เธอคือใครกันแน่!!? ทำไมมีแต่คนแชร์ภาพ "หญิงสาวเจ้าเสน่ห์ในชุดนักบิน" รายนี้เต็มไปหมด!! อาจเป็นเพราะเส้นทางสุดตรองของเธอที่ดึงดูดให้ใครต่อใครอยากค้นหา จากชีวิต "วิศวกรสาว" สู่โลกของ "นางฟ้าอินเตอร์" แต่เธอก็ยังไม่หยุดความน่าสนใจในตัวเองไว้เพียงเท่านั้น ประกาศชัดกำลังเตรียมคว้าฝันติดปีกในฐานะ "นักบินหญิง" มาท้าทายตัวเองให้ได้ บอกเลยว่าไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่ยังมีความสามารถที่เจ๋งไม่แพ้ผู้ชายแม้แต่นิดเดียว!!
ไปให้สุด! สู่ฝัน “กัปตันหญิง”
“เอี๊ยม - ปิยธิดา สุภาษี” คือว่าที่นักบินสาว ที่กำลังถูกพูดถึงมากที่สุดขณะนี้ ทีมข่าวผู้จัดการ Live จึงไม่รอช้า คว้าตัวเธอมาพูดถึงที่มาที่ไปของที่ทำให้ภาพและเรื่องราวของเธอถูกส่งต่อบนโลกออนไลน์นับครั้งไม่ถ้วน!
“มันเริ่มมาจากตอนที่เอี๊ยมกลับไปเชียงใหม่ แล้วทีนี้เขามีเพื่อนที่เขียนคอลัมน์หนังสืออยู่แล้วก็มานั่งกินข้าวด้วย เสร็จปุ๊บเขาก็ถามว่าเราเป็นใครมาจากไหน ทำไมไม่เคยเจอเลย
เราก็เล่าให้ฟังว่าทำงานอยู่กรุงเทพฯ เป็นแอร์โฮสเตทมาก่อน เอี๊ยมก็เล่าให้ฟังว่ากำลังจะเป็นนักบิน เรียนยังไง แล้วเขาก็บอกว่าเรื่องน่าสนใจดี พี่ขอไปลงคอลัมน์พี่แล้วกัน เอี๊ยมก็เลยอ๋อ...โอเค ลงได้ไม่มีปัญหา เขาก็ไปดึงรูปมาจากในเฟซบุ๊ก เอามาทำข่าว แล้วคนก็ให้ความสนใจ คนก็แชร์ต่อๆ กันค่ะ แต่ตอนนี้นี้เอี๊ยมยังไม่ได้เป็นนักบินอย่างเต็มตัวค่ะ กำลังอยู่ในช่วงสมัครเข้าสายการบินค่ะ
จากข่าวที่ออกไป เอี๊ยมก็รู้สึกดีใจเหมือนกันนะคะ ที่คนก็อยากรู้ว่า ชีวิตนักบินมันเป็นยังไง มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นนะ ก็อยากรู้ว่าเราเป็นยังไงมายังไง ก็มีคนมาฟอลโลวอินสตาแกรมเยอะขึ้น มาฟอลโลวเฟซบุ๊กเยอะขึ้น ก็ดีใจที่คนให้ความสนใจค่ะ”
จุดเริ่มต้นที่ทำให้สาวเอี๊ยม เบนเข็มจากเส้นทางการเป็นแอร์โฮสเตท ขยับขึ้นมาเป็นนักบิน นั่นก็เพราะอยู่มาวันหนึ่ง เธอได้มีโอกาสได้เห็นการทำงานที่เป็นระบบของกัปตันสายการบิน Eva Air ที่เธอทำอยู่ ประกอบกับ Life style ของตนเองที่ค่อนข้างจะเป็นคนนอกระบบ อาชีพนักบินมันก็เป็นงานที่ท้าทายเธอไม่น้อย
จุดประกายในห้องค็อกพิทกัปตัน(Cockpit)วันนั้น ทำให้ความฝันในการเป็นนักบินของเธอยิ่งชัดเจนขึ้น โดยเริ่มจากการค้นคว้าหาข้อมูล เมื่อครบสัญญา 3 ปีระหว่างเธอกับสายการบิน แอร์ฯ สาวจึงตัดสินใจลาออกมาสานฝันของตนเองต่อ แต่เส้นทางสู่อาชีพนักบินกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ก็เพราะครอบครัวของเธออยากให้ยึดอาชีพแอร์โฮสเตทต่อไป
“ทางบ้านเอี๊ยมไม่ได้มีเงินขนาดนั้น เอี๊ยมก็ปรึกษาแม่ว่า ถ้าเป็นแอร์ฯ อยู่มาวันหนึ่งก็จะแก่ตัวลง เอี๊ยมอยากทำอะไรที่ไปต่อยอดได้ แล้วนักบินมันน่าจะเป็นอาชีพที่สามารถทำได้จนแก่ ตอนแรกแม่ก็ไม่ให้ เขาก็ให้ไปสอบใบแพทย์ก่อน ถ้าผ่านก็ค่อยว่ากัน คือมีดรามากันนิดหน่อยเรื่องในครอบครัว แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ฝ่าฟัน ก็เตรียมตัวสอบ รักษาสุขภาพรักษาร่างกายก็ผ่าน ทางบ้านก็ช่วยสนับสนุน จริงๆ ทางบ้านก็อยากให้เป็นแอร์ฯ ต่อแหละค่ะ แต่เราก็บอกเหตุผลของเราไป”
นักเรียนการบินหญิงคนเดียวของรุ่น
หลังจากที่ผ่านขั้นตอนต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอจึงเลือกที่จะเข้าเรียนแบบ Qualified Pilot (QP) ณ โรงเรียนการบิน Bangkok Aviation Center(BAC) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าสอบ ค่าชุด ค่าหนังสือ ค่าเครื่องบิน รวมทั้งสิ้นประมาณ 2.5 ล้านบาท ภายในหลักสูตรจะเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับกราวน์สคูล รวมถึงเรียนบิน ใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี ก็จะได้ license หรือเปรียบได้กับใบขับขี่ เพื่อที่จะไปยื่นต่อสถาบันการบินพลเรือน จนใบอนุญาตนักบินพาณิชตรีหรือ CPL ออกมา เพื่อนำไปประกอบกับเอกสารอื่นๆ สำหรับยื่นเพื่อนสมัครสายการบินต่อไป
“ใช้เวลาเรียนบินประมาณ 1 ปีค่ะ แต่แต่ละคนไม่เท่ากันนะ อย่างเอี๊ยมออกจากแอร์ฯ แล้วไปเรียนเต็มที่ 5 วัน แต่บางคนมีวันหยุดแค่ 2 วัน ก็ได้บินแค่ 2 วัน ฉะนั้นการเก็บชั่วโมงจึงไม่เท่ากัน บางคนช้าบางคนเร็ว แต่โดยรวมแล้วก็จะเร่งตัวเองให้จบภายในไม่เกินปีครึ่งค่ะ ส่วนผู้หญิงที่มาเรียนบิน ในรุ่นเอี๊ยมรู้สึกจะมีเอี๊ยมคนเดียว แต่ถ้าเป็นรุ่นอื่นก็จะมีไม่เกิน 3 คนค่ะ มีประปราย เอี๊ยมเป็นผู้หญิงคนเดียวของกลุ่ม ก็จะเฮฮากับเพื่อนไป เหมือนเราเป็นผู้ชาย ตอนเรียนวิศวะก็มีเพื่อนผู้ชายเยอะ ฉะนั้นการเรียนบินจึงไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ”
การเรียนบินสำหรับเอี๊ยม จะบอกว่ากลัวก็กลัวอยู่หรอก(หัวเราะ) แต่เรากล้าที่จะทำ ถ้ามันไม่ใช่เราก็หยุด ถ้ามันไม่ใช่เราก็เปลี่ยน เอาที่มันใช่ เอาที่เราโอเค คือไปในจังหวะของเราก็ได้ แต่ว่าต้องมีหัวใจที่จะไปที่นั้นจริงๆ บางคนก็แบบท้อกลางทาง แต่ว่าเราต้องอยากไปจริงๆ เอาให้สุด(ยิ้ม)”
ตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นนักบินเต็มตัวนะคะ ต้องรอเข้าสายการบินก่อน รอรู้ก่อนว่าเราจะได้ขับโบอิ้งหรือแอร์บัส ซึ่งโบอิ้งจะเป็นการควบคุมแบบยกค่ะ แอร์บัสจะเป็นจอยสติ๊ก ถ้าเลือกได้เอี๊ยมอยากขับแบบโบอิ้งค่ะเพราะดูทะมัดทะแมงดี และโอกาสนี้เอี๊ยมอยากอธิบายให้เข้าใจใหม่ เพราะข่าวเขียนกันผิดค่ะว่าเอี๊ยมถนัดทั้ง 2 อย่าง ถ้าในวงการนักบินซึ่งนักบินเขาอ่านปุ๊บเขาก็จะรู้เลยว่านักบินไม่สามารถบินได้หลายประเภท ซึ่งถ้าจะย้ายไปย้าย ก็ต้องไปเริ่มเรียนใหม่ นับชั่วโมงใหม่ ถ้าจะให้ถนัดทั้ง 2 อย่าง มันก็มีแต่หาได้ยากค่ะ
ส่วนใหญ่สเตปการเป็นนักบิน พอเป็นผู้ช่วยนักบินปุ๊บ เขาก็อยากขึ้นกัปตันต่อไป จะไม่ข้ามไปข้ามมา ยกตัวอย่างถ้าเอี๊ยมบินนกแอร์ 5 ปี ได้ 5,000 ชั่วโมง แล้วรู้ว่าโบอิ้งมันไม่ใช่ตัวเอง อยากย้ายไปแอร์บัส อาจจะย้ายได้แต่ก็ต้องมานับศูนย์ชั่วโมงใหม่ ซึ่งการขึ้นเป็นกัปตันหรือสเตปต่อไปมันก็จะช้าลง เขาก็จะไม่ข้ามสายกัน ได้อันไหนก็เป็นอันนั้นไปเลย แล้วก็ไปทำสเตปต่อไปให้เร็วดีกว่าค่ะ”
บนฟ้าไม่ใช่ถนน! เรียนรู้จาก “ครูการบิน”
“เราต้องคุมเครื่องบิน ไม่ใช่ให้เครื่องบินมาคุมเรา Eagle’s eye,Lion’s Heart,Lady’s hand คือหัวใจสำคัญ Eagle’s eye ตาต้องไวเหมือนเหยี่ยว มองไว แสกนไว รับรู้ทุกอย่างไวค่ะ Lion’s Heart ต้องใจแข็ง ลมมา ฝนมา ต้องเอาเครื่องให้อยู่ สุดท้าย Lady’s hand ต้องมือเบาแบบผู้หญิง บินสมูท บินให้ผู้โดยสารไม่อ้วก คอนโทรลเครื่องให้ดีค่ะ”
ว่าที่นักบินคนสวย เล่าย้อนไปถึงคำสอนของครูในโรงเรียนการบิน BAC ผู้ที่คอยเฝ้าดูพัฒนาการของนักเรียนคนนี้ให้ออกมาเป็นนักบินที่มีคุณภาพ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียง 1 ปี ที่เธอเก็บเกี่ยวความรู้จากโรงเรียนแห่งนี้ แต่สำหรับเธอแล้ว สิ่งที่ได้มากกว่าความรู้ นั่นก็คือความประทับใจที่มีต่อครูผู้สอน เพราะทุกครั้งที่มีการปล่อยให้นักเรียนฝึกบิน และมีครูขึ้นนั่งไปข้างๆ ทุกครั้ง เพื่อที่จะได้เห็นพัฒนาการของนักเรียนการบิน
“ครูสอนบินของเอี๊ยมเป็นทหารมาก่อนค่ะ ชื่อครูโมไนยค่ะ ในช่วงแรกก็จะได้บินกับครูคนนี้ตลอด เพื่อเขาจะได้เห็นพัฒนาการของเราจากศูนย์แล้วให้บินได้ มันยากกว่าบินได้แล้วบินให้ดีด้วยซ้ำ ขั้นตอนแรกของชีวิตมันยากมาก จากคนที่บินไม่เป็นให้มาบินเป็น แต่การที่บินเป็นแล้วแล้วบินให้ดี อันนั้นมันพัฒนากันได้ทีหลัง อันนี้สำคัญ แล้วด้วยความที่เอี๊ยมเป็นผู้หญิงห้าวๆ ครูก็จะชอบแกล้ง เอี๊ยมก็ให้ความเคารพเหมือนเขาเป็นพ่อเราอีกคนหนึ่ง แต่เวลาบินก็ต้องจริงจัง เพราะเขาเอาชีวิตขึ้นไปเสี่ยงกับเรา เขาอยากให้เราบินได้ค่ะ”
นอกจากนี้ เธอยังเล่าประสบการณ์การฝึกบินครั้งหนึ่งที่จำได้ไม่ลืม เพราะเกือบจะเกิดอุบัติเหตุแล้ว แต่ก็โชคดีที่มีครูฝึกบิช่วยแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จนปลอดภัยกันทั้งคนขับและเครื่องบิน
“คือครูเขาเป็นคนที่ไวมาก แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เก่งมาก มันมีอยู่ครั้งนึงตอนฝึกบิน มีเครื่องบินอีกเครื่องเกือบจะชนกันอยู่แล้ว เอี๊ยมก็ติดต่อวิทยุตลอด แล้วครูเอี๊ยมที่นั่งไปข้างๆ เห็น เขาก็บอกว่าไม่ต้องลงแล้ว ไม่ต้องแตะพื้น แล้วตอนนั้นคือนาทีชีวิตเลยอะ ถ้าชนกันก็คงอันตรายเหมือนกัน
ครูเขาจัดการทุกอย่างได้เร็วมากจนมันไม่เกิดอุบัติเหตุ แล้วครูแต่ละคนก็เคยบินกับกองทัพมาก่อน เป็นคนเก่งๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ละคนที่แบบ...เท่มาก(ลากเสียงยาว) อายุ 60 - 70 แล้วยังบินได้ คือเขาสร้างคุณค่าให้ตัวเอง ยังทำงาน สอนคนที่บินไม่เป็นเลยให้บินเป็น เอี๊ยมรู้สึกแบบ...มันมีคุณค่า เขาไม่ทำให้ความรู้ที่ได้มามันเสียไป แล้วยิ่งถ้าเรารับมาเยอะๆ เราก็ต้องแบ่งให้คนอื่น ครูการบินทุกคนที่ BAC คือไอดอลในดวงใจเอี๊ยมค่ะ
ถ้าถามว่าระหว่างการเป็นแอร์กับการขับเครื่องบินชอบอะไรมากกว่ากัน เอี๊ยมคิดว่าตอนนี้มาถูกทางแล้ว การเรียนบินมันตอบโจทย์ตัวเองมาก ด้วยค่าใช้จ่าย การตัดสินใจ ความเสี่ยงหรืออะไร ตอนแรกเรากลัวไง กลัวว่าแบบ..เดี๋ยวพอมาเป็นนักบินแล้วมันจะไม่ใช่อีกแล้ว แต่รู้สึกว่าพอมาเรียนบินแล้วมันใช่ตัวเอี๊ยมค่ะ มันโอเค(ยิ้ม)”
เมื่อมีครูการบินเป็นตัวอย่าง ในช่วงเวลาที่เธอกำลังรอสมัครเข้าเป็นนักบินอย่างเต็มตัวตามสายการบินต่างๆ ระหว่างนี้ก็กลัวว่าความรู้ที่เรียนมาจะหดหาย อยากถ่ายทอดความรู้ของตนเองต่อ สาวเอี๊ยมจึงใช้เวลาว่างนี้ตามรอยเส้นทางของครูเช่นกัน ด้วยการเป็นครูสอนบินให้แก่ผู้ที่สนใจ ผ่านการใช้เครื่องบินจำลอง
“เหมือนคนไม่เคยตีกลอง เราไปหัดตีกลอง วันนึงก็ต้องตีเป็นเหมือนกัน เหมือนเราอยู่ในองค์ความรู้นั้นๆ ทุกๆ วัน มันก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ เลยรู้สึกว่าโอเคเรียนจบ มาสอนเด็กๆ ดีกว่า ตอนนี้ก็ได้ยื่นของนกแอร์ไปค่ะ เพราะมีเปิดอยู่ที่เดียว พอช่วงว่าง ก็เลยไปรับสอนเป็น Part time ของ อยู่ที่เก็ตเวย์ เอกมัย เป็นร้านที่ให้คนมาลองขับเครื่องบินจำลอง จริงๆ ที่นี่จะมี 2 แบบก็คือจะมีกัปตันที่เขาเป็นกัปตันสายการบินจริงๆ เขาก็จะมาเช่าชั่วโมงฝึก แทนที่เขาจะเอาเงินไปซื้อน้ำมัน ชั่วโมงละแพงๆ เขาก็มาใช้เครื่องบินจำลองง่ายกว่า กับเปิดโอกาสให้คนที่อยากรู้ว่าเครื่องบินขับยังไง มาลองขับกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กฝรั่งค่ะ”
ก่อนหน้านี้ไม่นาน กองทัพบกได้มีการรับสมัครนักบินหญิงของกองทัพเป็นครั้งแรก ก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ทีมข่าวจึงถามเธอเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่ามีความคิดที่อยากจะเข้ารับราชการบ้างหรือไม่ ซึ่งก็ได้คำตอบตามบรรทัดต่อจากนี้
“เอี๊ยมอยากขับสายการบินมากกว่า อยากขับที่มีผู้โดยสารมากกว่าค่ะ ตอนที่เอี๊ยมเป็นแอร์ฯ เอี๊ยมเห็นเหตุการณ์ที่เราพาคนจากตรงนี้ ไปเจอกันอีกฝั่งนึง แล้วเขาเดินทางปลอดภัย เอี๊ยมชอบโมเม้นต์ตอนนั้น แล้วมีญาติมารับ เขามีความสุขที่ได้เจอกัน เหมือนเราเป็นตัวกลางที่พาเขาไปส่งถึงกันอะไรแบบนี้ มันมีความสุขค่ะ(ยิ้ม)
นอกเหนือจากองค์ความรู้ด้านการขับเครื่องบินที่มีอยู่นั้น สิ่งที่เธอได้มานั่นก็คือ ความอดทน สติ สมาธิ และยังได้พิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นๆ ได้เห็นว่า แม้จะเป็นผู้หญิง แต่ก็สามารถทำหน้าที่ของได้เท่าเทียมไม่แพ้ผู้ชายเลยสักนิด รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงหลายๆ ที่อยากตามฝันความฝันของตัวเองจนประสบความสำเร็จอีกด้วย
"การที่เราขึ้นไปบินเครื่องบินเล็กมันไม่มีแอร์ค่ะ มันเป็นท่อลมเฉยๆ แล้วยิ่งใกล้พระอาทิตย์มันก็ยิ่งร้อน เหมือนนั่งรถเมล์ร้อน(หัวเราะ) แล้วการเป็นนักบินมันไม่ได้นั่งขับเฉยๆ มันต้องหูฟังคนที่มอร์นิเตอร์เรา จากการเซ็ตเครื่องติดตามในเครื่องบิน เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหน แล้วหูเราต้องฟังตลอด มือเราก็ต้องขับ เท้าเราก็ต้องถีบ แล้วครูคนข้างๆ ก็จะคุยกับเราตลอดเวลา เราก็ต้องบอกเขาตลอดว่าเดี๋ยวเราจะเลี้ยวไปตรงไหน เราจะใช้ความสูงเท่านี้นะ คือทุกอย่างบนฟ้ามันต้องแยกประสาททุกอย่าง
คนอาจจะคิดว่าบินง่าย ขึ้นแค่ไปบินแล้วก็ลง มันไม่ใช่ บนฟ้ามันเป็นถนน เป็นเส้น 360 เส้น แล้วการจะตัดกัน เครื่องนี้จะมานะ เราก็ต้องฟังทุกอย่าง ต้องระบุให้ได้ว่าเราอยู่ตรงไหน และอีกเครื่องอยู่ตรงไหน ต้องมีสติมาก ต้องแยกประสาท หลังๆ ก็เลยกลายเป็นแบบ...ไปนั่งอ่านหนังสือในร้านที่ดังๆ ได้(หัวเราะ) คือเราก็จะแยกได้ ความอดทน การโฟกัสก็จะมีมากขึ้นค่ะ(ยิ้ม)”
แอร์โฮสเตท...ชอบแต่ยังไม่ใช่
ย้อนกลับไปก่อนที่เธอจะตัดสินใจก้าวเข้าสู่เส้นทางนักบินนั้น เธอเคยได้คลุกคลีกับวงการสายการบินมาบ้างแล้ว ด้วยการเป็นแอร์โฮสเตท อาชีพที่ค่อนข้างตอบโจทย์ Life style คนชอบเที่ยวอย่างเธออย่างมาก ซึ่งการเป็นแอร์โฮสเตทของสาวเอี๊ยมในตอนนั้น แล้วถือได้ว่าเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของชีวิต จากสาวห้าวที่ไม่รักสวยรักงาม ก็ต้องเปลี่ยนมาดูแลตัวเองมากขึ้น รวมถึงปรับตัวเรื่องภาษาที่ต้องใช้ เนื่องจากเป็นสายการบินของไต้หวัน แน่นอนว่าต้องมีภาษาจีนเข้ามาเป็นภาษาที่ 3 ในการสนทนา ก่อนจะบินลัดฟ้าไปทำงาน จึงมีการเตรียมความพร้อมให้ตนเอง เพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีอย่างที่ตั้งใจไว้
“Eva Air มันเป็นของไต้หวัน ตอนสมัครเอี๊ยมไปกับเพื่อน ชวนกันไปสมัคร แล้วเอี๊ยมดันได้ ก็โอเค พอได้ปุ๊บ ก็มาศึกษา แล้วเราพูดภาษาจีนไม่ได้ ก็แอบเครียดนิดนึง(หัวเราะ) เลยไปซื้อหนังสือภาษาจีนมา คำนี้แปลว่าอะไร ทักทายทั่วไป ตอนนั้นเริ่มจากศูนย์เลย พอประกาศผลปุ๊บ เขาจะมีเวลาให้เราเตรียมตัวประมาณ 3 สัปดาห์ ก็เตรียมตัวไป ศึกษาดูนั่นนี่ว่ายังไง
ส่วนเรื่องความสวยความงาม พอไปถึงปุ๊บ เขามีเทรนด์ทั้งเรื่องของความปลอดภัยและการบริการ ในการบริการเขาก็จะสอนเราทำผม แต่งหน้า คือเขาจะมีคอร์สสอนเบื้องตนว่าแต่งประมาณนี้นะ ลิปสติกสีแดง แมชกับเล็บสีแดง ลิปสติกสีนู้ดแมชกับเล็บสีนู้ดนะ เขาก็จะสอนให้เราแต่งหน้าให้ดูสดใส เวลาเสิร์ฟแล้วผู้โดยสารยิ้ม ให้ดูดี ดูเรียบร้อย แต่ไม่ต้องเยอะ สกิลของเอี๊ยมก็แค่แต่งตัวเองได้(หัวเราะ) ก็มาเริ่มทำผมพอได้ เพราะว่าไฟลท์บิน 12 ชั่วโมง เวลานอนก็ต้องแกะผมนอน ตื่นมาปุ๊บ เราก็ต้องทำผมเอง สกิลการแต่งหน้าทำผมก็จะค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ(หัวเราะ)”
เมื่ออยู่ในเส้นทางสายอาชีพแอร์โฮสเตท อาชีพที่สาวๆ แทบจะทุกคนใฝ่ฝันอยากเป็น ทำให้เธอพบว่า อาชีพนี้ยังไม่ใช่ที่เป็นตัวเอง เธออยากจะก้าวต่อไปให้ไกลกว่านั้น อยากท้าทายความสามารถของตนเองมากกว่านั้น ซึ่งอาชีพที่ตรงกับใจเธอมากที่สุดนั่นก็คือ อาชีพนักบิน
“พอเอี๊ยมได้ที่ Eva ก็ทำที่เดียวมาตลอด เพราะสัญญา 3 ปี แอร์โฮสเตทเป็นอาชีพที่ใครๆ ก็อยากเป็นเนอะ แต่พอเราไปถึงจุดจุดนั้นแล้ว เรารู้สึกว่าก็อาจจะไม่ตอบโจทย์เราอยู่ดี เพราะเราไม่ได้มาสายบริการขนาดนั้น แต่ว่าเราสามารถทำได้เพราะเป็นเรื่องของการทำงาน แต่ถ้าเอาจริงๆ ที่ตอบโจทย์ใจเอี๊ยมเลย เอี๊ยมอยากเป็นนักบิน ตอนนั้นนะ เข้าไปเป็นแอร์ฯ เสร็จปุ๊บ ความคิดที่ว่าเราอยากเป็นนักบิน มันมาตอนที่เราเป็นแอร์ฯ มาตอนที่เราคลุกคลีกับสายการบิน วิถีชีวิต การกินการนอน โอเคเราอยู่ได้ เรานอนไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว อยากนอนตอนไหนก็นอน ลุยๆ หน่อย
ชีวิตเอี๊ยมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ม.ปลายแล้วค่ะ พอเข้ามหาวิทยาลัยเรียนวิศวะมันก็ทำงาน ทำโปรเจคข้ามคืนกันหน่อยอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้นอน 2 ทุ่ม ตื่นตี 5 เหมือนคนอื่นๆ เอี๊ยมจะไม่มีอารมณ์ออฟฟิศเลย จะมีอารมณ์ออฟฟิศก็ตอนที่เราไปทำงานวิศวกรที่ไดกิ้น เอี๊ยมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เอี๊ยมไม่ชินกับแบบนั้น ตื่นมาทุกวันวนๆ มันไม่ตรงกับ Life style ตัวเองค่ะ เอี๊ยมก็เลยหางานที่มันตรงกับเราดีกว่า”
หลังจากครบสัญญา 3 ปี ที่ทำไว้กับสายการบิน แอร์ฯ คนสวยจึงตัดสินใจลาออกและหันมาเอาดีด้านการเรียนบินแทน สิ่งที่เหลือไว้ คือความทรงจำดีๆ และประสบการณ์ ในการทำงานที่สายการบินนานาชาติอย่าง Eva Air
“ประสบการณ์การทำงานที่ Eva ที่เอี๊ยมได้คือ ได้ทำงานแล้วก็เที่ยวไปด้วย ได้พาคุณแม่เที่ยว ต่อมาคือก็เรื่องของการทำงานกับคนต่างชาติต่างวัฒนธรรม ยอมรับเลยว่า การทำงานกับคนจีน เอเชียเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน การปรับตัว มันเลยค่อนข้างไปทางเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วยค่ะ เพราะเขาเป็นคนจีน เราเป็นคนไทย เราไปหวังให้เขามาเข้าใจภาษาไทยก็ไม่ได้ เราก็พยายามที่จะเรียนรู้ภาษาจีน ซึ่งก็ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ภาษาอังกฤษจึงเป็นตัวกลางที่ไว้คอยสื่อสารกัน แต่ว่ามันปรับตัวได้ค่ะ เราทำงานด้วยกันทุกวัน เจอหน้ากันวันละหลายๆ ชั่วโมง ช่วยงานกัน มีอะไรที่ช่วยได้คือช่วยค่ะ
พาคุณแม่เที่ยวนิวยอร์ก
อีกเรื่องคือ พอได้ไปเทรนด์ที่ไต้หวัน ทำให้รู้ว่าที่ Eva มีระบบความปลอดภัยที่แน่นมาก(ลากเสียงยาว) มีการเทรนด์หนักมาก เทียบกับเพื่อนๆ แอร์หลายคนที่เล่าให้ฟัง หลายๆ สายการบินนะ เอี๊ยมต้องอ่านหนังสือทุกวัน เทรนด์ทุกวัน เทรนด์ทั้งความปลอดภัยและบริการ เอี๊ยมยอมรับว่า Eva เป็นสายการบินที่ปลอดภัยมากๆ ซึ่งเครื่องบินของ Eva จะมีหลายประเภทค่ะ ลูกเรือก็ต้องจำการปิด-เปิดประตูของแต่ละประเภทให้ได้ เพราะมันจะแตกต่างกัน คือทุกอย่างเขาเข้มงวดมากเรื่องความปลอดภัยค่ะ(ยิ้ม)”
แม้จะไม่ได้เดินในเส้นทางแอร์โฮสเตทอีกแล้ว แต่สิ่งที่เธอได้เรียนรู้นั้นก็สามารถนำมาต่อยอดกับเส้นทางที่เธอกำลังจะก้าวเดินต่อไปในตอนนี้ได้ ซึ่งก็คืออาชีพนักบิน ในตอนนี้แม้จะยังไม่ได้เป็นนักบินเต็มตัว แต่สิ่งที่ได้จากการเลือกเส้นทางสายอาชีพนี้ทำให้เธอได้อะไรมากมายจากการเป็นทั้งนักเรียนการบิน และครูฝึกบินให้แก่เด็กๆ ซึ่งหากเมื่อเธอได้บรรจุเข้าเป็นนักบินแล้ว รับรองได้เลยว่า สายการบินนั้นย่อมได้นักบินฝีมือดีไปครองอย่างแน่นอน
เจาะลึกชีวิตจากวิศกรสู่แอร์โฮสเตส เมื่อเจาะลึกถึงชีวิตเธอลงไปอีก ทำให้ทราบว่า สาวสวยคนนี้ เป็นชาว อ.ลี้ จ.ลำพูน เธอจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ เธอก็ได้เข้าศึกษาต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งแต่เดิมนั้นเธอคิดว่าคณะนี้มีแต่ผู้ชายที่เรียน แต่เมื่อได้ลองมาทำความรู้จักแล้ว ก็ทำให้รู้ว่า ผู้หญิงก็สามารถเรียนวิศวะได้ แล้วก็เรียนได้ดีไม่แพ้ผู้ชายด้วย ภายหลังเรียนจบก็ได้ทำงานในสายวิศวะประมาณเกือบปีในโรงงานทำเครื่องปรับอากาศชื่อดัง เมื่อได้ทำงานในลักษณะที่ต้องเป็นแบบแผนในทุกวัน จึงรู้ว่าไม่เหมาะกับตัวเอง และ ด้วยความที่เป็นคนชอบท่องเที่ยว อยากเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย แอร์โฮสเตทก็เลยเป็นอาชีพที่ตอบโจทย์ของเธอมากที่สุดในตอนนั้น “เอี๊ยมมีเพื่อนเป็นแอร์ฯเยอะค่ะ เราก็เลยอ่ะ...ลองดู ลองศึกษาข้อมูลดูว่ามันเป็นยังไง ก็เลยลองสมัครไปเรื่อยๆ ดูว่ามันเป็นยังไง ตอนนั้นโมเมพาเพลินกำลังดัง ก็หัดแต่งหน้า หัดทาเล็บ เปิดคลิปยูทิวป์ดู ตอนนั้นเอี๊ยมยังทาเล็บไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ(หัวเราะ) เพื่อนก็นั่งทาให้ ไปด้วยกัน ไปสมัคร Qatar Airways คนสมัครแบบ 2-3 พันคน แต่เอี๊ยมไปไม่ถึงรอบสุดท้าย เอี๊ยมใช้เวลาสมัครอยู่ 6-7 เดือน ตอนนั้นสายการบินเปิดเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ เลยเริ่มรู้สึกว่า พอมันผิดหวังมากๆ ถ้าจะไม่ได้จริงๆ เราจะต้องหาทางอื่นที่ไปต่อ แล้วก็แพลนว่าเราอาจจะไปเรียนโทต่อนะ คือแพลนไว้ A B C เยอะมาก สุดท้ายก็มาได้ Eva Air ก็ดีใจค่ะ ที่เลือกสายการบินต่างประเทศก็เพราะอยากเที่ยวด้วย เอี๊ยมศึกษาข้อมูลก่อนว่าสายการบินนี้บินที่ไหนบ้าง เพราะถามพี่ๆ แอร์ฯ ที่รู้จักหลายคน ก็ได้ข้อมูลมาว่า ถ้าในประเทศก็เหมือนไปเช้าเย็นกลับ ชอบงานบริการจริงๆ รึเปล่า พี่เค้าก็ให้เราถามตัวเองว่า เราชอบที่จะเป็นแอร์ฯ เพราะอะไร ชอบเที่ยวหรือว่าชอบงานบริการแล้วไม่ต้องเที่ยว ก็เป็นสายการบินในประเทศก็ได้ที่เขาเปิดรับ แต่โจทย์ของเราคือ ทำงานไปด้วย เที่ยวไปด้วย ถ้ามีโอกาสก็จะเลือกสายอินเตอร์หน่อย ตอนนั้นคิดว่าเราไปอยู่สายอินเตอร์ก่อน สักพักค่อยย้ายกลับมาอยู่ในประเทศก็ได้ค่ะ” |
ชีวิตนอกเครื่อง กิจกรรมมันๆ สไตล์สาวขาลุย Life style ของเรา เราอาจจะนอกระบบไง คือเอี๊ยมเป็นคนชิลๆ อย่างไปเล่น ไปดำน้ำ อยากไปก็ไป ไปเล่นเวคบอร์ด ซึ่งงานนักบินมันก็เป็นงานที่ท้าทายด้วย คือท้าทายความสามารถแหละ หลายคนอยากเป็น ทำยังไงถึงจะได้เป็น “เอี๊ยมเป็นคนชอบทำกิจกรรมอยู่แล้วค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะว่ายน้ำ สกูบ้า ดำน้ำ เล่นเวกบอร์ด แต่หยุดเล่นเป็นพักๆ เพราะว่าเข่าบิด แล้วเอี๊ยมชอบไปนั่งอ่านหนังสือร้านกาแฟกับเพื่อน เจอเพื่อน หรือว่าไปเล่นโยคะ ไปวิ่ง ลงวินิมาราธอนก็ตามเพื่อนไป ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่นิ่งเท่าไหร่ นานๆ ทีจะนอนตื่นสายๆ จะเป็นแนวลุยๆ มากกว่า เดินป่า ปืนเขา ไปหมด ทำอาหาร ทำขนมบ้าง เปิดกูเกิ้ลดู ดูสูตรแล้วก็ทำตาม บางอารมณ์ที่อยากเป็นผู้หญิงค่ะ(หัวเราะ)” |
ดูแลตัวเองสไตล์เอี๊ยม “สมัยที่เป็นแอร์ฯ ตอนแรกๆ เอี๊ยมจะป่วยบ่อย เพราะบินขึ้นที่สูงบ่อยๆ นานๆ ถ้าสายการบินในไทยบินไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่ของเราบินที 12 - 13 ชั่วโมง ไปถึงปุ๊บ บางที่หิมะตก พอบินกลับมาแดดออก สุขภาพแรกๆ ก็จะป่วยบ่อย หลังๆ มา พอมีวันหยุด เอี๊ยมก็จะหาโอกาสออกกำลังกาย หากิจกรรมทำ ก็ดีขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ถูกหลัก ประมาณนี้ค่ะ พอมาช่วงที่เรียนบิน ถ้าเอี๊ยมนอนนี่ก็คือนอนตายไปเลย(หัวเราะ)เพราะบนเครื่องฝึกบินมันไม่มีแอร์ จะมีแค่ท่อลม ซึ่งจะร้อนและเหนื่อยมาก พอลงมาปุ๊บก็จะชัดดาวน์ไปเลย มันเหนื่อยจริงๆ แต่มันเหนื่อยกาย พักก็หาย แต่ว่าความเครียดก็มี การจัดการกับมันคือ ทำอะไรก็ได้ให้เรารู้สึกว่าทำแล้วสบายใจ ฟังเพลงดังๆ หรือกินขนม คือความเครียดที่เข้ามาเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ เอาให้อยู่ เครียดอยู่แล้วแหละมาเรียนบิน ต้องเตรียมหมดทุกอย่าง การดูแลรักษาสุขภาพ ช่วงบินก็จะไม่ค่อยดื่มแอลกอฮอล์เท่าไหร่ นานๆ ดื่มที แต่ว่าเราก็บอกไม่ได้ว่าไม่ได้ดื่มเลย เพราะเพื่อนเราแต่ละคนผู้ชาย ก็ไปไหนไปกัน เฮฮา คือกินแต่ก็ต้องออกกกำลังกายชดเชยมันไป ซึ่งที่โรงเรียนการบินมียิมให้ออกกำลังกายอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา มีอาหารให้ 3 มื้อ เช้า - กลางวัน -เย็น การดูแลมันเหมือนเด็กประจำค่ะ ตื่นเช้ามากินข้าว ต้องกินข้าวก่อนไปบินอยู่แล้ว ไม่อย่างงั้นบินไม่ได้ หัวจะไม่คิด จะแบบไม่แล่นเลยถ้าไม่ได้กินข้าว ตอนเย็นก็ออกกำลังกาย กลับหอ ตอนเช้ารถก็รับมาโรงเรียน มาบิน ใครบินก็บิน ใครมีเรียนก็เรียน ชีวิตตอนนั้นจะเป็นแบบนี้ค่ะ” |
ประวัติส่วนตัว
ชื่อปิยธิดา สุภาษี
ชื่อเล่นเอี๊ยม
อายุ28 ปี
การศึกษา มัธยมปลายโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
ปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ประวัติการทำงานอดีตแอร์โฮสเตทสายการบิน Eva Air
อาชีพปัจจุบันครูสอนบินแบบ Part time ที่ Flight Experience และกำลังสมัครเข้าเป็นนักบินประจำสายการบิน
สัมภาษณ์โดย : ผู้จัดการ Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “Piyathida Suphasi”
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน White Corner โครงการ The Beacon Place ซอยสุขุมวิท 50
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ
target="_blank">"@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754
allowtransparency="true">
allowTransparency="true">