ดรามากันอุตลุดกับประเด็น "ไมโลก้อน" ลักษณะคล้ายลูกเต๋าทรงสี่เหลี่ยม ที่กำลังฮอตเบอร์แรงในเวลานี้ พ่อค้าแม่ค้าสั่งพรีออเดอร์จากมาเลเซียกันให้ควั่กเพราะยังไม่มีขายในประเทศไทย อีกทั้งยังมีการโก่งราคาสูงลิ่ว 2- 3 เท่าตัว จนหลายคนตกเป็นเหยื่อ จากปกติราคาประมาณ 250 บาท ขณะนี้ทะยานแตะ 800 บาทต่อห่อแล้ว หนำซ้ำพ่อค้าแม่ขายที่มีจรรณยาบรรณไม่อัปราคาตามกลับถูกตราหน้าว่าขายไมโลปลอมซะงั้น โลกโซเชียลฯ ซัดคนไทยก็ฮิตกระเหี้ยนกระหือรือตามกระแสได้สักพัก สินค้าก็ขายเกร่อราคาลดลงสมเหตุสมผล ขอแค่ใจเย็นๆ เตือน! กินหวานมาก เสี่ยงโรคร้ายไม่รู้ตัว
กระแสแรง อัปราคาจนน่ากลัว?!
ไมโลก้อน รูปร่างทรงสี่เหลี่ยม เป็นก้อนช็อกโกแล็ตที่ทำจากไมโล นำมาอัดเป็นก้อนเพื่อให้ทานได้สะดวก ชาวมาเลเซีย และสิงคโปร์ชอบมาก เพราะรู้สึกเหมือนลูกอมที่ละลายในปาก มีชื่อเต็มว่า ไมโล เอนเนอร์จี้คิวบ์ (Milo Enenergy Cube) เป็นขนมที่หลายคนคุ้นเคยกินตั้งแต่วัยเด็ก รสช็อคโกแลต 1 ห่อ มี 100 ชิ้น ผลิตที่ ไนจีเรีย และ วางขายในประเทศ อังกฤษ มาเลเซีย และ ดูไบ
สำหรับการหาซื้อนั้นค่อนข้างยากเพราะไม่มีจำหน่ายในเมืองไทย ใครที่อยู่จังหวัดทางภาคใต้จึงค่อนข้างได้เปรียบ เพราะอยู่ใกล้กับมาเลเซีย เช่น ตลาดกิมหยง ในหาดใหญ่
“เพื่อนจ่าที่หาดใหญ่ฝากแจ้งว่าไอ้ไมโลคิวบ์นี่ปรกติก็ขายกันเกลื่อนอยู่แล้วมันไม่ใช่ของหายากไรครับ ประเทศเพื่อนบ้านเรากินกันตรึม แต่ไม่รู้ทำไมไม่นำเข้ามาขายในไทย ปกติแพ็คละ 250 ทำไมจู่ๆพอเป็นข่าว กลับมีคนเอาขายอัปราคาไป สี่ร้อย ถึง หกร้อย เลย ใครอยากซื้อราคานั้นก็ตามสะดวก แต่ถ้าอยากได้ราคาสมเหตุสมผล รอหายฮิต หรือฝากเพื่อนฝากญาติที่หาดใหญ่ซื้อจากกิมหยงแล้วส่งมาให้กินก็ได้นะ เบ็ดเสร็จไม่น่าเกินสามร้อย แล้วของก็มีให้สั่งซื้อเรื่อยๆด้วย”
“เราอยู่ยะลา ซื้อกินมาตั้งนานแล้ว 200เอง ตกใจเลยมาเจอเต็มหน้าเฟซฯ 450-600บาท กำไรเท่าตัวเลย”
จากการสำรวจในเว็บไซต์ 11street.my ที่มาเลเซีย ราคาแพคละ 100 ห่อนั้น ขายอยู่ที่ 39.9 RM หรือ ประมาณ 315 บาท ซึ่งราคานี้เป็นการซื้อขายภายในประเทศ ไม่รวมถึงการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ แต่อย่างใด
“อยู่หาดใหญ่และเข้าไปซื้อของในมาเลเซียแถบๆชายแดนก็บ่อยนะ แต่ตามตลาดชายแดนทางมาเลเซียมันไม่มีไมโลคิวบ์ขายคิดว่าน่าจะมาจากที่อยู่ในตัวเมืองหรือตามปีนัง และในกิมหยงก็ไม่ได้มีขายทุกร้านด้วย แต่หากเป็นพวกโกโก้หรือช็อกโกแลตของมาเลเซียเนี่ยราคามันไม่ได้แพงมากขนาดนั้น ยิ่งเข้าไปซื้อร้านขายส่งขนมของแห้งในตลาดมาเลเซีย(ชายแดน)แบบยกลังยิ่งได้ราคาถูก เดาว่าตกห่อนึงไม่เกิน 200 (ราคาส่งยกลังนะ)”
บลัฟกันสุดฤทธิ์! ของแท้ต้องแพงเท่านั้น?
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พ่อค้าแม่ขายจากเพจหนึ่งได้นำไมโลก้อนมาขายแพ็คละ 250บาท จากนั้นมีคนซื้อไปขายต่อ อัปราคาเป็น 500-800 บาท แรกๆก็ต่างคนต่างขายกันดีแต่ซักพัก มีบลัฟกัน บอกว่า แพ็คละ 250 น่ะของปลอมของแท้ต้อง 500-800 เท่านั้นทั้งๆที่มันก็รับจากเค้ามาขายเอง แล้วบอกว่าของเขาปลอมซะงั้น
“ตามกระแสกันหน่อย เดี๋ยววจะว่าตกเทรนด์ #Milo Cube Energy Choccolate สินค้ามีขายในมาเลย์ ดูไบ และ UK เท่านั้นนะคะ จัดส่งได้วันที่ 20 เมษายน 2560 อร่อยมากกกกก 1 ถุง บรรจุ 100 ชิ้น น้ำหนัก 275 กรัม ราคาตัวแทน 650 บาท ค่าส่ง EMS 50(แต่เราส่งฟรีค่ะ) #ส่งเฉพาะEMS #ป้องกันการMeltนะคะ”
อย่างไรก็ดี เพจดัง "Drama-addict" ได้โพสต์รูปภาพของผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่ง ที่ถูกกล่าวหาว่าตนขายไมโลก้อน หรือ ไมโล เอนเนอร์จี้คิวบ์ (Milo Enenergy Cube) เป็นสินค้าปลอม เพราะมีราคาที่ถูกถึง 250 บาท แต่ชาวเน็ตบางรายอ้างว่า ไมโลก้อนก้อนของแท้ ต้องมีราคา 500-800 บาท
“สงสารเขาจังครับ คือคนนี้เขาก็เอาไมโลคิวบ์มาขายตามปรกติก่อนมันฮิตไง ขายราคาปรกติสองร้อยห้าสิบ พอขายไปขายมา จู่ๆแม่งฮิต โดนปล่อยข่าวว่า สองร้อยห้าสิบของปลอม ของแท้ต้องห้าร้อย ก็ของมาจากโรงงานเดียวกัน มันจะจริงอันปลอมอันได้ไงแล้วไอ้บางเจ้าที่ขายห้าร้อย เหมาไปจากคนที่ขาย 250 ด้วยซ้ำ
ส่วนไอ้ข่าวไมโลปลอม อันนั้นเป็นข่าวตำรวจจับโรงงานผลิตของปลอมแบบผง เมื่อสองปีก่อน ไม่เกี่ยวกะตอนนี้ ขนาดไมโลแบบก้อนยังดราม่ากันได้ขนาดนี้ โคตรไทยเลย”
อย่างไรก็ตาม กระแสไมโลก้อนปลอมจากผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กถูกกล่าวหานั้น แท้จริงแล้วเป็นข่าวเก่า ที่เคยเกิดเหตุในประเทศมาเลเซีย เมื่อปี 2558 ในเดือนมีนาคม
สำหรับวิธีการกิน ไมโลก้อน คือการแกะห่อแล้วสามารถกินเดี่ยวๆ ใส่ปากได้เลย รสชาติจะให้ความหนึบเคี้ยวมัน หรือหากจะปรับเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มก็ย่อมได้ เพียงแค่ใส่นมร้อน แล้วคนให้ไมโลก้อนละลาย
นอกจากนี้ ในโลกโซเชียลฯ ยังเกิดกระแสทำไมโลก้อนทานเองซะเลย โดยไม่ต้องพรีออร์เดอร์ที่ราคาแสนแพงอีกด้วย เช่น เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า ท้องฟ้ายามเช้า จ้า
“เห็นกระแสกำลังเห่อมาก ไมโลคิวบ์ ไปค้นในตู้ท้องพระคลังกับข้าว มีเหลืออยู่ห่อนึง จัดการทดลองเลย ไมโล 100 กรัม เติมน้ำเชื่อมฟรุกโตส แบบสำเร็จรูป (น้ำจะน้อย และ ประหยัดเวลา) ค่อยๆ ใส่น้ำเชื่อมไป คนไปจนส่วนผสมเริ่มจับเป็นก้อน ร่วนๆ อย่าให้แฉะ น่าจะสัก 30 กรัม พอดีไม่ได้ชั่งเติมไปดูไป เสร็จแล้วก็อัดใส่พิมพ์ทำน้ำแข็ง ให้แน่น เสร็จแล้วก็เคาะออกมา ได้อย่างที่ห็น
หน้าตาอาจไม่สวยเท่าที่เค้าขาย เนื่องจากเครื่องมือไม่พร้อมเท่า จริงๆ ต้องเอาไปอบอีกด้วยความร้อนต่ำๆ เพื่อให้แห้งกว่านี้ แต่ที่ทำได้แจกลูกๆ และสามีทาน บอกอร่อยดี หนึบๆ.เคี้ยวเพลินคล้าย ซูกัสแต่ไม่เหนียวเท่าเบ็ดเสร็จทำได้ 13 ก้อน คำนวณต้นทุนคร่าวๆ ถ้าใช้ไมโล 1 ถุง 600 กรัม + น้ำเชื่อม. น่าจะราวๆ ไม่เกิน 120 บาท ทำได้ประมาณ 80 ก้อน ใครอยากทานลองแบบนี้ไปก่อน อร่อยเท่าที่ขายรึป่าวไม่รู้เพราะไม่เคยทาน แต่ ถูกกว่าแน่นอน
ปล. ถ้าอยากให้มันเข้มข้นขึ้น อาจผสมนมผงไขมันเต็มเพิ่มเข้าไปด้วยก็ได้ อาจใช้เครื่องปั่นของแห้งช่วยในตอนผสมก็ได้ ปรับกันให้ สนุกสนานไป แต่บ้านเราคงไม่ทำบ่อย กลัวลูกฟันผุ ค่าทำฟันแพง”
เช่นเดียวกับเพจเฟซบุ๊ก Cinnamongal.com ของบิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง โดยเธอได้ลองทำ Milo Cube ทานเอง โดยใช้ไมโลผง กับนมข้นหวาน
หวานน้อยๆ สุขภาพดีนานๆ
สำหรับใครที่เคยกินไมโล จะรู้ว่ารสชาติค่อนไปทางหวานน้ำตาลสูงหากบริโภคเยอะ บางทีถึงกับหวานจนบาดคอ อีกทั้งความหวานหากทานเกินพอดียังเสี่ยงสุขภาพแย่อีกด้วย
จากงานวิจัยพบว่า ประเทศไทยกินหวานมากที่สุดในโลก รองจากประเทศบราซิล โดยคนไทย 1 คน กินน้ำตาลถึง 36 กิโลกรัมต่อปี หรือวันละ 25 ช้อนชา โดยปกติแล้วเราไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 9-10 กิโลกรัมต่อปี หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน
น้ำตาลแทบไม่มีประโยชน์เลย เพราะน้ำตาลคือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งปกติเราทานอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งอื่นๆ เช่น แป้ง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง พวกนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอยู่แล้ว การกินน้ำตาลเพิ่มจากในอาหารปกติ แค่วันละไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำตาลก็จะถูกเผาผลาญไปเป็นพลังงานแบบพอดี
การบริโภคน้ำตาลเพียงเล็กน้อย ถือว่าปกติ เพราะน้ำตาลจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และให้พลังงานแก่ร่างกาย
แต่การกินน้ำตาลมากเกิน ไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันจะไปทำร้ายร่างกาย เนื่องจากน้ำตาลประกอบด้วยสารที่ให้พลังงานสูง แต่ไร้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ ปราศจากโปรตีน ไขมันดี วิตามิน แร่ธาตุ หรือเอนไซม์ต่างๆ
ดังนั้น หากกินหวานมากไป จะต้องเจอ 12 โรคร้ายนี้อย่างแน่นอน
1.เสี่ยงโรคหัวใจ 2. ฟันผุ 3. ตับทำงานหนัก 4. ไขมันพอกตับ 5. อินซูลินทำงานผิดปกติ 6. เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ,7. อาจทำให้เป็นมะเร็ง 8. อายุสั้น9. เสพติดรสหวาน10. แก่ก่อนวัย 11. เป็นโรคอ้วน 12. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กองโภชนาการ กรมอนามัยได้มีการแนะนำปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมต่อวันดังนี้ เด็กอายุ 6-13 ปี ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชา , วัยรุ่นหญิง-ชาย 14-25 ปี ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา ,ผู้ชายวัยทำงาน 25-60 ปี ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา ,ผู้หญิงวัยทำงาน 25 - 60 ปี ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชา ,ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชา, คนที่ใช้พลังงานมาก อย่างเช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน นักกีฬา ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 8 ช้อนชา
สุดท้าย ก็คงจะเป็นอีหรอบเดียวกับ ชาเขียวคิทแคต หรือ ไอติมกูลิโกะ ที่อยากจะกินทีต้องแทบงมเข็มในมหาสมุทร แถมราคายังสูงลิ่ว ปัจจุบันเหรอ ซื้อ 2 แถม 1 หากใครมีสติกำเงินในมือและอดทนรอสักหน่อยดีกว่ามั้ย เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อให้พ่อค้าแม่ขายโขกสับอย่างทารุณ!
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754