จากนักร้องสาวหน้าใส สู่การเป็นคุณแม่ลูกสอง ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับ เอิร์น-จิรวรรณ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง อดีตนักร้องสาว และภรรยาสุดสวยของ ดร.ดราฟ-ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง รองอธิการบดี ม.กรุงเทพธนบุรี และพ่วงตำแหน่งผู้จัดการโรงเรียนสาธิตกรุงเทพธนบุรี ต้องเผชิญกับข่าวฉาวไม่หยุดหย่อน ล่าสุดช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีข่าวฮือฮาว่านางงามคนสวยคั่วสามีเธอ เป็นข่าวบ่อยๆ แบบนี้เธอจะ “ควันออกหู” เหมือนเพลงฮิตของเธอในอดีตหรือไม่!?
ไม่หึงหวง ใจนักเลง ชอบพูดตรงๆ
หลังจากเกิดประเด็นดราม่าในชีวิตคู่ของเอิร์น เมื่อมีข่าวว่า น้ำเพชร-สุณัณณิการ์ กฤษณสุวรรณ นางงามคนสวยได้คิดตีท้ายครัว ด้วยการโพสภาพที่บังเอิญเหมือนกับที่ ดร.ดราฟ โพสต์ในไอจีของตัวเอง ที่สำคัญน้ำเพชรยังนั่งบิ๊กไบค์ของสามีเอิร์นอีกด้วย
งานนี้ เจ้าตัวรีบออกตัวว่า “ด้วยความที่เราเป็นคนตรงๆ และปกติเอิร์นก็ไม่ได้เป็นคนขี้หึง หรือต้องโทรตามสามีตลอดเวลา เพราะด้วยหน้าที่การงานของเขา ที่ต้องทำงานหนักทุกวันและดูแล รร.หลายที่ จะให้คอยโทรตามก็คงไม่ได้ เอิร์นก็จะใช้ชีวิตดูแลบ้าน ดูแลลูกๆ แต่พอมีข่าวนี้ขึ้นมา ซึ่งเอิร์นก็ไม่ได้เป็นคนเห็นเองด้วยแต่เพื่อนส่งให้มา เราก็รีบโทรหาพี่ดราฟ ถามว่าเห็นข่าวนี้หรือยัง เขาก็บอกยังไม่เห็นแล้วก็รีบกลับมาบ้าน มาเคลียร์กัน”
“จนเข้าใจกันว่า น้องเค้าเป็นกลุ่มที่ขับมอเตอร์ไซค์ ส่วนงานอดิเรกของพี่ดราฟก็ขับมอเตอร์ไซค์บ้าง แต่ไม่บ่อย เค้าก็เป็นเหมือนก๊วนเพื่อนๆ มอเตอร์ไซค์ที่น้องเขานั่งก็อยู่ที่บ้านเรา ซึ่งหากจะมีอะไร มันไม่จำเป็นที่ต้องอยู่ที่บ้านเราไหม และก็เป็นเรื่องปกติที่เพื่อนพี่ดราฟ หรือใครมา เห็นรถก็ชอบและถ่ายรูปไว้ พี่เค้าก็อธิบายเคลียร์ และจบ”
แม้เจ้าตัวจะเป็นคนตรงๆ แต่ในบางอารมณ์เธอก็ออกตัวว่าเป็นคนคิดมาก “เอิร์นจะเป็นคนคิดมาก แต่โชคดีที่หายเร็ว เราจะค่อยๆ คิด แต่ถ้าเรื่องที่คิดมากแล้วเราแก้ไม่ได้ เราก็พยายามคิดว่า ในเมื่อมันแก้ไม่ได้แล้ว ทำยังไงมันก็เหมือนเดิม เราจะไปคิดมากทำไม สู้ทำวันต่อไปให้ดีที่สุดดีกว่า บางทีสามีทำงานเยอะแล้วกลับบ้านด้วยความเหนื่อยๆ แล้วเราก็จะเล่าเรื่องอื่นให้ฟัง เขาก็มีหันมาดุ ช่วงแรกๆ เราก็ไม่เคยเจอว่าอยู่ๆ มาดุเราทำไม ตอนหลังก็คิดว่าเป็นเรื่องขำๆ บอกสามีไปว่า นี่มันที่บ้านนะ ไม่ใช่ที่ทำงาน รู้เปล่าว่ากำลังคุยกับใครอยู่!! เขาก็จะขำ เราก็เลยไม่รู้สึกว่าจะทุกข์ไปทำไม ถ้าแก้ได้ก็พยายามแก้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็ปล่อยวางดีกว่า และนี่คงเป็นข้อดีของคนที่แต่งงานตอนอายุแตะเลข 3 มั้งคะ (หัวเราะ)”
ปัญหา “รัก” เรื่องธรรมดาของชีวิตคู่
เมื่อต้องมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกับ ดร.ดราฟ จนมีลูกชาย 2 คน คือ น้องดี-ดวงดิช 4 ขวบ และน้องดวิณ-ดวงเดช ชัยรุ่งเรือง 9 เดือน เอิร์นออกตัวว่า ก่อนที่จะมาอยู่ร่วมกัน ต้องใช้เวลาจูนเข้าหากันก่อนให้พร้อม เพื่อปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น จะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับครอบครัวเรา
“ตอนแต่งงานอายุก็ขึ้นเลข 3 แล้ว เราก็พร้อมทั้งวุฒิภาวะและวัยวุฒิ แต่ก็ต้องใช้เวลาศึกษากันพอสมควร เพราะตอนเป็นแฟนกันเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง พอต้องมาอยู่ด้วยกัน ต้องใช้เวลาถึง 6 เดือน ในการเรียนรู้กันและกัน แต่ก็แน่นอนว่าชีวิตคู่ก็ย่อมมีปัญหาเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็ร่วมกันแก้ไข”
“เอิร์นอาจดูเป็นผู้หญิงขี้งอน เอาแต่ใจ แต่กลับตรงกันข้าม เอิร์นจะเป็นคนตรงๆ มีปัญหาก็ต้องเคลียร์ให้จบ ส่วนพี่ดราฟจะนอนหันหลังให้เลยแล้วหันมาตอบว่า จ่ะ (หัวเราะ) แต่เอิร์นนี่ไม่ได้เลย เราอยากที่จะให้ปัญหานั้นจบ ก็พยายามดึงให้เขาเป็นอย่างเรา ถึงเราจะไม่ผิด เราก็ต้องเป็นคนพูดให้เคลียร์ การแก้ปัญหาไม่จำเป็นต้องแพ้หรือชนะ เมื่อเราจูนชีวิตให้เข้ากันได้ ปัญหาต่างๆ ในครอบครัวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเรา”
ทั้งครอบครัวเลือกเติมเต็มความรักให้กันด้วยการพากันไปพักผ่อนในวันหยุด ซึ่งถึงแม้จะมีไม่บ่อย เพราะฝั่งสามีทำงานทุกวัน แต่ขอให้ได้มีเวลาอยู่ร่วมกันอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ทำดี คิดดี ...จนได้ดี
“เอิร์นเชื่อเรื่องบุญเก่ากรรมเก่า เราคิดดีทำดีมาตลอด และเชื่อว่าสิ่งที่เราเจอทุกวันนี้เป็นผลมาจากสิ่งที่เรากระทำในอดีต พอทำอะไรก็ต้องคิดก่อนว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี ก็เป็นการถือศีลไปในตัว ส่วนตัวแล้วจะไม่พูดถึงใครในทางที่ไม่ดี และนั่นคงส่งผลให้เรามีความสุขในทุกวันนี้”
คำบอกเล่าของเอิร์นในการเรียนรู้เรื่องบุญบาป เป็นเครื่องยืนยันว่าเธอมีจิตใจแน่วแน่ในการคิดดีทำดี ส่งผลให้ชีวิตส่วนตัวและครอบครัวของเธอ
“อย่างตอนที่แต่งงาน พอเราคิดว่าพร้อมที่จะมีลูกปุ๊บ เดือนเดียวก็มีลูกเลย พอตั้งท้อง เอิร์นกลับไม่แพ้ท้องเลย แต่พี่ดราฟแพ้ท้องแทน ซึ่งไม่รู้ว่าเค้าไปทำอะไรมาในชาติที่แล้ว (หัวเราะ) ตอนนั้นคุณหมอบอกว่าเหมือนสมองสั่งจิตหรือจิตสั่งสมอง เป็นความรักความผูกพันของพ่อลูก ปกติเขาชอบทานเนื้อ แต่ตอนเอิร์นท้อง เขากลับเหม็นเนื้อและไม่ทานเนื้อเลย กลางคืนก็นอนไม่สบาย แต่เอิร์นกลับไม่เป็นอะไรเลย จึงเชื่อว่า คงเป็นเพราะความดีที่เราทำมาส่งผลให้เราไม่เจอปัญหาอะไร”
คุณแม่สุดแกร่ง นั่งตำแหน่ง "รอง ผอ."
เพราะเติบโตมาในโรงเรียนที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่าง เอิร์นเข้าเรียนชั้นประถมในรั้วโรงเรียนหญิงล้วน อย่าง โรงเรียนเซนฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์ และเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนนานาชาติ ISB (International School Bangkok) ซึ่งช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเรียนครั้งนั้น ทำให้สาวเอิร์นแทบช็อค
“ตอนเรียนเซ็นต์ฟรังฯ เป็นเด็กเรียบร้อยมากค่ะ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าไม่กล้ายกมือถาม ถ้ายกแล้วจะไม่เรียบร้อย พอครูเห็นว่าเราเป็นคนขี้อายก็เลยพาไปทำกิจกรรมของโรงเรียนอย่างเช่น เดินแฟชั่น รำนาฏศิลป์ แต่พอมาเรียนที่ ISB ปีแรกแทบช็อกค่ะ นอกจากจะเป็นโรงเรียนชายหญิงแล้ว ครูก็เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด ที่สำคัญเพื่อนๆ ก็จะมีแต่ชาวต่างชาติ เพราะเขาให้โควตาคนไทยแค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนวัฒนธรรมการเรียนในห้องก็ต่างกันสิ้นเชิง เราเปลี่ยนความรู้สึกทันทีว่า การยกมือถามครูหรือตอบคำถามครูนั้น ไม่ใช่เรื่องผิด ที่นั่นใครมีความรู้ก็ยกมือตอบ จะตอบผิดหรือตอบถูกก็ไม่ถือว่าผิด หรือใครที่ถูกครูเรียกก็จะตอบได้อย่างฉะฉาน”
นึกถึงตอนนั้น เอิร์นออกตัวว่ากว่าจะปรับตัวได้ต้องใช้เวลาเป็นปี แถมยังเครียดจนฮอร์โมนเปลี่ยน และต้องหยุดเรียนเปียโนที่เรียนมาตั้งแต่เล็กๆ เพื่อมาโฟกัสกับการเรียนในโรงเรียนอินเตอร์ฯ แห่งนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธออยากให้ลูกน้อยได้เรียนควบคู่กันระหว่างความเป็นไทยและอินเตอร์ฯ ในแบบบูรณาการ
เอิร์น ได้เรียนรู้เรื่องการศึกษาอย่างเต็มตัว หลังจากแต่งงานและย้ายเข้ามาอยู่บ้านครอบครัวฝั่งสามี นั่นจึงทำให้เธอได้นั่งตำแหน่ง รองผู้จัดการโรงเรียนสาธิตกรุงเทพธนบุรี
“โรงเรียนสาธิตกรุงเทพธนบุรี แห่งนี้ เป็นโรงเรียนที่คุณแม่ (ผศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล) ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อให้การศึกษากับเด็ก แม้จะเปิดสอนปีนี้เป็นภาคการเรียนแรก แต่ด้วยประสบการณ์ของคุณแม่ที่เคยทำระดับเทคนิคเทคโนมาก่อน และมาทำระดับมหาวิทยาลัย เอิร์นจึงเชื่อมั่นว่าลูกๆ จะได้เรียนรู้ในสถาบันที่ดีที่สุด”
“ตอนแรกเอิร์นก็ไม่ทราบ จนกระทั่งทำโอเพ่นเฮ้าส์ คุณแม่ก็เพิ่งบอกว่า ทำโรงเรียนนี้เพื่อหลาน โรงเรียนแห่งนี้จึงสร้างมาจากความเป็นคุณย่าที่รักหลานมาก ท่านจึงรู้ว่าสิ่งไหนบ้างที่หลานจะได้รับจากโรงเรียน แน่นอนว่า ต้องมีทั้งความปลอดภัย ความสุขที่เด็กๆ ได้มีความรู้สึกว่าบ้านคือหลังที่สองของลูก และสิ่งที่เพิ่มเติมคือ เด็กๆ จะได้มีเพื่อน ได้ฝึกภาษาทั้งไทย อังกฤษ จีน และฝึกพัฒนาการด้านต่างๆ”
ที่โรงเรียนสาธิตฯ แห่งนี้ เน้นระบบสาธิต นั้นคือเป็นโรงเรียนที่ผสมผสานการเรียนการสอนแบบบูรณาการบวกกับเรียนรู้วัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่เด็กไทยไม่ควรลืม ทำให้โรงเรียนของคุณย่าที่สร้างมาเพื่อหลานๆ แห่งนี้เป็นคำตอบที่ใช่ที่สุดสำหรับเธอ
บ่มเพาะความเป็นไทย สิ่งที่พ่อแม่ต้องนึกถึง
แม้ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน เป็นภาษาที่ต้องเรียนรู้ และบรรจุอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนสาธิตฯแห่งนี้ แต่คุณแม่เอิร์น ก็ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย และวัฒนธรรมไทย “สิ่งที่อยากให้ผู้ปกครองคำนึงถึง หลังจากเลือกโรงเรียนให้ลูกแล้ว ก็คือการให้ลูกศึกษาถึงความเป็นไทย หากคุณจะให้ลูกอยู่ศึกษา และทำงานในเมืองไทย ภาษาไทยจะต้องแตกฉาน มารยาทของสังคมไทยเป็นอย่างไร เด็กๆ จะต้องเรียนรู้ และบ่มเพาะให้เด็กๆ ได้รักความเป็นไทย อยากเป็นบุคคลที่มีค่าของประเทศค่ะ”
ที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่รุ่นใหม่อย่างครอบครัวของเอิร์น กล้าปล่อยให้ลูกๆ มีความคิดอิสระ เหมือนที่พวกเขาทั้งสองถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่เล็กๆ ด้วยเช่นกัน
“เอิร์น และพี่ดราฟ ถูกเลี้ยงมาให้อิสระเหมือนกันค่ะ คุณแม่ไม่เคยคาดหวังว่าเราต้องเรียนอะไร จบมาทำอะไร นั่นคือสิ่งที่เอิร์นจะส่งต่อให้ลูก โดยให้โรงเรียนได้ช่วยเตรียมความพร้อมให้เด็กๆ ไปเรื่อยๆ อย่างที่โรงเรียนสาธิตฯ แห่งนี้ ก็เน้นการสอนแบบบูรณาการ ไม่เน้นท่องจำ เรามีพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ ให้เด็กๆ เข้าไปศึกษา เช่น ที่วอลล์เปเปอร์จะมีรูปไดโนเสาร์ พอเด็กเอานิ้วไปจิ้ม ไดโนเสาร์ก็เคลื่อนไหว มีห้องสมุด มีกิจกรรมที่เน้นให้รุ่นพี่ได้สอนรุ่นน้อง เพื่อฝึกความรับผิดชอบ เพราะเมื่อพวกเขาต้องสอนน้องๆ พวกเขาก็จะได้ฝึกฝนให้ตัวเองมีความรู้ แล้วเราก็เอาสิ่งที่รุ่นพี่สอนรุ่นน้องให้รุ่นต่อๆ ไปดู เป็นการ Learning by Doing เมื่อเด็กๆ สนุก พวกเขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้และตัดสินใจด้วยตัวเองค่ะ”
สตรองทั้งเรื่องรักและเรื่องลูกแบบนี้ เอิร์น-จิรวรรณ คงได้ใจจากสามีไปเต็มๆ …
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754