xs
xsm
sm
md
lg

"หมิว-ก้อง" ยื้อก็เหมือนเราจะยิ่งเหนื่อย รัก (16 ปี) ไม่ช่วยอะไรเลย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ช็อกวงการ สะเทือนสถาบันครอบครัว! ไม่คิดไม่ฝันว่าคู่รักที่ใครๆ ต่างอิจฉา "หมิว ลลิตา-ก้อง นรบดี" จะตกเป็นข่าวรักล่มครั้งใหญ่ แม้ที่ผ่านมาจะปรากฏข่าวเตียงหักให้รำคาญใจอยู่บ่อยๆ แต่ก็ประคองกันไปได้ด้วยดี ทว่าวันนี้รัก 16 ปีดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร เพราะยิ่งยื้อดูเหมือนจะยิ่งเหนื่อย ซึ่งเป็นการเตือนใจใครหลายคนให้กลับมาเข้าใจในธรรมชาติของความรัก โดยเฉพาะ "ความไม่แน่นอน"...

ย้อนเส้นทางรัก "หมิว-ก้อง"

ลือสนั่นโลกออนไลน์จนมีการยืนยันจากแหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดฝ่ายชายถึงสัมพันธ์รักของ "อดีตนางเอกหมิว" กับ "สารวัตรก้อง" โดยระบุว่า ทั้งคู่เดินทางไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตดอนเมืองด้วยรถเก๋งคนละคันเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าฝ่ายหญิงจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองลูกชายที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นทั้ง 2 คน ส่วนทรัพย์สินส่วนใหญ่นั้นด้านฝ่ายชายได้ยกให้กับฝ่ายหญิงเกือบทั้งหมด


ส่วนสาเหตุของการหย่าร้างนั้น มีการระบุถึง ไลฟ์สไตล์ และความคิดที่ไม่ตรงกันบ่อยครั้ง อีกทั้งผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงบางคนไม่พยายามประสารอยร้าวให้ ในขณะที่ประเด็นเรื่องมือที่สาม แหล่งข่าวคนเดียวกันยืนยันว่าไม่มีแน่นอน น่าจะเป็นเรื่องความรักจืดจาง และฝ่ายหญิงอยากไปมีอนาคตใหม่ เพราะการหย่าร้างครั้งนี้ ฝ่ายหญิงเป็นคนเอ่ยปากขอเองหลายครั้งหลายหนจนอีกฝ่ายทนยื้อต่อไปไม่ไหว 

ล่าสุด "หมิว" ปฏิเสธให้รายละเอียดใดๆ ทั้งสิ้น ขณะที่อินสตาแกรมฝ่ายหญิงมีการโพสต์ภาพคู่ครั้งสุดท้ายเมื่อ 40 สัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ดีมีกระแสข่าวระบุว่า ดาราสาวกลับมาใช้นามสกุลเดิมคือ "โชติรส" ซึ่งเป็นนามสกุลของบิดาแล้ว



ระหว่างรอการเปิดใจ (อย่างเป็นทางการ) ของทั้งคู่ ทีมข่าวผู้จัดการ Live ถือโอกาสพาไปย้อนดูชีวิตรักของทั้งสองก่อนจะมีข่าวปิดตำนานรัก 16 ปีที่สร้างความฮือฮาไปทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะไม่คาดคิดว่าคู่รัก และครอบครัวต้นแบบของใครหลายคนจะตกเป็นข่าวช็อกสถาบันครอบครัวครั้งรุนแรง

สำหรับ "หมิว ลลิตา" พบกับ "ก้อง นรบดี" ครั้งแรกที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นเธอไปถ่ายละคร "พริกขี้หนูกับหมูแฮม" กับก้อง-สหรัถ กระทั่งได้พบกับหนุ่มนักเรียนนอก (ก้อง-นรบดี) เพราะทั้งคู่บังเอิญมีเพื่อนคนเดียวกัน จากนั้นความสัมพันธ์ค่อยๆ เลื่อนขั้นเมื่อความบังเอิญพาทั้งคู่โคจรกลับมาพบกันอีกครั้งในการถ่ายแฟชันกับนิตยสารผู้หญิงที่ไทย ซึ่งถือเป็นการเปิดกล้องละครเรื่องใหม่ที่หมิว-ก้องเป็นคู่พระนางตัวจริง แต่กว่าจะเป็นพระเอกในชีวิตจริงของนางเอกสาว เขาต้องผ่านอยู่หลายด่าน


หนุ่มก้อง เคยให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสารฉบับหนึ่งว่า ด้วยความชอบในการทำอาหาร จึงทำครองแครงไปให้เพื่อหวังมัดใจฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นสูตรประจำตระกูลที่คุณย่าเคยสอนไว้ และบอกเขาว่าถ้าจะจีบสาวต้องใช้สูตรนี้ ส่วนด่านครอบครัว แม้หนุ่มก้องจะเกร็งๆ เมื่อถูกชวนให้ไปกินข้าว และดูคอนเสิร์ตกับคุณแม่ฝ่ายหญิง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เช่นเดียวกับฝ่ายหญิงที่เข้ากับครอบครัวของอีกฝ่ายได้ดีเช่นกัน เพราะญาติๆ ของหนุ่มก้องเป็นแฟนละครตัวยงของเธอ






เมื่อบ่มเพาะความรักจนสุกงอมได้ที่ก็มาซึ่งความสุขอันหอมหวานอย่างแท้จริง "หมิว" ได้เข้าพิธีหมั้นหมายกับ ร.ต.ต.นรบดี ศศิประภา (ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นลูกชายของ "พล.อ.อรรคเดช ศศิประภา" กับอดีตภริยา "พนารัตน์ พิสุทธิศักดิ์" อดีตรองนางสาวไทยปี 2512 เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2544 ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ก่อนที่จะจัดงานจดทะเบียนสมรสในวันเดียวกันที่บ้านศศิประภา

จากนั้นวันที่ 5 มีนาคม จึงได้จัดให้มีพิธีฉลองมงคลสมรส ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ โดยทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ "แพลงตอน" ด.ช.ศศิเดช ศศิประภา เกิดที่ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2544 และ "อีตั้น" ด.ช.ศักดิเดช ศศิประภา เกิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2546


"ผมจะรักษาคนคนนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ซึ่งที่ผ่านมา ยอมรับว่าไม่เคยมีสเปกผู้หญิงในอุดมคติ จนกระทั่งมาได้รู้จักกับหมิว ผมจึงสามารถกล้าพูดได้เต็มปากว่า หมิวคือคนที่ผมรอคอยมานานถึง 29 ปี" หนุ่มก้องให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ในวันแต่งงานของเขากับอดีตนางเอกดัง




เคยมีข่าว "เตียงหัก" มาแล้ว

แน่นอนว่า คู่รักคู่นี้ ได้สร้างครอบครัวจนกลายเป็น "ครอบครัว" ที่ใครหลายคนต่างอิจฉา แม้จะมีข่าวระหองระแหงกันบ่อยแต่ก็เป็นธรรมดาตามประสาลิ้นกับฟัน แต่ที่หนักสุดคงจะเป็นข่าวรักเริ่มกร่อยถึงขั้นเตียงหักเมื่อปี 2549 ที่ "หมิว" ออกมายอมรับว่า มีทะเลาะเบาะกันบ้างประสาคนอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่ไม่รุนแรงถึงขนาดคิดจะหย่าร้าง ก่อนจะวอนสื่อมวลชนอย่าแช่งบ่อยเพราะหวั่นกระทบความสัมพันธ์ในครอบครัวมีปัญหา

"นั่นคือสิ่งที่คุณเห็น อย่างที่บอกว่าทุกวันของหมิวก็ยังมีข้อผิดพลาดเป็นคนไม่ดีก็มี เราก็ให้กำลังใจตัวเองและแก้ไขใหม่ ซึ่งตอนนี้ชีวิตครอบครัวก็ยังโอเคอยู่ ไม่ทราบว่าทำไมถึงมีข่าวออกมาเรื่อยๆ ก็เป็นกำลังใจให้หมิวด้วยแล้วกัน อย่าทำให้ครอบครัวเราแตกร้าวเลย

..มันมีบ่อยมากจนกลายเป็นแช่งไปแล้ว ไม่มีใครอยากให้ครอบครัวแตกแยกหรอกคะ ทุกคนอยากอยู่อย่างมีความสุข มีลูกและครอบครัวที่อบอุ่น ไม่มีใครอยากให้ถึงวันนั้น แต่อนาคตเราไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ข่าวทำให้หนังสือขายดีขึ้นหรือเปล่า (หัวเราะ) เพราะว่ามีข่าวเรื่องเตียงหักมาหลายครั้งแล้ว เราก็ยังมีวันครอบครัว แต่มางานสังคมก็สลับกันบ้าง เพราะวันธรรมดาก้องก็ทำงานเยอะแล้ว แต่ทุกวันเราก็ยังอยู่ด้วยกันตลอด จนมันมีข่าวอย่างนี้มาอีก"




อย่างไรก็ดี เมื่อถามความหึงหวงในตัวสามี เจ้าตัวถึงกับบอกด้วยเสียงอันสูงปรี๊ดในการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น ว่า..."ของๆ ใครของใครก็หวงค่ะ ยังหวงอยู่ อย่ามาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้" นอกจากนั้น ครั้งหนึ่ง "หมิว" ยังเคยให้สัมภาษณ์ผ่านบันเทิงคมชัดลึกถึงประเด็นความรัก คู่ชีวิต โดยสรุปใจความสั้นๆ ได้ว่า ชีวิตคู่ไม่มีอะไรแน่นอน แต่ลูกๆ คือของแน่นอน ส่วนเรื่องสามีต้องทำใจกลางๆ ถึงจะสามารถประคองครอบครัวให้อยู่รอดต่อไปได้

คว้าแชมป์ "คู่รักแห่งปี"

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การใช้ชีวิตคู่ต้องการ 3 สิ่งที่สำคัญ คือ การพยายามทำความเข้าใจ ยอมรับ และการปรับตัว หากทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้ยาก และไปกันไม่ได้ หรือโลกของทั้งสองแตกต่างจนเกินพยายาม การใช้ชีวิตคู่ก็อาจจะต้องสิ้นสุดลงในไม่ช้า แต่ในตอนนั้น ทั้งคู่พยายามปรับความเข้าใจกันได้จนเริ่มมีงานโฆษณาที่สื่อให้เห็นความเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจนกลายเป็นเป็นคู่รักและครอบครัวตัวอย่าง

กระทั่งในปี 2550 ถุงยางอนามัยชื่อดังได้มีการจัดอันดับ "คู่รักแห่งปี" โดยให้คนไทยได้ร่วมโหวตคู่รักในคอนเซ็ปต์ "รักสุขสม ชีวิตสดใส"


ผลปรากฏว่าคู่รักของ "หมิว" กับ "ก้อง นรบดี" ครองอันดับหนึ่งด้วยคะแนนโหวต 18.63% เฉือนเอาชนะคู่รัก "เจ เจตริน วรรธนะสิน" และ "ปิ่น เก็จมณี" ไปเพียงไม่กี่จุด ในขณะที่อันดับ 3 ได้แก่ อดีตคู่รักเสียงดี "นิกกี้ นิโคล ปานพุ่ม" และ "แมว จิระศักดิ์" ส่วนอันดับ 4 ได้แก่คู่ของ "เยลหลี แมคอินทอช" และ "วิลลี่" และอันดับ 5 ตกเป็นของคู่รักไฮโซ "เจี๊ยบ โสภิตนภา ชุ่มภาณี" และเบียร์ ธิตินันท์




อย่างไรก็ดี แม้จะคว้าแชมป์คู่รักแห่งปี แต่ความรักของทั้งสองก็มีกระแสข่าวรักจืดจาง รักเย็นชาออกมาอยู่เป็นระยะ ซึ่งหากใครติดตามความเคลื่อนไหวของคู่นี้ จะพบว่าข่าวการออกสังคมแบบพร้อมหน้าพร้อมตาของครอบครัวนี้ค่อยๆ เงียบหายไป กระทั่งมีข่าวปิดตำนานรัก 16 ปีจนสร้างความตกใจไปทั้งประเทศ

เมื่อ "รัก" มีทุกข์เป็นของแถม


สุดท้ายแล้ว เรื่องนี้ คงต้องรอฟังการแถลงจากทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นทางการกันอีกที แต่ขึ้นชื่อว่า "ความรัก" คงต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งถึง "ความไม่แน่นอน" 
ดังที่ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล วัดนาป่าพง ได้เคยหยิบยกบางส่วนจาก พุทธวจนสนทนา ช่วงหลังฉัน เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2555 มาโยงกับความรักของมนุษย์ว่า

"ทุกข์ใดๆ ในโลก ทุกข์เหล่านั้นทั้งหมดมีฉันทะ (ความรักความพอใจ) เป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ เพราะว่าฉันทะเป็นมูลเหตุของความทุกข์ ความรักความพอใจ เป็นมูลเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหมด เพราะว่าสิ่งที่เรารักที่เราพอใจ มันไม่อยู่คงที่ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)


ถ้าเรารักสิ่งๆ นี้ แล้วสิ่งๆ นี้อยู่คงที่ตลอดไม่เปลี่ยนแปลง มันก็คงจะได้ แต่สิ่งที่เราพอใจมันเปลี่ยนหมด ความทุกข์จะเกิดขึ้นมา เพราะการแปรปรวนของรูป (ร่างกาย) เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจำได้หมายรู้) สังขาร (ความคิดปรุงแต่ง) และวิญญาณ (ความรับรู้แจ้ง) ความทุกข์จึงเกิดขึ้น นี่คือผลเสียจากความรัก หรือฉันทะ (ความพอใจ)"




เช่นเดียวกับ พระนักคิดชื่อดัง พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย ได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับความรักไว้ตอนหนึ่งในหนังสือ "รักแท้คือกรุณา" ว่า ใครทุกคนที่เริ่มมีความรัก ขอให้เรียนรู้กติกาของความรักเอาไว้เลยว่า 'ความรัก' มีความทุกข์เป็นของแถม การที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นก็เพราะเขายังถูกความรักบังตา ดังนั้น ทุกครั้งที่เราเริ่มต้นมีความรัก สิ่งหนึ่งซึ่งควรมาคู่กันกับการมีความรักก็คือความเข้าใจในธรรมชาติของความรัก

ถ้าเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ หรือรักกันมาตั้งห้าหกปีแล้ว สุดท้ายก็เลิกกัน หรือแต่งงานมาสิบปีแล้วสุดท้ายก็เลิกกัน คนที่เจ็บปวดจากความไม่สมหวังในความรักจากการใช้ชีวิตคู่ ควรมองออกไปให้กว้างว่าขาดเขาแล้วเราไม่ตาย เพราะก่อนจะมีเขา เรายังอยู่มาได้ เมื่อย้อนกลับไปไม่มีเขาอีกครั้งหนึ่ง เราก็กลับไปยืนอยู่ ณ จุดเดิมก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ แล้วอย่าทำร้ายชีวิต อย่าทำร้ายตัวเองแต่ให้มองว่าการที่เราเกิดเป็นคนแล้วไม่ได้ทุกอย่างดังใจหวังนั้นเป็นบทเรียนอีกขั้นหนึ่งของชีวิต เป็นบันไดขั้นหนึ่งของชีวิตที่ต้องก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ


ดังนั้น ทุกครั้งที่เจอบทเรียนแสนยาก บอกตัวเองว่า ต้องก้าวข้ามมันไป ไม่ใช่ฝังตัวเองอยู่กับบทเรียนแสนยาก บทเรียนยากๆ ทั้งหลายนั้นเปรียบเสมือนขั้นบันได ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องก้าวผ่านบันไดเหล่านั้นไป ไม่ใช่ไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงบันได แล้วบอกว่าพอแล้วสำหรับชีวิตฉัน...


ขอบคุณภาพจากนิตยสารแพรว, ไอจี @kong555_rise, เฟซบุ๊ก Mew Lalita





มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น