แทบไม่เชื่อหู! เมื่อผู้ต้องหา “มือไขควง” ผู้สังหาร “น้องปอนด์” รับสารภาพว่าสาเหตุที่ปักแท่งเหล็กลงบนหัวเหยื่อจนถึงแก่ความตาย เพียงเพราะต้องการ “ป้องกันตัว!!”...ป้องกันตัวเพราะกลัวอันตรายจาก “หนุ่มร่างใหญ่” ที่กำลังหลับอยู่... ป้องกันตัวจากคนที่ไม่มีแม้กระทั่งอาวุธใดๆ ในครอบครอง... ป้องกันตัวด้วยการขนเพื่อน 16 ชีวิตไปรุมยำจนเละคาห้อง อยากรู้เหมือนกันว่าบทสรุปของกลุ่มเด็กขี้กลัวกลุ่มนี้จะจบลงแบบไหน!!?
จะดีเหรอ? อ้างทำไปเพราะ “ป้องกันตัว”
"16 ต่อ 1 เรียกป้องกันตัว แถมไปตอนเขานอน อืม..นี่เราสับสนหรือเราตามไม่ทัน"
"อ้างน้ำขุ่นๆ ยิ่งกว่าคลองแสนแสบ บุกหอเขายามวิกาล บอกป้องกันตัว เอาหัวแม่ตี_ข้างไหนคิดวะ"
"กลัวเขาละเมอมากลิ้งทับตายเหรอ"
"แม่_ หนักกว่าอ้างว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกนะ"
"ป้องกันตัว มันเป็นคำสำหรับคนที่กำลังถูกระราน ถูกกระทำ แต่นี่ไปทำร้ายเขาที่กำลังหลับถึงที่ ไม่รู้พ่อสั่งให้พูดเลี่ยงแบบนี้หรือเปล่านะ วาทกรรมแปลกๆ แม่_มาจากพวกสายสีกากีตลอด"
นี่คือส่วนหนึ่งของความคิดเห็นบนโลกออนไลน์เท่านั้น หลังได้ทราบความเคลื่อนไหวล่าสุดในคดีสะเทือนขวัญว่า “ไบรท์-เดชาธร” ผู้ต้องหามือแทงด้วยไขควง ยอมรับสารภาพว่าคือหนึ่งในผู้ก่อเหตุสังหาร “น้องปอนด์-ธีระพงษ์ ฐิตะฐาน” หนุ่มนักศึกษา ม.ศิลปากร วิทยาเขตเพชรบุรี
โดยให้เหตุผลว่า ไม่ได้เจตนาฆ่าให้ตาย แต่ทำไปเพื่อ “ป้องกันตัว” เนื่องจากเห็นว่าผู้ตายมีรูปร่างใหญ่โตกว่า ซึ่งดูท่าจะเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นแม้แต่น้อย เนื่องจากจากหลักฐานทั้งหมดระบุชัดว่า ผู้ตายไม่มีอาวุธใดๆ ในการต่อสู้ครั้งนี้เลย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ฝั่ง 16 อันธพาลบันดาลโทสะ จนถึงขั้นต้องเดินทางไปรุมยำถึงในหอพักนั้น ก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ตายแต่ประการใด แต่กลุ่มแก๊งผู้ก่อเหตุ ซึ่งมีลูกตำรวจ, ลูกทหาร และลูกผู้มีอิทธิพลใน จ.เพชรบุรี อยู่ในกลุ่มนี้ เคยมีเรื่องกับ “อ๊อฟ” เพื่อนของผู้ตาย ซึ่งพักอยู่ในหอพักเดียวกัน แต่วันที่แวะไปชำระหนี้แค้นนั้น เผอิญเจ้าของประเด็นไม่อยู่ เพื่อนร่วมหอจึงกลายเป็นเหยื่อแก๊งโหดในครั้งนี้แทน
กลุ่มคนร้ายนัดแนะขับรถเก๋งถึง 3 คันเพื่อเดินทางไปหาเหยื่อถึงที่ หลังจากนั้นได้บุกเข้าไปในห้องที่มีคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ในนั้น รุมทำร้ายคนเปิดประตู้จนเย็บไป 30 เข็ม ส่วน “น้องปอนด์” เหยื่อผู้โชคร้ายที่กำลังนอนหลับอยู่ ตื่นมาไม่ทันได้ป้องกันตัว จึงถูกกระทืบจนเละ สุดท้ายมือสังหารได้หยิบ “ไขควง” มาเป็นอาวุธแทงเข้าที่ศีรษะจนก้านเหล็งฝังคาเข้าไปมิด เหลือเพียงด้ามไขควงที่หลุดติดมือออกมา ส่งให้เหยื่อบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในที่สุด
ดูเหมือนการกระทำของแก๊งอันธพาลรายนี้ จะไม่เข้าข่ายคำว่า “ป้องกันตัว” เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะถ้อยคำสุดท้ายที่กลุ่มคนร้ายประกาศฝากเอาไว้ว่า ฝากบาดแผลและชีวิตของน้องปอนด์ เอาไว้ให้นายอ๊อฟดู เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบที่กล้าท้าทายแก๊งวัยรุ่นสุดโหดแก๊งนี้!!
กรณีการทะเลาะวิวาทแล้วใช้ข้ออ้างว่าทำไปเพราะ “ป้องกันตัว” นั้น มีให้เห็นได้บ่อยครั้งในสังคมไทย บ้างก็ถูกหยิบมาอ้างในกรณีที่ดูสมเหตุสมผล อย่างเช่น กรณีคดี “ลุงวิศวกร ยิงเด็ก ม.4” ที่วิ่งกรูกันเข้ามาบุกรุกดึงประตูรถ ซึ่งมีภรรยา, มารดา และลูกอยู่ในนั้น
หรือแม้แต่กรณีของ “น็อต กราบรถกู” ที่ต่อยหน้ามอเตอร์ไซค์คู่กรณีที่มาเฉี่ยวชนรถ โดยอ้างว่าอีกฝ่ายมีท่าทีจะต่อสู้ จึงต้องป้องกันตัว ซึ่งถึงแม้คำกล่าวอ้างจะดูขัดกับความเป็นจริงสักเพียงใด ก็ยังดูไม่ขัดแย้งเท่ากับการเป็นฝ่ายบุกไปประทุษร้ายเหยื่อถึงที่ แล้วอ้างว่าทำไปเพื่อ “ป้องกันตัว” อย่างในกรณีโจ๋ 16 รายคดีนี้
เพื่อให้เหล่าคนขี้กลัวเข้าใจกันชัดๆ อีกสักทีว่าข้ออ้างนี้ควรใช้ได้ในกรณีใดบ้าง จึงขอยกการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 68 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ขึ้นมาให้ได้อ่านกันอีกสักที ว่าต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ จึงจะเป็นการอ้างที่สมเหตุสมผล ไม่น่าประณามอย่างที่เป็นอยู่
"ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่น ให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด"
จะอ้างอย่างไร ลูกฉันก็ไม่ฟื้นอยู่ดี!!
อะไรที่ทำให้ “แก๊งอันธพาล” ทั้ง 16 รายในคดีนี้ รู้สึกว่า “น้องปอนด์” คือ “ภัยอันตราย” ที่กำลังจะคืบคลานมาถึงตัวพวกเขา จนต้องรุมกระทืบ-รุมแทงให้เละ? ทั้งๆ ที่เหยื่อวัย 24 รายนี้ไม่มีท่าทีรุกล้ำหาเรื่องใดๆ ก่อนเลยตามสำนวนและคำให้การทั้งหมด เมื่อลองหยิบเอาเรื่อง “การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย” ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง จากคำแนะนำของผู้กองสาวในแฟนเพจ “หมวดคะ” ที่เคยแนะนำเอาไว้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูไม่เข้าเค้าเอาเสียเลย
“องค์ประกอบของการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย หมายความว่าถ้ามีคนจะเข้ามาทำร้ายเรา อย่างนี้ถือว่าเป็น "ภัยอันตราย" ตามกฎหมายแล้ว และถ้ามันกำลังใกล้จะเข้ามาถึง ก็จะเข้าองค์ประกอบของการป้องกันตัวได้ แต่ต้องทำด้วยการพอสมควรแก่เหตุด้วย
แต่ในเคสที่เขาจะเข้ามารุมทำร้ายถึง 10-20 คน ซึ่งเราไม่รู้ว่าเขามีมีดหรืออาวุธไหม แล้วเข้ามาพูดจาชวนหาเรื่อง ชวนทะเลาะ และเราไม่ได้สมัครใจที่จะต่อสู้กับเขา แต่เขาชักชวนให้เราลงไปจากรถ เหมือนเขาเข้ามาหาเรื่องก่อน ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราอาจจะโดนลากไปกระทืบแล้วตายได้ เพราะถึงอีกฝ่ายไม่มีอาวุธ แต่อาจทำให้ตายได้เหมือนกัน ถ้าอยู่ในสถานการณ์นี้และป้องกันตัว ก็อาจถือเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายได้ค่ะ”
แต่ไม่ว่าเหตุผลทางกฎหมายจะอธิบายคดีน่าสะเทือนขวัญครั้งนี้ไว้ว่าอย่างไร ในฐานะผู้ให้กำเนิดอย่าง “อารีย์รัตน์ ชมโลก” คุณแม่ของน้องปอนด์ ก็ยังคงรับไม่ได้ในทุกๆ คำสารภาพอยู่ดี โดยได้เผยความรู้สึกต่อสื่อมวลชนเอาไว้ว่า ดีใจที่ผู้ต้องหายอมรับสารภาพเสียทีว่าเป็นคนแทงลูกชายจนเสียชีวิต ส่วนคนอื่นๆ ก็ช่วยกันรุมกระทืบ ถือว่ามีเจตนาทำร้ายและร่วมกันฆ่าโดยมีการวางแผนตกลงกันเอาไว้ก่อน โดยไม่มีใครห้ามปรามอะไรเลย
และที่อ้างว่า “ทำไปเพราะป้องกันตัว” ก็ตอบกลับมาได้แค่ว่า “สารภาพแบบนี้แล้ว ลูกฉันจะฟื้นไหม!!?” ต่อให้หยิบข้ออ้างอะไรออกมาปกป้องตัวเองก็เป็นคำพูดในวันที่สายเกินไป และอาจเป็นการพูดเพื่อหวังผลทางคดี ให้เปลี่ยนจากโทษหนักกลายเป็นเบาได้เท่านั้นเอง
[แก๊งมือสังหาร "น้องปอนด์"]
“ทุกวันนี้ แม่เขายังทำใจไม่ได้เลย นี่ก็ยังไม่เผาศพน้องค่ะ แม่เขาขอเก็บไว้ 100 วัน เพื่อให้ทำใจได้มากกว่านี้” อรุณี ดีสุวรรณ ป้าของน้องปอนด์ บอกเอาไว้ผ่านรายการ “ต่างคนต่างคิด” บอกเล่าความรู้สึกรันทดใจที่หลานชายที่เรียนเก่งและรับผิดชอบที่สุดต้องเสียชีวิตไป และได้แต่หวังว่ากระบวนยุติธรรมของบ้านเราจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อเยียวยาความรู้สึกของครอบครัว
"ปอนด์เนี่ย ป้าเป็นคนส่งให้เรียนค่ะ ตั้งแต่ ม.1 จนถึงปัจจุบัน ที่จริงพอปอนด์จบแล้ว ปอนด์จะต้องส่งลูกพี่ชายคนเล็ก แต่ตอนนี้ครอบครัวก็ต้องช่วยกันเอง ส่วนคุณแม่เขาก็ทำใจไม่ได้ เขารักลูกคนนี้มากเพราะปอนด์เป็นเด็กดี พอปีสุดท้ายก็จะกลับบ้านทุกอาทิตย์ ช่วยแม่เขาทำงาน
ส่วนเรื่องชันสูตรพลิกศพน้อง ตอนน้องอยู่ที่โรงพยาบาล แม่เขาเห็นตัวฟกช้ำดำเขียวเยอะมาก ก็เลยอยากจะให้ชันสูตรพลิกศพให้แน่ใจอีกรอบหนึ่ง อยากให้แน่ใจไปเลยว่าการกระทำครั้งนี้ คือการรุมฆ่าน้อง ก็อยากจะพิสูจน์ให้เห็นกันไปเลย”
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของคดีนี้ “ไบรท์-เดชาธร” มือไขควงถูกควบคุมตัว เพื่อส่งไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว และไม่อนุญาตให้ประกันตัวได้ เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง อุกอาจ กระทำการโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆ ที่ร่วมกันสร้างเรื่องนั้น ญาติๆ ของพวกเขาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว โดยศาลพิจารณาให้ประกันตัวได้ โดยจ่ายคนละ 7 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขว่า ห้ามไปข่มขู่และยุ่งเกี่ยวกับพยานโดยเด็ดขาด
ทั้งนี้ ผู้ต้องหายังได้เซ็นรับสารภาพในสำนวน และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งไปทั้งหมด 5 ข้อหา ได้แก่ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันบุกรุกในเคหะสถานในเวลากลางคืนโดยร่วมกันกระทำความผิดกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น และอั้งยี่ซ่องโจร ส่วนจะแจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องเจตนาอีกครั้งหนึ่ง
[คลิปกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ]
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754