จิตใจทำด้วยอะไร! พ่อเลี้ยงใจโหด จับหนูน้อยวัยเพียง 2 ขวบ ฟาดห้องน้ำจนดับ เหตุเพราะเด็กอึรดที่นอน ซ้ำร้ายแม่เด็กไม่ติดใจเอาความสามีใหม่อีกด้วย สังคมรุมตั้งคำถาม ความสูญเสียครั้งนี้ต้องโทษใคร พ่อเลี้ยงใจยักษ์ - แม่ที่คอยให้ท้าย - หรือพ่อแท้ๆ ที่ไม่สอดส่อง!
อึรดที่นอนถึงกับต้องฆ่า?!
“อวัยวะภายในล้มเหลว ปอดฉีก ม้ามแตก กระดูกซี่โครงหักและเสียชีวิตในเวลาต่อมา”
อาการข้างต้นที่กล่าวมานั้น คืออาการของเด็กน้อยวัย 2 ขวบ ที่เสียชีวิตจากการถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายร่างกาย แต่ที่น่าสลดใจไปยิ่งกว่านั้น ก็เพราะแม่แท้ๆ ไม่ติดใจเอาความกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับลูกของตนเองแม้แต่น้อย!
กลายเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สังคมให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ กับกรณีของ “น้องกัปตัน” เด็กชายวัย 2 ขวบ 8 เดือน ที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ในขณะที่เด็กชายอยู่ในความดูแลของ พิพิธธน เจริญกุล พ่อเลี้ยงวัย 22 ปี และแม่แท้ๆ ของหนูน้อยเอง
แต่หลังจากที่ พิพัฒน์ ธนาธีรเมธ พ่อแท้ๆ ของเด็กผู้เคราะห์ร้ายได้เห็นสภาพศพแล้ว ก็สังเกตได้ว่ามีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง จึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองหนองบัวลำภู เอาผิดกับพ่อเลี้ยงรายนี้ พร้อมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบศพของเด็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง
จากการสอบสวน ในตอนแรกพ่อเลี้ยงให้การปฏิเสธว่า ตนไม่ได้ทำร้ายน้องกัปตัน สาเหตุที่น้องเสียชีวิตเกิดจากอุบัติเหตุลื่นล้มเองในห้องน้ำ แต่พอเจ้าหน้าที่เค้นหาความจริงต่ออีก ก็ได้คำตอบอันน่าสะเทือนใจว่า พ่อเลี้ยงรับสารภาพว่าเป็นผู้ทำร้ายน้องกัปตันจริง ซึ่งสาเหตุมาจากการที่หนูน้อยอุจจาระเปื้อนที่นอน จึงบันดาลโทสะด้วยการจับเด็กเหวี่ยงกระแทกโถส้วมในห้องน้ำอย่างแรง จนได้รับบาดเจ็บ ก่อนนำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาแก่พ่อเลี้ยงโหดรายนี้ ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิต โดยทางญาติก็ได้ยื่นขอประกันตัว ด้วยวงเงิน 100,000 บาท ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
ภายหลังจากที่เหตุการณ์นี้เผยแพร่ออกไปบนโลกออนไลน์ ก็มีผู้คนให้ความสนใจ และพากันเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก ความคิดเห็นส่วนใหญ่ต่างตำหนิปนสาปแช่งพ่อเลี้ยงใจโหดที่ทำร้ายร่างกายเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา ในขณะที่ความคิดเห็นไม่น้อย มุ่งโจมตีแม่แท้ๆ ของเด็ก ที่ไม่ติดใจเอาความสามีใหม่ที่ก่อเหตุทำร้ายลูกในไส้ของตนแต่อย่างใด
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกบุคคลหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือ ‘พ่อแท้ๆ’ ของน้องกัปตัน เพราะหลากหลายความคิดเห็นบนโลกโซเชียลฯ พูดถึงในแง่ที่ว่า ‘หากหนูน้อยอยู่ในความดูแลของพ่อแท้ๆ ก็คงจะไม่เกิดความสูญเสียเช่นนี้’ ซึ่งก่อนหน้านี้ พ่อและแม่ของน้องกัปตันได้แยกทางกัน ซึ่งพ่อได้นำลูกสาวคนโตไปเลี้ยงดู ส่วนน้องกัปตัน อยู่ในความดูแลของแม่และสามีใหม่วัย 22 ปี จนกระทั่งมาเกิดเหตุการณ์อันน่าสลดใจขึ้น
พ่อแท้ๆ ของหนูน้อยเคราะห์ร้าย
ทีมข่าวผู้จัดการ ได้ต่อสายตรงไปยังนักสังคมสงเคราะห์ผู้ทำงานด้านเด็กไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ จากโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเธอให้ความคิดเห็นไว้ว่า ไม่อยากให้สังคมมองว่าเป็นความผิดของพ่อ เพราะเรื่องแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
“มันเป็นความผิดของพ่อแท้ๆ ด้วยรึเปล่า ดิฉันไม่โทษว่าเป็นความผิดพ่อนะคะ เพราะเราต้องเคารพการตัดสินใจของครอบครัวเขาเบื้องต้นก่อนว่า เขาตัดสินใจแล้วที่จะเลือกให้ใครเป็นคนดูแล อย่าไปโทษว่าพ่อไม่มาดูแล มันก็จะเป็นการใจร้ายกับพ่อแท้ๆ มากเกินไป ซึ่งในเหตุการณ์นี้มันคงไม่มีใครตั้งใจให้เกิดหรอกค่ะ แต่พ่ออาจจะมีความรู้สึกผิดอยู่ก็ได้ว่า ถ้าเราเป็นคนเอาลูกมาตั้งแต่แรก ลูกก็คงไม่เป็นแบบนี้”
ครอบครัวไม่พร้อม ต้นเหตุความรุนแรง
จากหลากหลายปัญหาที่เกิดขึ้นมาในสังคมไทยในขณะนี้ ต้องยอมรับว่า ข่าวการทำร้ายร่างกายเด็กน้อยจากคนในครอบครัว มีให้เห็นอยู่บนพื้นที่สื่อไม่เว้นแต่ละวัน โดนเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำร้ายเด็กๆ นั้นคือสามีหรือภรรยาใหม่ของพ่อแม่แท้ๆ และที่เลวร้ายที่สุด มีเด็กเป็นจำนวนมากที่เสียชีวิตจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งผู้ทำงานด้านเด็กยอมรับกับทีมข่าวว่า หลายเหตุการณ์ที่เด็กถูกคนในครอบครัวทำร้าย แม่แท้ๆ ของเด็กก็มีส่วนในการปกปิดความจริง
“ถ้าดูเบื้องต้นของกรณีนี้นะคะ การที่เขาปกปิด แสดงว่าเขารักสามีใหม่มากพอทีจะปกปิดทุกอย่างให้ได้ ยินดีที่จะปกปิดดีกว่าให้สามีซวย ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างสูงเหมือนกันที่ฝ่ายหญิงปกป้อง ไม่ใช่แค่คนใหม่ บางครั้งก็ปกป้องพ่อแท้ๆ ของเด็กก็มีค่ะ เหมือนแม่พาลูกมาโรงพยาบาล ลูกล้ม แต่ที่จริงก็มีคนทำให้เจ็บ คือแผลกับคำบอกเล่ามันไม่เหมือนกัน ทางเราจะมีหมอนิติเวชที่มีความเชี่ยวชาญในการดูบาดแผลอยู่แล้วว่าเกิดจากอะไร
หากเด็กมาโรงพยาบาลด้วยบาดแผล ก็จะถูกส่งตัวไปตรวจที่ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ เขาจะมีการตรวจประเมินภายนอก แล้วจะมีการส่งให้นักจิตเวชเด็ก ประเมินต่อว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นการทำความรุนแรงก็จะมีการส่งตรวจนิติเวชด้วย เพื่อระบุว่าเคสนี้ถูกกระทำความรุนแรงมาจริงๆ ก็จะส่งนักสังคมสงเคราะห์มาประเมินอีกทีค่ะ ทำการซักประวัติ ลงเยี่ยมบ้าน ประเมินว่าเกิดอะไรขึ้น มีความจำเป็นต้องแยกเด็กมั้ยหรือว่าครอบครัวยังสามารถดูแลได้ หรือจำเป็นต้องบำบัดครอบครัวก็จะมีการวางแผนออกมา ว่าจะบำบัดครอบครัวหรือจะแยกชั่วคราว บำบัดครอบครัวก่อนเบื้องต้น แล้วค่อยส่งเด็กคืนสู่ครอบครัวค่ะ”
ส่วนวิธีป้องกันเพื่อลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กให้คำตอบว่า หลายกรณีที่เกิดขึ้นมักเกิดกับครอบครัวที่มีรายได้น้อย รวมถึงครอบครัวที่พ่อแม่อายุน้อยด้วย แต่นั่นก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ชัดเจนว่า เด็กในครอบครัวนี้จะถูกกระทำความรุนแรง ซึ่งหากครอบครัวมี ‘ความพร้อม’ ในการเลี้ยงดู ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร เด็กก็จะไม่ถูกกระทำความรุนแรงแน่นอน
“คนทุกคนไม่ได้มีความรู้ในการเลี้ยงลูกที่ดีเหมือนกัน บางครอบครัวอาจจะเลี้ยงดูลูกได้ดีโดนที่ไม่ตีลูกเลย แต่สำหรับคนกลุ่มหนึ่งอาจจะคิดว่า การตีเด็ก การพูดจาหยาบคาย มันทำให้ควบคุมเด็กได้มากกว่า เพราะเขาแสดงถึงอำนาจของตัวเขาที่จะอยู่เหนือเด็กคนนั้น ยิ่งเป็นเพศชายที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจอยู่แล้วอะไรแบบนี้ค่ะ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงต่อเด็ก คนในครอบครัวต้องช่วยกันระวัง คนในชุมชนต้องช่วยกันดูแล ถ้าดิฉันเป็นคนทำเคสนี้ จะเดินไปถามข้างบ้านก่อนเลย ว่าที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง เด็กถูกทำร้ายบ่อยแค่ไหน เวลาเด็กถูกทำร้ายไม่มีใครเคยได้ยินเสียงเด็กร้องเลยหรือ เพราะถ้ามันจะถึงขั้นนั้นมันต้องร้องจนสุดชีวิต หรือพ่อเลี้ยงเอาหมอนอุดปาก เลยไม่ได้ยินเสียงร้องเลย
ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาค่ะ และที่สำคัญที่สุดคือ ความพร้อมหรือไม่พร้อมของครอบครัวในการดูแล เป็นปัจจัยหลักว่าจะเกิดหรือไม่เกิดความรุนแรงค่ะ เพราะหลายครอบครัวที่พ่อแม่อายุน้อยหรือมีรายได้น้อย ก็สามารถเลี้ยงลูกขึ้นมาให้มีคุณภาพดีได้เช่นกันค่ะ”
ขอบคุณภาพและข้อมูล : amarintv ,เฟซบุ๊กแฟนเพจ “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ V.4 ” และ “สุกัญญา รอดรัตน์”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754