xs
xsm
sm
md
lg

“ผมไม่หากินกับพระ” อ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ เจ้าของพระเบญจภาคี มูลค่าหลายพันล้าน!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

อ.รังสรรค์ กับหนังสือ PRECIOUS by Rangsan Torsuwan เล่ม 1
“ผมสอนกับลูกๆ เสมอว่า ลูกเห็นมั้ย? ครั้งหนึ่งคนทั้งประเทศเขาตราหน้าพ่อว่า พ่อเป็นคนจ้างวานฆ่าประธานศาลฎีกา แล้ววันหนึ่งสังคมยังเชื่อถือในตัวพ่อ ไปที่ไหนก็ยังมีคนเกรงใจ ซึ่งปกติแล้วต้องก่นด่า สาปแช่ง แต่สิ่งเหล่านี้เกิดมาจากการที่เราทำแต่ความดี ยึดมั่นในสิ่งที่เราเคารพ ทำให้เราพบเจอแต่เรื่องดีๆ และยังคงอยากที่จะเป็นเพื่อนกับเรา”

คำสอนจากชายชราวัย 79 ปี อ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่ถ่ายทอดสู่ลูกๆ ทั้ง 3 คนของเขาอยู่เสมอในเรื่องของการยึดมั่นในการ “ทำดี” ไม่คิดร้ายกับใคร เพราะใครจะคาดคิดจากชีวิตที่มีพร้อมทุกสิ่งอย่าง วันหนึ่งต้องตกเป็นผู้ต้องหาจ้างวานฆ่าประธานศาลฎีกาไร้ซึ่งอิสรภาพนานกว่า 6 เดือน สิ่งเดียวที่ทำได้คือ “การนิ่งสงบ” ใช้พุทธศาสนาที่ศรัทธาช่วยบรรเทาและคลายปัญหาให้ดีขึ้น
อ.รังสรรค์
50 กว่าปีที่คลุกคลีอยู่ในพระพุทธศาสนา

ชื่อของ อ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ นอกจากจะเป็นที่รู้จักในนามสถาปนิกชื่อดังของเมืองไทยแล้ว อ.รังสรรค์ยังถือเป็นเซียนพระรุ่นเก๋าอีกท่านหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการส่องพระรวมถึงเป็นนักสะสมพระเครื่องตัวท็อปของบ้านเราเลยทีเดียว รุ่นไหนที่ใครว่าหายากที่สุด ราคาแพงที่สุด มีหรือที่เซียนพระท่านนี้จะปล่อยผ่านให้หลุดมือไปง่ายๆ

ทันทีที่เริ่มพูดคุยกับ อ.รังสรรค์ ท่านเริ่มเล่าย้อนถึงช่วงชีวิตวัยเยาว์ว่า ตัวเขานั้นตั้งแต่เด็กๆ ชอบเข้าวัดเข้าวา สนใจในวงการพระเครื่องจริงๆ แบบลึกสุดๆ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2510 ตอนเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“พระสงฆ์องค์เจ้าผมชอบมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ผมชอบด้วยตัวผมเอง พี่น้องไม่มีใครสนใจเลย สมัยเด็กๆ ผมคลุกคลีกับพระสงฆ์องค์เจ้าอยู่แล้ว เจอหลวงพ่อผมก็ต้องไปกราบไหว้ เป็นความชอบที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ยามว่างจากการอ่านหนังสือ หรือเรียนหนังสือ มักจะเข้าไปกราบหลวงพ่อ บางทีหลวงพ่อก็ให้พระใหม่ๆ มา เราก็เก็บรวบรวมเอาไว้ แล้วก็ติดตาว่าหลวงพ่อท่านให้พระองค์นี้มาเท่านั้นเอง”

เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำงานมีรายได้ ความต้องการที่จะได้พระเครื่อง อยากแสวงหาพระแท้ แต่ติดอยู่ที่ว่าแล้วเขาดูกันอย่างไร?

“บังเอิญสมัยนั้นภรรยาผม (ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ) เป็นผู้พิพากษาท่านต้องไปทำงานต่างจังหวัด ผมอยู่คนเดียว ทุกวันหลังเลิกงานมีเวลาว่างมักจะขับรถไปแหล่งซื้อขายเช่าพระเพื่อไปแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ตอนนั้นวงการพระเครื่อง ผมถือว่าเป็นวงการที่ดีมาก มีศูนย์พระอยู่ 2-3 แห่ง คือที่ท่าพระจันทร์และท่าวัดราชนัดดา รวมถึงวัดมหาธาตุ (สั่งปิดไปแล้ว)”

ใช่ว่าทุกเรื่องที่ อ.รังสรรค์สงสัยเกี่ยวกับพระเครื่องจะมีคำตอบอยู่เสมอ เพราะบางเรื่องตัวเองก็ต้องใช้เวลาในการค้นหาคำตอบอยู่นาน อย่างเช่น พระดินเผา อาจารย์เล่าให้ฟังว่า เขาไปเช่าพระดินเผาสวยๆ มาองค์หนึ่ง จากนั้นนำไปถามเซียนพระอยู่หลายคนว่า พระดินเผาองค์นี้ของเขาเก่ามั้ย? ทุกคนบอก “เก่า” แต่เขากลับสงสัยสีออกจะใหม่ทำไมทุกคนถึงบอกว่าเป็นของเก่า

เฉพาะคำถามนี้เขาใช้เวลาหาคำตอบอยู่ 5 ปีเต็ม ก็ยังไม่มีใครสามารถตอบข้องสงสัยได้ กระทั่งวันหนึ่ง อ.รังสรรค์ได้ความรู้ขึ้นมา เมื่อมีคนขุดพระได้ที่ จ.เชียงใหม่ แล้วนำพระนั้นมาขาย เขาเห็นพระสวยจึงเช่ามา เลือกองค์ที่สวยสุดแพงสุดมา จากนั้นนำมาให้เพื่อนดูว่าเป็นพระแท้มั้ย? เพื่อนตอบว่า “แท้” จึงถามว่าคุณรู้ได้อย่างไร?

“ผมพลิกหลังดู ข้างหลังมีรอยมันๆ อยู่นิดหนึ่ง เพราะถ้าเป็นพระเก่าจะไม่มีมันๆ เนื้อจะด้านๆ ผมรู้ทันทีทางวิทยาศาสตร์ว่า ดินเผาข้างในมีส่วนผสมของโลหะ เมื่อถูกไฟเผาโลหะละลายกลายเป็นเคลือบมัน แม้กระทั่งอิฐมอญ เมื่อเผาออกมาหยาบที่สุดก็ยังมัน พร้อมยกตัวอย่างถ้าใครเคยไป อ.ด่านเกวียน จ.นครราชสีมา แล้วไปเห็นดินเผาด่านเกวียน ไม่ว่าจะเป็นถ้วยชามก็จะมันผิดปกติ เพราะว่าดินที่ อ.ด่านเกวียนผสมแร่โลหะ เมื่อถูกความร้อนความมันจะออกมาเคลือบกระเบื้องเลย แต่เคลือบอยู่ได้ไม่ทน 400-500 ปีจะสลายไปตามธรรมชาติ จากนั้นผิวจะดูด้านๆ”

เมื่อ อ.รังสรรค์ได้ฟังการอธิบายของเพื่อน เขาจึงเข้าใจและสามารถหาคำตอบได้หลังจากพยายามมากว่า 5 ปี แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทว่ากลับกลายเป็นเรื่องที่ยากมากที่ใครจะไปแสวงหาความรู้
อ.รังสรรค์กับพรรษิษฐ์ (ลูกชาย) ถ่ายเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2517 ที่สำนักงานสถาปนิกในสยามสแควร์ซอย 3
State Tower
ศึกษาจนถ่องแท้พระแท้ พระเทียมไม่เคยฟันธงพลาด

ผมมีโอกาสได้เห็นพระแท้ เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสนองค์เยอะแยะมากมาย ฉะนั้นตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี เราจะได้เห็นพระดีๆ และทุกคนมักให้ช่วยดูพระให้จนเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กัน ซึ่งต่างจากปัจจุบันนี้คนส่วนมากมักยึด “การค้าพุทธพาณิชย์” เป็นหลัก อะไรก็ตามฉันจะขายให้ได้ก่อน แท้ ไม่แท้ ถ้าฉันขายได้ราคาก็เป็นผลประโยชน์ ซ้ำร้ายก็คือ เอาของเก๊มาเที่ยวหลอกคน และเป็นอันตราย

ดังเช่นในอดีตมีคนเอาพระไปขายให้กับมาเฟียท่านหนึ่ง เมื่อซื้อเสร็จก็เอาไปอวดคนนู้นคนนี้ แล้วดันมีคนบอกกับมาเฟียเลือดร้อนถึงพระที่เขามีว่านี่มัน “พระเก๊” มาเฟียยกหูสั่งลูกน้องให้ไปสอบถามคนขายว่า ทำไมเอาพระเก๊มาขาย? คนขายเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจพร้อมกับจะนำเงินไปคืน ฝั่งมาเฟียบอก ไม่ได้ต้องการรับเงินคืน เพียงแค่อยากรู้ว่าทำไมถึงกล้าเอาพระเก๊มาขาย ตัวคนขายมาคุกเข่าให้ผมช่วยไปเจรจากับมาเฟียให้ที เพราะตอนนี้โดนถูกสั่งฆ่าแล้ว กลางดึกวันนั้นผมขับรถไปหามาเฟีย ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ พร้อมบอกกับเขาว่า “พระองค์นี้ผมดูแล้วไม่เก๊ แต่ว่าเอาไปล้างแล้วผิวเสีย อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ฟังมา เพราะจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าเฮียไม่อยากได้เดี๋ยวผมซื้อเอง”

ตอนนั้นเองมาเฟียที่กำลังโกรธคนที่มาตุ๋นขายของเก๊ให้เขาก็ยกหูคุยกับคนปลายสายต่อหน้าผมว่า “ในประเทศไทยมีไม่กี่คนที่พูดแล้วกูเชื่อ เพราะว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยแก้ผ้าไม่งั้นกูไม่เชื่อใครทั้งนั้น”

รวมถึง นักการเมืองใหญ่อย่าง วัฒนา อัศวเหม ครั้งหนึ่งเคยเช่า “พระซุ้มกอ” ไปแขวนคอแล้วเปียก จึงสั่งให้ลูกน้องนำไปล้างน้ำทำความสะอาด เมื่อทำความสะอาดเสร็จเกิดใจร้อนอยากจะแขวนเร็วๆ จึงนำไปอบไฟแล้วพระเกิดแตก เมื่อพระที่เช่ามาแตก วัฒนาไปเล่นงานคนขายว่าเอาพระซ่อมมาขายให้ได้อย่างไร?

คนขายถึงกับเข่าอ่อน มาขอให้ผมช่วย ผมไปหาวัฒนาเพื่ออธิบายให้ฟังว่า พระองค์นี้เป็นพระแท้ ที่แตกเพราะว่าทำความสะอาดไม่เป็น เอาไปแช่ไฟก็เกิดการปริแตกและระเบิด เมื่อวัฒนาได้ทราบความจริงเขาพูดได้เพียง “ก็ไม่รู้นี่หว่า”

เรียกได้ว่าสมัยก่อน อ.รังสรรค์ นอกจากจะเป็นเซียนพระแล้วยังเปรียบเสมือน “ท้าวมาลีวราช” ที่คอยช่วยไกล่เกลี่ยให้แต่ละฝ่ายเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันเมื่อเกิดความขัดแย้งที่มักมาจาก “ความผิดพลาด” แต่เดี๋ยวนี้ความขัดแย้งผิดใจกันมักเกิดจากความ “เจตนา” และมูลค่าความสียหายก็ค่อนข้างสูงอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท ไปพูดให้ตายก็ไม่มีใครยอมฟัง
พระสมเด็จวัดระฆัง ที่ อ.รังสรรค์ชื่นชอบและห้อยติดตัว
เรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดจากพระเครื่อง

ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของ อ.รังสรรค์ นั้นส่งผลกับการตัดสินใจต่างๆ หลายต่อหลายเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของเขา อ.รังสรรค์ เล่าว่า วันหนึ่งผมจะไปซื้อที่ดินแถวสีลม เพื่อสร้างตึก State Tower (สเตท ทาวเวอร์) 60 กว่าชั้น เจ้าของที่ดินตอนนั้นคือ อุเทน เตชะไพบูลย์ ซึ่งไม่ถูกกับผม เพราะผมกำลังฟ้องเขาเรื่องค่าแบบอยู่ ถ้าผมไปขอซื้อที่เขาต้องไม่ขายให้ผมแน่นอน ผมจึงไปว่าจ้างให้ วัฒนา อัศวเหม ไปซื้อที่ดินตรงนั้นแทนผมที

การเจรจาซื้อที่ดินใช้เวลาอยู่นานพอสมควร จากตารางวาละ 2 แสนห้าขยับขึ้นเรื่อยๆ ตกลงเรื่องราคากันไม่ได้สักที จนอยู่มาวันหนึ่ง ผมคิดได้ว่าเราเคารพในพระพุทธศาสนา จึงจุดธูปจุดเทียน พร้อมอาราธนาถึง สมเด็จพุฒาจารย์โต บอกกับท่านว่า

“ในชีวิตนี้ผมไม่เคยมีรายได้จากการผิดทำนองคลองธรรม บาทหนึ่งผมก็ไม่เคย ทำธุรกิจผมทำด้วยความเที่ยงธรรมมาตลอด ผมจะซื้อที่ดินแปลงนี้เพื่อไปทำโครงการอาคารศูนย์การค้าอัญมณี ถ้าสำเร็จก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างหนัก เพราะกลายเป็นอาคารศูนย์การค้าอัญมณีแห่งที่ 3 ของโลก ฉะนั้นช่วยให้หลวงพ่อช่วยดลบันดาลให้หน่อย ว่าถ้ามันเป็นไปได้ ขอให้ผมได้พระสมเด็จวัดระฆังสักองค์หนึ่งภายในอาทิตย์นี้”

ผ่านไป 2 วัน ผมเข้าสนามพระท่าพระจันทร์ มีคนเอาพระมาให้ดู พอดูเสร็จผมก็ต้องตกใจเพราะนี่คือ “สมเด็จวัดระฆัง” ผมจึงซื้อมาในราคา 5 แสนบาท

เมื่อได้พระมาผมอาราธนาถึงท่านว่า “ผมได้พระมาแล้ว เดี๋ยววันจันทร์นี้ผมจะตัดใจซื้อที่ดินเลย ไม่ว่าเขาจะขายเท่าไหร่ผมก็จะซื้อ” สุดท้ายผมก็ซื้อที่ดินแปลงนั้นมา และความสำเร็จก็เกิดขึ้น

ผมยังคงไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่อง “บังเอิญ” หรือไม่?

จากเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นได้ไม่เท่าไหร่ วัฒนา อัศวเหม ได้ไปซื้อที่ย่านสาทร 5 ไร่ แล้วมาเสนอขายต่อให้ผม ผมดูแล้วลองกะเป็นตัวตึกขึ้นมาได้ 105 ชั้น ผมรีบไปหาบริษัทญี่ปุ่น มิตซุย มิตซูบิชิ เป็นต้น เนื่องจากสมัยนั้นบริษัทเหล่านี้เช่าตึกเขาอยู่ ผมจึงลองคุยกับมิตซุยว่าผมจะสร้างตึกหลังนี้คุณมาอยู่ในตึกหลังนี้มั้ย? คุณจะซื้อมั้ย? ผมจะขายให้คุณในราคาต้นทุน สมมุติว่าบริษัทญี่ปุ่นต่างๆ มาซื้อพื้นที่ให้ได้เท่าต้นทุนสัก 50 ชั้น เหลือพื้นที่อีก 50 ชั้น เราก็เอาไปขายได้

เมื่อได้รับการตกลงจากบริษัทต่างๆ ของญี่ปุ่น ผมก็ไปตกลงขอซื้อที่จาก วัฒนา อัศวเหม จากนั้นไปเจรจากับ ธนาคารกรุงไทยเพื่อขอกู้เงินพันกว่าล้าน ทางธนาคารโอเคให้กู้ จนถึงขั้นตอนที่ทางธนาคารได้ไปวัดพื้นที่ ปรากฏว่าเนื้อที่หายไป 13 ตารางวา ผมไปบอกวัฒนาว่าเนื้อที่หายไป ผมขอซื้อเป็นตารางวา ทางด้านวัฒนาก็บอกไม่ได้ต้องซื้อไปทั้งก้อน เพราะเขาเองก็ถูกต้มมาอีกทีเหมือนกัน ซึ่งราคาแตกต่างกันประมาณ 30 กว่าล้าน โดยส่วนตัวผมคิดว่าไม่เป็นไร เพราะซื้อที่แปลงหนึ่งลงทุนตั้ง 3 หมื่นกว่าล้าน จะแพงเกินไปสัก 30 กว่าล้านก็ช่างเถอะ แต่ผมแค่เอะใจ...

จึงได้อาราธนาถึง “หลวงพ่อโต” จุดธูป จุดเทียน บอกท่านว่า ผมจะสร้างตึก ตึกหลังนี้ถ้าสร้างเสร็จเจรจาเรียบร้อยแล้ว ญี่ปุ่นก็ตกลงแล้ว บังเอิญมีเรื่องติดขัดนิดหน่อย ซึ่งถ้าหากหลวงพ่อท่านมีเมตตาเห็นว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติก็ช่วยดลบันดาลให้ผมได้พระมาสักองค์หนึ่ง

ผ่านไป 7 วันก็ไม่ได้พระสักองค์ หายไปอีก 7 วัน ก็ยังไร้รี่แวว จึงตัดสินใจไปเจรจากับเพื่อนที่มีพระสมเด็จเยอะ ว่าผมจะทำอย่างนี้ๆ ผมอาราธนาขอหลวงพ่อแล้วก็ยังไม่ได้เลย ผมขอเช่าสักองค์เถอะราคา 5 ล้าน 10 ล้านบาทก็ได้ เพื่อที่ผมจะทำโครงการนี้ได้

เพื่อนผมตอบกลับมาว่า...อาจารย์เงิน 10 ล้านบาทเรื่องเล็ก อาจารย์ก็รู้ว่าเวลาที่อาจารย์ร้อนเงินโทรศัพท์มาขอยืมเงินผมทีละ 5 ล้าน 10 ล้านบาท ผมเขียนเช็คให้ ไม่มีหลักทรัพย์รับประกันอะไรทั้งนั้น แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้เหมือนกัน ตัวผมเองก็นับถือ สมเด็จพุฒาจารย์โต ดังนั้นงวดนี้ “ผมไม่ให้”

เหตุผลอะไร? ไม่รู้ …. ผมกลับมา ผมปฏิเสธโครงการนั้นทั้งหมด

จากนั้นไม่นาน จอร์จ บุช บุกอิรัก ทั่วโลกแตกตื่น เศรษฐกิจพังทั้งโลก เพราะหลายคนเชื่อว่า 20 กว่าวันวิกฤตนี้ก็น่าจะหยุด แต่ทุกคนคาดการณ์ผิด เพราะเหตุการณ์นี้ยากยาวถึง 4 เดือน ทันทีที่ จอร์จ บุช ถอนทหารออกจากอิรัก ทางด้านประเทศไทยเราเองปีพ.ศ. 2535 เกิดการปฏิวัติยึดอำนาจโดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ถึงปี 2539 เศรษฐกิจตกต่ำ เรื่องราวเหล่านี้ทำให้ผมย้อนกลับไปคิด ถ้าตอนนั้นผมซื้อที่แปลงนั้นมาสร้างตึก 105 ชั้น คงเหมือน “ลิงอยู่บนยอดเขา” เจ๊งอย่างเดียว
(ซ้าย)พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ องค์ลงรักปิดทอง (กลาง) พระกริ่งปวเรศฯ องค์ของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง (ขวา) พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่
ชุดเบญจภาคี
คดีจ้างวานฆ่าประธานศาลฎีกา

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวในชีวิตที่ยังตราตรึงอยู่ในจิตใจของ อ.รังสรรค์ เขาเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า ตอนที่ผมถูกจับคดีจ้างวานฆ่าประธานศาลฎีกา ใครๆ ก็นึกว่า อ.รังสรรค์ ตายแน่ เพราะไปทะเลาะกับประธานศาลฎีกา ทะเลาะกับอธิบดีกรมตำรวจ ทะเลาะกับอัยการศาลสูงสุด 3 สถาบัน ไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว ตายแน่!

ผมยึดมั่นว่า ผมไม่ได้ทำ ต้องสู้ ต้องจิตมั่น ผมยึดถือสมเด็จโต ผมบอกท่านว่า ผมไม่ได้ทำ ขอให้หลวงพ่อท่าน ช่วยผ่อนคลาย โดยท่านได้ดลบันดาลให้ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ช่วยผม ให้ได้รับการประกันตัว

กว่า 6 เดือนผมโดนจำคุกอยู่ในเรือนจำ ผมนั่งนิ่ง วาดรูปสีน้ำ ทำใจให้มันสงบ ยึดอยู่อย่างเดียว “เราไม่ได้ทำ” หลังจากประธานศาลฎีกาเข้าเฝ้าในหลวง วันรุ่งขึ้นได้รับอนุญาตให้ประกันตัวออกมาสู้คดี ซึ่งผมได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จนในที่สุดศาลอาญากรุงเทพใต้ก็ได้ยกฟ้อง นับเป็นการต่อสู้ทางคดียาวนานถึง 15 ปี
พระสมเด็จวัดระฆังฯ พระรอด ลำพูน, พระซุ้มกอ กำแพงเพชร , พระนางพญา พิษณุโลก
พระเครื่องที่ได้มา น้อยนักที่จะขายต่อ

“ผมเช่าพระมา” แต่ “ผมไม่ขายพระ” ผมไม่ทำมาหากินกับพระ คนอื่นเขาทำกันแต่ผมไม่ตำหนิเขา ผมไม่ทำ เพราะผมยึดถือว่า สิ่งที่เราเคารพบูชา ไม่ได้ทำงานเพื่อเคารพองค์ท่าน ผลประโยชน์จากองค์ท่านคือทำให้จิตใจเราบริสุทธิ์ เราไม่ทำร้ายใคร เราไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี

ส่วนใหญ่พระที่ผมเช่ามานั้น ผมจะไม่ขายต่อ นอกเสียจากว่าได้องค์ใหม่ที่สวยกว่ามา องค์เก่าที่มีจึงปล่อยไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้ขายเพื่อเก็งกำไร ผมมีพระเครื่องทุกแบบทุกประเภทที่หลายๆ คนอยากจะมี โดยเฉพาะชุดเบญจภาคี เป็นชุดที่คนส่วนใหญ่อยากที่ครอบครองมากสุด ราคาตลาดตอนนี้บางองค์สูงถึง 70 ล้านบาท ผมมีอยู่หลายสิบชุด เฉพาะชุดเบญจภาคีที่มีอยู่หากประเมินเป็นมูลค่าก็น่าจะ “หลายพันล้านบาท”

โดยพระเครื่องทั้งหมดที่เช่ามารวมๆ แล้วก็มีอยู่หลายพันองค์ เก็บไว้ในตู้เซฟธรรมดา ตอนนี้เต็มจนไม่มีเก็บ แต่หากย้อนไปสัก 30 ปีก่อน เป็นช่วงที่ต้องแสวงหาใครว่าองค์ไหนดี รุ่นไหนเด็ด เป็นต้องมีมาครอบครองให้ได้ และไม่เกี่ยงเรื่องราคาหากผมเห็นว่าสวย รู้สึกชอบ ก็ตัดสินใจซื้อทันทีแม้ราคาจะแพงกว่าท้องตลาดทั่วไป แต่ในเมื่อเราอยากได้ เรายอมจ่าย

เฉกเช่น มนตรี พงษ์พานิช (ขณะนั้นมีชีวิตอยู่) ได้มาบ่นกับผมว่า อยากได้พระ 2 องค์ (สมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่) ราคาตั้งขายองค์ละ 50 ล้านบาท 2 องค์ 100 ล้านบาท
ผมบอกกับ มนตรี พงษ์พานิช ว่า เงิน 100 ล้านบาท คุณเป็นนักการเมืองหาเมื่อไหร่ก็หาได้ แต่ “พระ” หาไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ให้ลูกน้องหอบเอาเงินสด 100 ล้านบาทใส่กระเป๋าแบกไปซื้อพระที่อยากได้มา 2 องค์

หากถามว่าทำไมถึงยอมเอาเงินหลายสิบล้านไปซื้อพระ ผมบอกได้เลยว่า หลักทรัพย์ หรือ ทรัพย์สินอื่น เป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่ “พระเครื่อง” เป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีชีวิตชีวา เป็นเครื่องที่จะดลบันดาลให้เราทำความดีได้ เราซื้อ “ทอง” มา มีแต่ความโลภ วันนี้ทองตกก็กลุ้มใจ หรือ ทองขึ้นก็ดีใจ แต่พระซื้อมาแล้วไม่มีกิเลสอะไรนอกจากจะทำให้เรา “ทำแต่ความดี”

ส่งต่อความรู้เรื่องพระ สู่สาธุชนรุ่นหลัง

ปีนี้ผมอายุ 79 ปี น่าจะใกล้เวลาที่เราทำอะไรไม่ได้ ผมอยากให้ความรู้ที่ผมศึกษามาทั้งหมด 50 กว่าปี รวบรวมและเรียบเรียงเอาไว้ ถึงแนวทางปรัชญาในการที่จะสร้างพระ ว่าจะดูอย่างไร ประการสุดท้ายผมเป็นสถาปนิก ถือได้ว่ามีความชำนาญเรื่องการดูความสวยงามเป็นหลัก เพราะฉะนั้นผมจะเป็นคนชำนาญในการดูพระเครื่อง ในทางสวยงามด้วย เลยจะชี้เห็นว่าในหนังสือว่า เราจะดูพระสวยต้องดูยังไง

ผมถือว่าวิชาการอย่างนี้ ไม่ควรจะปล่อยให้ตายไปกับตัวผม ควรจะบันทึกเอาไว้ให้สาธุชนรุ่นหลังได้รู้ว่าเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญ ที่จะทำให้เรารู้ว่า ของชิ้นนี้เป็นของเก่าอย่างไร สิ่งเหล่านี้เราก็จะบันทึกเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้กัน ผ่านหนังสือมีชื่อว่า PRECIOUS by Rangsan Torsuwan เล่ม 1 ซึ่งกลั่นมาจากประสบการณ์เล่นพระเครื่องกว่า 50 ปี เขียนรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระเครื่องโดยเน้นไปที่พระเครื่องชุดเบญจภาคี ซึ่งประกอบด้วยพระสมเด็จวัดระฆังฯ พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พระนางพญา ที่พิษณุโลก พระรอด ที่ลำพูน พระซุ้มกอและพระปางลีลาเม็ดขนุน ที่กำแพงเพชร และพระผงสุพรรณ ที่สุพรรณบุรี เนื้อหาเกี่ยวกับพระแต่ละพิมพ์ ตลอดจนเทคนิคการดูพระท้และพระสวย ที่สำคัญหนังสือเล่มนี้รวมรวมรูปภาพพระแท้พระสวยมากถึง 80 องค์ เป็นหนังสือที่มีขนาดใหญ่มากกว่าที่เห็นทั่วไปในท้องตลาด คือมีขนาด 12X16.5 นิ้ว พิมพ์ 4/4 สีบนกระดาษมันอย่างดี 210 แกรม ซึ่งจะทำให้รูปพระแต่ละองค์มีขนาดใหญ่ มีความละเอียดสูง สามารถมองเห็นลักษณะเนื้อมวลสารและผิวสัมผัสอย่างชัดเจน

สำหรับเล่ม 2 กำลังเริ่มทำ เป็นการรวบรวมพระเครื่องกว่า 200 องค์ โดยเฉพาะพระที่มีทองติดว่าหายากอย่างไร มีวิธีการดูอย่างไรว่าองค์นี้คือของแท้ พร้อมคำอธิบายถึงวิธีการดูพระที่ละเอียดมากขึ้นกว่าเล่มแรก บรรยายเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการจัดทำ

นี่คือที่มาของการที่ผมจะเขียน “ตำนาน” และถ่ายทอดสู่เยาวชนรุ่นต่อไป...

เรื่องโดย : ผู้จัดการ Live
สัมภาษณ์โดย : นับดาว รัตนสูรย์
ภาพโดย : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณคลิปวิดีโอและภาพประกอบบางส่วน : intellectual (TH) TRAILER เบญจภาคี โดย รังสรรค์ ต่อสุวรรณ
พระนางพญา พิษณุโลกพิมพ์เข่าโค้ง
พระรอดพิมพ์ใหญ่
พระสมเด็จวัดระฆัง
พระกำแพงซุ้มกอ







มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น