xs
xsm
sm
md
lg

กด play เพื่อ “PAUSE” (ยุค)ใหม่! ร้องไปกับผมนะครับ “พี่โจ้” [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

[บอส (มือกลอง), เฟ้น (ร้องนำ), เอ (มือกีตาร์) และ นอ (มือเบส) สมาชิกวง “พอส” ยุคใหม่]
ร้องก็ไม่ชัด แถมยังพยายามดัดเสียงให้เหมือนอีกต่างหาก นี่หรือนักร้องนำคนใหม่ของวงดนตรียุค 90s ในตำนาน? นี่หรือคือคนที่จะมาสื่อสารภาษาดนตรีแทน “พี่โจ้”?...
 
ท่ามกลางคลื่นคำครหาลูกเล็กๆ จากแฟนเพลงยุคเดิม ที่คอยซัดด้วยความรักและห่วงใยในก้าวใหม่ของ “วงพอส” อยู่เป็นระลอกๆ ถึงวันนี้ “จิ๊กซอว์ตัวใหม่” ที่เข้ามาเติมเต็มตำแหน่งที่หายไป ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาไม่ได้มาเพื่อแทนที่ใคร แต่คงเป็นโชคชะตาที่พัดพาให้เข้ามาเพื่อช่วยฟื้นลมหายใจ ให้ความฝันที่เคยหยุดนิ่งไว้ชั่วขณะยังคงบรรเลงต่อไปได้...ความฝันที่หายไปจากหัวใจของสมาชิกยุคเดิมมานานถึง 15 ปีแล้ว...



 
ขอโทษครับพ่อ พวกผมขอพลิกลิ้น

[ถึงเวลากด play เพื่อ "PAUSE" อีกครั้ง!!]
“จริงๆ แล้ว พอ “โจ้” เสียแรกๆ เรา 3 คนก็คิดตรงกันเลยว่าแยกย้ายกันดีกว่า แล้วต่างคนก็ต่างดำเนินชีวิตของตัวเอง และมันก็ผ่านไปหลายปีมาก จนคิดว่า “พอส” จบลงไปแล้วด้วยซ้ำ...”
 
นอ-นรเทพ มาแสง ผู้คุมเสียงทุ้มในตำแหน่งมือเบสของวง เริ่มหมุนเข็มนาฬิกากลับหลัง ย้อนความรู้สึกในช่วงโศกเศร้าที่สุดครั้งหนึ่งในความทรงจำ หลังได้ทราบข่าวการจบชีวิตลงของเพื่อนรักอย่าง “โจ้-อัมรินทร์ เหลืองบริบูรณ์” นักร้องนำจอมเปิ่นของกลุ่มเพื่อน ผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในการปลดปล่อยโทนเสียงสูงและกังวานชนิดหาตัวจับยากในเมืองไทย
 


[เพลง "รักอยู่รอบกาย" ความเคลื่อนไหวสร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ต้นปี 2559]
“จนเมื่อประมาณต้นปีที่แล้ว ครบรอบ 20 ปีของวงพอสพอดี พวกเราก็เลยทำเพลง “รักอยู่รอบกาย” ขึ้นมา เอาเสียงร้องของโจ้ ที่เคยร้องไว้เป็นเพลงสุดท้ายแล้วไม่ได้ใช้ มาทำดนตรีใหม่ให้ออกมาเป็นเพลงพิเศษ ให้ของขวัญแฟนเพลงวงพอส ปรากฏว่ามีกระแสตอบรับที่ดี ถึงได้มานั่งคิดกันว่า “พอสยุคเก่า” ก็จบลงแล้ว เรามาทำ “พอสยุคใหม่” กันดีกว่าไหม วงพอสที่พวกเรา 3 คนกลับมาเล่นด้วยกันได้อีก แค่ต้องหาคนมาร้อง

[เพลง "รักอยู่รอบกาย" คืนชีพน้ำเสียงมหัศจรรย์ที่แฟนเพลงคิดถึงมากที่สุด]

 
“แต่กว่าจะฮึดขึ้นมาได้นี่ กินเวลาเป็นสิบปีเลยนะ ตอนพี่โจ้เสียใหม่ๆ พวกเราพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ไม่เอาแล้ว พอแล้ว เราจะไม่ทำวงใหม่แล้วด้วย ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น” บอส-นิรุจ เดชบุญ มือกลองผู้คุมจังหวะประจำวง ช่วยเสริมความรู้สึกในวันนั้น ก่อนปล่อยให้ เอ-พลกฤษณ์ วิริยานุภาพ มือกีตาร์นักเดินสาย เป็นคนเล่าจุดไคลแมกซ์ วันที่ได้คำตอบแน่ชัดแล้วว่า “3 สหายวงพอสยุคเก่า” จะขอกลืนน้ำลายตัวเอง…
 

[บอส (มือกลอง), เอ (มือกีตาร์), นอ (มือเบส) และ โจ้ (ร้องนำ) สมาชิกวง “พอส” ยุคเก่า]

“ตอนแรก ผมบอกพ่อโจ้ไว้ว่า พอสของเราจะเลิกกันแค่นี้ เราจะเก็บวงพอสให้เป็นความทรงจำระหว่างโจ้ แต่พอช่วงหลังๆ เราเริ่มเจอกันบ่อยขึ้น ได้กลับมาเล่นด้วยกัน เริ่มรู้สึกว่าทั้งนอและบอสมันเก่งนะ ซาวนด์ของเขาไม่เหมือนใคร บวกกับมีพี่ๆ ในวงการระดับตำนานอย่าง “พี่โป่ง” (ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์ วงหินเหล็กไฟ) หรือ “พี่ต๋อง” (สมทบ สมมีชัย วงแบล็กเฮด) มาพูดกับเราว่าทำสิ เราก็เริ่มคิด


[เอ-พลกฤษณ์ วิริยานุภาพ มือกีตาร์]

หลังๆ ยิ่งมีผู้ใหญ่มาบอกเราแบบนี้หลายคนมาก ก็เลยมานั่งคิดว่า เอ้อ..ทำไมเราต้องปิดตัวเองว่าจะพอแค่นั้นด้วย สุดท้ายก็ตกลงกันว่าจะทำ ผมเลยขับรถไปขออนุญาตคุณพ่อของโจ้ที่ จ.อุทัยธานี ไปถึงผมก็บอกว่า ผมขอโทษนะครับพ่อ ผมขอพลิกลิ้น เพราะผมคิดว่ายังไงคนก็ต้องจำโจ้ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเราอยากจะทำวงพอสต่อ

พ่อเขาก็จะออกแนวตรงๆ นักเลงๆ หน่อย (ยิ้ม) แกก็ตอบกลับมาเลยว่า “อะไรวะ มาเปลี่ยนใจทีหลัง ไหนบอกไม่ทำไง” เงียบไปสักพัก แล้วแกก็พูดต่อว่า “อะ..ไม่เป็นไร ทำเลย” แล้วหลังจากนั้น เราก็ไปขอขมา และขออนุญาตคุณพ่อพร้อมกันทั้งวงอีกที”

[เดินทางกลับอุทัยธานี เอาเพลงใหม่ของวงไปให้ คุณพ่อคุณแม่ และคุณยายของ "โจ้" ฟัง]

“พวกเราถูกชักชวนโดยโชคชะตาครับ” สมาชิกในวงสนทนาถูกดึงสายตากลับไปยัง “นอ” มือเบส ผู้ควบตำแหน่งหัวหน้าวงและโปรดิวเซอร์อัลบั้มไปด้วยในคราวเดียว “พอสยุคเก่าปิดหนังสือไปแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองในหนังสือเล่มนั้นกับตัวเองตอนนี้ ก็คือคนละคน พอสวันนี้ก็คือการที่เราแค่กลับมาเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ คนเดิมๆ แล้วก็มีน้องคนใหม่มาเพิ่มอีก 1 คนเท่านั้นเองครับ”


["PAUSE" ในวันวาน]

["PAUSE" ในวันนี้]
เฟ้น-ประภาพ ตันเจริญ คือจิ๊กซอว์ตัวใหม่ตัวนั้นที่กำลังถูกพูดถึง คือ 1 ใน 3 คนที่ถูกเลือกจากการเฟ้นหาตำแหน่งนักร้องนำ ซึ่งมีผู้ร่วมส่งคลิปเข้ามาให้พิจารณากว่า 300 ตัวเลือก และที่ทำให้เฟ้นกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด ก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลเลิศหรูใหญ่โตอะไร แต่เป็นความรู้สึกเล็กๆ จาก 3 สหายรุ่นพี่ ซึ่งไม่ต่างกันนักกับความรู้สึก เมื่อครั้งเลือกนักร้องนำในอดีต

“วันที่ผมเห็นเฟ้นในเอ็มวีเพลงที่เขาส่งมาให้ดู (เพลง “ที่รัก” ช่วงที่ทำวง “เจ้าฟาฟา มหาสนุก” สังกัด Listen Reason) มันมีบางสิ่งที่บอกผมว่า นี่แหละคือเหตุผลที่วงพอสต้องทำต่อ มันอธิบายไม่ถูก มันเป็นเรื่องของจิตสัมผัส” เอยิ้มทีเล่นทีจริง ก่อนอธิบายถึงวันแห่งการฟันคำตอบสุดท้ายเพิ่มเติม

[คลิปผลงานที่ "เฟ้น" ส่งมาให้พี่ๆ ดู และเตะตา "เอ" จนได้รับเลือกในที่สุด]

“ตอนที่ได้ตัวเก็งมาแล้ว 3 คนสุดท้าย เรายังไม่รู้เลยว่าจะเลือกใคร กะเรียกทุกคนไปลองร้องกับวงดูก่อน เล่นสดในผับคืนนั้นเลย แต่ปรากฏอีก 2 คนไม่ว่าง เหลือเฟ้นคนเดียว ก็เลยบอกน้องมันว่า มึงต้องลุยแล้วนะ มึงไหวนะ เฟ้นก็บอกว่าผมสบายครับพี่ แล้วมันก็ผ่านมาได้ หลังจากครั้งนั้น ภาพหลายๆ อย่างก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ”

“ก็ตื่นเต้นมากครับวันนั้น เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมแสดงกับพี่ๆ เขาจริงๆ” สมาชิกหน้าใหม่วัย 24 แสดงความคิดเห็นของเขาออกมาเป็นครั้งแรกหลังนั่งฟังไปยิ้มไปอยู่นาน ก่อนปล่อยให้หัวหน้าวงอย่างนอ เป็นฝ่ายขับเคลื่อนบทสนทนาต่อไป

“ผมคิดแบบเล็กๆ มาตลอด เริ่มจาก 3 คนนี่แหละ เพราะแรกๆ โจ้ยังไม่ได้มาซ้อมกับเราเยอะมาก เขายังติดเรียนปีสุดท้ายอยู่ พวกเราก็เลยมักจะใช้วิธีนั่งมองหน้ากัน 3 คน แล้วก็ตัดสินใจ เอาแค่จบที่เราตรงนี้ให้ได้ก่อน ยังไม่ต้องไปคิดเรื่องภายนอก ไม่ต้องไปคิดเรื่องกระแส ทุกวันนี้ก็เหมือนเดิมครับ งานที่ทำออกไป ถ้ามันจะมีคนชอบ ทำออกไปเล็กๆ เดี๋ยวมันก็ไปใหญ่ข้างนอกเอง เราทำกันมาแบบนี้ตลอด ครั้งนี้จะเริ่มทำด้วยวิธีเดิมอีกสักครั้ง มันจะเป็นอะไรไป”


 
#ดีต่อใจ “โจ้-เฟ้น” ความเหมือนที่แตกต่าง

“ไม่ได้เลือกเพราะมันเหมือน แต่ก็ไม่เถียงว่ามันเหมือน คนที่จะมาร้องกับพอส ก็ต้องร้องเพลงพอสได้ไม่ขัดเขิน นิสัยก็สำคัญ เพราะเบื้องหลังเราต้องทำงานด้วยกัน ต้องใช้เวลาร่วมกันมากกว่าที่คุณเห็นบนเวทีเยอะ แต่ก็นะ แอบเห็นภาพเก่าๆ ในบางทีเหมือนกัน มึงเหมือนมันมากกว่ากูเหมือนตัวเองในอดีตซะอีก เอาใจช่วยน้องมันหน่อยละกันนะครับ

นี่คือโพสต์จากแฟนเพจ "นรเทพ มาแสง" ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดบนโลกออนไลน์ ในช่วงเปิดตัวฟันเฟืองขับเคลื่อนวงพอสคนใหม่ บวกกับคลิปเล่นสดหลายๆ ตัวที่ถูกแฟนเพลงถ่ายเอาไว้ ส่งให้เฟ้นกลายเป็นที่จับตาและตกอยู่ในกระแสวิพากษ์วิจารณ์เพียงชั่วข้ามคืน

ลองหยิบความสงสัยในจุดนี้มาถามย้ำรุ่นพี่อีกสักครั้งว่า สรุปแล้วที่เลือกเฟ้น เป็นเพราะต้องการให้คงความคล้ายเสียงร้องเวอร์ชันเดิมเอาไว้มากที่สุดใช่หรือไม่? มือกีตาร์ของวงจึงชงคำตอบกลับมาทันทีว่า “ไม่เชิงครับ พวกเรามองว่าเสียงไม่จำเป็นต้องเหมือนก็ได้ แค่ร้องให้อยู่ในร่องเสียงเดียวกันได้ก็พอแล้ว”

[โพสต์ขอโอกาสให้น้องใหม่ จากใจหัวหน้าวง]

และร่องเสียงเดิมจากความเป็น “โจ้” ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะลอกเลียนกันได้ง่ายๆ เพราะเขาคือศิลปินเจ้าของรางวัลถ้วยพระราชทานประเภทขับร้องเดี่ยว จากเวทีประกวดดนตรีเยาวชน “Coke Music Awards” ประจำปี 2536 เจ้าของโทนเสียงเทเนอร์ (Tenor) ค่อนไปทางโซปราโน (Soprano) ซึ่งเป็นโทนเสียงสูงที่หาได้ไม่ง่ายนักในกลุ่มผู้ชายด้วยกัน

“จริงๆ พอสเคยร่วมงานกับศิลปินหลายคน เคยเอา “คุณเก้ง” (เขมวัฒน์ เริงธรรม นักร้องนำวง Crescendo) มาร้อง ผมก็แฮปปี้ "น้องมาเรียม เกรย์" (วง B5) มาร้อง ซึ่งเป็นศิลปินหญิง เราก็แฮปปี้ แต่พอดีเขามีวงกันไปแล้วไงครับ จะมาอยู่กับเรามันก็ไม่ใช่ หรืออย่าง "คุณคิว" (สุวีระ บุญรอด วง Flure) ที่ก็ไม่ได้เสียงเหมือนเลย แต่ก็มาร้องและรับงานกับเราอยู่ตั้งนาน


[“โจ้” ภาพจำของ “PAUSE” ยุคบุกเบิกที่แฟนเพลงคิดถึง]
คือเราไม่ได้คิดว่าคนที่มาร้อง จะต้องเสียงเหมือนเลยครับ เพราะถ้าต้องหาให้เหมือนจริงๆ ผมก็จนปัญญาเหมือนกัน เพราะโจ้เขาก็ไปแล้ว... ภาพของโจ้ เขาอยู่กับเรามา 10 กว่าปีที่แล้ว แต่หลังจากนี้ไป มันต้องเป็นเรื่องของปัจจุบัน พอสยังคงไม่ได้ฉีกหนีไปจากเดิมมาก ถ้าคนสนิท แฟนคลับเก่าๆ พ่อแม่ของโจ้ และพวกเรากันเองเข้าใจ ผมเองก็พร้อมสตาร์ท”

[นอ-นรเทพ มาแสง มือเบสของวง ผู่ควบคำแหน่งหัวหน้าวงและโปรดิวเซอร์]

พูดกันตรงๆ หัวหน้าวงอย่างนอ ยังคงยืนยันหนักแน่นว่า เขาไม่เคยสนเรื่องดรามาเสียงร้องที่เคยได้เห็นได้ยินได้ฟังมาด้วยซ้ำ และถึงแม้วันข้างหน้าจะเจอนักร้องที่เสียงเหมือน “โจ้” มากกว่า “เฟ้น” เขาก็ไม่คิดจะรู้สึกเสียดายหรือเสียใจที่เลือกคำตอบสุดท้ายในวันนี้ เพราะความรู้สึกข้างในของพวกเขามันมีมากกว่าคำว่า “สมาชิกวงพอส”

“ถ้าถามผมว่าเสียงเฟ้นเหมือนโจ้ไหม ผมตอบได้เลยว่าไม่เหมือน (น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว) ผมทำงานกับโจ้มาหลายปี ผมแยกออกว่านี่คือเสียงโจ้นะ ผมรู้ว่าเขาเล่นแบบไหน แต่ผมไม่เคยคิดเลยครับว่าต้องเอามาเทียบกัน แล้วทำออกมาให้ได้เหมือนเดิม สิ่งที่ทำอยู่คือการให้เฟ้นมาร้องและทำ product ออกไปใหม่ แค่ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถพวกเรามีก็พอ


พูดกันตรงๆ เลย ถ้าเป็นโจ้สมัยก่อน ผมไม่ได้สนใจด้วยครับว่าเขาจะร้องดี-ไม่ดี ก็เขาเป็นเพื่อนผม เขาจะร้องเพี้ยน-ไม่เพี้ยน เขาก็เพื่อนผม ผมไม่สนใจด้วยว่า ใครจะบอกว่าเขาเป็นนักร้องเสียงทอง-เสียงมหัศจรรย์ยังไงบ้าง คือมึงจะร้องอะไรก็ร้องไป ให้รู้ว่ากูยืนอยู่ข้างหลังมึงก็พอ แต่พอดีโจ้เขาดันร้องได้ดีไงครับ”

[“เฟ้น” จิ๊กซอว์ตัวใหม่ ขับเคลื่อนวงให้ไปต่อได้]

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ทำให้วงพอสกลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง นั่นก็เพราะ “ความคล้าย” ที่มีอยู่ในตัวเฟ้น ซึ่งน้องใหม่ของวงก็ค่อนข้างชินกับเรื่องนี้ไปแล้ว “ก่อนหน้านี้ ตอนยังร้องเพลงอยู่ในโบสถ์ ก็มีคนทักเหมือนกันครับว่าเสียงคล้ายพี่โจ้ แต่ตอนแรกผมยังไม่เคยฟัง เพราะโตไม่ทันวงพอส แต่พอคนทักบ่อยๆ เลยลองไปฟังดู ก็รู้สึกว่า เอ้อ..ก็คล้ายนะ แล้วก็รู้สึกดี รู้สึกเป็นเกียรติมาก

แฟนเพลงหลายคนมองว่า ความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของวงในครั้งนี้ ถือเป็นการเยียวยาความคิดถึงที่มีค่ามากๆ จนก่อให้เกิดแฮชแท็กตอบรับเสียงร้องของเฟ้นว่า #ดีต่อใจ แพร่กระจายออกไปอย่างมากมาย ถ้าให้วัดจากความรู้สึกของคนวงในในปรากฏการณ์นี้ บอสมองว่าเป็นเรื่องที่ #ดีต่อใจ สำหรับพวกเขาด้วยเช่นกัน


[บอส-นิรุจ เดชบุญ มือกลอง กำลังอธิบายความรู้สึก "ดีต่อใจ"]
“ก่อนหน้านี้ เราอยู่ในจุดที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า นักร้องใหม่ที่เลือกมา คนจะยอมรับไหม กระแสตอบรับจะเป็นยังไง แต่พอเราตัดสินใจแล้ว ณ วันนี้ว่าเป็นเจ้านี่มาร้อง (ชี้ไปที่เฟ้น) พอเริ่มมีฟีดแบ็กกลับมาว่า ดี-ชอบ เราก็รู้สึกดีแล้ว อยากบอกว่าที่คุณบอกว่ามัน #ดีต่อใจ ของพวกคุณ มันก็ #ดีต่อใจ ของพวกเราด้วยเหมือนกัน ที่เหลือก็ต้องรอดูกันไปอีกยาวๆ ว่า เสียงร้องของเฟ้นในเพลงใหม่ๆ ของเรา มันจะยัง #ดีต่อใจ คนฟังต่อไปได้หรือเปล่า

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ ฟีดแบ็กหลายๆ อย่างก็ออกมาแล้วว่า ผลงานที่ออกมามัน #ดีต่อใจ ของทุกคนขนาดไหน ทั้งแฟนเพลงที่ได้เยียวยาความคิดถึงจากเสียงของโจ้ ทั้งเฟ้นที่ได้สานฝันการเป็นนักร้องนำของวงในตำนาน ทั้งสมาชิกวงพอสยุคเดิมที่ไม่ต้องเมินหน้าหนีความฝันอีกต่อไป


“เฟ้นคือสาเหตุที่ทำให้เรายังสามารถรันงานต่อไปได้ คือถ้าไม่มีเฟ้นเข้ามา วงพอสมันก็ปิดฉากไปแล้วครับ” นอเปิดใจบอกเล่าความรู้สึกจากมุมของเขา

“เขาคือเหตุผลที่ทำให้พวกเรา 3 คนได้กลับมาเล่นด้วยกัน ยังมีคอนเสิร์ตใหญ่ได้ในอนาคต เพราะเรามีนักร้องนำเป็นของตัวเองแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น พอสก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ต้องขอแรงคนนู้นคนนี้มาช่วยร้อง featuring ไปเรื่อยๆ และพอจะทำอะไรก็ยาก เพราะคนนั้นคนนี้ก็ติดงาน สุดท้าย เราก็จะเป็นได้แค่วงที่เคยมีนักร้องที่ชื่อ “โจ้” มาร้องให้เท่านั้นเอง


 
ไม่เคยคิดแทนที่ วงนี้มีนักร้อง 2 คน!!

“...แค่ได้เป็นคนสุดท้ายที่เธอคิดถึง ได้เข้าไปอยู่ในนั้นซึ่งฉันไม่ควรได้เข้าไป แค่เท่านี้ก็ดีพอกับใจของฉัน แค่ได้เป็นคนสุดท้ายที่เธอมองเห็น ได้อยู่ในสายตาที่เยือกเย็น แค่เท่านี้ก็เป็นความสุขมากมายเกินกว่าฝัน...”

ทั้งหมดนี้คือเนื้อร้องท่อนฮุกในเพลง “แค่ได้เป็นคนสุดท้ายที่เธอคิดถึง” จากปลายปากกาของ “ฟองเบียร์-ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม” นักแต่งเพลงชื่อดัง ผู้บริหาร “ME Records” ค่ายเพลงย่อยในเครือ Music Move Entertainment

เขาตั้งใจฝากความหมายผ่านตัวอักษรเหล่านี้ไว้แทนตัวของ “เฟ้น” เพื่อสื่อสารกับแฟนเพลงวงพอส ในวันที่การเดินไปข้างหน้าคือคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว ที่สมาชิกทั้ง 4 ยินดีจะร่วมกอดคอร่วมรับผลของมันไปด้วยกัน และบรรทัดต่อจากนี้คือความหมายแฝงหลักๆ ของเนื้อเพลงที่ฟองเบียร์ออกมาเปิดเผยเอาไว้


[ความหมายแฝงของซิงเกิลแรกในชีวิต "เฟ้น" ที่เขียนจากเรื่องจริง ผ่านปลายปากกาของ "ฟองเบียร์"]
“ท่อนแรก เขียนเพื่อแทนตัวเฟ้นว่า การมาทำหน้าที่นักร้อง Pause นั้น อย่าเพิ่งคิดหวังอะไรมากนัก เพราะยังไงก็ไม่มีใครแทนพี่โจ้ได้ แต่เฟ้นก็คือเฟ้น อย่าคิดว่าเรามาแทนใคร

ท่อนที่สอง เขียนเพื่อบอกเฟ้นว่า แค่มีแฟนเพลง Pause สักคนมองเห็นเฟ้น ก็คือเป็นกำไรชีวิตแล้ว และบางทีก็อาจจะมีคนมองเราไปไม่ดีบ้าง ว่าเราคิดจะมาแทนที่พี่โจ้หรือเปล่า แต่นั่นก็ถือว่าดีแล้วถ้าใครจะมองเห็นเฟ้น”

ถ้าเทียบกับกระแสด้านลบที่เกิดขึ้น หลังการเปิดตัวนักร้องนำคนใหม่อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ถือได้ว่าสถานการณ์หลายๆ อย่างไม่น่าเป็นห่วงเท่าเดิมแล้ว ยิ่งซิงเกิลแรกจากน้ำเสียงของเฟ้นถูกปล่อยออกไป ยิ่งทำให้ภาพของเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นเพียง “เงาเสียง” ของ “พอสยุคเก่า” อย่างที่หลายๆ คนเคยปรามาสเอาไว้อีกต่อไปแล้ว


“จริงๆ แล้วเพลงของพอสมีเหลือเฟืออยู่แล้วครับ สำหรับใช้ในการแสดงสด แต่ที่ต้องทำออกมาใหม่ ก็เพราะเพลงนั้นต้องมีหน้าที่ของมัน อย่างเพลงนี้ เราก็แต่งขึ้นมาเพื่อสื่อสารในเรื่องการก้าวต่อไปข้างหน้าของวง เพลงนี้ถูกทำขึ้นมาตามจุดประสงค์แบบนั้นครับ” นอบอกเล่าที่มาที่ไปในฐานะโปรดิวเซอร์ ก่อนปล่อยให้บอส บอกเล่าเรื่องราวของแนวเพลง

“เบียร์ คนแต่งเพลงนี้ เขาก็เป็นแฟนเพลงของพอสอีกคนหนึ่งครับ ซึ่งจะคุ้นชินกับความเป็นพอสในอัลบั้ม Mild ที่จะมีความละมุนๆ เพราะเป็นชุดที่ตอนนั้น “พี่โอ๋” (ธีร์ ไชยเดช) มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ พอมาทำใหม่ในตอนนี้ เราก็ยังคงอยากให้โทนอารมณ์เพลงไม่ฉีกจากความเป็นพอสแบบเดิม ก็เลยทำให้กลิ่นของเพลงออกมาในโทนเดียวกัน”

ถึงตอนนี้ ยอดวิวออนไลน์ซิงเกิลแรกของ “พอสยุคใหม่” ในเพลงนี้ ก็พุ่งทะลุ 2 ล้านวิวเข้าไปแล้ว อยากรู้ว่าคนเบื้องหลังผู้สรรค์สร้างภาคดนตรีให้วงการเพลงอย่างพวกเขา มีสูตรลับอะไรที่ทำให้แทบทุกเพลงที่ปั้นนั้น ปัง! โดนใจคนฟังขึ้นมาได้ มือกลองร่างเล็กให้คำตอบสั้นๆ ว่า “ตอนที่เราทำ มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า แค่เราอยากทำนะ” ก่อนปล่อยให้มือเบสช่วยละเลงความคิดต่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ทุกอย่างมันมีโจทย์ของมัน เราทำมาหลายอย่าง เพลงที่ประสบความสำเร็จเราก็ทำ เพลงที่เจ๊งก็มี มันเลยไม่มีอะไรจะเสีย ตอนทำก็แค่ทำให้สุดความสามารถที่เรามี ในเมื่อยังมีคนพร้อมสนับสนุน มีคนรอฟัง เราก็มีหน้าที่ทำมันให้ดีที่สุด

สุดท้ายถ้ามันจะออกไปไม่ดี คนไม่ชอบ เราก็ถือว่าได้ทำสุดฝีมือไปแล้ว ก็เลยไม่เคยกดดันตัวเองเลยว่าต้องทำเพลงให้ดัง ให้ประสบความสำเร็จนะ เพราะถ้าทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มันก็แค่เป็นอีกเพลงหนึ่งที่เราเคยทำเจ๊ง


แม้ว่าหลายๆ สิ่งจะเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถ “พอส” เอาไว้ได้อย่างที่หลายๆ คนอยากให้เป็น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน ก็คือหลายๆ ความทรงจำที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ภายใต้ชื่อวงดนตรีวงนี้ ที่จะยังคงทรงคุณค่าและประทับอยู่ในใจพวกเขาและแฟนเพลงไปอีกนานแสนนาน

“ยังไงก็ตาม ผมก็อยากจะขอบคุณโจ้เอาไว้ก่อน เพราะถ้าไม่มีโจ้มาร้องเพลงให้พวกเรา พวกเราก็คงไม่ได้มีอาชีพมาจนถึงทุกวันนี้... ตอนนี้ พวกเราก็พยายามจะอยู่กับปัจจุบัน และทำทุกสิ่งทุกอย่างจากจุดนั้นให้ดีที่สุดครับ” เอทิ้งท้ายความรู้สึกของเขา ก่อนส่งต่อให้บอสพูดถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลง

“กลิ่นอายของพอส ความทรงจำเกี่ยวกับพอสมันยังอยู่เหมือนเดิม พอพูดถึงพอสปั๊บ หน้าพี่โจ้ก็จะลอยมาเลย แต่ ณ วันนี้มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราจำเป็นต้องส่งสารไปถึงแฟนเพลง เหมือนเรายื่นขนมอย่างใหม่ให้เขา จากมือคนทำคนเดิม เขาจะยังรับได้ไหม ถ้ารสชาติอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย
ด้วยวัยที่เปลี่ยนไป พ่อครัวคนเดิมอาจจะทำขนมที่รสชาติแตกต่างไป คุณจะยังรับได้ไหม ถ้าเกิดว่ายังรับได้ ก็ขอให้คุณเป็นลูกค้า อุดหนุนขนมทางร้านเราต่อไปนะ แต่ถ้าคุณไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ยังมีขนมร้านอื่นให้เลือกอีกเยอะแยะ”


“ส่วนผมก็อยากจะบอกว่า ผมไม่ได้อยากมาแทนที่ใครนะครับ และไม่ได้เข้ามาเพื่อทำแบบนั้น” จิ๊กซอว์ตัวใหม่ของวงที่นั่งเงียบๆ อยู่นาน ขอบอกเล่าความในใจฝากเอาไว้บ้าง

ผมแค่เป็นนักร้องอีกคนหนึ่งของวงพอสเท่านั้นเองครับ ยังไงผมก็ไม่มีวันไปแทนที่พี่โจ้ได้อยู่แล้วครับ และพี่เขาก็เป็นศิลปินที่เราชื่นชอบด้วย การจะมาแทนที่เขา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้แฟนเพลงวงพอส มองผมในฐานะที่ผมเป็นผมครับ แต่ถ้าท่านไหนที่มองผมแล้วคิดถึงพี่โจ้ ผมก็ยินดีและเป็นเกียรติมาก เพียงแต่ไม่อยากให้เอาไปเปรียบเทียบกัน
ตัวผมเองไม่เคยคิดว่าผมมาร้องแทนพี่เขาเลยครับ ทุกวันนี้ ทุกครั้งก่อนขึ้นคอนเสิร์ต ผมจะบอกพี่โจ้ตลอดว่า พี่ครับ..ผมขออนุญาตร้องเพลงพี่นะครับ พี่ช่วยร้องไปกับผม และช่วยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ




[ซืงเกิลแรกจากวงพอส(ยุคใหม่)]


จุดขาย “เฟ้น” = นักร้องสายกล่อม

ผมชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ฮึมๆ ฮัมๆ ได้ก็เอาแล้ว เริ่มร้องแล้ว พอโตหน่อยก็มาเป็นนักร้องในโบสถ์ตามรอยคุณพ่อ แล้วก็มีหัดเล่นเปียโน ถัดจากนั้นก็กีตาร์ กีตาร์นี่เพิ่งหัดตอนประมาณ ป.5 คุณอาเป็นคนสอนให้ ส่วนเรื่องร้องเพลง เพิ่งมาจริงๆ จังๆ ตอนมัธยมได้

ผมรู้สึกว่าตัวเองชอบร้องมากกว่าเล่นดนตรี แต่ตอนเรียนบ้านสมเด็จฯ (มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา) ที่ไม่ได้เลือกเอก voice ไปเลือกเอกเปียโนแทน เพราะคิดว่ามันน่าจะช่วยเพิ่มช่องทางให้ประกอบอาชีพได้มากกว่า อันนี้พี่แท้ๆ ของผมแนะนำเองครับ บอกว่าจบมาแล้วมันมีอะไรให้ทำเยอะกว่า ถ้าจะสอนเปียโนก็มีคนเรียนเยอะกว่า สามารถเปิดโรงเรียนสอนได้ด้วย

ก่อนหน้านี้ ผมจะอาศัยเล่นตามร้านอาหารกับเพื่อนครับ เล่นดูโอ้ ผมเป็นคนร้อง เพื่อนเป็นคนเล่นกีตาร์อะคูสติก ที่ถูกหลายๆ คนติงว่าร้องเสียงยืดๆ หลับๆ ก็เพราะแบบนี้แหละครับ เพราะเราเป็นนักร้องสายกล่อมมาก่อน (หัวเราะ) นี่พี่ๆ เขาก็ให้ผมไปเรียนร้องเพลงเพิ่มด้วยครับ เรื่องร้องย้วย-ร้องยืด แล้วก็ร้องไม่ชัด ก็น่าจะแก้ได้บ้างแล้ว

ถ้าให้เทียบความรู้สึกตอนร้องตามร้านอาหาร กับร้องกับวง เล่นคอนเสิร์ตกับพี่ๆ ทุกวันนี้ ก็ถือว่าให้อารมณ์ต่างกันเยอะเหมือนกันนะ จะซ้อมจะเล่นเมื่อไหร่ ผมจะตื่นเต้นตลอดเลย เพราะวงพอสนี่คือวงที่เราชอบมาก พอได้มาเล่นด้วยก็รู้สึกดีใจมากครับ (พูดไปยิ้มไป)

ผมได้ประสบการณ์หลายๆ อย่างจากพี่ๆ ในวงเลยครับ โดยเฉพาะเรื่องเทคนิกการร้อง จะคอยทักผมเรื่องการใช้เสียง หรืออย่างตอนอัดร้อง ก็มีให้ผมดีไซน์เสียงร้องของตัวเองได้ด้วย พี่เขาจะถามก่อนว่าร้องแบบนี้ชอบแล้วหรือยัง ถ้าชอบ เราก็เอาตามนั้น พี่ๆ เขาค่อนข้างเปิดรับฟังความคิดเห็นกัน มันทำให้ผมรู้สึกว่าพี่ๆ เขาอบอุ่นมากๆ เลย















สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพบางส่วน: fb.com/pausepage




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น