xs
xsm
sm
md
lg

ดำไง ใครแคร์! "รัศมีแข"..ชีวิตจริงมันไม่ตลกนะยะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มีทั้งความฮา และความล่ำอันเป็นจุดเด่น "รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น" ดำดาวรุ่ง ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน "ผู้ชายนะคะ" ที่ล่าสุดมีข่าวน่ายินดี ควงหวานใจเพศเดียวกัน (โจนาส) ทำพิธีแลกแหวนหมั้นหลังคบหาดูใจกันมาถึง 10 ปี ก่อนจะเตรียมบินไปจดทะเบียนสมรสที่ประเทศสวีเดนในเดือนกันยายนนี้

ชีวิตกว่าจะได้เป็น "ดาว" และมีความรักสุดแฮปปี้ในวันนี้ ระหว่างทางสู่ "ดาว" ไม่ขำเหมือนในละคร หรือซีรีส์คลับฟราย เดย์ ทั้งคำล้อ คำเหยียด หรือความรุนแรงที่ต้องเผชิญเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก รวมไปถึงบทเรียนความรักที่เคยทำให้ "ทุกข์" เพราะความหวงแรงจนขาดสติ


ดาร์กไซด์ ชีวิตของ "แข"


"เราถูกเลี้ยงดูมาแบบ..โดนทำร้ายร่างกายตั้งแต่เด็ก เพราะอยู่กับคนเลี้ยงดูที่จ.เชียงราย เราโตขึ้นมากับแม่ซึ่งไม่เคยเลี้ยงลูกเลย ดังนั้นแม่จะไม่เข้าใจว่าการเลี้ยงลูกคืออะไร ตอนนั้นเราอยู่กับคนเลี้ยงที่แม่จ้างมา ซึ่งทำร้ายร่างกายเราหนักมาก (เสียงสั่น) ทั้งตี ทั้งเอาเข็มขัดฟาดหัว โอ้โห! คือสุดๆ จริงๆ" รัศมีแข หรือ เจมส์ ฟอเกอร์ลุนด์ เล่าย้อนกลับไปในวัยเด็ก ฉายภาพการเลี้ยงดูที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก




"ถามว่าโกรธแม่มั้ย แม่ไม่เคยเลี้ยงลูก แม่ไม่ผิด แม่ให้เราอยู่ดีกินดี เพียงเพราะแม่ไม่เคยเลี้ยงลูกเท่านั้น ซึ่งเราก็อยู่กันเป็นแม่ลูก เราไม่ได้อยู่ด้วยการด่าทอกัน อาจจะไม่หวาน ไม่แหวว หรือแสดงความรักต่อกันเหมือนครอบครัวอื่น แต่เราอยู่ด้วยการยอมรับในตรงนั้น ใครมาเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ให้เราถูกทำร้ายร่างกายไม่ได้ ใครมาเปลี่ยนชีวิตว่าแม่ไม่เคยเลี้ยงเราไม่ได้ แม้แม่จะไม่เคยทิ้งเรา เรื่องนี้ เรารู้ แต่ความรู้สึกมันอีกแบบ

ทุกวันนี้จึงให้ความสำคัญกับความรู้สึกอย่างมาก ไม่ว่าจะกับแฟน กับเพื่อน กับพี่ หรือกับเพื่อนร่วมงาน พอเรามีหลาน เราได้ความรู้สึกที่ว่าการให้ความรักกับใครสักคนหนึ่ง มันเป็นอย่างไร เราจึงเรียนรู้ถึงการให้อภัย แม้เราจะเคยถูกทำร้าย ถูกตีด้วยความรุนแรงตั้งแต่เด็ก แต่เราจะไม่ตีหลานเด็ดขาด เพราะเรารู้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน" 

นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นภาพของ "ครอบครัว" ในมิติที่ลึกขึ้น แม้จะไม่หวาน ไม่ซึ้งเหมือนหลายๆ ครอบครัว แต่ก็เป็นโรงเรียนฝึกสอนความเข้มแข็ง โดยมี "หลาน" เป็นครูสอนในเรื่องของความรู้สึกรัก และรู้จักหยิบยื่นความรักให้แก่ผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน 

ขณะที่ "พ่อแม่บุญธรรม" แม้จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แต่ดูเหมือนว่าจะสร้าง "ความทุกข์ใจ" มากกว่า "ความสุขใจ" ในการอยู่ร่วมกัน 



"ไม่ติดต่อ ไม่คุย ไม่อะไรเลยค่ะ" นักแสดงผิวสีบอก "เพราะสิ่งที่พวกเขาทำมันไม่ยุติธรรม การเลี้ยงดู การสอนมันมีหลายวิธี เราเลี้ยงหลาน เรารู้ แต่ไม่ต้องแบบนั้นก็ได้ เช่น ในบ้านมีโต๊ะกินข้าว ซึ่งไม่ให้เรานั่งบนโต๊ะ แต่ให้เรานั่งกับพื้น แบบนั้นคืออะไร หรือไม่ให้เราใช้ห้องน้ำในบ้าน เพราะว่าเขาเป็นภารโรง เขาอยู่ในโรงเรียน ให้เราไปใช้ห้องน้ำโรงเรียน แบบนั้นมันคืออะไร ซึ่งเราก็งง คือต้องการอะไรจากเรา"

พูดจบก็ยิ้มรับด้วยความงุนงง ก่อนจะเผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในประโยคต่อมา 
"มันผ่านไปแล้วค่ะ ไม่ได้ซีเรียสอะไร แรกๆ ยอมรับว่าไม่กล้าเล่าเรื่องพวกนี้นะ เพราะว่ากลัว แต่ตอนนี้คือ..ทำอะไรฉันไม่ได้แล้ว (ยิ้ม) สามารถเล่าได้แบบโอเค" น้ำเสียงมาดมั่น ทำหน้าเชิดเผยให้เห็นความสตรองในดวงตา

ดำไง? ใครแคร์ 

ไม่เพียงแต่เรื่องราวความดรามาในครอบครัวเท่านั้น ความเป็นลูกครึ่งแอฟโฟรอเมริกันของเขา ทำให้ชีวิตในวัยเด็กทั้งสมัยเรียนที่ประเทศไทย และสวีเดนมักจะถูกเหยียดสีผิวไปพร้อมๆ กับประเด็น "เรื่องเพศ"



"ตอนอยู่ไทยเราก็โดนล้อ โดนเหยียดเยอะค่ะ ขวานฟ้าหน้าดำบ้าง ข้าวนอกนาบ้าง หลังจากตามแม่ไปอยู่ที่สวีเดนก็โดนอีก มันจะมีพวกเด็กวัยรุ่นบ้าๆ บอๆ ที่มาแซวเรื่องตุ๊ด ซึ่งต้องบอกว่า มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันยิ่งทำให้เราแต่งตัวหนักขึ้น ส่วนที่บ้าน แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พออยู่ที่โรงเรียน เราก็ทำตัวเป็นที่รักของอาจารย์ เราเป็นเด็กนั่งแกะสลักโดยที่ฝรั่งงง ซึ่งไม่มีใครทำได้ เพราะฉะนั้น ถึงจะถูกล้อแค่ไหนก็ทำอะไรฉันไม่ได้ (ทำหน้าเชิด) แต่อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องปกป้องตัวเองด้วยเหมือนกัน เพราะที่โรงเรียนมันมีหลายๆ แก๊งจากหลายๆ ประเทศ

อย่างเวลาเราเดินผ่านแก๊งพวกนี้ที่พยายามจะแซว เราก็ต้องก้มหน้า ถามว่าก้มหน้าเพราะกลัวเหรอ เราไม่ได้กลัว แต่มันจะคุ้มมั้ยถ้าเราถูกทำร้ายร่างกาย แม้จะมีหุ่นเป็นอาวุธก็ตาม (ยิ้ม) เราก็ต้องไม่ประมาท เพราะเคยเห็นในหนังมันค่อนข้างโดนแกล้งแรงพอสมควร"

ทั้งนี้ หลังตัดสินใจทิ้งชีวิตที่ประเทศสวีเดน หอบหิ้วเอาความฝันบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเสี่ยงดวงในเมืองไทย เพียงเพราะแรงปรารถนา "ฉันอยากจะเป็นดารา" แต่สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความฝัน คงหนีไม่พ้นสายตา และคำดูถูก โดยเฉพาะสีผิวไปจนถึงรูปร่างที่สูงใหญ่





"คำที่คนไทยด้วยกันเองมองว่าเราดำ ตัวใหญ่ สองคำนี้ ดำกับตัวใหญ่ ซึ่ง..ทำไมไม่มองเราว่า เราเป็นลูกครึ่ง เพียงเพราะเราพูดภาษาไทยชัดเท่านั้นเหรอ ถึงมาว่าเราดำ เราตัวใหญ่ ทั้งๆ ที่เราก็มีโครงสร้างที่ดี สูง ถ้าแขมองบ้างล่ะว่า เตี้ย ตัวเหลือง แขเชื่อว่าคนไทยบางกลุ่มก็จะโวยวายเหมือนกัน ว๊าย! ทำไมต้องมาว่ากันด้วย แต่จริงๆ เราไม่ได้มองแบบนั้นหรอก เรามองว่า อ๋อ เขาเป็นคนไทยเขามีหน้าตาแบบนี้ 

แขก็แค่อยากให้คนอื่นมองแขว่า เรามันก็คนปกติ พ่อสูง 190 ซม. เพราะฉะนั้นมันก็ต้องสูงตามพ่อ (สูง 185 ซม.) หรือพ่อผิวดำ ถ้ามันออกมาแล้วผิวขาว น่าจะเป็นผิวเผือก ซึ่งก็ต้องมีความผิดปกติอะไรสักอย่าง แต่พอดีมันผิวดำ แสดงว่ามันปกติ ซึ่งอยากให้ทุกคนเข้าใจ และมองแขก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง"

รัศมีแขลุคใหม่ เร็วๆ นี้..



แม้รุ่นพี่ในวงการบางคนจะถูกเรียกให้ดูมีคุณค่า และเกิดการยอมรับในสีผิวว่า ดำเงินล้านบ้าง ดำอินเตอร์บ้าง แต่สำหรับเธอ ไม่ขอดำแล้วมีอะไรต่อท้าย "ผิวไหนก็สวยได้แล้วกันค่ะ" เธอบอก "ทุกวันนี้สิ่งที่หวังไว้ที่สุดของวงการคือการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับความงามแล้วบอกว่า ผิวไหนก็สวยได้ (เน้นเสียงหนัก) ทุกวันนี้จะบอกว่าทำงานจนหน้ามืดก็ได้ค่ะ (หัวเราะ) อาทิตย์หนึ่งทำงานเกือบทุกวัน อาจได้หยุดแค่ 1 วันเท่านั้น ส่วนรายได้ก็มีเข้ามาจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรายังไม่ใช่ตัวท็อปอะไร"

นอกจากนั้น ยังเผยด้วยว่า "รัศมีแข" จะร่างใหญ่ อวบดำแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะความตั้งใจอีกหนึ่งก้าวคือการถ่ายแบบ เดินแบบ ดังนั้นหุ่นต้องเฟิร์ม ซิกซ์แพกต้องมา ล่าสุดได้เป็น 1 ใน 5 ของเอเชียที่ได้เป็นครูสอนแกงกู แดนซ์ ซึ่งกว่าจะได้เป็นต้องผ่านด่านการสอบอย่างหนัก

"แกงกู แดนซ์ เป็นเทรนด์การออกกำลังกายแบบใหม่ที่ใช้รองเท้าสปริงที่รองรับการออกกำลังกายในรูปแบบจ๊อกกิ้ง, แอโรบิก และคาร์ดิโอ ซึ่งพี่ลูกตาล ชโลมจิต นำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ และให้โอกาสแขเข้ามามีส่วนร่วม แต่กว่าจะได้เป็น 1 ใน 5 ของเอเชีย คือมันยากมาก แต่เราก็ทำได้"



เฮฟสติ! รัก 10 ปีฉันและเธอ 

ไม่ถามไม่ได้ถึงความรักที่ใครหลายคนอิจฉา "ตอนนี้ก็โอเคค่ะ (ฉีกยิ้มเห็นฝันขาว) เขา (โจนาส) อายุมากกว่าแขค่ะ ตอนคบกัน แขอายุ 20 ปี ส่วนเขาอายุ 33 ปี ผ่านมาถึงวันนี้ 10 ปี วันที่ 25 เม.ย.ก็หมั้นหมายกันไปเรียบร้อยแล้ว (ยิ้ม) ซึ่งที่ผ่านมาเพื่อนๆ พี่ๆ ที่สนิทในเมืองไทยก็รู้ค่ะ แต่ไม่มีใครได้เจอเลย ก่อนหน้านี้เขาก็เคยมาเมืองไทยนะ มาลองแหวนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสได้เจอเพื่อนๆ คราวนี้งานหมั้นก็เลยได้เจอ เพราะอยากให้เขาได้เห็นชีวิต ความเป็นอยู่เวลาแขอยู่กับเพื่อน หรือได้รู้จักสังคมในกลุ่มเพื่อนๆ พี่ๆ ของแข

ส่วนเรื่องจดทะเบียนสมรสที่สวีเดน ก็เล็งๆ ไว้ในช่วงเดือนกันยายนนี้ จริงๆ แล้วจดเมื่อไรก็ได้ แต่ไปเนี่ย 10 วัน มันจะทันหรือเปล่า (หัวเราะ) ต้องไปเจอแม่ เจอพี่ เจอน้อง เจอคนนั้น เจอคนนี้ คือเอาจริงๆ แขเป็นคนสบายๆ เหมือนตอนงานหมั้น ซึ่งเราจะดูความพร้อมในส่วนรวมมากกว่า"

เมื่อลงลึกไปถึงจุดเริ่มต้นของความรัก "แขกับเขา เราเจอกันในผับที่สวีเดนค่ะ แต่พอแลกเบอร์กัน เราก็หายกันไป 1 ปี" เขาเว้นช่วงก่อนจะเผยให้เห็นความจริงที่ว่า คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน "หลังจากนั้นก็กลับมาเจอกันอีก แล้วก็คุยกันจริงจัง เพราะตัวแขเองไม่เคยมีแฟนมาก่อน เราจึงตัดสินใจลองคบกับคนนี้ดู ตอนแรกก็เฉยๆ ค่ะ หลังจากคบกันมา 1 ปี เขาก็ขอเราเป็นแฟน จนถึงตอนนี้ก็ 10 ปีแล้วค่ะ สำหรับเขา เราเห็นความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก มีความรับผิดชอบ เป็นคนมองการณ์ไกล เป็นคนคนหนึ่งที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีมากทั้งเรื่องความคิด และหน้าที่การงาน




บรรยากาศงานหมั้นแบบเรียบง่าย ณ เรือนรัศมีแข (25 เม.ย.2560)

เพราะฉะนั้น 10 ปีที่คบกัน ความเปลี่ยนแปลงในความคิดของเรา 80 เปอร์เซ็นต์ก็ได้มาจากเขา โดยเขาจะคอยสอน คอยแนะแนวทางให้แก่เรา เพราะส่วนตัวแขเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้เหวี่ยง ขี้วีน แต่เขาจะใจเย็น และคุยกับเราด้วยเหตุผล ทุกวันนี้เขาทำให้แขโตขึ้นเยอะทั้งการคิด และการทำงาน"

แม้ว่าการทะเลาะกันจะเป็นเรื่องธรรมดาของคู่รัก แต่หัวข้อที่รุนแรงที่สุดสำหรับคู่นี้ก็คือความหึงหวงจนขาดสติ

"แขชอบไปหึงหวงเขานี่แหละค่ะ ถามว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้มั้ย ก็นิดๆ นะ (ยิ้ม) คือตอนนี้แขเฉยๆ แล้วค่ะ เมื่อก่อนพอเจอคนหล่อ เรามองได้ แต่แฟนเรามองไม่ได้ (ทำหน้าดุ) พอกลับมานั่งคิด ทำไมเรามองได้ แฟนเรามองไม่ได้ เราเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า คือ เรามองผู้ชาย ถามว่าเราคิดอะไรมั้ย ก็ไม่นะ ส่วนเขามอง เขาก็ไม่ได้คิดเหมือนกัน



ตั้งแต่นั้น แขบอกกับตัวเองว่า เราอย่าเห็นแก่ตัว แม้จะต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเองอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายเราก็คิดได้ เออว่ะ! เวลาเราอยู่กับเพื่อน เรายิ่งกว่าเขาอีกนะ แบบว่า..ชื่อไรเหรอ (ลากเสียงอ่อยเรียกผู้ชาย)" พูดจบก็หัวเราะยาว ก่อนจะเผยถึงความสุขในวันที่รักกันอย่างมีสติ "อุ๊ย! สบายใจขึ้นมากค่ะ ไม่ได้ต้องมาหึงหวงให้ปวดหัว" พูดไปยิ้มไป "เมื่อคิดได้แบบนี้ ยิ่งอยู่ด้วยกัน เราก็ยิ่งมีความสุข"

ส่วนการวางแผนเรื่องลูก "ไม่เอาอ่ะ" เธอเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่ายหัวรัวๆ "เพราะเลี้ยงหลาน (เป็นเด็กพิเศษ) แล้วรู้สึกว่ามีห่วง อย่างวันหนึ่งเราเคยคิดนะว่า ถ้าเราไม่อยู่แล้ว หลานจะอยู่อย่างไร แขนี่ร้องไห้ออกมาเลย นี่แค่กับหลานนะ ถ้ากับลูก เราจะขนาดไหน สุดท้ายก็คุยกันว่า ไม่เอาดีกว่า วันนี้อยู่เลี้ยงหลาน อยู่แบบแฮปปี้กับหลานดีกว่า ใช้ชีวิตโดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็เพียงพอแล้วค่ะ"


แชะภาพเป็นเกียรติกับ "อากู๋" บอสใหญ่แห่งแกรมมี่

วันนี้ แม้ชีวิตจะ "ป๊อป" ขึ้นในระดับหนึ่ง แต่เขาก็ถ่อมตัวในวาจาว่า "ยังไม่ใช่ตัวท็อปอะไรค่ะ แขยังต้องพัฒนาตัวเองอีกเยอะ" ปัจจุบันมีผลงานให้ชมอยู่หลายเรื่อง ทั้งละครคน ทางช่อง GMM25, แสบเสน่หา ทางช่อง ONE31 และภาพยนตร์ "ไทยแลนด์โอนลี่" ที่กำลังเข้าฉายอยู่นี้ ส่วนที่กำลังถ่ายทำคือ ซีรีส์ Club Friday (เล่นกับเชียร์-ฑิฆัมพร) และภาพยนตร์เรื่อง "เน็ตไอดาย สวยตายล่ะมึง (Net i Die)"

"แขเริ่มจาก 0 เดินเข้าไปตึกแกรมมี่แล้วบอกว่าหนูอยากจะเป็นดารา แขเจอพี่ๆ ผู้ใหญ่หลายคน แขมีทุกวันนี้ แขอยู่แค่ 1 ซึ่งเราต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะเรารู้ว่าการจะอยู่วงการบันเทิง เรามีรุ่นพี่ตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพี่ต้นหอม พี่โอปอล์ แม่อ้วนรีเทิร์น และใครอีกหลายคน พวกเขาสอนให้แขรู้ว่า การจะอยู่ในวงการนี้ได้ คุณต้องมีความสามารถ เป็นที่รักของผู้ชมคนดู และเป็นที่รักของคนในวงการบันเทิง

ดังนั้น ทุกอย่างเราใส่ใจในรายละเอียดหมด เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่ง่ายๆ เราต้องผ่านความยากลำบากมาเยอะมากค่ะ ถ้าไม่มีคนดู ก็คงไม่มีใครสนใจแข ซึ่งแขก็ต้องขอบคุณผู้ชมคนดูด้วยค่ะ ขอบคุณมากๆ ที่เปิดใจรับนักแสดงผิวสีคนนี้" นักแสดงผิวสียิ้มหวานพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณงามๆ ก่อนจะฝากเป็นกำลังใจ และติดตามผลงานกันด้วย ซึ่งเธอให้คำมั่นว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด


เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง

ภาพ : พลภัทร วรรณดี และขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม @rusameekae




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น