขนาดถูกเชิญให้ไปพูดทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ตุรกี ญี่ปุ่น เป็นต้น

กว่า 3 ปี จากเด็กที่ไม่มีเงินลงทุนในการทำธุรกิจ ฝันฝ่าอุปสรรค ขยันอดทน จนมีเงินใช้เป็นของตัวเอง สามารถซื้อรถ สามารถพาพ่อแม่ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ได้ สร้างความภาคภูมิใจในตัวเองให้เธอเป็นอย่างมาก จนวันหนึ่งเธอตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย และพุ่งเป้าทำงานหาเงินอย่างเต็มที่

ทำงานหาเงินจนเธอคิดว่าเธอประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้แล้ว ประกอบกับเธอเริ่มรู้สึก เหนื่อยกับการโดนปฏิเสธ เหนื่อยกับการต้องตื้อคน รู้สึกเหนื่อยกับการโดนต่อว่าจนท้อใจ

“แรกๆ ตอนที่เริ่มทำก็สนุก ตื่นเต้นกับการทำงานแล้วได้ก้อนแรก 8 พันบาท เดือนต่อมาขยับไปเป็นหมื่นกว่าบาท เดือนต่อมากระโดดไปเป็น 8 หมื่นบาท จากนั้นก็อัพขึ้นไปเรื่อยๆ โดยยอดสูงสุดที่เคยทำได้อยู่ที่ หนึ่งแสนแปดหมื่นบาทต่อเดือน แต่พอเวลาผ่านไป 3 ปี เริ่มคิดว่าทำไมเรายังอยู่ที่เดิม แม้ว่าจะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่แพมกลับมองว่ามันยังไม่ใช่เป้าหมายเรา จึงตัดสินใจยกธุรกิจนี้ให้แม่ทำต่อโดยไม่เสียดายตำแหน่งที่ขณะนั้นเป็นถึงรองผู้บริหารสูงสุดของธุรกิจเครือข่ายนั้นก็ตาม ”

เพราะเงินไม่ได้หามาได้ง่ายๆ ดังนั้นสาวแพม เลือกที่จะทำงานทุกอย่างที่มีคนหยิบยื่นมาให้ เช่น เดินแบบ ถ่ายแบบ ถ่ายละครฝรั่ง และไปแคสติ้งงานตามที่ต่างๆ จากนั้นเลือกเข้าเรียนต่ออีกครั้งที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค)

“แพมมองว่าการนั่งเรียนในห้องก็ถือเป็นการเรียนที่ดี แต่ประสบการณ์จริงต่างๆ ที่เราเคยพบเจอมานั้นถือเป็นการเรียนรู้ที่ดีกว่าการนั่งเรียนอยู่ในห้องเสียอีก เพราะหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างเราลองทำมาแล้ว ดังนั้นอะไรที่ไม่ดีเราจะไม่ทำ ส่วนการเข้าไปนั่งเรียนในชั้นเรียนสิ่งที่ได้รับคือ ในเรื่องของสกิล เรื่องของศัพท์ต่างๆ ในการทำธุรกิจ”






++ ที่มาเอวเอส กินสลัดแค่ 3 คำต่อวัน

“มีความฝันไว้ว่าอยากที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง และการจะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้นั้น เราต้องดัง เป็นที่รู้จักก่อน ถึงจะทำธุรกิจที่เป็นของตัวเราเองได้ง่ายขึ้น และทุกวันนี้โซเชียลมีเดียมาแรงมากการกดไลค์ กดแชร์ การพรีเซ็นต์สินค้าแล้วได้เงิน นี่คืองานที่จะทำให้เราดังได้ และการจะถูกจ้างให้มาโปรโมทสินค้าได้นั้น หุ่นเราต้องดีที่สุด งานถึงจะเข้ามา ดังนั้นจึงเริ่มปั้นหุ่นตัวเองให้ดูดี แล้วถ่ายรูปลงโซเชียลให้มีคนมาฟอลโล่และติดตามเรามากๆ จากนั้นเราถึงจะขายสินค้าเราได้โดยที่ไม่ต้องจ้างเน็ตไอดอล”

เพราะความอยากมีหุ่นที่เพอร์เฟค แพมจึงเริ่มอดอาหารเพื่อลดความอ้วนอย่างจริงจัง ประกอบกับโดนทักว่า “อ้วน” เพราะในชีวิตนี้เธอไม่เคยโดนทักแบบนี้ พอมีคนทักเธอเกิดอาการเจ็บใจ ยิ่งได้มาเห็นสภาพตัวเองในกระจกยิ่งรับไม่ได้ แรงฮึดเพราะความอยากผอมที่จะนำพาให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจจึงก่อตัวขึ้น จากสาวสวยร่างตุ้ยนุ้ยน้ำหนักกว่า 65 กก. ลดจนเหลือ 49 กก. ด้วยวิธีการอดอาหาร ชนิดที่ผอมจนพ่อแม่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพเพราะว่าตอนนี้เธอผอมเกินไป

“แพมมีไอดอลในไอจี พอเราดูหุ่นเขาก็อยากมีหุ่นดีแบบนี้ หลายครั้งที่แอบคิดในใจว่าถ้าหุ่นเราดีแบบนี้ มันเป็นธุนกิจได้ เราต้องประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีใครทำได้ แต่ถ้าหากเราทำได้ ต้องมีแต่คนมาถามเราว่าเราทำยังไง หุ่นถึงดีขนาดนี้ พอโดนคนทักว่าอ้วน หักดิบด้วยการคุมอาหารจากที่ก่อนหน้านี้ชอบกินพิซซ่า ชอบกินแป้ง ขนมขบเคี้ยว น้ำอดลม งดหมด ไม่แตะเลย และหันมากินเจ เลือกกินแต่ผัก อย่างสลัดจะกินแค่ 3 คำแล้วพอเลย เพราะกลัวอ้วน พร้อมกับเข้าคอร์สออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่งทุกวันไม่มีวันหยุดเพื่อสลายไขมันออกให้ได้วันละ 1,000 แคลอรี่ ส่งผลให้น้ำหนักลดลงถึง 15 กิโลกรัม”

นานวันไปจริงอยู่ที่แพม สามารถลดน้ำหนักได้ตามที่ตั้งใจ แต่แล้วเธอกลับมารู้ทีหลังว่าสิ่งที่เธอทำไปทั้งหมดนั้น มันคือวิธีที่ผิดในการสลายไขมัน ไม่ว่าจะเป็นการการออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร เป็นการยิ่งทำให้ร่างกายเธอทรุดโทรมลง และไม่มีความกระชับของกล้ามเนื้อ อีกทั้งส่งผลให้เธอเริ่มไม่มีความสุขในชีวิต เพราะวันๆ เอาแต่ส่องกระจก ไม่อยากที่จะกินข้าวกับพ่อแม่ เมื่อรู้ว่าวิธีการในการลดน้ำหนักก่อนหน้านั้นผิด เธอจึงศึกษาหาข้อมูลที่ถูกวิธีในการดูแลรูปร่างให้ดูดี จนหลายๆ คนที่ได้พบเห็นต่างทักและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไปทำอะไรมาถึงได้หุ่นดีและฟิตแอนด์เฟิร์ม

“ในชีวิตต้องการเป็นที่หนึ่งให้ได้ อยากให้พ่อแม่ได้เห็น เลยเลือกมาประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ และต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้ เพราะเลือกแล้ว และจะทำให้ดีที่สุด”

เมื่อหุ่นสวย แซบ ดั่งใจหวัง ความมั่นใจก็เริ่มตามมา แพมจึงเริ่มมีความคิดที่จะลองเข้าประกวดเวทีสาวงาม และเวทีมิสแกรนด์ ไทยแลนด์ เป็นเวทีที่สาวแพมเลือกลงประกวด เธอมองว่า เวทีนี้ต้องประกวดในระดับจังหวัดก่อน หากผ่านรอบนี้ได้ก็ถือว่าโอเค เพราะคิดว่าตัวเองนั้นไม่ได้สวยมาก แต่เมื่อเลือกแล้วว่าจะลงประกวดและอยากที่จะเป็นที่หนึ่งให้ได้ อยากให้พ่อแม่ได้เห็น ว่าเราทำได้ ก็พร้อมสู้กับทุกคน

“ก่อนที่จะมาประกวดเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ เคยคิดว่าถ้าไม่ได้ที่หนึ่งเวทีนี้ก็จะไม่ลงประกวดเวทีอื่น อีกทั้งมั่นใจในคำตัดสินการประกวดของเวทีนี้ว่ามีความเป็นธรรม ตัดสินจากความเป็นจริง ไม่มีคำว่าล็อก แพมเข้าใจคำว่าล็อกนี้ดี เพราะมันเป็นธุรกิจแพมก็เป็นคนหัวธุรกิจ ถ้าแพมเป็นเจ้าของ แพมก็ต้องคิดในหัวของธุรกิจว่าแพมจะเลือกคนไหนที่ดีที่สุดต่อธุรกิจของเรา ฉะนั้นแล้วแพมเชื่อในเวทีมิสแกรนด์ อีกอย่างเวทีนี้เป็นเวทีอันดับหนึ่งของประเทศไทย แพมชอบความมีเอกลักษณ์ของเวทีมิสแกรนด์ ไทยแลนด์ เพราะเป็นเวทีที่ไม่ใช่ว่าเราต้องเรียบร้อยตลอดเวลา ตั้งแต่ประกวดมาแพมเป็นตัวของแพมเองตลอดเวลาในการประกวด”





++ ชนะตัวเองให้ได้เเพื่อก้าวผ่านโรคแพนิค

เพราะความอยากที่จะเอาชนะตัวเองให้ได้ จากแต่ก่อนเป็น “คนขี้กลัว” มาก่อน จากการเป็นโรคแพนิค (Panic disorder) หรือโรคตื่นกลัว ตื่นตระหนก มาก่อนอาการรุนแรงถึงขั้นหายใจไม่ออก แล้วลงไปนอนชักกับพื้น เวลาที่กลัวหรือตื่นเต้นอะไรมากๆ ซึ่งตอนนั้นยังเด็กเลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร จึงอยากที่จะชนะและก้าวผ่านความกลัวเหล่านั้นให้ได้ ด้วยการเข้าประกวดมิสแกรนด์ ไทยแลนด์

สาวแพม เล่าให้ฟังว่า โรคแพนิคที่เธอเป็นนั้นคุณหมอได้วินิจฉัยว่า โรคสามารถหายได้ด้วยการรักษาด้วยตัวเอง เวลาอาการกำเริบทรมานมาก อยากหายขาดจากโรคนี้เลยฮึดสู้ พร้อมบอกกับตัวเอง ฉันต้องหายจากโรคนี้ ฉันต้องเป็นผู้หญิงที่มั่นใจ ไม่ว่าใครจะว่าอะไรถ้าเรามั่นใจซะอย่าง ไม่มีใครใชวางทางเราได้ แพมเห็นนางงามหลายคนที่ได้ที่ 1 เขาไม่ได้สวยที่สุด แต่เขามั่นใจจนเขาได้ที่ 1 แพมอยากเป็นแบบนั้น

สาเหตุของการเป็นโรคแพนิค สาวแพม บอกว่า เธอเคยประสบปัญหาความตกใจแบบสุดขีดจาเหตุการณ์ สึนามิ เมื่อปี 2547 ซึ่งเธออยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาเสียชีวิตหลายคน ส่งผลให้เกิดความตกใจกลัว จนเป็นผลให้เธอป่วยเป็นโรคแพนิค และมักจะมีอาการตื่นกลัวอยู่หลายครั้งตั้งแต่นั้นมา รวมถึง เหตุการณ์ที่พ่อของเธอประสบอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซต์ ทำให้เธอเห็นเลือดและบาดแผลแผลจากกระดูกที่ทะลุผิวหนังออกมา ทำให้เกิดอาการช็อกและตกใจสุดขีด

แม้จะเป็นโรคที่ต้องรักษาให้หายได้ด้วยตัวเอง วิธีการรักษาแพมบอกว่า ต้องปล่อยวาง ต้องมีสมาธิ เป็นคนที่วอกแวกไม่ได้ ขาดสติไม่ได้เลย จากเมื่อก่อนเป็นเด็กที่ไม่มีสมาธิเลย แต่สมาธิในที่นี้คือการทำตัวให้นิ่ง และทำจิตใจของเราให้นิ่งที่สุด ไม่ต้องคิดอะไรเลย อยู่เป็นกลาง โดยมีแม่เป็นคนช่วยสอนให้แพมสามารถเข้าใจและสามารถทำได้ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว

ทันทีที่ได้เป็นตัวแทนมิสแกรนด์ จ.กระบี่ ไปประกวดในรอบต่อไป ส่วนหนึ่งที่เป็นเสมือนแรงฮึดให้สาวแพมมีกำลังใจก็คือ จากพ่อแม่ และคอมเม้นท์จากแฟนเพจที่ติดตามเราแล้วเข้ามาคอมเม้นท์

“เวลาเราไปอ่านข้อความที่มีคนมาคอมเม้นท์ในรูปของเรา แพมก็คิดนะ อุ๊ยมีคนมาเชียร์เราด้วย เราดูดีขนาดนั้นเลยหรอ แล้วเขาเชียร์เราถึงขนาดทำโพลแล้วเราติดหนึ่งในห้า คือเขาคิดว่าเราต้องได้ดังนั้นเราก็ต้องมั่นใจทำให้ได้สิ ประกอบกับคำพูดของแม่ที่บอกเราว่า ต้องทำให้ได้นะลูก ลูกต้องทำได้ ถึงแม้ว่าแม่จะสายธรรม แต่แพมคิดว่าลึกๆ แล้วแม่ชอบนางงาม เพราะว่าทุกครั้งที่มีเวทีนางงาม แม่มักจะชอบดูและคอยเก็งตลอดว่าใครจะได้เข้ารอบ และแม่ก็ทายถูกตลอด แม่ชอบพูดว่า แม่ไม่เคยทายผิด เธอเข้า 1 ใน 5 แน่นอนเชื่อฉันสิ”

++ เคลียร์ทุกดรามาร้อนฉ่าทันทีที่มงลง

มงลงยังไม่ทันไรก็เกิดดรามาร้อนฉ่า ตีแผ่ว่าสาวแพมยืมชุดแล้วเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงิน แถมไม่รีวิวร้านให้ ชุดที่คืนมาก็สกปรกจนต้องร้องยี๊

งานนี้สาวแพมเปิดใจเคลียร์เลยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่แพมมีสปอร์นเซอร์ โดยทางผู้จัดการ ทาง จ.กระบี่เป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง และตัวแพมเองก็ไม่ได้มีเฟซบุ๊กหรืออินสตราแกรมของเจ้าของเสื้อผ้าเหล่านี้เลย แพมเจอเจ้าของเสื้อผ้าร้านนี้แค่ครั้งเดียว และเป็นการเจอกันแบบรีบๆ ซึ่งตัวแพมเองได้รับมอบหมายหน้าที่ว่าใส่ชุดเสร็จแล้ว ถ่ายรูปส่งให้ PD โดยที่แพมไม่ได้เป็นคนรีวิวเอง แต่ได้ทำตามที่ได้รับมอบหมายมาคือใส่ชุดแล้วถ่ายรูป เพราะเขาจะเอาไปลงแฟนเพจของมิสแกรนด์กระบี่เอง

ซึ่งทางผู้ใหญ่ไม่ได้ทำ แพมเลยพลอยโดนต่อว่าไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมาแพมเองก็มีรีวิวชุดที่ยืมมาให้ในอินสตราแกรมส่วนตัว แต่ว่าทางร้านเสื้อผ้าที่มีปัญหากันอยู่นี้เขาไม่มีอินสตราแกรม มีแต่เฟซบุ๊ก ก็เลยไม่มีการเห็นว่าเรารีวิวชุด
เมื่อถามสาวแพมว่าท้อมั้ย เพราะเพิ่งได้ตำแหน่งไม่กี่ชั่วโมง ก็มีดรามาเราเต็มโลกโซเชียล สาวแพมบอกว่า ไม่ท้อเลย เพราะหากเทียบกับปีก่อนๆ ที่ผ่านมา โดนหนักกว่านี้ เหตุการณ์ที่เกิดนี้ถือว่าเล็กน้อย และพร้อมรับมือเพราะเชื่อว่ายังต้องโดนอีกหลายเรื่อง

“ถ้าเราขึ้นชื่อว่าเป็นนางงามแล้วเรารับไม่ได้กับเรื่องแค่นี้ งั้นอย่ามาประกวดเลย เพราะแพมเชื่อว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ สัจธรรมของชีวิต”

นอกจากนี้ยังมีประเด็นร้อนเกี่ยวกับชุดว่ายน้ำให้ได้ดรามากันอย่างต่อเนื่องบนโลกออนไลน์ได้ไม่น้อยว่าดูเปรี้ยว โป๊ เว้าสูงจนเกินงาม งานนี้มิสแกรนด์คนปัจจุบัน บอกว่า ชุดว่ายน้ำ จริงๆ มันก็คือชุดว่ายน้ำ ก็ต้องมีการโชว์สัดส่วนของนางงาม ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะไม่รู้เลยว่านางงามคนนี้หุ่นดีหรือเปล่า

อีกอย่างปีนี้เราเลือกชุดว่ายน้ำแบบวันพีซ ซึ่งวันพีซช่วยเซฟอยู่แล้ว เพราะว่าตรงสะดือ หน้าอก อะไรก็ปิดหมด อาจจะเว้าขึ้นมาบ้างตรงช่วงขา ถ้าตรงขายังต้องปิดหมดอีก แพมคิดว่าใส่กางเกงเลยดีกว่า ไม่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำแล้ว ส่วนตัวแพมคิดว่าชุดว่ายน้ำก็ไม่ได้โป๊จนเกินไป เพราะถ้าเป็นเวทีปนะกวดระดับสากลบางเวทีเขาใส่เป็นบิกินีเลย ก็คือจะเห็นทั้งก้นเลย อันนั้นสำหรับแพม คือ เยอะไปดูโป๊ แต่มิสแกรนด์ปีนี้ปิดหมดเลย ไม่ได้โชว์ก้นเป็นลูกๆ จนน่าเกลียด

ใช่ว่าการประกวดเวทีมิสแกรนด์จะมีแต่ประเด็นดรามา เรื่องที่หลายๆ คนดูจะถูกอกถูกใจและต่างพูดถึงอย่างหนาหู เห็นทีจะเป็นลีลาการแนะนำตัวของเหล่าสาวงามแต่ละจังหวัดที่แต่ละคนต่างงัดกลเม็ดสร้างความแตกต่าง การจดจำและสร้างความโดดเด่นของตัวเองให้เป็นที่สนใจได้อย่างมาก

สาวแพมบอกว่า โทนเสียงของแต่ละคนที่แนะนำตัวออกไปนั้น ถ้าสมมุติว่าเราแนะนำตัวเราเองด้วยเสียงโทนธรรมดา เรียบๆ คนตั้ง 77 คน ไปยืนพูดบนเวที มันน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ สิ่งที่ทุกคนเห็นและถูกแชร์ต่อๆ กันในโลกโซเชียลนั้น ไม่มีใครบอกให้ทำ พวกเราผู้เข้าประกวดทำกันเอง เพราะบรรยากาศตรงนั้นคนกรี๊ดดังมาก แล้วเราไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เสียงไมค์ก็ไม่ได้ยิน ได้ยินแค่ในหูว่าเราต้องตะโกนแล้วนะ เราก็ตะโกนไปอย่างนั้นเสียงของเราที่ดังออกมาเลยแหลม หลายๆ คนก็พยายามแนะนำตัวในแต่ละสไตล์ ทำให้การแนะนำตัวดูตื่นเต้น ไม่จำเจ
พร้อมฝากให้ประชาชนคนไทยทุกคนร่วมกันเชียร์และเป็นกำลังให้เธอเป็นตัวแทนไปประกวด Miss Grand International 2017 ที่ประเทศเวียดนาม ในรอบตัดสินวันที่ 25 ตุลาคมนี้ด้วย

เรื่องโดย : นับดาว รัตนสูรย์
ภาพประกอบ: พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร, IG: pamela_pasinetti, Miss Grand Thailand 2017



กำลังโหลดความคิดเห็น