118,000,000 คือตัวเลขกลมๆ ของยอดวิวเพลง "คู่คอง" ในตอนนี้ ซึ่งเป็นเพลงประกอบละครเรื่อง "นาคี" ผลงานการกำกับของ "อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง" นับเป็นครั้งแรกกับการร้องเพลงประกอบละครของ "ก้อง ห้วยไร่ (อัครเดช ยอดจำปา)" นักร้องลูกทุ่งมาแรงแซงโค้ง เจ้าของเพลงฮิต "ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน" ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ยอดวิวบนยูทูบถล่มทลายด้วยตัวเลขสูงถึง 120 กว่าล้านวิว
เช่นเดียวกับเพลงล่าสุดที่ท่อนฮุกชวนติดหู สะกดจิตคนฟังจนต้องเปิดซ้ำวนไปอยู่หลายรอบ
"...บ่มีอีหยังมาพังทลาย ความฮักเฮาสองลงได้
แม้ดินสลายยังมั่นคงคือจั่งตอนเริ่ม
ฮักที่แลกด้วยแหกกฎฟ้า ถึงมีน้ำตาเข้ามาแต่งเติม
ความปวดร้าวสิเข้ามาเสริม บ่เคยคิดย่าน..."
ยิ่งถ้าใครได้ฟังเพลงนี้ในละคร "นาคี" ด้วยแล้ว เชื่อว่าคงอินคูณสอง และอาจกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะเป็นเพลงรักภาษาอีสาน พูดถึงความรักที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่มีวันจางหายไปจากหัวใจดวงนี้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หรืออุปสรรคข้างหน้าจะใหญ่หลวงเพียงใด ต่อให้ต้องฝืนชะตาฟ้าลิขิตก็พร้อมยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ครองคู่กัน ชาติกำเนิดก็ไม่อาจขวางกั้นความรักครั้งนี้ได้
"มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดในหัวใจมากๆ ครับ" นักร้องหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อถูกถามถึงกระแสเพลง "คู่คอง" ที่ดังเป็นพลุแตก "คือคู่คอง เป็นเพลงประกอบละคร เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักที่ไม่ใช่ความรักของคนในปัจจุบัน ถ้าเกิดเพลงนี้จะดังขึ้นมาได้ มันต้องเข้ากับชีวิตของคนในยุคสมัยนี้ ซึ่งมันต้องเป็นความรักที่ทันสมัย
ดังนั้นการที่จะมองถึงความดังจากเพลงนี้ มันจึงเป็นไปได้ยากสำหรับผมนะ สุดท้ายเพลงนี้กลับกลายมาเป็นเพลงที่สะกดจิตคนฟัง ฟังรอบเดียวไม่พอ ต้องฟังหลายๆ รอบ และไม่เบื่อที่จะฟังด้วย ส่วนตัวผมก็แปลกใจนะว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร"
สำหรับกระแสตอบรับที่ดี เขาเผยยิ้มกว้างไม่ใช่เล่น "ผมนี่ยิ้มเลย (ยิ้มกว้าง) แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมภูมิใจกับภาษาบ้านเกิดของผมในเพลงนี้มากกว่า เมื่อก่อนมีคนเคยบอกว่า ถ้าเกิดคุณอยากจะร้องเพลง คุณไปเอาเพลงของศิลปินที่มีชื่อเสียงมาคอฟเวอร์ดีกว่ามั้ย คนจะได้ติดตาม ได้โชว์เนื้อเสียงเพราะๆ ของคุณด้วย ผมบอกเขาไปว่าไม่เอาครับ ผมจะแต่งเพลง และร้องในสไตล์ของผมเนี่ยแหละ เขาก็บอกว่า เอ็งจะบ้าเหรอ โอกาสที่จะดังมันไม่มีเลยนะ ผมก็บอก ไม่เป็นไรครับ ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำ
พอวันหนึ่งเพลงที่ผมแต่ง และร้องมันได้รับความนิยม มันก็เหมือนได้ปลดล็อกตัวเอง อย่างกระแสเพลงคู่คอง มันได้ปลดล็อกผมจากเพลงไสว่าสิบ่ถิ่มกัน ซึ่งทุกคนอาจจะมองว่าผมฟลุก เอาจริงๆ ทุกคนก็มีสิทธิ์มองแบบนั้นได้ เพราะเป็นเพลงแรก แต่เมื่อเพลงต่อมาได้รับความนิยมไม่ต่างกัน มันเป็นการปลดล็อกว่า จริงๆ แล้วภาษาของเพลงมันสวยงามมาก ถ้าคุณเปิดใจฟัง"
เป็นที่ทราบกันดีว่า เพลงคู่คอง ก้องได้ลงมือแต่งเนื้อร้อง ทำนองเองอย่างตั้งใจโดยไม่ยอมนอน โดยเขาได้นำภาษาอีสานหลากหลายสำเนียงมาผสมผสานกันเป็นเพลงได้อย่างลงตัว และคงเอกลักษณ์ ความเรียบง่ายตามแบบฉบับหนุ่มบ้านนา ทว่าเบื้องหลังของเพลงนี้ มีหลายเรื่องราวที่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้ ทั้งความกลัว และความเชื่อส่วนบุคคล
"เพราะผมกลัวว่าจะไปทำให้ละครเขาเสียครับ" นักร้องหนุ่มบอกอย่างตรงไปตรงมา "ละครนาคีเป็นละครฟอร์มยักษ์ คือ..ความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าทุกคนมีมันดีนะครับ แต่ถ้าเกิดว่ามีแล้วมันมากเกินไป มันก็อาจจะไปทำร้ายคนอื่นได้ ถามว่าผมเชื่อมั่นในตัวเองมั้ย ผมก็มีนะ แต่ถ้าเกิดผมทำไปแล้ว มันไม่ใช่ในสิ่งที่เขาต้องการ ผมก็ไปทำลายครับ ผมจึงปฏิเสธที่จะไม่รับทำ"
ทว่า เหตุผลที่เขารับเขียนเพลงนี้ กลับมีเรื่องของความเชื่อ และความศรัทธาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งบรรทัดต่อไปนี้คือความเชื่อส่วนบุคคลที่เขาเน้นย้ำให้ใช้วิจารณญาณในการอ่าน
"หลังจากได้รับการติดต่ออีกครั้งจากพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ผมก็ตัดสินใจเขียนเพลงให้ ตอนนั้นพี่อ๊อฟพูดขึ้นมา บอกเขียนเพลงนี้ให้ปู่กับย่า (ปู่ศรีสุทโธ ย่าศรีปทุมมา) ซึ่งทั้งสองเป็นพญานาคที่ผมเคารพนับถือ ผมเลยใจอ่อนตอบรับคำจนแต่งเพลงนี้ออกมา"
เมื่อรับปากว่าจะเขียนเพลงนี้แล้ว หลังจากกลับบ้าน และหลับไป ได้ฝันเห็นปู่ศรีสุทโธมาบอกว่า ไปรับคำอะไรเขาไว้ จงทำให้เสร็จ
"ผมสะดุ้งตื่น และรีบอ่านเรื่องย่อ ก่อนจะลงมือแต่งเพลงตอนนั้นจนถึงตีห้า ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้นก็ส่งเพลงที่แต่งให้พี่อ๊อฟฟัง ซึ่งโดนใจพี่เขามาก เนื้อหาตรงกับเรื่องมาก ไม่มีการแก้เนื้อหาหรือทำนองเพลงใดๆ เลย" เขาเล่า และเผยต่อไปว่า แม้ปู่ศรีสุทโธจะมาเข้าฝัน แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยดลบันดาลให้ทุกอย่างสำเร็จโดยที่ไม่ทำอะไรเลย
"ปู่ปลุกขึ้นมาเพื่อให้แต่งเพลงนี้เหรอ มันเป็นไปได้เหรอ ท่านไม่ได้บอกให้ตื่นขึ้นมาแต่งเพลงนี้ และบอกว่ามันจะดัง ท่านบอกว่า ไปรับปากอะไรใครไว้ ไปทำให้มันเสร็จ ผมก็ลุกขึ้นมาแต่งเพลงคู่คอง สุดท้ายเพลงนี้ก็ไปสะกดจิตคนฟังจนดังด้วยตัวของมันเพลง"
มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
เป็นคำถามที่ "ก้อง" นิ่งคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะให้คำตอบสำหรับคำถามนี้
"เมื่อก่อนในวันที่ผมไม่มีจะกิน ในวันที่ผมต้องหางานทำ ผมไม่ต้องการชื่อเสียง เงินทองอะไรเยอะแยะมากมาย แค่ผมเลี้ยงชีพตัวเองได้ ไม่เป็นภาระคนอื่น ไม่เป็นภาระพ่อแม่ แค่นั้นผมก็โอเคแล้วครับ ด้วยความคิดแบบนี้ ผมตั้งหน้าตั้งตาทำงานโดยไม่สนดวงที่มีคนบอกผมว่า ผมจะดัง
วันนี้ผมมีทุกอย่างที่จะดูแลตัวเอง ดูแลพี่น้อง ดูแลครอบครัวได้อย่างสบาย ดังนั้นประโยคคำถามที่ว่า เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ผมมาถึงได้เพราะความเชื่อ และความศรัทธาในตัวเอง รวมไปถึงงานที่ทำ ซึ่งผมซื่อสัตย์ และเคารพในทุกๆ งานที่ผมทำ"
ด้วยความแข็งแกร่ง และศัพยภาพที่เขามี การย้อนกลับไปยังสถานที่ที่สร้างเขาขึ้นมาอย่าง "ครอบครัว" คือสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย
"คำสอนของพ่อกับแม่ที่มีอิทธิพลสำหรับผมมากๆ คือคำสอนที่ว่า ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ไปเป็นภาระของคนอื่น ไปอยู่ที่ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน จากคำสอนเล็กๆ แค่นั้น แต่มันฝัง และผลักดันให้ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเป็นภาระของคนอื่น ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน ผมบอกกับตัวเองแบบนี้อยู่ตลอด จนถึงวันนี้ก็ยังบอกอยู่ ซึ่งผมให้ความสำคัญกับมันมาก เพราะ...ผมกลัวมาก ผมกลัวที่จะเป็นภาระคนอื่น"
ส่วนผสมที่ลงตัวจากพ่อแม่
เมื่อถามถึงพ่อกับแม่ เขาเล่าไปยิ้มไป "พ่อผมเป็นคนที่อดทน แล้วก็พูดน้อย แต่ทำงานเยอะมาก (ลากเสียงยาว) พ่อเป็นต้นแบบทำให้ผมเรียนรู้ถึงความพยายาม และรู้จักที่มองตัวเองมากกว่าไปโทษคนอื่น อย่างในวันที่ผมไม่ประสบความสำเร็จ แทนที่ผมจะร้องไห้ฟูมฟาย หรือไปบ่นให้เทวดา หรือเพื่อนร่วมงานฟัง ผมกลับมานั่งคิดอยู่ในใจคนเดียวว่าผมยังไม่เก่งพอ ผมต้องทำใหม่ และทำเรื่อยๆ จนกว่าจะเก่ง
ส่วนแม่ แม่เป็นคนที่มีเสียงเพราะมาก ผมคิดว่าพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงคือสิ่งที่ผมได้มาจากแม่ ตอนเด็กๆ ผมได้นั่งฟังแม่ร้องบทสรภัญญ์อยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นการสวดและร้องเพลงพื้นบ้านประเภทหนึ่งที่ผสมผสานกันมีการร้องและรำประกอบ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นในการร้องเพลงของผม
ขณะที่พี่น้อง ตอนนี้ผมมีเหลืออยู่ 3 คนรวมผมด้วย ซึ่งจริงๆ ผมมี 5 คน พี่คนโตหลังจากคลอด 6 เดือนก็เสียชีวิตจากไข้ป่า ส่วนพี่คนต่อมา หายสาบสูญไปตอนอายุ 25 ปี ตอนนี้ผมก็เหลือพี่สาวสองคน คนหนึ่งตอนนี้ผมให้ช่วยดูแลพ่อกับแม่แทนผม ซึ่งผมตั้งเงินเดือนให้พี่สาว 25,000 บาท ถ้าอยากได้อย่างอื่นก็ขอผมได้ เอาจริงๆ ผมก็อยากให้ธรรมดานะ แต่ผมอยากให้พี่สาวรู้สึกว่าเขามีคุณค่า ไม่อยากให้รู้สึกว่าเข้ามาเป็นภาระผม ส่วนพี่สาวอีกคน ผมให้มาดูแลเรื่องเสื้อผ้า และคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน
ความสุขของ "หนุ่มก้อง"
บ้านของเรา ครอบครัวของเรา
ทุกวันนี้ผมมีรถ มีบ้านให้พ่อกับแม่อยู่ที่จ.สกลนคร ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของผม และได้ทำมันสำเร็จแล้ว หลังจากนี้ผมมองข้ามไปอีก 1 ช็อตคือ ความมั่นคงที่จะทำให้ครอบครัวของผมอยู่ได้ เพราะผมไม่อยากให้ครอบครัวต้องกลับไปอยู่ใจุดเดิมที่จะต้องหาเช้ากินค่ำ ทำงานดึกๆ ดื่นๆ เป็นลูกน้องคนอื่น คือผม..ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ในโลกนี้ได้อีกนานแค่ไหน แต่ความสุขวันนี้คือผมได้เห็นพ่อแม่อยู่สบาย และได้อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่"
แม้คิวงานจะเยอะ แต่ "ลูกชาย" และ "น้องชาย" คนนี้ยังกลับไปเติมเต็มความสุขในครอบครัวอยู่บ่อยๆ
"ผมกลับบ่อยมากครับ (ยิ้ม) บางครั้งก็นั่งเครื่องบินไปกลับ หรือบางครั้งก็อยู่ด้วยหลายวัน สำหรับผมแล้ว แค่ได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวสัก 2-3 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว ซึ่งผมกับพี่สาว เรามักจะชอบคุยกันเรื่องสมัยเด็กๆ อย่างครั้งหนึ่งคุยกันขำๆ ว่า ถ้าตอนเด็กๆ ฉันฆ่าเธอทิ้ง ก็ไม่รู้ว่าใครจะมาเลี้ยงฉันแบบนี้ (อมยิ้ม) หรือตอนเด็กๆ ทำไมชอบแย่งฉันกิน แล้วตอนนี้มีเงินซื้อของกินเยอะแยะ ทำไมไม่กิน ซึ่งเราจะมีเรื่องแบบนี้มาคุย มาเล่ากันตลอด
ส่วนพ่อกับแม่ เขาบอกกับผมว่า ภูมิใจ และดีใจมากๆ ในสิ่งที่เราพูดมาตลอดว่า เราจะดูแลพ่อแม่ เราจะต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวให้ได้ และวันนี้เราทำได้จริงๆ อย่างทุกวันนี้ก็โฟกัสเรื่องครอบครัวกับเรื่องงาน ส่วนความรักก็ไม่ได้โฟกัสอะไรมากครับ" นักร้องหนุ่มบอก
ก้องว่าไง...ดังแล้วอัปค่าตัว?
สำหรับเรื่องกระแสข่าวอัปค่าตัว เขาอยากให้มองมุมใหม่ "สมมติ วันนี้ร้องอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมรับ 10 บาท ผมไปนครสวรรค์ ผมก็ต้องรับ 12 บาท เพราะต้องเสียค่าเดินทาง และค่าที่พัก ผมอยากให้มองแบบนี้มากกว่า ไม่อยากให้มองว่า เฮ้ย! วันนั้นจ้างแค่ 10 บาท ทำไมวันนี้เพิ่มขึ้นมาล่ะ ดังแล้วเหรอ ผมไม่อยากให้คิดแบบนั้น ตอนนี้ผมเริ่มมีวงละ ค่าใช้จ่ายมันก็ต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งชื่อเสียงไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนไป ชื่อเสียงบ่เคยเปลี่ยนผม ผมยังเป็นก้องคนเดิม เป็นก้องแห่งบ้านห้วยไร่คนเดิม
ส่วนรางวัลการันตีในการเป็นนักร้อง ผมก็ได้มาเกือบหมดละ แต่ผมเลือกที่จะไม่โพสต์ เลือกที่จะไม่ประกาศเรื่องของคิวงาน เพราะผมไม่อยากประกาศให้คนรู้ว่าผมมีชื่อเสียงนะ ผมมีอย่างนู้น อย่างนี้นะ ไม่ครับ ผมคือคนหาเงินเลี้ยงชีพตัวเอง และครอบครัว แค่นั้นจริงๆ ครับ"
ก้อง-เปิ้ล คู่จิ้นฟินกระจาย
ปิดท้าย ไม่ถามไม่ได้ถึงกระแสคู่จิ้นกับ "เบิ้ล-ปทุมราช" แห่งค่ายอาร์ สยาม เพราะถ้าได้ขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันจะต้องมีการแซว หรือพฤติกรรมชวนให้จิ้นกันอยู่บ่อยๆ...จริงหรือไม่ถามใจก้องดู
"เป็นน้องที่สนิทกันครับ" ก้องรีบพูดขึ้นมาทันที "เรารู้จักกันก่อนที่จะเป็นนักร้อง ทุกวันนี้ถ้าเปิ้ลว่างก็ไปนอนคอนโดฯ ผม ไปนอน หรือไม่ก็ทำกับข้าวกินกัน ส่วนถ้าผมว่าง ผมก็ไปบ้านเบิ้ล แล้วที่มีประเด็นจิ้นกันก็คือ ต้องเข้าใจก่อนว่าเบิ้ลเขาเป็นคนขี้เล่น เวลาขึ้นเล่นคอนเสิร์ตด้วยกัน เขาจะชอบจุ๊บหน้าผากผม หรือบางทีก็หอมผม นั่นแหละครับ (ยิ้มกรุ้มกริ่ม) จากที่โฟกัสเรื่องงาน กลายมาเป็นหัวข้อคำถามของพี่ๆ สื่อว่า สรุปแล้วเป็นสามีภรรยากันจริงมั้ย (หัวเราะ)
ถ้าใครได้ตามดูคอนเสิร์ตของเรา 2 คน เบิ้ลมักจะชอบแซวว่า หลังจากที่ได้ฟังเมียเล่นแล้ว มาฟังผัวเล่นต่อนะครับ ผมก็คิดในใจ โอ๊ย! เอ็งจะพูดทำไม แต่คนดูก็ชอบนะ ซึ่งผมก็ไม่ได้อะไรครับ แต่ที่ต้องชมเลยก็คือ เบิ้ลเป็นเด็กที่มีความสามารถ มีความน่ารัก และมีพรสวรรค์ นอกจากนั้นยังมีความซื่อๆ ในตัว จะได้ยินคำหวานๆ จากเบิ้ลยาก เพราะเบิ้ลเป็นคนขวานผ่าซาก ดูหน้าหวานๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นผู้ชายดิบๆ (หัวเราะ) รวมๆ แล้วน่ารักครับ จริงใจจนเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ" ก้องพูดถึงน้องชายที่หลังๆ เริ่มกลายเป็นคู่จิ้นโดยไม่รู้ตัว
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้คุยกับหนุ่มบ้านนารายนี้ สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้นอกจากความอดทนสู้ชีวิต คือความใฝ่ดี และทัศนคติด้านดีในการใช้ชีวิต ซึ่งไม่เพียงแต่ตัวเองแล้ว "ครอบครัว" คือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมาตลอด นับเป็นศิลปินตัวอย่างที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง แต่ท่ามกลางชีวิตที่มีคำว่า "ชื่อเสียง" พัดผ่านเข้ามา คือบทพิสูจน์ตัวตนของเขาต่อจากนี้ เพราะมีหลายคนเคยหลงระเริงจนทำลายชีวิตตัวเองให้พัง และร่วงดับมาแล้ว
เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช และขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม @konghuayrai
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754