ความยุติธรรมอยู่แห่งใด! จับครูผู้บริสุทธิ์ยัดคุก 1 ปี 6 เดือน ในคดีขับรถชนคนตาย เพราะตำรวจจำทะเบียนรถคลาดเคลื่อน สับสนจังหวัด เปลี่ยนแปลงสำนวนฆาตกรจาก “ผู้ชาย” กลายเป็น “ผู้หญิง” รถที่ชนคนตายเป็นสีเขียว แต่รถของครูผู้บริสุทธิ์เป็นสีน้ำตาลบรอนซ์! แม้จะพ้นโทษออกจากคุกแล้วแต่ครูก็ยืนหยัดสู้ต่อเพื่อทวงคืนความจริง กระทั่งคนผิดที่ชนคนตายตัวจริงโผล่ยอมรับสารภาพ สังคมถามหาความรับผิดชอบจากตำรวจผู้ทำคดี และบทลงโทษ เพราะคุณได้ทำชีวิตครูคนหนึ่งพังย่อยยับไปเรียบร้อยแล้ว
สุดช้ำ! หลักฐานพยานชี้ชัดบริสุทธิ์ แต่ต้องติดคุก
จอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สกลนคร วัย 54 ปี ผู้รับราชการครูมา 31 ปี เป็นที่เคารพนับถือในโรงเรียน ถูกศาลตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน ในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต เมื่อปี 2548 และถูกจำคุกเมื่อปี 2556 ก่อนได้รับอภัยโทษออกมาเมื่อปี 2558 รวมเวลาอยู่ในคุก 1 ปี 6 เดือน กับใจที่แสนจะบอบช้ำ
ย้อนไปในคืนวันที่ 11 มีนาคม 2548 เวลาประมาณ 20.00 น. สภ.เรณูนคร จ.นครพนม ได้รับแจ้งว่ามีรถชนคนขี่จักรยานตาย ตำรวจ สภ.เรณูนคร จึงไปเช็กทะเบียนรถ จำได้เพียงว่า ทะเบียน บค 56 แต่จำจังหวัดไม่ได้ จึงสุ่มมาที่ขนส่งสกลนครเพื่อถามหาทะเบียน บค 56 จากนั้นจึงส่งหมายเรียกมาหาครู ผู้เป็นเจ้าของรถ บค 56 สกลนคร รถสีน้ำตาลบรอนซ์ ทั้งที่ครูยืนยันว่า ในวันที่ 11 มี.ค.วันเกิดเหตุ รถจอดอยู่ที่บ้าน ขณะเกิดเหตุกำลังพักผ่อนนอนดูทีวีอยู่กับครอบครัวที่ จ.สกลนคร ยืนยันไม่เคยขับรถชนคนตาย
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้ทำผิดแต่ครูก็ไปพบตำรวจตามหมายเรียกแต่โดยดี และพยายามต่อสู้ปฏิเสธมาตลอด แม้หลักฐานจะชี้ชัดว่า รถที่ชนคนปั่นจักรยานตายจะเป็นรถสีเขียว เพราะมีเศษสีเขียวไปติดอยู่ในซากของรถจักรยาน โดยครูยืนยันว่า รถของตนเองเป็นสีน้ำตาลบรอนซ์ แต่มีสีเขียวเพียงแค่ตัวหนังสือบนป้ายทะเบียนรถ จากนั้นตำรวจจึงถอดป้ายทะเบียนไปตรวจพิสูจน์หลักฐานที่กองพิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่ใช้กล้องจุลทรรศน์ระบบแรงสูงตรวจหลักฐาน พิสูจน์ได้ว่า แผ่นป้ายทะเบียนของครู ไม่มีร่องรอยการบุบ การชน ขูดขีด เป็นแผ่นป้ายทะเบียนที่มีสภาพสมบูรณ์
แม้พยานในที่เกิดเหตุจะยืนยันว่า ผู้ก่อเหตุขับรถชนจะเป็นผู้ชาย ร่างสูงใหญ่ เพราะในวันเกิดเหตุพยานขับรถมอเตอร์ไซค์ตามมาเห็นว่า คนขับเปิดประตูรถลงมาดูหลังชนคนตาย ทว่า สิ่งที่ต้องตกใจมากกว่านั้น คือ ตำรวจได้ลบคำว่า “ผู้ชาย” ออกจากสำนวนส่งฟ้อง
“วันที่นัดครูไปโรงพัก ครูก็ไปยืนหน้าคอมพ์ที่เขาทำสำนวน ไปยืนอยู่ข้างหลังของตำรวจ เห็นเขาลบคำว่า ผู้ชายออก จึงทักท้วงว่า ลบคำว่า ผู้ชายออกทำไม เขาก็ไม่พูด เขาก็ลบออก และก็พิมพ์อย่างอื่นต่อ” ครูจอมทรัพย์ เปิดเผยข้อมูลในรายการทุบโต๊ะข่าว
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังยืนยันให้ครูไปต่อสู้คดีในชั้นศาล ในที่สุดศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ครูยื่นอุทธรณ์สู้ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่ญาติผู้ถูกรถชนเสียชีวิตปักใจเชื่อว่า ครูเป็นคนขับรถชน ญาติผู้เสียชีวิตจึงไม่ยอม จึงฟ้องต่อ กระทั่งศาลฎีกา มีคำสั่งยึดตามศาลชั้นต้น ครูต้องติดคุก 3 ปี 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
มรสุมชีวิต! สังคมตราหน้า “ฆ่าคนตาย”
3 เมษายน 2558 ครูได้รับการอภัยโทษ หลังออกจากคุก ไปที่ไหนสังคมก็ตราหน้าครูว่า "ฆาตกร" ลูกศิษย์ที่เคยเคารพนับถือก็เมินหน้าหนี
ชีวิตพัง ถูกสังคมรังเกียจ ลูกไม่ได้เรียนทั้งที่สอบติดมหาวิทยาลัยเพราะไม่มีเงินเรียน เนื่องจากครูเป็นเสาหลักครอบครัว ถูกธนาคารฟ้อง หลังออกจากเรือนจำยังไม่สามารถกลับเข้ารับราชการครูได้ แม้จะได้ยื่นเรื่องขอกลับเข้ารับราชการไว้กับสำนักงานเขตการศึกษาฯในพื้นที่ เนื่องจากต้องรอคำพิพากษาของศาล ว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด
"เป็นชีวิตที่ตกต่ำมากๆ พอออกจากเรือนจำ ก็มาอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหน แต่ต้องเก็บตัว อยู่แต่ในบ้าน เพราะอาย รอวันศาลตัดสิน ถูกสังคมตราหน้า แทบจะไม่มีที่ยืน ไปไหนก็อับอาย จากที่ลูกศิษย์ลูกหาหลายรุ่นเคารพนับถือนับหน้าถือตา ในสังคมเหมือนเมินเฉย คือเค้าไม่ให้ความเคารพเราแล้ว"
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ครูจะถูกพิพากษาจากศาลว่าเป็นฆาตกรทั้งที่บริสุทธิ์ แต่ครูยืนยันว่า จะไม่มีวันยัดเงินตำรวจเพื่อแลกอิสรภาพทั้งที่ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะไม่อยากให้ตำรวจได้ใจ วงจรอุบาทว์จะไม่จบไม่สิ้น เชื่อ กระบวนการยุติธรรมต้องยุติธรรม
"เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งนักโทษหญิงด้วยกันที่อยู่ในเรือนจำ ต่างบอกว่า ทำไมไม่เสียเงินให้ตำรวจตั้งแต่แรก ถ้าเสียเงินให้ตำรวจตั้งแต่แรกก็ไม่ติดคุก ก็ตอบเขาไปว่า ถ้าเสียเงินให้ ตำรวจอย่างนี้ทุกๆคน กระบวนการยุติธรรม มันก็ไม่ยุติธรรม ตำรวจก็ได้ใจ ระบบวงจรอุบาทว์นี้ก็จะมีขึ้น เรื่อยๆ ประชาชนก็ตกเป็นเหยื่อของตำรวจสิ แล้วผู้ร้ายตัวจริงก็ต้องลอยนวลใช่มั้ยคะ แล้วผู้บริสุทธิ์ก็ต้อง เป็นแพะ ยอมติดคุกดีกว่า แล้วก็มารื้อฟืนสู้คดีที่หลัง ก็ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อน และญาติในการ ต่อสู้ข้างนอกระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ"
พ้นมลทิน ฆาตกรตัวจริงรับสารภาพ!
ทว่า ยังมีแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์เพราะกระทรวงยุติธรรมและศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือครูทำให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่
นายนิธิต ภูริคุปต์ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ฯ กล่าวว่า ติดตามผู้กระทำผิดตัวจริงได้แล้ว และผู้กระทำผิดตัวจริงเป็นผู้ไปให้การรับสารภาพต่อหน้าศาลด้วยตัวเอง ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่สำคัญ และมีน้ำหนักให้ศาลพิจารณา หลังจากนี้ศาลได้นัดสืบพยานใหม่ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ เวลา 13.00 น.
สำหรับการช่วยเหลือใน ฐานะเป็นจำเลยในคดีอาญาตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญานั้น เบื้องต้นต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาว่า ไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดจริงก่อน จากนั้นจึงสามารถยื่นคำร้องขอรับการเยียวยาได้ โดยคดีดังกล่าวต้องแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การรื้อฟื้นคดีหากคดีสิ้นสุดแล้ว จึงจะสามารถสอบสวนเพื่อหาคนผิดในคดีขับรถชนคนตายได้
นอกจากนี้ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ฯ ยังแนะนำให้ประชาชนที่เดือดร้อนและต้องการรับความช่วยเหลือในการต่อสู้คดีควรขอรับความช่วยเหลือในระหว่างที่คดียังไม่สิ้นสุด เพราะหากการรอจนคดีสิ้นสุดแล้ว การจะรื้อฟื้นคดีใหม่ตามเงื่อนไขของศาลเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะคดีที่ผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้ที่กระทำผิดควรต่อสู้คดี อย่ามั่นใจว่าตัวเองไม่ผิดแล้วไม่ ทำอะไร เนื่องจากหลักการพิจารณาของศาลจะอาศัยตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนส่งฟ้อง
ทนายชี้ เอาผิดตำรวจยาก!
สำหรับบทลงโทษของตำรวจผู้ทำคดีนี้จนจับแพะนั้น ทนายยืนยัน เอาผิดตำรวจยาก เพราะพนักงานสอบสวนมีกฎหมายคุ้มครองเรื่องดุลยพินิจ โดยระบุใน เพจเฟซบุ๊ก ทนายคู่ใจ ไว้ว่า
"คดีนี้ครูเขาสู้คดีนะไม่ได้รับสารภาพ ศาลชั้นต้นลงโทษ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ศาลฎีกาลงโทษ เหตุเกิดปี 2548 หรือประมาณ 11 ปีที่แล้ว ถามว่าจะเอาผิดตำรวจได้หรือเปล่า พนักงานสอบสวนมันมีกฎหมายคุ้มครองเรื่องดุลยพินิจ (ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131-134 ) ถ้าเขาชี้แจงว่าไม่ได้มีการกลั่นแกล้ง ทำสำนวนไปตามพยานหลักฐาน ก็ยากที่จะเอาผิดได้ อาจจะมีคนถามว่าแบบนี้ตำรวจนึกว่าแกล้งก็ฟ้องใครก็ได้นะสิ ไม่ต้องเสี่ยงถูกฟ้องกลับด้วย เรื่องนี้ก็ต้องดูเป็นเคสๆไปนะ ผมว่า
คือว่าจะว่าศาลก็ไม่ได้หรอกเพราะศาลก็ว่าตามพยานหลักฐาน เพียงแต่คดีนี้มันมีพยานหลักฐานใหม่ว่าจำเลยบริสุทธิ์เท่านั้นเอง คือเพื่อนครูเขาไปสืบจนเจอว่าใครเป็นคนขับรถชน แล้วคนชนก็มายอมรับสารภาพว่าเขาชนภายหลัง จนมีการนำเรื่องไปยื่นไต่สวนต่อศาล ตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญา ในมาตรา 5 เมื่อพบพยานหลักฐานใหม่ว่าจำเลยไม่ใช่ผู้กระทำความผิด โดยผู้มีสิทธิยื่นนั้นตามมาตรา 6 จะมีญาติ/อัยการ/จำเลย คร่าวๆ นะ การรื้อฟื้นคดีนี้ได้เฉพาะคดีอาญานะครับ
คือก็อยากให้มองหลายๆ มุมด้วยว่า คดีชนแล้วหนีตามจับคนร้ายยากมากเพราะสมัยนั้นไม่ได้มีกล้องชัดขนาดนี้(ขนาดมีกล้องยังหาตัวยากเลย) แต่สุดท้ายก็อยู่ที่การต่อสู้คดีของทนายความจำเลยนั่นแหละว่าวางแผนการสู้คดียังไง ถามค้านพยานหลักฐานอัยการ ตำรวจได้แค่ไหนนั้นแหละ
ไม่มีใครโชคดีเหมือนครูบ่อยๆหรอกครับที่หาพยานหลักฐานมาได้แบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเปิดช่องทางกระบวนการยุติธรรมไทยเหมือนกันว่าขนาดตรวจสอบกันละเอียดแล้วยังมีแพะลอยเข้าเรือนจำจนได้"
...เมื่อไหร่หนอ “การจับแพะ” จะไม่มีในสังคมไทย เพราะสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในกระบวนการยุติธรรม ก็คือการจับคนบริสุทธิ์เข้าคุกนั่นแหละ!
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก รายการทุบโต๊ะข่าว
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754