xs
xsm
sm
md
lg

“อ้วน-กวน-ปากหมา!” มิติใหม่พระเอกหนังไทย “โอ๊ต” ทลายพุง!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
แทบไม่อยากจะเชื่อ! เมื่อความอวบระยะสุดท้าย ความปากคอเราะร้าย และความกวนบาทา ทำให้เขาได้กลายเป็น “พระเอก” ไซส์บิ๊กที่น่าจับตามองที่สุดในเวลานี้ กับการเล่นหนังฟอร์มใหญ่ไซส์ยักษ์ครั้งแรกในชีวิต ที่จะมาฉีกทุกกฏที่เคยมีมาของวงการหนังไทย “โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน”

จ่าหยอย แฝด ปราโมทย์

“ใครจะมาคิดว่าคนอ้วนๆ ล้ำๆ อย่างเราจะได้มาเล่นเป็นพระเอกถูกไหม (หัวเราะ) ก่อนหน้านี้เคยเล่นซีรีส์ หนังสั้น แต่ครั้งนี้คือหนังโรงเรื่องแรกที่เล่นเลย มันสนุกมากเลยนะ ตอนแรกเรากังวลตั้งแต่ที่จะรับเล่นแล้ว เพราะเราไม่เคยเล่นหนัง แต่เรามาคิด เอาเว้ย ลองดู โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต”

นี่คือความรู้สึกของพระเอกโอเวอร์ไซส์ อย่าง “โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน” ที่กำลังพูดถึงปรากฏการณ์พระเอกหนังไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อความอวบ ปากร้าย แซวแรง ดันไปเข้าตาผู้สร้างเข้าอย่างจัง จนได้ขึ้นแท่นพระเอกในภาพยนตร์ “โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง” และแม้จะกล้าๆ กลัวๆ อยู่บ้าง แต่การตอบรับเล่นหนังเรื่องนี้ คือสิ่งที่เขาอยากพิสูจน์ตัวเอง

“ถามว่ายากไหมสำหรับเรา มันยากมากเลยนะ เพราะว่ามันไม่เหมือนการเล่นละคร ซีรีส์ ซิทคอม เราจะต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในตัวละครให้ได้ มันโชคดีตรงที่ว่าบทที่เขียนมามันแทบจะเป็นตัวเราเลย เราไม่ได้จะต้องปรับตัวเยอะ แต่เราแค่ต้องรู้สึกไปกับตัวละครว่าต้องการสื่อสารอะไร

บทที่รับคือ “หยอย” ครับ จ่าหยอยเป็นคนที่แสบมากครับ แสบเหมือนเราเลย ปากหมา ชอบด่าคนนู้นคนนี้ พูดจาโผงผาง เสียงดัง กวนตีน นี่คือตัวจ่าหยอยเลย แม้ว่าตัวละครนี้จะใกล้เคียงกับตัวเรา แต่เราก็ใส่ความเป็นตัวเองมากไม่ได้ เพราะเดี๋ยวมันจะหลุดคาเรกเตอร์จ่าหยอย ยังไงสุดท้ายก็ยังมีความเป็นตำรวจ”

4 พระเอก ภาพยนตร์ โอเวอร์ไซส์ ทลายพุง
 
จากคะแนนเต็ม 10 ภาพยนตร์เรื่องนี้จะให้ตัวเองเท่าไหร่? เราโยนคำถามไปเพื่ออยากดูเชิงว่าโอ๊ต-ปราโมทย์ จะให้คะแนนการแสดงตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ด้วยท่าทีที่ถ่อมตัวขัดกับบุคลิกภาพภายนอกของเขาซะเหลือเกิน

“เราไม่กล้าให้คะแนนเลยหว่ะ เราไม่กล้าให้คะแนนจนกว่าคนอื่นจะได้ดู เห็นเราเป็นคนแบบนี้ เราเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลยนะ เป็นคนขี้อายมาตั้งแต่เด็ก แต่สิ่งที่เราเป็นวันนี้ การที่เราปากหมา พูดจาไม่เพราะอะไรต่างๆ มันคือสิ่งที่ตอนเป็นเด็ก เราสร้างขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันตัวเอง

แต่จริงๆ ลึกๆ ยิ่งเวลาเจอผู้หญิงที่ชอบ โอ้โห เสียอาการ ทำตัวไม่ถูกเลย ถ้าชอบมากๆ จะมวนท้อง อย่างเจอ “ปู ไปรยา” ไม่ได้เลยนะ มันมวนท้อง มันไปไม่เป็น” (หัวเราะ)

ถามว่า “ทำไมคนถึงต้องมาดูหนังเรื่องนี้” เขาบอกกับเราผ่านน้ำเสียงที่ตั้งใจว่า นี่คือมิติใหม่ของวงการภาพยนตร์ไทยที่มีการนำพระเอกรูปร่างอ้วนท้วมมาแสดงเป็นตัวละครนำ และเขาก็เชื่อเสมอว่าการที่จะทำอะไรสักอย่าง หากใส่ความสุขลงไปในงานนั้นๆ แน่นอนว่าทุกอย่างมันจะต้องออกมาดี

“เอาจริงๆ นะ เรารู้สึกว่าเวลาทำอะไรก็ตามแล้วมีแพสชันใส่ลงไป มันจะออกมาดี ซึ่งตอนที่ถ่ายในกอง ทุกคนสนุกมาก เรารู้สึกเลยว่าตอนถ่ายสนุกขนาดนี้ ตอนฉายต้องสนุกแน่นอน เราว่ามันเป็นอะไรที่มันแปลกใหม่สำหรับวงการหนังเมืองไทย

เพราะเขากล้าเอาคนอ้วนๆ 4 คน มาเป็นพระเอก มันเป็นโอกาสใหม่ๆ เป็นมิติใหม่ๆ ที่ทำให้คนได้ลองเสพอะไรใหม่ ซึ่งมันจะซัคเซสขนาดไหนเราไม่กล้าพูดอยู่แล้ว แต่แค่เรารู้สึกว่าตอนที่เราถ่าย เราใส่ความสุขและความสนุกลงไปเยอะ ฉะนั้นมันก็จะตกมาถึงคนที่ดูว่า เราตั้งใจทำจริงๆ”

 
“ดิบ มาก มาก” นี่หล่ะผม!

ทันทีที่รายการ Paloy's Diary ออนแอร์ผ่านสื่อออนไลน์ เรารู้ทันทีเลยว่าสิ่งที่เราเคยเชื่อมาตลอด เกี่ยวกับตัวตนผู้ชายคนนี้ “โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน” เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเจ้าของบทเพลงเสียงร้องอันอบอุ่น ท่าทางสุภาพ หุ่นหมีน่ากอดที่เรารู้จัก แท้จริงแล้วเขาคนนี้คือคนที่ “กวนโอ๊ย” และมีสกิล “การจิกกัด” ได้แสบเบอร์แรงสุดสุด

“ตัวตนเราเป็นคนแบบในรายการเลยครับ (หัวเราะ) คนเหล่านั้นเขาไม่เคยเห็นมากกว่า แต่เพื่อนๆ ทุกคนรู้หมดว่าเราเป็นคนยังไง ถ้าให้พูดถึง 3 คำที่บ่งบอกตัวเรา คงเป็นคำว่า “ดิบ มาก มาก” มั้ง”

คำว่า “ดิบ” นี่ใกล้เคียงกับคำว่า “เถื่อน” หรือเปล่านะ? เขารีบตอบเราทันทีว่า ดิบ ในความหมายของเขาไม่ใช่ความถ่อยแต่อย่างใด คำว่าดิบของชายคนนี้คือ ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่เสแสร้ง และการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ

“ดิบ ในความหมายของเรา ไม่ได้แปลว่า “ถ่อย” นะ คำว่า ดิบ ของเราคือเป็นยังไงก็เป็นอย่างงั้น มันไม่ต้องเอาอะไรมาปรุงแต่ง เหมือนเวลาจะกินมะม่วงมันก็ต้องกินดิบๆ แบบนั้นเลย (หัวเราะ) เราไม่ได้เสแสร้งในสิ่งที่คนอื่นเห็น เราก็หยาบคายแบบนี้ ถ้าจะเป็นเพื่อนกันได้ก็ต้องรับในสิ่งที่เราเป็นได้

แต่เราไม่ได้หยาบคายเพื่อไปทำร้ายคนอื่นนะ เหมือนในรายการทำไมคนถึงชอบ ถามว่าเราหยาบคายไหม เราหยาบคาย แต่เราไม่ได้หยาบคายเพื่อไปทำร้ายความรู้สึกเขา หรือว่าไปด่าให้เขาเสียหาย”

 
แม้จะดูเป็นคนตลก เฮฮา อารมณ์ดี แบบนี้ เราสงสัยว่าเบื้องหลังเสียงหัวเราะในบางครั้ง เขาจะมีโมเมนท์ความอ่อนแอซ่อนอยู่บ้างหรือไม่ เราลองให้เขาพูดถึงเหตุการณ์ที่คิดว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากที่สุด และวิธีการข้ามผ่านเรื่องแย่ๆ ในแบบฉบับของเขาเอง

“มีช่วงที่ก่อนจะมาทำรายการนี้นี่แหละ เป็นช่วงที่เราหมดสัญญาด้วย ตอนนั้นยอมรับเลยว่าเป็นช่วงที่ท้อมาก และจะออกจากวงการแล้ว คุยกับพลอยว่าปีที่ผ่านมาถ้าทำแล้วยังไม่ซัคเซสอีก ก็จะเลิกแล้ว จะกลับไปทำธุรกิจที่บ้าน ตอนนั้นเราเหมือนเป็นโรคซึมเศร้าเลย มันหนักมาก

ด้วยความที่บ้านเราเป็นครอบครัวธุรกิจ และเราเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ช่วยทำธุรกิจที่บ้าน เราออกมาทำงานของตัวเอง เราเลยไม่อยากมีความรู้สึกที่ว่า เราซมซานกลับไป มันเลยเครียด”

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความพยายามที่จะลองใหม่อีกครั้ง คือคำพูดบางประโยคจากปากคนที่เขารัก และเราก็เชื่อในแบบเดียวกับเขาว่า แค่เพียงไม่กี่คำมันสามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้จริงๆ

“พยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น เอาแรงพวกนั้นมาเป็นแรงผลักดันให้เราทำงาน เอาวะ! ครั้งสุดท้ายแล้ว ลองสักหน่อย เราไม่อยากเลิกทำแล้วกลับไป ทั้งๆ ที่ตัวเราเองยังไม่พยายาม จากนั้นมันก็ค่อยๆ ดีขึ้น

เราโชคดีที่มีแม่ ได้คุยกับแม่ว่า ถ้ามันไม่เวิร์กเราจะกลับมาทำงานที่บ้านนะ แม่บอกว่า อยู่มาตั้งเกือบ 10 ปีแล้ว จะไม่สู้อีกหน่อยเหรอ ทำให้มันสุดและถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยกลับมา พอได้ยินคำพูดเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่เรารักมาก มันสามารถเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้กับเราได้จริงๆ นะ”

“Paloy's Diary” รายการที่มีคนขับปากเสียที่สุด

หากใครเคยได้ชมรายการ “Paloy's Diary” ในโลกโซเชียลฯ อยู่บ้าง คงรู้สึกเข็ดฟันกับผู้ชายคนนี้ ทั้งมาดกวน ปากร้าย แซวแรง การยิงมุกอย่างมีจังหวะชั้นเชิง จนเราต้องขำตามในความตลกร้ายของพิธีกรรายการนี้
แม้จุดเริ่มต้นของรายการคือการชักชวนกันทำแบบขำๆ ไม่ได้คาดคิดว่าจะมาถึงวันนี้ได้ แต่ฟีดแบกที่ได้จากโลกโซเชียลฯ คงยืนยันได้แล้วว่า พวกเขาเหล่านี้ “ไม่ธรรมดา”

“โอ็ต พิชญ์ พลอย เป๊ก-เปรมมนัช แก๊งค์นี้เราสนิทกันอยู่แล้ว ตอนนั้นนั่งดื่มกันอยู่นี่แหละ ก็มีเล่นมุกกันโป๊ะป๊ะๆ มีวันหนึ่งพลอยบอกว่า พี่ หนูอยากทำรายการ พลอยก็เลยทำ Paloy's Diary มาก่อน พอทำมาเรื่อยๆ มันจะเป็นโมเมนท์ของพวกเรา 3 คนที่อยู่ด้วยกันในรถบ่อยๆ ทำไปทำมา พลอยอยากต่อยอดจาก Paloy's Diary ออกมา
3 เพื่อนซี้
รายการ Paloys Diary
 
เราจึงได้ทำออกมาในรูปแบบอย่างที่เห็น คือ มีเพื่อนๆ มานั่งชิลล์ นั่งคุยสนุกสนาน มีร้องเพลงบ้าง แต่ไม่ได้ร้องเพลงทั้งรายการเหมือนในรายการของต่างประเทศ ความสนุกตรงนี้มันเลยเกิดขึ้น”

ใครจะคิดหล่ะว่าเมื่อปีก่อน การตัดสินใจมาร่วมทำรายการของเขาจะเปลี่ยนชีวิตเขาไปในวันนี้ รถตู้คันนี้ไม่เพียงแต่บรรทุกมิตรภาพของเขาและเพื่อนเอาไว้ แต่มันยังพาเขาไปสู่ถนนของ “ความสำเร็จ” อย่างที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเช่นกัน

“เหมือนให้ชีวิตใหม่เลย จากที่ไม่มีงาน ทุกวันนี้มีเพลง หนัง ซีรีส์ มีจัดรายการ มีคนสนใจเรามากขึ้น มันให้เราเยอะ เราต้องยอมรับว่าที่มาจุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งมาจากเพื่อน เพื่อนมองเห็นบางอย่างในตัวเรา และพยายามผลักดันเรา มันเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเรารักเพื่อนมาก เพราะเพื่อนพาแต่สิ่งดีๆ เข้ามา และเราก็โชคดีที่เราอยู่ในสังคมที่ดี และมีแต่คนดีๆ เลยทำให้เราซัคเซสได้”

“เมื่อวาน” ของโอ็ตกับเส้นทางเพลง

เกือบ 2 ปีที่เขาคนนี้ห่างหายไปจากวงการเพลง แม้ก่อนหน้านี้จะมีผลงานเพลงให้ได้ฟังกันอยู่บ้าง อย่างเพลง “ที่รัก” “สิ่งดีดี” และ “การเดินทางของหัวใจ” แต่บอกเลยว่าการกลับมาของเขาที่เพิ่งปล่อยซิงเกิลล่าสุดในเพลง “เมื่อวาน” ในครั้งนี้ มันไม่เหมือนทุกที

“มันเป็นซิงเกิลแรกของเราจริงๆ ที่เป็น Official ก่อนหน้านี้จะเป็นเพลงละคร เพลงหนัง มี Feat.กับคนนั้นคนนี้ แต่ไม่ได้มีที่เป็นของเราคนเดียว ถามว่าเราคิดถึงวงการเพลงไหม คิดถึงนะ เราเป็นคนไม่ทรยศตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่าที่เรามาถึงจุดนี้ได้เพราะดนตรีพาเรามา พาให้เราเข้าวงการ พาให้เราได้มารู้จักเพื่อน

เรามีสิ่งที่มันทำให้เรามาอยู่จุดนี้ได้ เราจะทิ้งมันทำไม ถึงแม้มันอาจจะน้อยลงหรือคนจะไปจำภาพเรากับบทบาทอื่นมากขึ้น แต่สุดท้ายแล้วเราก็รักการร้องเพลง เรารักเวลาที่เราเดินขึ้นมาจับไมค์แล้วมีคนรอฟังเราร้องเพลง มันคือสิ่งที่เรารักที่สุด”

 
ย้อนกลับไปช่วง 10 ปีก่อน เขาเข้าสู่วงการเพลงด้วยความตาถึงของอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่เห็นแววด้านการร้องเพลงและหยิบยื่นโอกาสในการร้องเพลงประกอบภาพยนตร์มาให้ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้ร้องเพลงในห้องอัดเป็นครั้งแรก และมันได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล

“เริ่มแรกร้องกลางคืนและประกวดแนวเพลงแจ๊สได้เป็นแชมป์ประเทศไทย ทีนี้ อ. ที่ ม.รังสิต เขาเห็นว่าเราพอร้องเพลงได้ ชวนเรามาร้องไกด์และร้องเพลงหนัง “รักสุดท้ายของนายไฮโซ” นั่นจึงมีโอกาสได้เข้าห้องอัดครั้งแรก
ตอนหลังได้เริ่มร้องไกด์ ร้องคอรัสให้กับศิลปินในแกรมมี่บ่อยๆ ผู้ใหญ่ในแกรมมี่เขาได้ยินเสียงบ่อย เลยคิดว่าเด็กคนนี้ น่าจะเอาเข้ามาเป็นศิลปินได้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเราเลย”

ความสุขในการร้องเพลงของนักร้องคนนี้ ไม่เพียงแต่การที่ได้สื่อสารความรู้สึกผ่านบทเพลงให้คนได้ฟัง เขากลายเป็น “โอ๊ต” คนคูลที่สร้างเสียงหัวเราะและยิงมุกตลกๆ ให้คนมีความสุขได้มากพอๆ กับการได้ฟังเขาร้องเพลง

“ตอนนี้เวลาคนมาดูเราร้องเพลง เขาไม่ได้อยากมาฟังเราร้องเพลงอย่างเดียวแล้ว เขาอยากมาฟังเราพูด อยากมาฟังเราอำคน มันเป็นเรื่องที่ดีที่เราได้มองโพซิชันของเราเองว่า ทุกครั้งที่เห็นเรา เราอยากให้ทุกคนหัวเราะหรือว่ามีความสุขกลับบ้าน แค่นั้นเราก็แฮปปี้แล้ว นี่คือจุดมุ่งหมายในการโชว์ครั้งหนึ่งของเรา”

8 ปี มูลค่าความรักที่(ไม่)ลดลง?

หากให้พูดถึงความรักในยุคนี้ ใครๆ คงพอเห็นภาพว่ามันมีความแตกต่างจากเมื่อก่อน ความรักกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว อาจถือได้ว่าเป็นยุคที่ “คนรัก” มาเร็ว เคลมเร็ว ซะเหลือเกิน!

“ความรักเดี๋ยวนี้ เราว่ามันฉาบฉวยนะ” เขาตอบมาแค่สั้นๆ หลังจบคำถามที่ว่า คุณคิดว่าความรักของคนยุคนี้เป็นยังไง? ด้วยความที่เกิดในยุค 90 จึงได้มองเห็นสตอรี่เกี่ยวกับเรื่องความรักที่แตกต่างกันสุดขั้วกับความรักในยุคนี้ เขาใช้คำว่า “ฉาบฉวย” เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วไปหมด ซึ่งหากเทียบกับสมัยก่อนนั้นมันเต็มไปด้วยความยากและอุปสรรค

“ต้องยอมรับว่าเราเป็นเด็กยุค 90 เนอะ เราโตมาในยุคพีซีที โทรศัพท์บ้าน กว่าจะโทร.หากันได้นี่ต้องใช้ความอดทนมาก ต้องรอตอนพ่อแม่ไม่อยู่ พ่อแม่ผู้หญิงด่าอีก(หัวเราะ) มันถึงตัวยากมากกว่าจะได้เป็นแฟน กว่าจะได้คบกัน ทุกอย่างมันยาก

ทุกวันนี้พอเจอหน้ากัน เราสามารถติดต่อกันได้แล้ว มีไลน์ มีแอปพลิเคชัน ให้เราถึงตัวคนนั้นง่ายขึ้น เราถึงบอกว่ามัน “ฉาบฉวย” เด็กสมัยนี้เปลี่ยนแฟนเยอะด้วยซ้ำ สมัยก่อนกว่าจะเลิกกับคนนี้ได้รู้สึกว่า จะได้เจอใครที่ดีกว่าคนนี้ไหมวะ จะได้เจอใครที่น่ารักกว่านี้ไหม เดี๋ยวนี้เลิกปุ๊บเปิดเฟซบุ๊กแล้วชอปเอาเลย คนไหนโสดจิ้มได้เลย มูลค่าความรักมันเลยดูลดลง”
หวานใจของโอ๊ต
หวานใจของโอ๊ต
 
พอเปิดประเด็นเรื่อง “ความรัก” เขาก็พาเราเข้าสู่โหมดชีวิตคู่ทันที คุณโอ๊ตเล่าว่าคบหากับแฟนมาได้ 8 ปี ได้มองเห็นไทม์ไลน์ของความรักที่เติบโตขึ้นตามช่วงเวลา และมีมุมมองที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน โดยเฉพาะกับเรื่องการเลือกคู่ชีวิตที่ดูเหมือนว่า สุดท้ายแล้วเราต่างต้องการคนที่เข้ากันกับเราได้ มากกว่าจะเลือกใครสักคนด้วยการมองที่หน้าตา

“สำหรับเราพอโตขึ้น อายุขึ้นเลข 3 เรามองหาความมั่นคงในชีวิต เราเลือกผู้หญิงที่ไม่ได้สวย ไม่ต้องเอ็กซ์ ขอให้เป็นคนที่อยู่กับเราได้ตลอดไป มุมมองความคิดต้องเหมือนกัน การกิน การอยู่ การพูด รสนิยม เซ็กซ์ สิ่งเหล่านี้มันสำคัญนะ ทุกอย่างมันเป็นองค์ประกอบรวมหมดในการใช้ชีวิตคู่ ฉะนั้นมันจะตัดเรื่องความสวย-หล่อ ไปแล้ว มันจะต้องคนที่อยู่กับเราได้ไปตลอด”

ดูภายนอกคล้ายๆ ว่าจะเป็นคนโรแมนติก เราจึงอยากให้เขาเล่าโมเมนท์ตอนอยู่กับแฟนให้ฟังหน่อยว่าจะมุ้งมิ๊งกันขนาดไหน เขาบอกว่าเห็นมาสายตลก ยิงมุกกระจายแบบนี้ สำหรับเรื่องความรัก เขากลายเป็นคนที่พูดน้อยไปเลย?

“เอาจริงๆ นะ เวลาเราอยู่กับแฟนเราเป็นคนพูดน้อยมาก แทบจะไม่ได้พูดเลย แฟนเราพูดเยอะกว่าอีก พออยู่กับแฟน เราได้อยู่กับคนที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เหมือนได้พักผ่อน ถึงเวลาเล่นก็เล่นเต็มที่สนุกเลย แต่เวลาปกติอยู่บ้าน นั่งดูซีรีส์ เล่นเกม ออกไปดูหนัง หากิจกรรมทำเพลินๆ ไม่ต้องผาดโผน

เราเป็นอย่างนี้กันมาตลอด วันนี้เราออกไปทำงานหรือเจอคนเยอะๆ เราก็เป็นในมุมนั้น ซึ่งเราก็เป็นอยู่แล้ว แต่พอเรากลับมาบ้าน เราอยากพักผ่อนและอยากอยู่กับคนที่เรารู้สึกว่า เราอยู่ด้วยแล้วเราหายเหนื่อย”


เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพประกอบ : IG @Oatpramote




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น