xs
xsm
sm
md
lg

จาก "น้องหมูหยอง" สู่ "ไอ้เลือดเย็น" เพราะกฎหมายเด็กสปอยล์ฆาตกร!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
เศร้าสยองกับข่าวอุ้มฆ่าโหดเผาฝังดินหนุ่มหล่อชัยภูมิ ที่แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะปิดคดีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่สังคมยังรอหลังจากนี้คือบทลงโทษที่ผู้กระทำผิด ซึ่งเมื่อย้อนดูประวัติแล้วก็ยิ่งทำให้ประชาชนอย่างเราต้องคิดหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะก่อนหน้านี้เพียงปีเดียวเขาเคยฆ่าคนมาแล้ว ความผิดซ้ำๆของคนร้ายไม่ต่างไปจากมะเร็งร้ายที่คุกคามสังคมไทย และถ้าเรายังไม่มีมาตรการที่เด็ดขาด อนาคตของเยาวชนไทยเหล่านี้เมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น ผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์ บ้านเมืองคงเต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย ยุวอาชญากร ความปลอดภัย ความสงบสุขคงต้องลดลงอย่างมิต้องสงสัย

 
***เปิดตำนาน 'หมูหยอง' ต้นตำรับฆาตกรเด็กเลือดเย็น!?!

ชื่อของ สาทิตย์ สาแก้ว หรือ หมูหยอง วัย 18 ปี กลายเป็นที่รู้จักและกล่าวขวัญถึงตลอดช่วงปลายเดือนเมษายนที่มา หลังร่วมกับ น็อต-วัชระ พี่ชายวัย 22 ปี ฆ่าเผาโหด นายนิรันดร์ สร้อยสูงเนิน หนุ่มวัย 25 ปี ที่หอพักใกล้ศาลเจ้าพ่อพระยาแล จ.ชัยภูมิ

ความโหดร้ายอันน่าสะพรึ่ง สร้างความหวาดหวั่นให้สังคมไทยถูกเปิดเผย เมื่อผู้ชายคนหนึ่งออมาโพสต์สาปแช่งหมูหยอง พร้อมระบุเคยก่อเหตุฆ่าน้องสาวของเขาเมื่อปีก่อน โดยย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 หากจำกันได้ “หมูหยอง” คนนี้เคยก่อคดีฆ่า น.ส.อัญชลี เทียนนาค พนักงานแนะนำสินค้า ประจำห้างย่านบางนา วัย 28 ปี โดยการรัดคอผู้ตายและใช้มีดแทง 5 แผล ก่อนขโมยสร้อยคอทองคำ 2 สลึง มือถือซัมซุง 1 เครื่อง และรถยนต์มิตซูบิชิของผู้ตายหลบหนีไป

ครั้งนั้น หมูหยอง ถูกพิพากษาให้ติดคุกเด็ก ซึ่งหลังออกจากสถานพินิจได้ไม่นาน “หมูหยอง” ในวัย 18 ปีก็สร้างตำนานฆ่าโหด “น้องรัน” หนุ่มชาว จ.ชัยภูมิ ทั้งไปเผาและฝังดินอำพราง จนมีผู้พบศพและเจ้าหน้าที่ตามจับกุมตัวได้ หมูหยอง ก็ไม่มีท่าทีหวั่นวิตก ทั้งยังยอมรับว่า การฆ่าคนของเขาไม่ต่างไปจากการ ฆ่ามดฆ่าปลวกนั่นเอง

*** วัฏจักรการทำผิดซ้ำ!! หรือสถานพินิจเด็กเป็นแค่ที่เดินเล่นของเยาวชน

การทำผิดซ้ำซากจนกลายเป็นวัฏจักรที่วนเวียนในหมู่เยาวชนผู้กระทำผิดนั้น เป็นเพราะกฎหมายไม่แข็งแรงหรืออย่างไร??? เป็นคำถามที่ค้างคาใจใครหลายคน

รัชพล ศิริสาคร ทนายเจ้าของเพจสายตรงกฎหมาย บอกกับ ผู้จัดการ Live ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่การก่อเหตุในลักษณะพลั้งพลาด แต่เป็นการกระทำความผิดซ้ำซากที่มีการวางแผนไว้แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วกฎหมายไทยไม่ได้เบาไปกว่าประเทศอื่น บทลงโทษเป็นมาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก ปัญหาเด็กที่ออกจากสถานพินิจ รวมถึงผู้ต้องขังที่ออกจากเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ กลับมากระทำผิดซ้ำ ส่วนใหญ่เกิดจากความต้องการเงิน และความมั่นคงในชีวิต จึงเลือกใช้เส้นทางผิดๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง

“อีกเหตุผลที่ทำให้คนเหล่านี้ทำผิดซ้ำซ้อน น่าจะเป็นผลมาจากปัญหาครอบครัวแตกแยก ขาดความอบอุ่น การแก้ปัญหาหลังจากนี้ คงต้องอาศัยความร่วมมือชุมชนช่วยกันสอดส่องดูแล ขณะที่หน่วยงานที่รับผิดชอบ ก็ควรต้องมีขั้นตอนวิธีฟื้นฟูผู้ต้องขังก่อนพ้นโทษ หรือมีมาตรการเข้มข้นอย่างที่นักวิชาการด้านอาชญาวิทยา ออกมาระบุว่าอาจต้องแก้ปัญหาด้วยการกันบุคคลเหล่านี้ออกจากสังคมเพื่อป้องกันผลกระทบกับคนส่วนใหญ่”

 
*** วิกฤตเยาวชนไทย

ไม่เพียงเฉพาะฆาตกรรมหนุ่มชัยภูมิเท่านั้น หากมองคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลพบว่าหลายคดีผู้ต้องหาเยาวชนที่ก่อเหตุหลายรายกระทำผิดซ้ำซากทั้งสิ้น อาทิ กลุ่มเยาวชนพัทลุงฆ่าโหดวัยรุ่นฝังศพ พร้อมข่มขืนแฟนสาวผู้ตายก่อนจับโยนลงเหวเมื่อปีก่อน และ กลุ่มวัยรุ่นก่อความรุนแรงฆ่าชายพิการเมื่อหลายเดือนก่อน

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ สุอังคะวาทิน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงเรื่องปัญหาเด็กเยาวชนไทยว่า นับจากในปี พ.ศ.2555 สถิติตัวเลขที่เป็นด้านมืด ข่าวคราวปัญหาสังคมด้านเด็กและเยาวชนปะทุและระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงแทบทุกวัน อาทิ เด็กอาชีวะยกพวกตีกัน ก่อเหตุรุนแรงด้วยปืน มีด การทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ สูญเสียชีวิต นี่คือสังคมไทยที่ระเบิดเตือนเราแล้วว่าถ้าเรายังไม่ทำอะไรเพื่อเด็กไทยของเราแล้ว อนาคตของชาติคงเต็มไปด้วยอาชญากร

“จริงๆแล้วเด็กไทยมีต้นทุนทางสังคมมากมายและมีจิตแรกเป็นจิตสะอาดรักดี เผื่อแผ่ ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ระยะหลังเด็กไทยสร้างปัญหาระเบิดสังคมด้วยความรุนแรงมากขึ้นเพราะสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมที่เทามืด อันตรายรอบด้าน เด็กจึงขาดที่พึ่งพา ขาดความไว้วางใจเสียสมดุลชีวิตทำให้ก่อเหตุรุนแรงเพิ่มขึ้น ขณะที่หน่วยงานรัฐเองก็ไม่สามารถจัดการกับระเบิดสังคมเหล่านี้ได้ การแก้ปัญหาด้านเด็กและเยาวชนยังคงย่ำอยู่กับรณรงค์ เตือนภัย ปลูกค่านิยม แก้ปัญหาเป็นกรณี และ Events มานานนับ 10 ปี ไม่เปลี่ยนแปลงเลย ระเบิดสังคมจึงดังถี่มากขึ้นทุกวัน”

อย่างไรก็ตามหลังกรณีฆาตกรรมน้องรันอย่างเหี้ยมโหด เลือดเย็นเกินเด็กนั้น ขอให้เป็นกรณีสุดท้าย โดยผู้ใหญ่ของบ้านเมืองควรทบทวนบทบาทมาตรการการลงโทษ เพื่อให้เกิดความเกรงกลัวไม่เอาเป็นแบบอย่าง

 
***ถึงเวลารึยังลงโทษเยาวชน “ก่อคดีอุกฉกรรจ์” รุนแรงเท่าผู้ใหญ่

ความโหดเหี้ยมของหมูหยองและน็อต กลายเป็นวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ ถึงขั้นร้องให้ผู้เกี่ยวข้องปรับบทลงโทษเป็นการประหารชีวิต เนื่องจากรับพฤติกรรมความโหดร้ายไม่ได้ ประกอบกับที่ผ่านมาผู้ก่อเหตุเคยกระทำความผิดร้ายแรงนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในที่สุดก็พ้นโทษหรือได้รับโทษที่ไม่รุนแรง เนื่องจากยังเป็นเยาวชน ซึ่งตามกฎหมายไทยจะได้รับโทษเบากว่าผู้บรรลุนิติภาวะ โดยมีการปรับเปลี่ยนโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุกห้าสิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘ กฎหมายสำหรับเด็กและเยาวชน ที่บัญญัติไว้

ทั้งนี้ มุมมองของสังคมโดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ได้มีการออกมาแสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้ โดยกระแสส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางที่ต้องการให้เพิ่มบทลงโทษ และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อเป็นแบบอย่างและป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกในสังคมไทย..อาทิ

“ใครก็ตามที่คิดว่า อายุ 14 นี่เด็ก ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ตื่นได้แล้ว สมัยนี้เด็กขนาดนี้รู้ดีรู้ชั่วแล้ว การที่มีข่าวอยู่เรื่อย ๆ ว่าเด็กก่ออาชญากรรมรุนแรงแล้วมักจะรับโทษสถานเบา เพราะเห็นว่าเป็นเด็กจะเป็นการฟูมฟักความเชื่อที่อันตรายมาก ฆาตกรที่ฆ่าปาดคอสาวที่เป็นข่าวนี่มันคงเชื่อสนิทว่าการฆ่าคนตาย ติดคุกเดี๋ยวเดียวก็ปล่อยแล้ว ดังนั้นฝ่ายบ้านเมืองต้องทำให้เห็นว่า ใครก็ตามที่ก่อคดีอุกฉกรรจ์เช่นนี้ต้องได้รับโทษอย่างสาสม โดยไม่ต้องคำนึงว่าอายุยังไม่ถึง 18 เพราะถูกเด็ก 14 ปาดคอจะต่างอะไรกับถูกเด็ก 18 ปาดคอ ผลคือคุณตายเหมือนกัน การผ่อนโทษจะเป็นเยี่ยงอย่างที่ทุเรศที่สุด และเชื่อได้เลย จะมีคดีฆ่าปาดคออย่างนี้ตามมาอีกมาก และจะมากเสียจนคุณประสาทเสียเวลาต้องเดินไปไหนมาไหนโดยลำพัง”



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น