xs
xsm
sm
md
lg

แท็กซี่ยิ่งแก้ยิ่งแย่! ปวดใจแต่ไม่แคร์ “ไปค่ะ พี่อูเบอร์”!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“(ส่ายหน้า)ไม่ไป..รถติดจะตาย” , “เดี๋ยวไปไม่ทันส่งรถ” , “แก๊สหมด” สารพัดคำปฏิเสธของแท็กซี่ไทย หลายคนเซ็งหนักเรียกร้องให้แท็กซี่ติดป้ายเลยว่า จะวิ่งไปที่ไหนบ้างจะได้เรียกถูกคัน! สมัยนี้เราไม่มีสิทธิ์เลือกแท็กซี่ แต่เเท็กซี่กลับเป็นคนเลือกผู้โดยสาร จะขึ้นแท็กซี่แต่ละทีต้องลุ้นสุดตัวแทบจะต้องกราบเพื่อให้ไปส่ง ผู้คนจึงหันหาทางเลือกใหม่โหลดแอปฯ เรียกอูเบอร์ (Uber) หรือ แกร็บคาร์ (Grab Car) หลีกหนีปัญหาแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารกันเพียบ แม้จะเป็นธุรกิจสีเทา แต่หลายคนก็โนสนโนแคร์ เพราะราคาถูกกว่า พิกัดชัดเจน ไม่พาอ้อม รู้ตัวคนขับ ประวัติชัดเจน พูดเพราะ ไม่ต้องมายืนรอเสียเวลาโบกแท็กซี่เป็นชั่วโมง!

โนสน โนแคร์ผู้โดยสาร!

แม้จะมี พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 93 ระบุว่า...ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร เว้นแต่การบรรทุกนั้นน่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนหรือแก่คนโดยสาร ในกรณีที่ผู้ขับขี่รถแท็กซี่มีความประสงค์จะไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร ให้แสดงป้ายงดรับจ้างบรรทุกคนโดยสารวิธีการแสดงป้ายและลักษณะของป้ายงดรับจ้างบรรทุกคนโดยสารให้ เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์

ทว่า ก็ยังมีการฝ่าฝืนกระทั่ง บก.จร.เพิ่มข้อหาหลักอีก 1 ข้อหา คือแท็กซี่คันใดปฏิเสธรับผู้โดยสาร จะถูกจับกุมและปรับ 1,000 บาท โดยไม่มีการตักเตือน แต่ก็ปัญหาก็ยังคาราคาซัง ไม่รับผู้โดยสารอยู่ดี

ส่วนเหตุผลคุ้นหูเลยคือ ต้องรีบไปส่งรถ เดี๋ยวไปเติมแก๊ส เติมก๊าซ ไม่ทัน สำหรับพิกัดที่เรียกแท็กซี่ยากใน กทม.นั้นเคยมีการสำรวจกันมาแล้วว่าจุดที่เรียกแท็กซี่ยากที่สุดใน กทม. คือใจกลางเมือง เช่น

1.หน้าห้างมาบุญครอง ผู้โดยสาร (ชาวไทย) มักเจอปัญหาแท็กซี่ปฏิเสธที่จะรับ โดยส่วนใหญ่จะเลือกรับเฉพาะผู้โดยสารชาวต่างชาติ และแม้ว่าจะมีรถแท็กซี่จอดเรียงรายกันเป็นแถวยาว ก็ยังยากที่จะหารถแท็กซี่ที่ไปส่งได้ เนื่องจากเหตุผล “รถติด”

2.หน้าห้างพันธุ์ทิพย์ ,ประตูน้ำ ,เซ็นทรัลเวิลด์โดยเฉพาะช่วงเวลาหลังเลิกงาน ตั้งแต่ 16.00 น. เป็นต้นไป

3.สยาม ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งที่เรียกแท็กซี่ได้ยากมาก ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในย่านนั้นจึงต้องมีการจัดจุดจอดแท็กซี่เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า โดยจะมีพนักงานของห้างคอยดูแลจัดคิวรถแท็กซี่

4.สนามหลวง-ท่าพระจันทร์-ถนนพระอาทิตย์ ผู้โดยสารชาวไทยมักจะมีปัญหากับการใช้บริการแท็กซี่ในบริเวณนี้ เนื่องจากแท็กซี่มักจะเลือกรับชาวต่างชาติเท่านั้น

นอกจากปัญหาเรียกแท็กซี่ยากแล้ว ซ้ำร้ายยังเจอปัญหาโกงมิเตอร์ พูดจาไม่สุภาพ คนขับบางคนก็โรคจิตใส่ผู้โดยสารหญิง บางทีก็ปล่อยให้ลงกลางทาง บ้างก็ขับอ้อมโลก หรือปกติเคยนั่งกลับบ้านในเส้นทางเดิม ราคา 80 บาท ครั้งนี้จัดจุดใหญ่ไปกระพริบ 240 บาท แพงกว่ากัน 2 เท่าตัว

ค่าโดยสารมหาโหด มิเตอร์หรือไฟเธค!?

แชร์กันเพียบในโลกโซเชียลฯ คลิปมิเตอร์มหาโหด! โบกแท็กซี่ “กระทุ่มแบน-สะพานใหม่” ค่าโดยสารพุ่งสูงขึ้นกว่า 1,000 บาท จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก กิตติ ก๊วยสมบูรณ์ ระบุว่า “แชร์วนไป เหตุการณ์จริงเรื่องจริงเกิดขึ้นกับตัวผมเอง เพื่อนช่วยแชร์กันไปนะครับ #มิเตอร์ไฟเธค” พร้อมภาพขณะที่มิเตอร์ค่า โดยสารรถแท็กซี่ พุ่งสูงขึ้นแบบผิดปกติภายในเวลาไม่กี่นาที


เขาเล่าว่า ตนพร้อมด้วยพี่สาวและแฟนสาวได้โบกเรียกรถแท็กซี่สีฟ้าจากย่านกระทุ่มแบน เพื่อจะไปเยี่ยมแม่ที่สะพานใหม่ ระหว่างทางตนนั่งข้างหน้าก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่พี่สาวและแฟนตน ซึ่งนั่งอยู่ทางด้านหลังเริ่มเอะใจกับมิเตอร์ ที่ขึ้นค่าโดยสารเร็วมากผิดปกติ อีกทั้งตัวเลขแสดงมิเตอร์ยังกระพริบคล้ายไฟเธค ไม่เหมือนแท็กซี่ที่เคยนั่งมาทุกครั้ง

กระทั่งมาถึงย่านหลักสี่ ที่ตนเริ่มเห็นว่าค่ามิเตอร์พุ่งสูงขึ้นเร็วมาก จึงได้ทักท้วงและขอให้จอด และถกเถียงกับคนขับแท็กซี่ขึ้น ซึ่งคนขับก็ปฎิเสธว่าไม่ได้โกงค่าโดยสาร ก็ยังตกลงกันไม่ได้ จนตนบอกว่าให้ไปตกลงกันที่สถานีตำรวจ ฝ่ายคนขับจึงยอม ให้ตนจ่ายค่าโดยสารภายในรถได้ โดยในระหว่างที่จอดรถคุยกันนั้น มิเตอร์กลับขึ้นค่าโดยสารจาก 1,084 บาทไปถึง 1,195 บาท ภายในระยะเวลาแค่ 2 นาทีเท่านั้น ตนจึงจ่ายเงินค่าโดยสารไป 300 บาทแล้วรีบลงจากรถพร้อมทั้งโทรแจ้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสาร และรับเรื่องร้องเรียน
นอกจากนี้ ยังมีอีกราย โบกแท็กซี่มิเตอร์จากหน้าแฟชั่นไอซ์แลนด์ราคามหาโหด ค่าโดยสารเพิ่มจาก 85 จน 117 บาท ในเวลา 1 นาที ผู้ใช้เฟซบุ๊ก P Supatach Buathongkaew โพสต์คลิป พร้อมระบุข้อความว่า “โกงขนาดนี้ เอากระเป๋าตังผมไปเลยเถอะครับพี่”



โดยผู้โดยสารใช้โทรศัพท์มือถือ บันทึกภาพตัวเลขมิเตอร์ค่าโดยสารรถแท็กซี่คันหนึ่ง ซึ่งแล่นด้วยความเร็วปกติ แต่ตัวเลขมิเตอร์ค่าโดยสารกลับวิ่งอย่างรวดเร็วผิดปกติ ขณะโดยสารระยะทางไม่กี่กิโลเมตร บริเวณใกล้ห้างแฟชั่นไอซ์แลนด์ รามอินทรา ผู้โดยสารรู้สึกผิดสังเกตและเริ่มบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน ตั้งแต่ช่วงที่มิเตอร์ค่าโดยสารพุ่งมาที่ 80 บาท และเพิ่มอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาที่บันทึกภาพแค่นาทีเศษ ตัวเลขมิเตอร์พุ่งไปอยู่ที่ 117 บาท เกินกว่าราคาปกติที่โดยสารเป็นประจำ

ลากไส้! เหลี่ยมกลโกง

สำหรับเล่ห์กลโกงของแท็กซี่นั้น มาในหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้มิเตอร์ค่าโดยสารจะได้ทะยานขึ้นสมดั่งใจ กรรมก็ตกมาอยู่กับผู้โดยสาร โบก 10 คันก็ไม่รับ แถมพอเรียกได้ดันมาโดนโกงอีก

1.เปลี่ยนยางล้อรถ เพื่อให้มีขนาดแก้มยางเล็กลงไปจากหน้ายางเดิมที่ได้มาตรฐานติดมากับตัวรถ เป็นเรื่องที่ทำมากันนานมากแล้ว แต่งานนี้ต้องมีการลงทุนเพื่อซื้อยางใหม่ทั้ง4 เส้น โดยใส่ยางแก้มเตี้ย หน้ายางแคบ เพื่อให้รอบวิ่งมากขึ้น เร็วขึ้น เลขมิเตอร์ขยับเร็วขึ้น

ทว่า ก็มีจุดสังเกตให้ดูที่ซุ้มล้อยาง เวลารถขับ มาใกล้ๆ ถ้าคันไหนดัดแปลงหรือใส่ล้อแม็กใหม่ที่เล็กกว่าเดิม ก็ปล่อยผ่านอย่าโบก ให้เลือกคันที่ไม่เปลี่ยนล้อ ใช้ล้อเดิมจะดีที่สุด

2.ดัดแปลงแก้ไขสายไฟวงจรรอบเครื่องที่ต่อเชื่อมตรงกับมิเตอร์ ให้มีรอบจัดขึ้น ตัวเลขวิ่งเร็วขึ้น หรือ แท็กซี่เทอร์โบ ตัดวงจรระบบแตรออกแล้วต่อสายตรงเชื่อมกัน ติดสวิตช์ปุ่มลับไว้กด ซึ่งปุ่มนี้จะซุกซ่อนอยู่ใต้คอนโซลหน้ารถ หรือใต้พวงมาลัยคนขับ ผู้โดยสารไม่สามารถรู้ได้เลย จะรู้เฉพาะคนขับคนเดียวเท่านั้น

ผู้โดยสารจึงต้องสังเกตคนขับให้ดี ว่าเขาคอยเอามือจับที่แตรไว้ตลอดเวลา หรือกดแตรแช่ไว้หรือไม่ ถ้ายิ่งกดแช่นานเท่าไหร่ รอบก็จะวิ่งขึ้นเร็วเท่านั้น มิเตอร์ก็พุ่งตาม

3.สลับตัวมิเตอร์ คือ มีมิเตอร์ 2 ตัว เป็นมิเตอร์ตัวจริงที่ผ่านการตรวจอย่างถูกต้อง สำหรับใช้ช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนจะสลับสับเปลี่ยนมาใช้มิเตอร์อีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นมิเตอร์ที่ตั้งระบบโกงไว้แล้ว
ผู้โดยสารสังเกตไม่ยาก ให้ดูที่ช่องตัวเลขบอกระยะทาง ช่องนี้จะจอมืดไม่มีเลขขึ้น รวมถึงช่องบอกเวลาด้วยจะดับ ซึ่งคนขับจะบอกกับผู้โดยสารที่สงสัยและสอบถามว่า 2 ช่องนั้นเสีย ใช้ได้เพียงช่องบอกจำนวนเงินเท่านั้น

ธุรกิจสีเทา ทางเลือกใหม่ ถูกใจแต่ผิด กม. !?

ล่าสุด สหกรณ์แท็กซี่ ยื่นหนังสือกระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางบก จี้เพิ่มค่าโดยสาร ทบทวนโครงสร้างค่าโดยสารในปัจจุบันให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากสาเหตุหลักของการปฏิเสธผู้โดยสาร เป็นเพราะหากวิ่งให้บริการจะไม่คุ้มค่ากับต้นทุน จึงขอให้มีการปรับโครงสร้างแท็กซี่ใหม่
เครดิตภาพ : เพจเฟซบุ๊ก Contrast
นอกจากนี้ ยังขอให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและแก้ไขปัญหารถแท็กซี่ป้ายดำที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากที่ผ่านมามีการนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาให้บริการเป็นรถโดยสารสาธารณะเป็นจำนวนมาก และปัจจุบันก็มีจำนวนกว่า 50,000 คัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนขับแท็กซี่ที่ลงทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ทำให้มีการแย่งผู้โดยสาร เกิดการกระทบกระทั่ง และทำให้รายได้ของรถแท็กซี่ที่ถูกกฎหมายลดลงกว่าร้อยละ 30

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีปัญหาการร้องเรียนขอให้มีการใช้ ม.44 จัดการแอปพลิเคชันอูเบอร์ ว่า ไม่มีแนวคิดที่จะใช้ มาตรา 44 จัดการแอปฯ อูเบอร์ ซึ่งต้องไปดูก่อนว่าแอปฯ อูเบอร์ทำถูกกฎหมายหรือไม่ ซึ่งตอนนี้กำลังให้กระทรวงคมนาคมพูดคุยหาทางออก ทั้งนี้ กฎหมายการให้บริการ การขนรับส่งผู้โดยสารโดยมีค่าตอบแทน มีกฎระเบียบ ข้อบังคับอยู่แล้ว คือกฎหมาย ที่ควบคุมเรื่องแท็กซี่ มีป้ายเหลือง และป้ายต่าง ๆ ต้องดำเนินการตามข้อบังคับ

อย่างไรก็ดี สำหรับอูเบอร์ ที่เป็นปัญหาเพราะมีคนร้องเรียนมาว่าทำผิดกฎหมาย ก็จำเป็นต้องไปตรวจสอบ ต้องไปจับกุม ขณะเดียวกัน ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็ต้องหากฎหมายที่เหมาะสมว่าจะทำอย่างไร ที่จะไม่สร้างปัญหาใหม่่ขึ้นมา ต้องช่วยกันพัฒนา และหามาตรการใหม่ที่จะไปเสริม แต่วันนี้แอปฯ ยังผิดกฎหมายอยู่ ต้องคุ้มครองให้คนที่ขับแท็กซี่ที่ถูกต้องกฎหมายด้วย

สำหรับเสียงสะท้อนของผู้บริโภค อย่าง อาจารย์เจย์ ครูสอนภาษาอังกฤษ จากเพจ Baan Ajarn Jay English as an International Language ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้อย่างน่าสนใจ


“เมื่อเราก้าวสู่ยุคทุนนิยม อย่างหนึ่งที่ตามมาก็คือ การค้าเสรี การมีบริการอย่างอื่น สำหรับผมคือ ปล่อยผู้บริโภคตัดสินใจเอง ตามความพึงพอใจของเขาเอง เราก็ต้องยอมรับว่า taxi เมืองไทยเราผูกขาดตลาดมานานแล้ว จนคิดว่าตนเองครองตลาด ผู้บริโภคไม่มีตัวเลือก ดังนั้นบ่อยครั้งที่เราโดนปฎิเสธ แม้เราจะร้องเรียนแต่แทบที่จะไม่มีเลยที่จะได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

ดังนั้นเมื่อมีผู้ค้ารายใหม่เกิดขึ้น สำหรับผมแล้ว มันดีกว่า ปลอดภัยกว่า คือ เราได้รับข้อมูลทุกอย่าง และยังส่ง feedback ของบริการนั้น ๆได้ ปลอดภัยกว่าด้วยระบบ และราคาก็ยุติธรรม ไม่ต้องมาเจอกับ ปัญหาเมื่อพี่ taxi ไม่อยากใช้มิเตอร์ หรือ บ่นว่าไกล ไม่ไป หรือ หวังว่าจะได้ tips บางครั้งต้องรู้ว่า หน้าไทยคนไทย taxi บางคนไม่อยากรับ เพราะโกงยาก เลือกรับแต่ต่างชาติ เพราะหวังกินนอกกินใน




วันนี้จะไปเรียกร้องให้ ไม่ให้คนอื่นวิ่งลงมาแข่งในตลาดไม่ได้นะครับ สิ่งที่ทำได้คือ ต้องพัฒนาบริการ คุณภาพ และอื่น ๆ เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจ และ พอใจ จนตัดสินใจมาใช้บริการ หากหน่วยงานใด ๆ คิดว่าบริการของรายอื่น ๆผิดกฎหมาย หรือ ห้ามเพราะอยากให้คนไทย คนเมืองต้องทนก้มหน้ารับบริการที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาหลายสิบปี ต้องเปียกฝนโดนปฎิเสธ ต้องรู้สึกว่าเราคือ second class citizen เมื่อเทียบกับต่างชาติที่โบกรถใกล้ ๆ อย่าให้เราเรียก taxi แล้วประโยคแรกคือ "ไปไหม' อย่าไปห้ามเขาเลย เราต้องปรับปรุงตนเองก่อน จะได้แข่งขันได้ ตอนนี้ สำหรับผมเอง หากไม่จำเป็น ผมจะไม่ใช้บริการแท็กซี่เลย ส่วนใหญ่ก็ใช้ grab car ทั้งนั้นครับ

อย่างไรแล้ว taxi ดี ๆ ก็มีเยอะ และหาได้ทั่วไป แต่ผมก็ไม่เลือกที่จะเสี่ยง สุ่ม หว่านแห เอามือยกขึ้นพนม ขอพรพระให้เจอ taxi ที่ใจดี ให้เขาไป ให้เขาไม่ปฎิเสธ ให้กลิ่นใบเตย ส้ม ไม่รุนแรงขณะที่นั่งรถ ให้พี่ ๆ taxi ไม่ดุ และ เป็นมิตรทั้งหมดคือ ความเห็นส่วนตัว จากประสบการณ์ของคนที่ใช้ grab car ทุกวัน และ บอกตรง ๆ เคยเป็นลูกค้า taxi มาก่อน ตอนนี้เลิกแล้ว ยกเว้นจำเป็นจริง ๆ”

ทางออกของแท็กซี่ไทยจะเป็นอย่างไร จะปฏิรูป หรือปัญหาคาราคาซังอีกต่อไป รวมถึงอูเบอร์ และแกร็บ จะทำให้ถูกกฎหมายหรือไม่ คงต้องคอยติดตามกันต่อไป!


กำลังโหลดความคิดเห็น