เกลียด! อยากลากไปตบกลางสี่แยกไฟแดง! คอละครสุดอินบท “เจ้านางตองนวล” ที่เธอตีบทแตกกระฉูด ทำให้ผู้หญิงคนนี้กลายเป็น “นางร้าย” ที่แซ่บที่สุด เปิดฉากประกบ อั้ม - พัชราภา ได้อยู่หมัด จนต้องยกฉายา “แซ่บพริกยกสวน” ให้ในที่สุด แถมเจอดรามาละคร “เพลิงพระนาง” ที่ถูกประเทศเพื่อนบ้านสั่งแบน บอกเลยว่าวินาทีนี้ไม่คุยกับเธอไม่ได้แล้ว “กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล”
#เจ้านางตองนวล..ไม่ได้มาเล่นๆ
…“หมดสิ้นผืนแผ่นดิน ต้องพลาดพลั้งหมดทาง เพราะเพลิงพระนางครองจิตใจ”
เพลงประกอบละคร “เพลิงพระนาง” ก้องในหูทันทีที่รู้ว่ากำลังจะได้เปิดหมดทุกประเด็น กับนักแสดงนางร้ายอันดับต้นๆ ของช่องหลากสี “กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล” หนึ่งในนักแสดงตัวท็อปจากละครเพลิงพระนาง กับบทบาท “เจ้านางตองนวล” ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกโซเชียลฯ
แม้ก่อนหน้านี้ จะมีกระแสให้เห็นอยู่บ้าง ถึงการแสดงความคิดเห็นเชิงลบที่ว่าเธอคนนี้จะรับบท “เจ้านางตองนวล” ได้จริงๆ น่ะหรือ ทว่า หลังออกอากาศในสัปดาห์แรก กระแสเพลิงพระนางกับการพูดถึงบทบาทเจ้านางตองนวล ก็คงเป็น “เครื่องพิสูจน์” ได้แล้วว่าเธอคนนี้ไม่ได้มาเล่นๆ
“ก่อนอื่นเลย กระแสกดดันเยอะมาก เพราะคนไม่คิดว่าเราจะเล่นได้ คิดว่าเราไม่เหมาะกับบทบาทนี้บ้างล่ะ พอกระแสออกไปว่าเราได้เล่นตัวละครนี้ ติ๊บก็ช็อกเหมือนกันนะว่า คนแอนตี้เราเยอะขนาดนี้เลยเหรอ แต่เราได้โอกาสมาแล้ว เราต้องทำให้ดีที่สุด”
ด้วยความที่เป็นละครรีเมก จึงไม่แปลกที่คอละครต่างคาดหวังให้ละครเพลิงพระนางในเวอร์ชันนี้ จะต้องดีกว่าเวอร์ชันที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับตัวละครเจ้านางตองนวล ซึ่งเป็นคู่ปรับตัวฉกาจตลอดเรื่องของ “เจ้านางอนัญทิพย์” รับบทโดย “อั้ม - พัชราภา ไชยเชื้อ” นี่จึงเป็นความท้าทายในบทบาทการแสดงตลอดช่วงเวลากว่า 10 ปีที่อยู่ในวงการบันเทิง
“มันเหมือนจะง่ายนะคะ เพราะติ๊บเองก็เล่นบทร้ายบ่อย แต่เรื่องนี้เป็นบทร้ายที่มีตั้งแต่อายุ 18 ยาวไปจนถึงอายุ 60 จากคนปกติดีๆ จนกลายเป็นคนไร้สติ ติ๊บนึกไม่ออกเลยว่าเรื่องอื่นที่เล่นมาจะมีอะไรยากเท่านี้อีก ความยากมันอยู่ที่เวลาเราเข้าฉากที่ต้องเล่นเป็นเด็ก และเปลี่ยนชุดข้ามไปเล่นเป็นแม่ มันสลับพาร์ตกันอยู่ตลอดเวลา
เข้าฉากนี้ น้ำเสียงเป็นเด็กต้องแสดงยังไง พอหมดฉากนี้ต้องเปลี่ยนชุดเล่นเป็นแม่ เราต้องแยกให้ออกว่า ถึงจะเป็นตัวละครตัวเดิม มีคาแร็กเตอร์เหมือนเดิม แต่ช่วงวัยเขาไม่เหมือนเดิม มันเป็นการบ้านของเราว่าจะทำยังไงให้รู้สึกว่ามันต่าง”
หากถามว่า “ละครเรื่องนี้สอนอะไรคนดู” แน่นอนว่า ละครทุกเรื่องไม่เพียงแต่มอบความบันเทิงเพียงอย่างเดียวให้แก่ผู้ชม ทว่า ยังมีเรื่องของข้อคิด คำสอน สอดแทรกเข้ามาเป็นข้อเตือนใจสะท้อนคนดูอยู่เสมอ เช่นเดียวกับตัวละครเจ้านางตองนวล ซึ่งกระติ๊บเองออกตัวไว้เลยว่าการแสดงบทบาทนี้ก็เหมือนมาแสดงบาปให้คนดู
“แน่นอนเลยว่าตองนวลเริ่มเรื่องมา คือ เป็นองค์ประกันจากรัฐรัฐ หนึ่ง ตองนวลเองเป็นคนที่ทะเยอทะยานตั้งแต่เด็ก ต่อให้เรามาในฐานะเชลย แต่ไม่เคยคิดว่าเราเป็นเชลย คิดจะเป็นใหญ่เท่านั้น ถือเป็นหนึ่งตัวละครที่สะท้อนว่า ถ้าทำอะไรโดยไม่ใช้ปัญญาหรือไม่มีสติ จุดจบมันจะไม่สวยงาม
ติ๊บว่าถ้าดูให้ดีมันให้เยอะเลยนะคะ การที่เราเหยียบคนอื่นขึ้นไป หรือการที่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา ยังไงมันก็ไม่มีความสุข จริงๆ แล้วการเล่นละครก็เหมือนสอนธรรมะ มีการสอดแทรกเรื่องพวกนี้ เหมือนติ๊บมาเป็นบาปให้ดู เป็นความชั่วร้ายที่แสดงมาให้เห็น โดยที่คุณไม่ต้องไปทำเองหรอก อยู่ที่ว่าคนดูจะหยิบพาร์ตไหนมาใช้กับตัวเอง มันอาจจะช่วยชะลอการตัดสินใจของเขาขึ้นมาได้”
“คำชมเราเก็บไว้..คำติงเรารับฟัง”
แม้กระแสละครเรื่อง “เพลิงพระนาง” จะร้อนระอุตั้งแต่ยังไม่เริ่มฉาย เพราะทันทีที่ปล่อยเอ็มวีตัวแรกสู่สายตาแฟนละคร กลับมีเสียงวิจารณ์ถึงเรื่องการทำเอ็มวีที่ไม่สมจริง ท้องฟ้าคนละสี เสื้อผ้า หน้าผมของนักแสดง อีกทั้งยังแรงต่อเนื่องมาจนละครออกอากาศ ซึ่งยอดเรตติ้งไม่ได้มาแรงกระฉูดตามที่คาดหวัง
เราจึงอดถามไม่ได้ถึงกระแสการพูดถึงละครเพลิงพระนาง จากปากนักแสดงตัวท็อปของเรื่อง ซึ่งเธอบอกกับเราว่าได้ติดตามดูฟีดแบ็กอยู่ตลอด และแน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีทั้งคนติและคนชม
“คำชมเราเก็บไว้ แต่ถ้าติ ติ๊บจะดูว่าเขามีเหตุผลไหม ถ้าเขาติโดยมีอคติ เราเลือกที่จะอ่านแล้วปล่อยมันไป แต่ถ้าติเพื่อก่อให้มันดีขึ้น ติเพื่อเหมือนเป็นครูเรา เราจะฟังแล้วรีบเอาไปแก้ไข ฉะนั้น ติ๊บรู้สึกว่าตอนนี้ต่อให้คนชมก็ไม่ได้ดีใจขนาดนั้น คนติก็รับฟัง
ส่วนเรื่องเอ็มวีท้องฟ้า วันนั้นท้องฟ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ค่ะ เราอ่านแล้วรู้สึกว่าเขาติไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรขึ้นมา เรื่องแค่เล็กน้อยยังจับมาเป็นประเด็นได้ ติ๊บก็รู้สึกเห็นใจคนทำงานคนอื่น เพราะเราอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น แล้วท้องฟ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ”
แต่เรื่องที่เป็นประเด็นมากที่สุดในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นกรณีที่ประเทศเพื่อนบ้าน ติงละครเพลิงพระนางและให้ยุติการออกอากาศ ด้วยเหตุผลที่ว่าละครมีการตีความถึงประวัติศาสตร์ประเทศพม่าช่วงท้ายของราชวงศ์ เป็นการใส่ร้ายราชสำนักพม่าและทายาทที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
ทว่า หลังมีกระแสการยุติการออกอากาศก็ทำเอาแฟนๆ ละครถึงกับใจหาย ซึ่งเธอได้ยืนยันกับเราว่าในละครเป็นเพียงเรื่องที่สมมติขึ้นมาเท่านั้นเอง
“อยากให้มองตรงนี้ที่ว่ามันเป็นเมืองสมมติขึ้นมาที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในเมืองเมือง หนึ่งเท่านั้นเอง อาจจะมีแค่เค้าโครงบ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ติ๊บคิดว่าถึงแม้มันจะเป็นเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์ เพื่อให้คนเรียนรู้ความผิดพลาดหรือการเกิดขึ้น แต่ถ้าเราไปอิงและอคติพร้อมที่จะปะทุ ติ๊บเชื่อว่ามันเป็นเรื่องที่รุนแรงพอสมควรเลยนะ
อยากให้มีสติ เรื่องสมมติก็คือเมืองสมมติ แม้กระทั่งตัวตองนวลและเมืองมีดไม่ได้มีอยู่จริงในหนังสือเล่มนั้น ทุกอย่างถูกแปลงลงมาเป็นบทประพันธ์เรียบร้อยแล้ว”
“นักเรียนศิลปะ นางงาม นักแสดง”
“ติ๊บเชื่อคำว่า “Meant to be” นะ อะไรถ้ามันจะเป็น..มันก็ต้องเป็น!”
ความน่าสนใจของผู้หญิงคนนี้คือ เธอเรียนศิลปะ จากนั้นได้มาประกวดนางงามเวทีหนึ่ง และเข้าสู่อาชีพนักแสดงตั้งแต่นั้นมา จังหวะชีวิตของเธอคงไม่มีประโยคไหนจะเหมาะเท่าคำว่า “Meant to be” ที่เธอบอกเราข้างต้น
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เธอเข้าสู่วงการบันเทิงหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง “รองอันดับ 2 มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปี 2008” แม้ละครเรื่องแรกจะได้แสดงความสามารถในบทบาท “นางเอก” แต่ด้วยลุคที่ดูเหมือนว่าจะเหมาะกับบท “นางร้าย” ซะมากกว่า! หลังจากนั้นเธอจึงรับบทนางร้ายในจอทีวีตลอดมา
“เรื่องแรกเล่นเป็นนางเอกค่ะ แต่ไปไม่รอดเลยมาเป็นนางร้าย (หัวเราะ) ตอนเข้าวงการใหม่ๆ ติ๊บยังตอบตัวเองไม่ได้นะว่า มันใช่สำหรับเราแล้วหรือเปล่า กว่าติ๊บจะตอบตัวเองได้ก็ 5-6 ปีมาแล้ว ว่าเราชอบอาชีพนี้จริงๆ ตอนแรกรู้สึกแค่ว่าการที่เราได้โอกาสมาโดยที่เราไม่รู้คุณค่า
แต่พอมีช่วงหนึ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง จนรู้ว่าสิ่งที่แต่ก่อนเราได้มาง่ายๆ มันไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคน ฉะนั้น ติ๊บจึงบอกกับตัวเองตลอดว่า ถ้ามีโอกาสกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ติ๊บต้องทำมันให้ดีที่สุด”
เคยคิดอยากทำอย่างอื่นบ้างไหม? เราถามคำถามนี้เพราะว่าเห็นว่าดารา-นักแสดงส่วนใหญ่มักมีจ็อบเสริมกัน หรือไม่ก็วางแผนทำอะไรสักอย่างในอนาคต
“ทุกวันนี้ก็ยังเขียนรูปอยู่นะคะ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าถ้าเราทำอะไรก็อยากทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ ติ๊บเคยเกิดคำถามนี้ขึ้นกับตัวเองในชีวิต แต่ติ๊บได้คำตอบจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง นั่นคือ “อาดวงดาว” ติ๊บถามคุณอาว่าเคยเบื่อบ้างไหมอยู่วงการมาตั้งแต่เด็ก เคยคิดอยากทำอาชีพอื่นบ้างไหม อาดวงดาวตอบติ๊บมาว่า
ติ๊บลองมองรอบตัวดูสิ มีอาชีพไหนที่เวลาไม่ยืดหยุ่นขนาดนี้ มีอาชีพไหนไหมที่ได้ออกไปข้างนอกทุกวัน ได้เจอคนใหม่ๆ ตลอด มีอาชีพไหนไหมที่เดินไปที่ไกลๆ แต่คนหันมายิ้มให้เราในถิ่นแปลกที่ แปลกทาง มีที่ไหนไหมที่เป็นกระบอกเสียงในสิ่งที่คนอื่นอยากจะพูดแต่ไม่มีโอกาส”
“ฉะนั้น อย่ามัวมองที่อื่น มองจุดที่เรามีก่อนดีกว่าและภูมิใจกับสิ่งที่เราเป็น”
ติ๊บรู้สึกตัวทันทีเลยว่า ทำไมเราไม่เคยคิดแบบนั้น คิดแต่ว่าอันไหนทำแล้วดี อันไหนทำแล้วดัง อยากทำบ้าง อยากเป็นบ้าง แต่ไม่ได้มองว่าจุดที่เราทำและเราเป็น มีอีกกี่แสนคนที่อยากมายืน ติ๊บต้องรักในอาชีพนักแสดงและซื่อสัตย์กับมัน ติ๊บรู้สึกว่าตัวเองตื่นในวันนั้น . .
ขาวคือขาว ดำคือดำ : ทำไมชีวิตไม่เบลนสีเข้าหากัน?
“สังเกตไหมว่า ประเทศไหนที่มีการเสพศิลปะ มีการซื้อรูป หรือคนในประเทศเข้ามิวเซียม ให้ความสำคัญกับมิวเซียม ประเทศนั้นเป็นประเทศที่เจริญและคนฉลาด ถ้าตามหลักวิทยาศาสตร์ที่มีตัวต้น ตัวแปร ศิลปะมันจึงสัมพันธ์กันระหว่างความรู้กับความเจริญของจิตใจคน ติ๊บว่าประเทศไทยยังขาดตรงนี้”
เธอพูดในฐานะที่เป็นเด็กศิลปะคนหนึ่ง จากคณะจิตรกรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งก่อนหน้านี้เคยรับหน้าที่เป็น “ครู” สอนศิลปะแก่เด็กๆ อนุบาลในช่วงระหว่างเรียน ทว่า สิ่งที่เธอเห็นและตอบตัวเองได้ทันทีเลยว่า ศิลปะกับเด็กไทยยังคงขาดความเชื่อมโยงกันอยู่
“จากประสบการณ์สอนเด็กมา วันแรกที่ไปสอน ติ๊บให้เด็กวาดรูปอะไรก็ได้มา 1 แผ่น เด็กจะวาดบ้านและมีภูเขาข้างหลัง มีต้นไม้ซึ่งมีก้านขึ้นมา 3 อัน มี พ่อ แม่ ที่เป็นก้างปลาออกมายืนหน้าบ้าน มีนกที่เป็นขีดๆ สิ่งที่เราเห็นคือเราค่อนข้างตกใจว่า เด็กที่มา 20-30 คน วาดเป็นแพตเทิร์นเดียวกันหมดเลย
ติ๊บว่าเด็กใส่ความคิดของครูมากเกินไป ไม่รู้เรียนที่ไหนมา ทำไมเคาะออกมาเป็นพิมพ์เดียวกันทั้งประเทศ มันน่าเป็นห่วง ติ๊บรู้สึกว่าตรงนี้มันไม่ได้ ถ้าติ๊บเป็นครู หรือต่อไปในอนาคตได้เป็นครูอีกสักครั้ง นักเรียนของติ๊บจะไม่ใช่แบบนี้ การวาดรูปสวยไม่ใช่ว่าต้องวาดออกมาเป็นการ์ตูน ติ๊บอยากให้เขาเรียนรู้การวาดจริงๆ ติ๊บชอบเด็กที่คนอื่นมองว่าไม่รู้เรื่อง มากกว่าจะมองให้เป็นภาพที่มันซ้ำกับคนอื่น”
จากแนวคิดเล็กๆ ที่ได้จากการสอนศิลปะเด็กๆ ทำให้เธอเปลี่ยนความคิดตัวเองว่า ชีวิตมนุษย์ทุกคนควรมีการเบลนสีเข้าหากัน มากกว่าจะมองว่าใครคือสีใดสีหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครขาวหมดหรือดำหมด
“ในจุดเล็กๆ ที่เกิดขึ้นมา ติ๊บว่าถ้าเราแนะนำแนวทางที่มันถูกต้อง ติ๊บเชื่อว่าประเทศมันจะมีสีสันและมีความแตกต่างกว่านี้แน่นอน ไม่ใช่ว่าอะไรที่แตกต่างกันมันคือปัญหา คนทุกวันนี้ชอบคิดว่าขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ แต่มันไม่มีการเบลนกัน สมมติ ฉันฟ้า เธอเหลือง เราผสมกันออกมาเป็นเขียว ทุกวันนี้จิตใจคนเราขาดความละมุนละไม”
บ้านเราสไตล์ “บุฟเฟต์”
ดูท่าทางเป็นคนเฮฮา สบายๆ สายชิลล์แบบนี้ อยากรู้ว่าที่บ้านเป็นครอบครัวสไตล์ไหน?
“บุฟเฟต์ค่ะ ยังไงก็ได้เลย” คำแรกที่เธอบอกเราคือ ที่บ้านสอนแบบบุฟเฟต์? ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องของกินก็คงหมายความประมาณว่า “เท่าไหร่ก็ได้ อะไรก็ได้ ได้หมดถ้าสดชื่น” อะไรทำนองนั้น
เธออธิบายความสงสัยกับเราว่า ที่บ้านดูแลเธอแบบไม่เข้มงวด สบายๆ สอนแบบแมนๆ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ พร้อมเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังถึงการเลี้ยงดูของคุณแม่ ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา
“ตอนเด็กๆ เวลาเราเห็นเพื่อนไปเที่ยว เขาต้องหนีพ่อแม่ไปเที่ยวกัน ติ๊บรู้สึกว่ามันสนุก แต่แม่ติ๊บคือเวลาเราบอกจะไปเที่ยว แม่จะบอกว่ากุญแจรถอยู่นี้นะ น้ำมันเต็มถัง และก็ให้ตังค์ แต่ขอเที่ยงคืนกลับบ้านนะ เราเลยรู้สึกว่ามันไม่ตื่นเต้นเลยเพราะแม่เราอนุญาต (หัวเราะ)
ถามว่าดีไหม ติ๊บว่าไม่ดีนะ (หัวเราะ) เพราะเลตไม่ได้ เขาให้เที่ยงคืนคือต้องกลับเที่ยงคืน เขาให้ใจเรามาก่อน ฉะนั้น เราก็ต้องให้ความเคารพเขากลับ การเลี้ยงลูกให้เกรงใจเอง ติ๊บว่าเป็นสุดยอดแม่จริงๆ นะ เขาสอนเราแมนๆ เลย จะคบใครก็ได้ แต่ต้องดูดีๆ ก่อน”
เหมือนว่าเธอจะสนิทกับแม่ที่สุด นั่นคงเป็นเพราะว่าแม่คือ “ผู้หญิงเก่ง” ในความคิดของเธอ เธอเล่าให้ฟังว่า แม่ทำงานดูแลครอบครัวตั้งแต่เธอยังเล็ก ซึ่งหากเทียบกับเธอในตอนนี้ก็ยังคงทำงานเก่งได้ไม่เท่าแม่ เธอบอกกับเราว่าแม่นี่แหละคือไอดอลในเรื่องการใช้ชีวิต
“ติ๊บสนิทกับแม่ที่สุด ด้วยบุคลิกของแม่ พอโตขึ้นเรารู้สึกว่า แม่เราเท่ แม่เราเจ๋ง แม่เป็นผู้หญิงที่เก่งมาก ตอนติ๊บเด็กๆ แม่เปิดร้านอาหารข้ามประเทศที่กัวลาลัมเปอร์ ตอนนั้นติ๊บอายุ 6 ขวบ แม่ไปที่นั่นจากคนที่ไม่รู้ภาษาอะไรเลย จนแม่มีรถ มีร้าน พูดภาษามลายูได้ ไปที่ไหนทุกคนเรียกแม่ว่า “เถ้าแก่โซ่” แม่เคยไปถึงจุดนั้นได้ด้วยตัวเอง
ติ๊บรู้สึกว่าเขาเก่ง ติ๊บยังเก่ง ยังขยันได้ไม่เท่าเขา ส่วนพ่อจะทำหน้าที่กลับกันคือเป็นพ่อบ้าน เลี้ยงลูก แต่ถ้าพูดถึงคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดติ๊บมากที่สุดเลยคือ แม่ เพราะว่าแม่ไม่ใช่คนที่ได้อะไรมาง่ายๆ แต่แม่จะได้ทุกอย่างมาด้วยแรงงาน ต้องเหนื่อยกว่า แต่มันเท่มากสำหรับติ๊บ แม่คือไอดอลการใช้ชีวิตของติ๊บเลย”
ตัวเองมีความสุขแล้ว..พ่อแม่มีความสุขหรือเปล่า?
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้จากแววตาของเธอตลอดบทสนทนา ในท็อปปิกเรื่องครอบครัวคือ “ความรัก” ที่มีต่อพ่อแม่
เธอคือสาวธรรมดาคนหนึ่งที่เดินทางค้นหาตัวเอง จนเลือกเส้นทางในฐานะนักแสดง ทว่า ชีวิตที่เติบโตอาจทำให้ช่วงวัยของใครบางคนแก่ชราตามไปด้วย ตัวเลขที่แปรผกผันสวนทางกัน ทำให้เธอยิ่งเห็นความสำคัญของคำว่า “ครอบครัว”
“จังหวะที่เรามีทุกอย่าง เราซัปพอร์ตเขาได้ เขาก็เข่าเสื่อม” แม้ตอนนี้พ่อและแม่ของเธอเข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งเธอเองได้ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่า อยากให้เขาทั้งสองหยุดทำงานและท่องเที่ยวให้เต็มที่ในชีวิตบั้นปลาย เธอเลี้ยงดูพ่อแม่หลังจากนี้ และบอกกับเราว่ารู้สึกโชคดีที่โตทันให้เขาได้พักผ่อน
“พ่อกับแม่ของติ๊บตอนนี้ ติ๊บไม่ให้เขาทำงานแล้ว พอเขาอายุ 60 ปี ติ๊บให้เขาพักและเที่ยวอย่างเดียวเลย แต่ในจังหวะที่เรามีทุกอย่าง เราซัปพอร์ตเขาได้ แต่เข่าของเขาเสื่อม มันได้แง่คิดเหมือนกันนะ ติ๊บรู้สึกขอบคุณที่เราโตทันที่ให้เขาพักผ่อน บางทีตอนที่เราพอจะมี เราไม่ได้ให้เขาเที่ยว พอตอนนี้เขาไปไหนไม่ได้แล้ว สิ่งเหล่านี้มันสอนเราด้วยเหมือนกัน”
คำบอกที่ว่า “มีเงินแต่ไม่มีเวลา มีเวลาแต่ไม่มีเงิน” อาจใช้ได้กับมนุษย์ทำงานหลายๆ คน แต่เรื่องของ “เวลา” และ “ความรัก” ที่ควรมอบให้แก่คนสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต เราคิดว่ามันไม่ควรมีเงื่อนไขใดๆ มาต่อรอง เช่นเดียวกันกับเธอที่ทิ้งประโยคสั้นๆ แต่ทำให้เกิดคำถามไว้กับเราว่า “ตัวเราเองอิ่มแล้ว หันไปดูพ่อแม่ว่าเขาอิ่มหรือยัง”
“ถ้าคนที่มีพ่อแม่อยู่ตอนนี้ ติ๊บอยากให้แบ่งความเป็นตัวเองของเราไปให้เขาบ้าง เพราะบางทีเวลามันไม่ได้รอ เขาก็ไม่ได้ไหวตลอดไป อย่าลืมว่าตัวเองมีความสุขแล้ว ตัวเองอิ่มแล้ว หันไปดูพ่อแม่เราว่าเขาอิ่มหรือยัง เขามีความสุขหรือยัง ก่อนที่ทุกอย่างจะสาย”
เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ ปัญญพัฒน์ เข็มราช, IG : @kratip
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754