xs
xsm
sm
md
lg

น่ารักสุโค่ย! “มากิ ชิมะ” เขาว่าเธอคือเหยี่ยวข่าวสาวผู้คลั่งไคล้ “เมสซี่เจ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
เธอคนนี้ถูกขนานนามว่าคือผู้ที่คลั่งไคล้ “เมสซี่เจ” จากการตามติดทุกความเคลื่อนไหวและทุกมุมชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง! จนถูกเรียกว่า “นักข่าวสาว” จากประเทศญี่ปุ่น ความจริงแล้วเธอคนนี้จะใช่อย่างที่ใครๆ คิดอยู่หรือไม่ วันนี้มาฟังคำตอบชัดๆ จากปากของเธอว่าผู้หญิงคนนี้คือใครกันแน่? และระดับความคลั่งไคล้ที่ว่านี้..มันจะจริงอย่างที่ถูกพูดถึงหรือเปล่า?

“นักข่าว” สมัครเล่น! ขอตามติดชีวิต “เมสซี่เจ”

ทันทีที่เห็นคลิปไลฟ์สดการรายงานความเคลื่อนไหวดาวเตะทีมชาติไทย “เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์”ิ ผ่านแฟนเพจ “J.League(เจลีก-ลีกฟุตบอลอาชีพแห่งประเทศญี่ปุ่น)” นำโดยพิธีกรสาวรูปร่าง-หน้าตาคล้ายคนไทย ทว่า เธอกลับพูดภาษาญี่ปุ่นราวกับเจ้าของภาษาซะอย่างนั้น!

ทำเอาหลายคนสงสัยไปต่างๆ นานาว่า ผู้หญิงคนนี้คือใครกันแน่? จะใช่นักข่าวสาวชาวญี่ปุ่น หรือแฟนคลับตัวยงของเจ-ชนาธิป อย่างที่ใครๆ ต่างคิดกันอยู่หรือไม่! คราวนี้เธอจะมาตอบคำถามกับเราให้รู้ทุกข้อสงสัย

“จริงๆ ไม่ได้เป็นนักข่าวนะคะ(หัวเราะ) หลายคนถ้าไม่รู้จักมากิ มากิทำงานเป็นนางแบบ นักร้อง นักแสดงอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ หลายๆ คนที่ชอบดูรายการท่องเที่ยวทางยูทูป เขาก็จะรู้จักมากิในระดับหนึ่ง เพราะมากิเป็นพิธีกรนำเที่ยวตรงนั้นด้วย”
มากิและเมสซี่เจ
 
เธอเริ่มเล่าให้ฟังถึงการได้มามีส่วนร่วมในการรายงานความเคลื่อนไหวของนักเตะไทย ด้วยน้ำเสียงที่เราสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้น เธอบอกว่ามันคือโอกาสที่ถูกหยิบยื่นเข้ามาในชีวิต ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น และความสามารถในการสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้อย่างดี จึงทำให้เธอเข้าตาผู้ใหญ่อย่างจัง จนได้มีโอกาสเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้

“ส่วนเรื่องการรายงานความเคลื่อนไหวของเมสซี่เจ เริ่มแรกเขาติดต่อมาว่าอยากได้คนไทยที่ทำงานอยู่ที่นี่ และสามารถพูดภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่นได้ ทางเอเยนเขาจึงส่งโปรไฟล์และผลงานของมากิไป เขาจึงตัดสินใจเลือกให้มากิมาทำตรงนี้

ตอนก่อนจะรับงานนี้ มากิก็คิดนะคะว่า เราเป็นคนชอบความท้าทายและชอบทำอะไรใหม่ๆ อยู่แล้ว ถ้าใครเสนอมาให้ลองทำ เราจะเป็นคนที่อยากลองดู แต่เขาคงดูคาเรคเตอร์แล้วรู้ว่าเราเป็นคนลุยๆ สบายๆ ดูเป็นธรรมชาติ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเลือกเรามาทำหน้าที่ตรงนี้”

ด้วยความที่เธอไม่ใช่สาวกแฟนคลับนักเตะฟุตบอลใดๆ มาก่อน นี่จึงเป็นความยากที่ทำให้เธอต้องทำการบ้านอย่างหนัก ทั้งในแง่ของการทำงานพิธีกรกึ่งนักข่าวที่ต้องรายงานความเคลื่อนไหว นี่คือสิ่งที่ค่อนข้างท้าทายเธอไม่น้อยทีเดียว!

“ส่วนหน้าที่ตรงนี้ที่มากิทำ คือ จะต้องสัมภาษณ์ความรู้สึกของเจตอนเข้าทีม ความเคลื่อนไหวต่างๆ และให้ผู้ชมรู้เกี่ยวกับจังหวัดฮอกไกโดด้วยว่าเป็นยังไง เหมือนเป็นการอัพเดตความเคลื่อนไหวของเจ และโปรโมตการท่องเที่ยวไปในตัวด้วยค่ะ เราอยากให้คนสนใจและมาเที่ยวที่ฮอกไกโดด้วย

จริงๆ ต้องทำการบ้านด้วยเหมือนกัน มากิไม่ทราบว่าการเป็นนักข่าวต้องทำอะไรบ้าง แต่เราก็เตรียมตัวไปว่าจะพูดอะไรบ้าง พูดผิด-พูดถูกบ้างก็ตามสไตล์เรา เพราะไม่เคยทำตรงนี้มาก่อน แต่รู้สึกท้าทายดี มากิคิดว่ามันสนุก มันเป็นการเรียนรู้ด้วยอีกทาง ซึ่งจริงๆ เราไม่ใช่คนรู้เรื่องฟุตบอลขนาดนั้น แต่การที่มาทำด้านนี้ มันทำให้เราได้ศึกษาตรงนี้มากขึ้นค่ะ”

“Best Jeanist Award” สาวใส่ยีนส์ที่สวยที่สุด!

“มากิมาที่ญี่ปุ่นครั้งแรกก็เดินสายประกวดเลย แต่เวทีที่มากิประทับใจที่สุดคือ “Best Jeanist Award” เพราะเป็นเวทีที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น มากิภูมิใจมากๆ ที่ได้รับรางวัลจากเวทีนี้”

ความรู้สึกภาคภูมิใจถูกเล่าผ่านน้ำเสียงที่เธอกำลังจะขยายความให้เราฟังต่อจากนี้ ถึงเวทีที่มีชื่อเสียงและมีมายาวนานในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่วนมากมักจะมอบให้แก่ดาราคนดังที่มีผลงานเด่นๆ ในช่วงเวลานั้น แถมยังเป็นผู้ที่สวมใส่กางเกงยีนส์ได้สวยและเหมาะที่สุดอีกด้วย

“มากิได้ประกวด Best Jeanist Award Grand Prix 2013 เป็นคนที่ใส่ยีนได้สวยและเหมาะที่สุดในประเทศญี่ปุ่นค่ะ ซึ่งเวทีนี้เองเป็นเวทีที่เก่าแก่ มีการประกวดมานานกว่า 30 ปีได้แล้ว เป็นเวทีที่มีชื่อเสียงมากในประเทศญี่ปุ่น ส่วนมากเขาจะให้รางวัลแก่คนที่มีชื่อเสียงหรือคนในวงการบันเทิงมากกว่า

แต่ที่มากิลงเขาได้จัดสายธรรมดาขึ้นมาให้คนทั่วๆ ไปเข้าไปประกวดได้ มากิได้เข้าประกวดและได้รับรางวัลชนะเลิศมาค่ะ ถือเป็นรางวัลที่มากิภูมิใจมากๆ เพราะเรามีเชื้อสายไทยด้วย เหมือนได้เป็นคนไทยที่ได้รับรางวัลนี้ เราก็เลยดีใจ”
วง Jeanist
 
เหมือนกับว่าเวทีนี้จะเป็นประตูเปิดทางให้เธอเข้าสู่วงการบันเทิงในญี่ปุ่นได้อย่างเต็มตัว เพราะหลังจากที่ได้คว้ารางวัลชนะเลิศมานั้น งานและโฆษณาต่างๆ ก็แห่เข้ามาทาบทามตัวเธอไปร่วมงาน จนทำให้เธอได้มีโอกาสได้เข้าสู่อาชีพนางแบบ-นักแสดง-นักร้อง อย่างที่ไม่ทันได้คาดฝัน
 
“หลังจากการประกวดครั้งนั้น มากิได้มีงานโฆษณาเข้ามาหลายตัวเลยค่ะ ทั้งโฆษณาแว่นกันแดด น้ำดื่ม รองเท้า และสินค้าอีกหลายตัว จากนั้นก็มีการติดต่อให้ออกรายการท่องเที่ยวของ “สุโค่ย เจแปน” ให้มากิเป็นพิธีกรรับเชิญให้ร่วมออกรายการด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ได้เป็นพิธีนำเที่ยวมาได้ 2 ปีแล้วค่ะ

ส่วนอาชีพนักร้องในวง “Jeanist” เป็นวงที่เริ่มต้นมาจาก “Best Jeanist Award” มีนักร้องทั้งหมด 3 คน มากิเป็นคนไทยคนเดียวและอีกสองคนคือคนญี่ปุ่น ซึ่งทุกคนในวงได้รับรางวัลยีนส์เหมือนกันหมด คอนเซ็ปท์ของวงเลยต้องใส่ยีนส์ทั้ง 3 คน”

หากถามว่าสายอาชีพไหนที่เธอชอบและรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ระหว่างงานด้านนางแบบและงานด้านนักร้อง สาวมากิเงียบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างลังเลว่า จริงๆ แล้วเธอชื่นชอบทั้งสองสายอาชีพ แต่หากให้เลือกว่าอาชีพไหนที่รู้สึกสนุกที่ได้พบเจอผู้คน เธอชอบอาชีพนักร้องที่ได้เจอแฟนคลับมากกว่า

“สายนางแบบมากิก็ชอบนะคะ แต่พอมาทำด้านนักร้องก็ชอบเหมือนกัน เพราะเวลาที่ไปร้องเพลงแล้วได้เจอกับแฟนๆ เขาจะดีใจเวลาที่ได้เจอศิลปินที่เขาชอบ ขณะที่ถ้ามากิอยู่ในสตูดิโอ ไปถ่ายงาน แฟนๆ จะไม่มีโอกาสได้เข้าหาหรือพูดคุยกับเราเลย มากิเลยชอบการร้องเพลงมากกว่า แต่จริงๆ มากิก็ชอบทุกอาชีพนะคะ เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง”

วงการบันเทิงญี่ปุ่น..ไม่ขยันอยู่ยาก!

“มากิคิดว่าวงการบันเทิงที่ประเทศญี่ปุ่นจะไม่เกี่ยวกับอายุ คนที่จะอยู่ในวงการบันเทิงญี่ปุ่นต้องขยันและมีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน ถึงจะอยู่ในวงการนี้ได้”

เธอเปรยให้เราฟังหลังจบประโยคคำถามเกี่ยวกับประเด็น “ความอยู่รอดของเหล่าเซเลปในวงการบันเทิงญี่ปุ่น” ผ่านมุมมองของเธอในฐานะนางแบบ-นักร้อง-นักแสดง รุ่นใหม่ที่กำลังโด่งดังในเวลานี้

เธอเล่าให้เราฟังว่า วงการบันเทิงในญี่ปุ่นมักให้ความสำคัญกับผลงานและความขยันทำงาน มากกว่าใบปริญญาที่การันตีว่าจบจากที่ใดมา ซึ่งเธอก็เชื่อเช่นกันว่า “ประสบการณ์” สามารถนำมาใช้ได้จริงในโลกทำงาน และมันก็คือสิ่งที่จะทำให้จะอยู่รอดได้ในวงการบันเทิงญี่ปุ่น

“คนที่จะอยู่ในวงการบันเทิงของญี่ปุ่นได้นาน นอกจากความขยันทำงานแล้ว เขาวัดกันจากที่นิสัยด้วยค่ะ ต้องเป็นคนที่อ่อนน้อม ถ่อมตัว ไม่หยิ่ง ไม่ดูถูกคน ไม่เอาแต่ใจตัวเอง และที่สำคัญที่ญี่ปุ่นเขาชอบดูที่ผลงานและความสามารถ ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง ขอแค่มีความสามารถ มีทักษะ พูดภาษาได้ แค่นั้นก็โอเคแล้ว”
ผลงานทางนิตยสาร
ผลงานการแสดง ภาพยนตร์เรื่อง Matcha
 
หากพูดถึงเรื่องของแฟนคลับในประเทศไทย เราคงคุ้นชินกับภาพตามติดดารา หรือตามทักทายศิลปินที่ชอบตามสถานที่ต่างๆ ทว่า ในประเทศญี่ปุ่นเองได้มีวัฒนธรรมแฟนคลับที่ค่อนข้างต่างออกไป เธออธิบายให้เราฟังว่าแฟนคลับที่นี่ค่อนข้างเกรงใจคนดังเมื่อพวกเขาอยู่ในวันหยุดหรือในเวลาส่วนตัว

“ส่วนเรื่องแฟนคลับของที่นี่จะไม่เหมือนที่ไทยเลยนะคะ อย่างถ้าเราไปเดินที่ไทย แฟนคลับจะเข้ามาทักทาย ขอถ่ายรูปอย่างที่เราเคยๆ เห็น แต่ถ้าที่ญี่ปุ่นคือไม่ใช่แบบนั้นเลย วัฒนธรรมของแฟนคลับญี่ปุ่นเขาจะค่อนข้างให้เกียรติดารานักแสดง
 
อย่างถ้าเจอดาราหรือศิลปินที่ชอบ เขาจะไม่เข้าไปทัก แต่จะไปคอมเมนท์ในแฟนเพจหรือไอจีดาราคนนั้นแทนว่าได้เจอ เพราะเขาคิดว่ามันคือชีวิตส่วนตัวของดารา มันคือวันหยุดที่ไม่ควรเข้าไปทัก เขาจะคิดกันแบบนี้ แต่มากิก็จะบอกว่าเข้ามาทักได้ เพราะอย่างถ้าไปที่ไทย เวลามากิเจอดาราไทยก็อยากเข้าไปคุย เข้าไปทักเหมือนกัน(หัวเราะ)”

“ครอบครัวเรา..แฮปปี้-ฟรีสไตล์”

“ที่บ้านมากิเลี้ยงแบบฟรีสไตล์ ยังไงก็ได้ค่ะ(หัวเราะ) พ่อจะตามใจ ส่วนแม่จะดุหน่อย”

สิ้นสุดเสียงหัวเราะ เธอบอกกับเราว่าการที่เธอเป็นเธอในทุกวันนี้เพราะมาจากครอบครัว ซึ่งเธอขอเรียกใช้คำว่า “ฟรีสไตล์” เป็นการสื่อความหมายของการดูแลเลี้ยงดูจากพ่อและแม่ ก่อนเล่าต่อไปว่าการดูแลของแม่นั้น มีข้อบังคับอยู่เพียง 3 อย่างที่เธอต้องห้ามทำเด็ดขาด!

“ที่บ้านมากิเลี้ยงแบบสบายๆ ค่ะ เราอยากทำอะไร เขาก็ให้เราทำ แต่บางครั้งก็มีบ้างที่ดุ เพราะเขาเป็นห่วง ส่วนเรื่องการดูแลเลี้ยงดู แม่มากิจะสอนตลอดว่า ไม่ให้ดูถูกคนอื่นและไม่ให้มองคนจากภายนอก อาจจะดูว่าที่บ้านตามใจเลี้ยงแบบอะไรก็ได้ แต่แม่พูดเสมอว่าขอให้มากิไม่ทำ 3 สิ่งนี้

นั่นคือ ไม่เสพยา ไม่ฆ่าคน ไม่ขายตัว นี่คือ 3 สิ่งนี้ต้องห้ามทำ มากิก็จะทำตามที่แม่สอนเสมอ คือ การไม่ดูถูกคนอื่น ไม่ตัดสินคนจากภายนอก ไม่ว่าอาชีพไหนๆ ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ส่วนพ่อมากิไม่ดุนะคะ แม่จะดุมากกว่าพ่อ แต่พ่อจะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด แต่เขาจะแสดงออกมากกว่า”

 
หลังจากที่เธอพูดถึงความนิ่งเงียบของคุณพ่อที่ว่าเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง เราจึงอดถามไม่ได้ว่าหากวันหนึ่งมีหนุ่มๆ มาจีบเธอขึ้นมา คุณพ่อที่ดูนิ่งเงียบจะดุขึ้นมาในทันทีหรือไม่ “อันนี้ไม่แน่ใจนะคะ(หัวเราะ) แต่ก็ไม่แน่ ถ้ามีหนุ่มมาจีบ พ่ออาจจะดุขึ้นมาก็ได้ อาจจะช่วยแสกนให้เราอีกที”

“ระหว่างผู้ชายไทยกับผู้ชายญี่ปุ่น ชอบแบบไหนมากกว่ากัน” เราโยนคำถามไปให้หลังจากที่ได้พูดคุยกันเรื่องหนุ่มๆ ที่จะเข้ามาขายขนมจีบ เราจึงอยากรู้ว่าสเปกในฝันและผู้ชายแบบไหนที่สาวตาคมโตคนนี้จะชื่นชอบเป็นพิเศษ

“สเปกมากิเหรอคะ อืม (นิ่งคิด) มากิไม่มีสเปกนะคะ(หัวเราะ) เป็นคนยังไงก็ได้ แต่ต้องมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ สอนเราได้ แนะนำตักเตือนเราได้ คุยกันเข้าใจกัน นิสัยเข้ากันได้ ที่สำคัญชอบคนที่อารมณ์ดี เพราะมากิเป็นคนชอบหัวเราะ แต่ถ้าถามว่าชอบผู้ชายญี่ปุ่นหรือผู้ชายไทยมากกว่ากัน โอย ตอบยากเหมือนกันนะคะ(หัวเราะ)

ผู้ชายไทยก็ชอบนะคะ เพราะผู้ชายไทยชอบบอกรัก แต่ผู้ชายญี่ปุ่น เขาจะไม่บอกรักเลย เขาจะให้ดูที่การกระทำว่าถ้าทำแบบนี้คือรัก แต่มากิไม่ได้ตายตัวนะคะ(หัวเราะ) จะเป็นผู้ชายไทยหรือญี่ปุ่น ขอแค่มีความเป็นผู้นำและเหมือนที่แม่สอนมากิเหมือนกันว่า ผู้ชายคนนั้นต้องตั้งใจทำงาน ไม่ฆ่าคน ไม่เสพยา และต้องเป็นคนดีค่ะ”

ทิ้งท้ายเรื่องหัวใจก่อนที่เธอจะหน้าแดงไปมากกว่านี้ เราแอบกระซิบถามถึงเรื่องความรักว่าเธอมีเจ้าของหัวใจแล้วหรือยังมาฝากหนุ่มๆ ให้ได้หายข้องใจ “ตอนนี้หัวใจยังว่างนะคะ(หัวเราะ) หัวใจมากิตอนนี้อยู่กับที่ทำงานค่ะ เวลาทำงานมากิก็อยากจะทำให้เต็มที่ ให้มันออกมาดีที่สุดจริงๆ”

“ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้..ถ้าไม่พยายาม”

แม้จะมีเชื้อสายไทย-ญี่ปุ่นอยู่ในตัว แต่การพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่สิ่งที่เธอทำได้ตั้งแต่ยังเด็ก นั่นเพราะเธออาศัยอยู่ในไทยมาตั้งแต่เกิด แถมคุณพ่อที่เป็นคนญี่ปุ่นเต็มตัวก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่ไทยด้วยกัน นี่จึงเป็นสิ่งที่เธอต้องเริ่มนับหนึ่งจากศูนย์ เมื่อได้เดินทางไปอาศัยอยู่กับครอบครัวที่แดนอาทิตย์อุทัย

“ตอนไปแรกๆ ยากมากเลย เพราะเรื่องภาษามันสำคัญมาก มากิจึงต้องไปเรียนโรงเรียนภาษา 3 เดือน เพื่อเริ่มเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น หลังจากที่เรียนมากิก็สื่อสารได้ในระดับเริ่มต้น เช่น ทักทาย หรือบทสนทนาทั่วๆ ไปที่เขาใช้กัน แต่สำเนียงอาจจะยังไม่ดีเท่าไหร่

แต่ถ้าพูดได้ สื่อสารได้จริงๆ ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 6 เดือนค่ะ จริงๆ เรามีความกดดันด้วย เพราะจะมีคนบางกลุ่มที่กดดันเราเรื่องการสื่อสารที่ไม่ค่อยแข็งแรง มันเลยทำให้เราต้องสู้และขยันมากกว่าปกติ อย่างเวลากลับบ้าน มากิจะฝึกท่อง ฝึกจำ ให้เข้าหัวทุกวันๆ”

หากดูจากระยะเวลา 6 เดือนถือว่าไม่นานที่เธอสามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ดีถึงเพียงนี้ นั่นอาจเพราะชีวิตประจำวันเธอได้คลุกคลีอยู่กับชาวญี่ปุ่น จึงทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้รวดเร็วอย่างก้าวกระโดด

ทว่า เธอยังฝากแนะนำถึงผู้ที่อยากเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ได้มีโอกาสได้มาเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยว่า สามารถฝึกฝนได้เองที่ไทยได้เช่นกัน

 
“มากิอยากแนะนำให้ฝึกพูดกับคนญี่ปุ่นบ่อยๆ ค่ะ ถ้าไม่มีโอกาสได้มาที่นี่หรือไม่ได้มีเพื่อนชาวญี่ปุ่นในไทย เราสามารถพูดคุยผ่านทางโซเชียลมีเดียได้ เพราะเดี๋ยวนี้โลกออนไลน์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายแล้ว หรืออีกวิธีที่มากิใช้ คือ การดูการ์ตูนก็ช่วยได้เหมือนกัน

เพราะมันจะมีคำฮิรางานะเขียนไว้ให้ด้วย หรือใครที่ชอบร้องเพลง-ฟังเพลงก็ใช้วิธีฟังเพลงญี่ปุ่นบ่อยๆ ก็ได้เหมือนกัน เพราะเพลงมันจะจำได้ง่ายและมีความหมายแปลเป็นภาษาไทยไว้ด้วยในอินเตอร์เน็ต ซึ่งช่วงที่ฝึกภาษาญี่ปุ่นใหม่ๆ มากิก็เริ่มจากวิธีเหล่านี้ค่ะ”

ส่วนในเรื่องการทำงานทั้งอาชีพนักร้อง-นักแสดง-นางแบบ อีกหนึ่งแง่คิดและทัศนคติต่อการทำงานที่เธอมักนำมาใช้เสมอ นั่นคือ “ต้องรู้สึกสนุกกับงานที่ทำ” เพราะหากว่าใครสักคนรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ผลงานที่ออกมาจะต้องสำเร็จและออกมาดีอย่างแน่นอน

“มากิคิดเสมอว่าเราต้องสนุกกับสิ่งที่ทำ ถ้าเราเครียดมันจะทำให้งานออกมาไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ถ้าเราสนุก มันก็ส่งผลให้คนรอบข้างเราสนุกไปด้วย งานมันจะออกมาดี ที่สำคัญเราต้องไม่ลืมคนที่ให้โอกาสหรือสอนเรา ทั้งทีมงาน ผู้จัดการ ช่างแต่งหน้า สตาฟที่อยู่เบื้องหลังทุกๆ คน ที่ทำให้งานออกมาสำเร็จ

 
แน่นอนว่าในโลกของการทำงานไม่ว่าที่ไหนย่อมมีการแข่งขันที่ทำให้รู้สึกถูกกดดันอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เธอเองคือสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่ได้รับโอกาสในการทำงานวงการบันเทิงญี่ปุ่น เราจึงอดถามไม่ได้ว่าเธอจะมีวิธีจัดการกับความเครียดอย่างไร เมื่อได้อยู่ในบรรยากาศของการแข่งขัน-กดดัน ที่เธอไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้

“เวลาเจอสถานการณ์ที่เครียดๆ มากิจะเป็นคนที่ไม่เก็บอะไรมาคิดให้เครียดเท่าไหร่นะคะ ถ้าเครียดๆ มากิจะหันไปทำอาหาร ออกกำลังกาย ท่องเที่ยว ถ่ายรูป มันช่วยผ่อนคลายเราได้มากค่ะ ที่สำคัญคือ มากิจะคิดเสมอว่า “ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้..ถ้าไม่พยายาม”
 
สำหรับคนที่ท้ออยู่ มากิว่าทุกคนทำได้ ถ้าเราพยายามและตั้งใจจริงๆ สิ่งสำคัญคือเราต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราทำได้ ถ้าเราฝันว่าอยากเป็นอะไรหรืออยากทำอะไร เราต้องตั้งใจและทำมันให้ได้ ไม่มีอะไรเกินเอื้อมเราหรอกค่ะ มากิเชื่อแบบนี้”

เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพประกอบ : IG @Makishimaaa




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น