xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโลกเวทมนตร์ไปกับ “โจ้ - อภิชาติ” แฟนพันธุ์แท้แฮร์รี่ พอตเตอร์!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


จะมีหนังสือสักกี่เล่มบนโลกที่สร้างปรากฏการณ์มียอดขายถล่มทลาย และเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ ชื่อของ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ย่อมต้องทำให้นักอ่านทั่วโลกนึกขึ้นได้เป็นอันดับแรกๆ จากหนังสือทั้ง 7 เล่ม สู่การเป็นภาพยนตร์ภาคต่อถึง 8 ตอน เป็นเครื่องการันตีถึงความนิยมของวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน ทีมข่าวผู้จัดการ Lite จึงขอพลิกหน้ากระดาษ ร่วมท่องโลกแห่งจินตนาการไปพร้อมๆ กับตัวแทนมักเกิ้ลชาวไทย โจ้ - อภิชาติ แฟนพันธุ์แท้แฮร์รี่ พอตเตอร์ประจำปี 2014

เปิดอ่านเพียง 15 หน้า ก็ต้องมนตร์อย่างจัง!

หากจะเอ่ยถึงเด็กชายสวมแว่นตาทรงกลม ผู้มีแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผาก และเรื่องราวการผจญภัยในโลกเวทมนตร์ แน่นอนว่าผู้คนต้องนึกถึงพ่อมดน้อย “แฮร์รี่ พอตเตอร์” หนังสือวรรณกรรมเยาวชนชื่อดัง มียอดจำหน่ายทั่วโลกกว่าหลายร้อยล้านเล่ม และยังได้รับรางวัลการันตีด้านหนังสือจากสถาบันชั้นนำมายมาก ต้องยอมรับว่า J.K.Rowling ได้ทำให้บรรดานักอ่านทั่วโลก ตกอยู่ในมนตร์สะกดของเธออย่างไม่ต้องสงสัย
โจ้ - อภิชาติ ตรีตรุยานนท์ กราฟฟิกดีไซเนอร์หนุ่มวัย 26 ปี คือหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบในหนังสือเรื่องนี้ ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 15 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กชายโจ้ เขาได้บังเอิญพบหนังสือเล่มหนึ่งในห้องสมุด ที่มีหน้าปกเป็นรูปเด็กผู้ชายสวมแว่นตา กำลังขี่ไม้กวาดไล่จับอะไรบางอย่างสีทอง เขารู้สึกว่าเป็นหนังสือที่น่าสนใจจึงลองหยิบอ่านดู ปรากฏว่าเมื่ออ่านไปได้ 15 หน้าก็เริ่มชอบขึ้นมาทันที



“ผมเริ่มอ่านแฮร์รี่ตั้งแต่ตอนอยู่ ป.6 ครับ เป็นหนังสือเล่มแรกที่เลือกอ่านนอกจากหนังสือเรียน ตอนนั้นกำลังนั่งเล่นกับเพื่อนอยู่ในห้องสมุด บังเอิญเจอหนังสือแฮร์รี่เล่ม 1 เลยลองหยิบมาอ่านดู พออ่านได้ 15 หน้าเท่านั้นแหละครับ ติดเลย รู้สึกว่าทำไมนาฬิกาที่ห้องสมุดมันหมดเร็วจัง เลยวางไว้แล้ววันหลังจะมาอ่านต่อ พอจะกลับมาอ่านอีกครั้ง หนังสือเล่มนั้นก็ถูกยืมไปแล้ว เลยรู้สึกว่าต้องหามาอ่านเองแล้วล่ะ จุดเริ่มต้นความชอบแฮร์รี่ ของผมก็เริ่มมาจาก 15 หน้านั้นเลยครับ
ตอนนั้นยังเด็กอยู่ด้วย ผมก็ไม่รู้จะอ้อนพ่อแม่ให้ซื้อยังไง เพราะไม่ใช่หนังสือเรียนและเป็นของที่ค่อนข้างมีราคา เลยเก็บความอยากได้ไว้ในใจตลอด จนกระทั่งมี Box set 5 เล่มออกมา ซึ่งตรงกับช่วงวันเกิดผมพอดี ก็เลยขอเป็นของขวัญ พอได้มาแล้วก็ติดงอมแงมเลยครับ อ่านยิ่งกว่าหนังสือเรียนอีก(หัวเราะ)”

ส่วนที่สร้างเป็นภาพยนตร์ โจ้บอกว่า ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด(สุราษฎร์ธานี) จึงมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ในโรงเพียงไม่กี่เรื่อง กว่าจะได้ดูแฮร์รี่ในแต่ละครั้งนั้น ต้องรอให้ญาติๆ พาไป ซึ่งแต่ละครั้งที่จะได้ไปก็ต้องใช้เวลาอ้อนอยู่นาน ไม่ต่างจากตอนที่ขอหนังสือเช่นกัน
“พอได้ดูแล้วเขาก็ถามกันว่า นี่คือเรื่องที่อ่านจากหนังสือใช่มั้ย คือญาติๆ เขาก็รู้กันหมดครับว่าผมบ้าแฮร์รี่หนักมาก(หัวเราะ)”



จากจุดเริ่มต้นแค่ 15 หน้า ทำให้โจ้ค่อยๆ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับพ่อมดน้อยทีละนิดทีละหน่อย จนถึงปี 2547 เขาได้ตัดสินใจเปิดเว็บไซต์ Muggle - V เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับแฮร์รี่ และยังมีการนำบทความจากต่างประเทศมารวบรวมไว้ ให้มักเกิ้ลชาวไทยได้เข้ามาอ่านกัน
“ช่วงแรกๆ ผมก็ไม่ค่อยมีความรู้สักเท่าไหร่ จึงอาศัยการคัดลอกจากเว็บอื่นมาใส่เว็บเรา แต่มารู้สึกว่าแบบนี้มันไม่แฟร์ที่เราไปเอาของเขามา เราก็มีความคิดเป็นของตัวเองนี่ ก็เลยเริ่มที่จะรวบรวมขึ้นมาเอง เขียนขึ้นมาเอง แล้วตั้งเป็นเว็บไซต์ Muggle - V ครับ ตอนแรกก็ทำคนเดียว จนตอนนี้ก็มีคนที่ชื่นชอบแฮร์รี่ด้วยกัน มาช่วยกันแปลข่าว ช่วยกันเรียบเรียง เขียนเนื้อหาใหม่ๆ ปัจจุบันเว็บไซต์ของเรามีทีมงานหลักๆ ประมาณ 4 คนครับ ส่วนที่เหลือถ้าใครว่างก็จะมาช่วยกันครับ



นอกจากเว็บไซต์แล้ว เขายังได้ต่อยอดมาถึงการทำแฟนเพจในเฟซบุ๊ก โดยใช้ชื่อเดียวกันคือ Muggle - V ซึ่งปัจจุบันมียอดผู้กดไลก์เพจเกือบ 57,000 คน! โดยอาศัยเวลาว่างจากการทำงานเข้ามาอัปเดตข่าวสารอยู่เสมอ
“ผมทำงานเป็นฟรีแลนซ์กราฟฟิกดีไซเนอร์ ซึ่งก็เป็นงานที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ก็จะเอาเวลาตรงนั้นมาแปลข่าว ต้องเป็นช่วงที่ว่างจากงานจริงๆ จึงจะไปทำเว็บ เพราะบางทีต้องใช้เวลาแปลหรือทำความเข้าใจกับมัน เราอยากจะเป็นแหล่งข่าวที่คนเข้ามาอ่านแล้วได้ข้อมูลที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุดครับ”

ชัยชนะในรายการแฟนพันธุ์แท้…ประสบการณ์ที่ยากจะลืม

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 กราฟฟิกดีไซเนอร์หนุ่มคนนี้ได้ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง ด้วยการคว้าตำแหน่งสุดยอดแฟนพันธุ์แท้แฮร์รี่ พอตเตอร์ ปี 2014 มาครอง เขาได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า กว่าจะผ่านแต่ละด่านเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มาได้ เล่นเอาเหงื่อตกไปหลายรอบเลยทีเดียว
“ตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะไปแข่งหรอกครับ เพราะคิดว่าหัวข้อแฮร์รี่คงจะโดนตัดออกไปเหมือนทุกๆ ปีที่เคยส่งไป แต่ปรากฏว่าปีนั้นเป็นปีที่ทีมงานของรายการแฟนพันธุ์แท้เขาอยากจะทำหัวข้อแฮร์รี่ขึ้นมาอีกครั้ง เขาเลยจัดทำแบบสอบถามเพื่อที่จะหาคนที่มีความสนใจมาแข่ง ผมก็เลยลองทำแบบสอบถามส่งไป ตอนแรกคิดว่าจะไม่ทำด้วยซ้ำเพราะไม่มีเวลามานั่งอ่านอีกรอบ แต่เพื่อนในกลุ่มแฮร์รี่ก็บอกให้ลอง เลยลองส่งไปแล้วแนบโปรไฟล์เกี่ยวกับแฮร์รี่ไปด้วย ส่งไปไม่นานเขาก็ติดต่อกลับมาให้ไปทำแบบทดสอบเลยครับ



รอบที่ทำแบบทดสอบมีประมาณ 20 กว่าคนได้นะครับ มีทุกรุ่นเลยครับ เด็ก 10 กว่าขวบก็มี แต่ด้วยความที่เขายังเด็ก ก็อาจจะตอบไม่ถูกบ้างเพราะข้อมูลไม่แน่นพอ แต่ก็มีบางคนอย่างน้องบะหมี่(ผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้ายที่เด็กที่สุด) ข้อมูลเขาก็แน่นเหมือนกัน น้องบอกในระหว่างที่นั่งคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในห้องว่า ศึกษาข้อมูลมาจากเว็บไซต์ Muggle - V ผมก็รู้สึกดีใจนะที่มีคนพูดถึง แต่ตอนนั้นผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นแอดมินหรอก(หัวเราะ)”
หลังจากที่ผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้ายไปได้แล้ว เมื่อถึงวันที่ต้องถ่ายทำ เขายังเป็นคนเดียวที่สวมชุดคลุมของสลิธีริน(พ่อมดศาสตร์มืดส่วนใหญ่มาจากบ้านนี้) ยืนอยู่ในตำแหน่งตรงกลาง ท่ามกลางผู้เข้าแข่งขันคนอื่นแต่งกายด้วยชุดคลุมของบ้านกริฟฟินดอร์ นับว่าเป็นความกดดันแรกที่เขาต้องเจอตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มคำถามแรก!



“วันนั้นมีผมเป็นสลิธีรินคนเดียวเลย ยืนอยู่ตรงกลางแถมสูงที่สุดด้วย(หัวเราะ) คำถามในรอบแรกมันไม่ได้ยากแต่มันตื่นเต้นมากกว่า เวลาก็กระชั้นชิดด้วย แล้วบรรยากาศที่ถ่ายทำมันเป็นบรรยากาศที่เงียบไปหมด เลยทำให้ตื่นเต้นและรู้สึกกดดันมากว่าจะเกิดอะไรต่อไป
แต่ที่ตื่นเต้นที่สุดน่าจะเป็นรอบสุดท้าย กับคำถามที่ว่า ‘รายชื่อที่ปรากฏว่าเสียชีวิตในหนังสือเล่มที่ 7 มีกี่ราย’ ซึ่งภาคนี้เป็นภาคที่ผมอ่านน้อยครั้งที่สุด เพราะหนังสือมาออกในช่วงที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยพอดี พอเจอคำถามนี้มาปุ๊บ บรรยากาศที่เรายืนอยู่บนเวทีคนเดียวกับคุณกฤษ (กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์)ที่เป็นพิธีกร ผู้ชมในห้องส่งก็ไม่สามารถส่งเสียงได้ มันเป็นอะไรที่กดดันมาก สุดท้ายก็ตอบผิดครับ”



โจ้กล่าวว่า ตอนแรกหวังเพียงแค่ไม่ตกรอบแรกก็ดีใจแล้ว แต่พอได้พยายามเข้ามาจนถึงรอบสุดท้ายก็ถือได้ว่าเกินความคาดหวังของตัวเองไปมาก และแม้จะตอบผิดไป แต่เขาก็ได้รับตำแหน่งสุดยอดแฟนพันธุ์แท้แฮร์รี่ พอตเตอร์ ปี 2014 ติดตัวมาด้วย เขาบอกว่า ในตอนแรกก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าทำเต็มที่แล้ว
ส่วนชีวิตหลังจากได้รับตำแหน่งมาครองก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปมาก แต่พอเวลามีงานเกี่ยวกับแฮร์รี่เมื่อไหร่ ก็จะได้มีโอกาสไปเป็นแขกรับเชิญหรือขอสัมภาษณ์อยู่บ้าง ส่วนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โจ้บอกว่า จะเป็นในเรื่องของเว็บไซต์และแฟนเพจมากกว่า
“ตั้งแต่รายการออกอากาศไปก็มีคนเข้ามากดไลก์ที่เพจเยอะมากครับ แค่วันนั้นวันเดียวก็เพิ่มขึ้นมาเป็นหมื่นเลย(หัวเราะ) เลยตกใจกับกระแสมากที่มีคนเข้ามาขนาดนี้ บางครั้งก็ได้เจอกับเพื่อนเก่าๆ ที่ไม่ได้เจอมานาน เขาบอกว่า ติดตามในเพจตลอด ตอนที่แข่งอยู่ก็ได้ดูด้วย แล้วทุกคนก็เข้ามายินดี ผมเลยรู้สึกว่าแบบนี้เป็นโมเมนต์ที่ดีในชีวิตของผมครั้งหนึ่งเหมือนกัน”

เปิดกรุของสะสม
นอกจากจะเป็นหนังสือและภาพนตร์แล้ว แฮร์รี่ พอตเตอร์ ยังมีของสะสมอื่นๆ ให้บรรดามักเกิ้ลทั่วโลกได้ตามเก็บสะสมกัน ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้แฮร์รี่ชาวไทยอย่างโจ้ มีหรือจะพลาด เขาตามเก็บทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ โมเดล ไม้กายสิทธิ์ และอื่นๆ อีกมากมายหลายร้อยชิ้น ซึ่งบางอย่างในคอลเลกชันของเขานั้น ที่มีไม่กี่ชิ้นบนโลก!


[ หนังสือบีเดิลยอดกวี ]

“ผมไม่เคยนับนะว่ามีกี่ชิ้น ให้ประมาณก็น่าจะเป็นหลักร้อย ไม่แน่ใจว่าเกิน 500 ชิ้นไปรึยัง(หัวเราะ) ตอนนี้ที่กำลังเก็บอยู่คือหนังสือแฮร์รี่ที่แปลเป็นภาษาต่างประเทศ ล่าสุดผมเพิ่งได้ของยูเครนมา กับของจีนที่เป็นปกพิเศษ ส่วนฉบับที่เป็นภาษาไทยก็พยายามไปเสาะหาฉบับที่พิมพ์ครั้งที่ 1 ใช้เวลาหาอยู่ประมาณ 4 ปี ตอนนี้ก็ได้ครบทั้ง 7 ภาคแล้วครับ(น้ำเสียงแสดงออกถึงความมดีใจ)



ส่วนชิ้นที่แพงที่สุด(คิดอยู่สักพัก) จริงๆ แล้วราคามันก็ใกล้ๆ กันนะครับ น่าจะเป็นแฮร์รี่ฉบับปกภาษาเยอรมันครับ เป็น Box set ปกออริจินัลของเยอรมัน พอรวมกับค่าส่งแล้วก็ราคาประมาณหมื่นกว่าบาท พอดีพี่สาวซื้อให้ครับ”
สำหรับชิ้นที่เรียกได้ว่าหวงที่สุด โจ้บอกว่าเป็นหนังสือแฮร์รี่เล่ม 1 ฉบับพิมพ์ครั้งแรก รวมไปถึงหนังสือหนังสือนิทานบีเดิ้ลยอดกวี(หนังสือส่วนเสริมของแฮร์รี่) ที่เปิดขายในเว็บอะเมซอนจำนวนหนึงแสนเล่ม และเพิ่งจะได้มาเมื่อปลายปีที่แล้ว นอกจากหนังสือก็จะมีเป็นขวดโค้กที่เป็นลายแฮร์รี่ ซึ่งผลิตออกมาแค่ในปี 2001



“ผมบังเอิญไปเจอมาในอีเบย์ รู้สึกว่ามันเจ๋งดี เลยประมูลมา แต่ได้ในราคาไม่สูงครับ จำได้ว่าไม่น่าจะถึงหนึ่งพันบาท เพราะเจอในช่วงที่ไม่มีใครมาแย่งชิงกับเรา(หัวเราะ)”



หนังสือจบแต่กระแสไม่จบ

แม้ว่าบทสรุปของพ่อมดน้อยนามว่าแฮร์รี่ในรูปแบบหนังสือจะจบลงไปแล้ว แต่เรื่องราวในรูปแบบอื่นๆ ยังคงดำเนินต่อไป ทั้งละครเวที Harry Potter and the Cursed Child ที่เป็นเรื่องราวหลังเหตุการณ์ในเล่มที่ 7 และตอนนี้กำลังเปิดการแสดงอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ รวมไปถึงข้อมูลต่างๆ ที่ทางเว็บไซต์ Pottermore เป็นเว็บไซต์ที่จะมีข้อมูลจากผู้เขียนอย่าง J.K.Rowling คอยอัปเดตอยู่เสมอ


[ ภาพส่วนหนึ่งจากละครเวที ]

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ไตรภาค ที่เชื่อว่ามักเกิ้ลทั่วโลกต่างตั้งตารอ ก็คือเรื่อง “สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่(Fantastic Beasts and where to find them)” ภาพยนตร์ภาคแยกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่มีกำหนดเข้าฉายในประเทศไทยในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 สำหรับกระแสแฮร์รี่ในบ้านเรา แม้จะไม่คึกคักหรือรวมตัวกันได้บ่อยเหมือนต่างประเทศ แต่แฟนพันธุ์แท้แฮร์รี่ก็ยืนยันว่า เหนียวแน่นไม่แพ้กัน


[ ภาพส่วนหนึ่งจากภาพยนตร์ “สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่(Fantastic Beasts and where to find them)”]

กลุ่มแฟนๆ ของแฮร์รี่ในบ้านเรารวมตัวกันไม่ค่อยบ่อยครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็จะมีการติดตามข่าวอยู่เสมอ อย่างปีก่อนๆ ก็จะมีการรวมตัวกันในวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของ J.K.Rowling และตัวละครหลักก็คือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ปีนี้ก็กำลังคิดๆ กันอยู่ว่าจะจัดมั้ย เพราะว่าเข้าสู่วัยทำงานกันหมดแล้ว(หัวเราะ) เวลาเลยไม่ตรงกัน เลยไม่สะดวกสักเท่าไหร่
เดี๋ยวปลายปีนี้บ้านเราจะมีงานเกี่ยวกับแฮร์รี่อีกหลายงานครับ ทั้งงานสัปดาห์หนังสือ งานเปิดตัวหนังสือบทละครเวที Harry Potter and the Cursed Child ที่ทางนามมีบุ๊กส์ประกาศออกมาแล้วว่าจะมีการแปลเป็นภาษาไทย รวมไปถึงงานรอบปฐมทัศน์เปิดตัวภาพยนตร์สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่(Fantastic Beasts and where to find them) ด้วยครับ


[ งานสัปดาห์หนังสือ เมื่อปีที่ผ่านมา ]

ทุกวันนี้เวลามีงานอะไรก็จะได้กลับไปเป็นเด็กกันอีกรอบ(หัวเราะ) เพราะเหมือนกับว่ารุ่นที่อ่านมาพร้อมๆ กับผมก็โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว อย่างตอนงานหนังสือปีที่แล้วมีแต่เด็กที่อายุน้อยกว่าเรามาก กลุ่มผู้ใหญ่จะเป็นส่วนน้อย เลยกลายเป็นกลุ่มเด็กโข่งที่ปะปนกับเขาไปครับ(หัวเราะ)”
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่กระแสแฮร์รี่ในไทยไม่เคยจางหายไปไหน บ่อยครั้งที่เขาได้ยินเด็กน้อยถามหาหนังสือเล่มนี้ตามร้านหนังสือ หรือบางทีก็มีมาถามในเพจของเขาเหมือนกัน เลยทำให้เขารู้สึกว่า แฮร์รี่เป็นหนังสือที่สามารถเข้าถึงได้ทุกวัย จนทุกวันนี้ กลุ่มเก่าๆ ที่ติดตามแฮร์รี่มาตั้งแต่ยุคแรก ก็ยังมีความเหนียวแน่นอยู่
ผมเจอแฟนแฮร์รี่ที่อายุมากที่สุด น่าจะประมาณ 40 -50 ปีครับ เริ่มจากการอ่านเอง พอมีลูกหลานเขาก็ส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้อ่าน จนกลายเป็นครอบครัวที่อ่านแฮร์รี่ไปเลยก็มี”

หนังสือที่เป็นมากกว่าหนังสือ

ถึงแม้แฮร์รี่จะเป็นหนังสือชื่อดังที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ แต่ก็ไม่วายโดนกระแสต่อต้านจากผู้ที่ไม่ได้ชื่นชอบพ่อมดน้อยชื่อดัง ซึ่งโจ้ได้บอกว่า เคยเห็นในเฟซบุ๊กบ่อยเหมือนกันเป็นเพจแอนตี้แฮร์รี่ ส่วนตัวเขารู้สึกว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะชอบหรือไม่ชอบอะไรก็ได้ ซึ่งตัวเขาเองก็พยายามไม่ไปสนใจในส่วนที่เขาต่อต้านกัน
“มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเราเลยครับ”



แฟนพันธุ์แท้แฮร์รี่เปิดเผยกับทีมข่าวผู้จัดการ Lite ว่า แฮร์รี่คือสิ่งหนึ่งที่เขาอยากจะแสดงออกให้ผู้อื่นรู้ว่า เราชอบสิ่งนี้นะ มีหลายคนที่มีความชอบอยู่ในใจแต่ไม่สามารถแสดงออกไปได้ เพราะว่าพอเวลาที่จะแสดงออกไปนั้น เป็นอันต้องโดนขัด โดนปฏิเสธ โดนบอกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันไร้สาระและเพ้อฝัน แต่นอกเหนือจากความเพ้อฝันในสายตาคนอื่นก็ทำให้เขาได้อะไรหลายๆ อย่างจากการที่ได้รู้จักกับหนังสือเล่มนี้
ผมคิดว่าแฮร์รี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมลงมือทำอะไรหลายๆ อย่างที่ในชีวิตปกติไม่เคยทำ อย่างการแต่งคอสเพลย์ อย่างเมื่อก่อนก็คิดว่าจะคอสเพลย์ไปทำไม เปลืองเงินจะตาย แต่พอเราไปประกวดแล้วได้รางวัลมา มันทำให้เรารู้สึกว่าการได้เป็นตัวละครที่เราชื่นชอบก็มีความสุขแล้ว หรือการฝึกภาษาอังกฤษ แฮร์รี่ทำให้ผมตั้งใจขวนขวายที่จะศึกษาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้แปลข่าวแต่ละข่าวให้ออกมาดี ผมมีแฮร์รี่เป็นตัวดึงให้ผมออกไปจากจุดที่ขี้เกียจได้ แฮร์รี่ให้ประโยชน์อะไรหลายๆ อย่างสำหรับผมครับ”



เขายังบอกต่อไปว่าในการกลับมาอ่านแฮร์รี่แต่ละครั้ง ก็ยังทำให้เห็นมุมมองบางอย่างที่เปลี่ยนไปแทบจะทุกครั้ง เขาได้ยกตัวอย่างตอนหนึ่งในหนังสือ ในตอนที่แฮกริดเคยบอกกับรอนถึงเรื่องที่รอนทะเลาะกับเฮอร์ไมโอนีเรื่องสัตว์เลี้ยงของรอนคือหนู แฮกริดบอกว่า ‘แค่หนูตัวเดียวจะทำให้ความเป็นเพื่อนของพวกเธอตกหักกันเลยเหรอ?’ เวลาได้กลับไปอ่านแล้วเจอประโยคนี้อีกครั้งก็ทำให้คิดได้ว่า บางทีมันก็เป็นเรื่องเล็กๆ เอง ทำไมถึงปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่สะสมมานานพังลงได้


[ เยือนสวนสนุกแฮร์รี่ ที่ประเทศญี่ปุ่น ]

หรืออย่างที่บ้านสลิธีรินถูกมองว่าเป็นบ้านที่ถูกมองว่าแย่ ผลิตแต่พ่อมดศาสตร์มืด ซึ่งความจริงแล้วในนั้นก็มีมิตรภาพที่ดีและความกล้าหาญเกิดขึ้นในนั้น ทั้งกริฟฟินดอร์และสลิธีรินมีความกล้าหาญเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเป็นความกล้าหาญคนละรูปแบบ มันทำให้เขารู้สึกว่าเมื่อโตขึ้น มุมมองก็เปลี่ยนไปตามอายุ และแฮร์รี่ก็เป็นหนังสือที่ทำให้ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งโตขึ้น
“หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงในหลายๆ อย่างในชีวิตของผม ทำให้ผมพัฒนาตัวเองมากขึ้น ทำให้ผมเป็นคนใจเย็นขึ้น เพราะมีดัมเบิลดอร์เป็นไอดอล ทำให้ผมได้เห็นความชั่วร้ายมีเข้ามาหลายรูปแบบจากตัวละครหลายๆ ตัว ได้เห็นความรักหลายๆ รูปแบบ ทั้งความรักจากพ่อแม่ที่พร้อมจะปกป้องลูก ความที่ของเพื่อนที่มีต่อกัน แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นหนังสือที่ให้แทบจะทุกอย่างในการใช้ชีวิตของคนเราเลย” แฟนพันธุ์แท้แฮร์รี่ พอตเตอร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขปิดท้าย

7 คำถาม กับแฟนพันธุ์แท้ Harry Potter!!


หนังสือภาคที่ชอบที่สุด
ผมชอบภาคแรกครับ ศิลาอาถรรพ์ เพราะมันเป็นภาคที่ทำให้เรารู้จักกับแฮร์รี่ ทำให้เราเข้าไปในโลกของเขาแล้วเราอยากจะติดตามต่อ เลยรู้สึกว่าเป็นภาคที่ดีที่สุด แล้วก็ชอบที่สุดครับ

ภาพยนตร์ภาคที่ชอบที่สุด
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะตอบว่า ภาค 4 ถ้วยอัคนี แต่ตอนนี้คำตอบผมเปลี่ยนไปแล้ว(หัวเราะ) เปลี่ยนเป็นภาค 1 เหมือนกับหนังสือ เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เวลาเราได้กลับไปดูแล้วมันทำให้เรารู้สึกเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก ตอนที่เรายู่ในวัยไล่เลี่ยกับนักแสดง เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งครับ แต่ภาคอื่นๆ เมื่อพวกเขาโตขึ้น มันก็เริ่มมีความดาร์กเข้ามามากขึ้น มีการสูญเสียมากขึ้น เหมือนอย่างภาค 7.2 มันเป็นภาคที่สะเทือนอารมณ์มากที่สุด แต่ถ้าถามว่าดีที่สุดสำหรับผมมั้ย ผมว่าไม่ เลยรู้สึกว่าชอบภาค 1 มากกว่า

ตัวละครที่ชอบที่สุด
อัลบัส ดัมเบิลดอร์ครับ ชอบมาตั้งแต่ภาคแรก เพราะรู้สึกว่าไม่มีใครที่จะสามารถสุขุมรอบคอบและเก็บอารมณ์ความรู้สึกได้มากเท่าเขาแล้ว ดัมเบิลดอร์เป็นพ่อมดที่ทั้งสุขุม ทรงเกียรติ และภูมิฐาน แล้วก็เป็นพ่อมดที่ใช้เวทมนตร์ในเวลาที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ใช้อย่างมีสติและไม่ได้ใช้พร่ำเพรื่อ ไม่ได้ใช้เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง

เหมือนอย่างที่เขาครอบครองไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์(ไม้กายสิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุด) เขาก็ครอบครอบมันเพื่อไม่ให้มันไปทำร้ายคนอื่นได้อีก จะมีสักกี่คนที่เมื่ออำนาจอยู่ในมือแล้ว เขาไม่ได้ใช้อำนาจนั้นไปในทางที่ควบคุมคนอื่น หรือในทางที่ไม่ดี ผมก็เลยรู้สึกแบบ...มันดีจัง ถ้าโลกนี้มีคนอย่างดัมเบิลดอร์สักหลายๆ คน เป็นผู้นำประเทศหรืออะไรอย่างนี้ คงจะแบบดีมากๆ เลยครับ(หัวเราะ)

ตัวละครที่ไม่ชอบที่สุด
น่าจะเป็นโดโลเรส อัมบริดจ์ กับ คอร์นีเลียส ฟัดจ์ ครับ น่าจะแทบทุกคนที่ไม่ชอบ โดยเฉพาะอัมบริดจ์(หัวเราะ) เธอเป็นตัวละครที่ถืออำนาจ จะทำอะไรก็ได้ สามารถทำผิดให้เป็นถูก ถูกให้เป็นผิด ตามความต้องการของเธอ เลยรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่แย่มากๆ


[ โดโลเรส อัมบริดจ์ ]

[ คอร์นีเลียส ฟัดจ์ ]

แต่คนที่แย่กว่าอัมบริดจ์จริงๆ ก็น่าจะเป็นคอร์นีเลียส ฟัดจ์ เขาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ที่สร้างภาพให้ตัวเองดูดีเสมอ ปกครองชุมชนผู้วิเศษด้วยการไม่พูดความจริง และหลอกว่าการปกครองของเขายังดีอยู่ แถมโยนความผิดให้กับแฮร์รี่อีก แล้วมองว่าการกลับมาของโวลเดอมอร์เป็นเรื่องเหลวไหล เหมือนเป็นคนที่มีมุมมองคับแคบ ผมเลยรู้สึกว่าคนที่ชั่วร้ายพอๆ กับโวลเดอมอร์ก็คงจะเป็นคอร์นีเลียส ฟัดจ์เนี่ยแหละครับ(หัวเราะ)

ถ้าคุณมีเวทมนตร์ คาถาแรกที่จะใช้คือคาถาอะไร
ถ้าเป็นตอนเด็กๆ คงอยากใช้คำสาปพิฆาตฆ่าคนที่เราไม่ชอบทิ้งๆ ไปซะ(หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นตอนนี้คงไม่ใช่อะไรแบบนั้นแล้ว คงอยากจะได้เป็นน้ำยานำโชค ที่จะทำให้ผมโชคดีกับอะไรบางอย่างที่ฝันไว้ อย่างตอนนี้มีละครเวที Harry Potter and the Cursed Child ที่ประเทศอังกฤษ ถ้าเรามีน้ำยานำโชคสักหยดสองหยด แล้วมีคนพาเราไปดูได้ คงจะเป็นอะไรที่ดีมากๆ ครับ

ถ้าให้คุณใช้เวทมนตร์เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ คุณจะใช้ทำให้มันเปลี่ยนไปในทิศทางไหน
ผมไม่เคยคิดอยากจะเปลี่ยนโลกเลยนะ(หัวเราะ) เพราะบางทีความที่เราอยากเปลี่ยน มันอาจจะไม่ดีกับอีกหลายๆ คนก็ได้ เหมือนกับที่โวลเดอร์มอร์อยากจะเปลี่ยนโลกเวทมนตร์ เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่คือสิ่งที่ถูกต้อง แต่ความจริงแล้วมันอาจจะไม่ดีก็ได้
ถ้าถามว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกยังไง(คิดอยู่สักพัก) ก็คงอยากเปลี่ยนให้ทุกคนมีสติมากขึ้นกว่านี้ครับ สติที่จะรับรู้ข่าวสารต่างๆ มีความรอบคอบว่านี้ เพราะว่าทุกวันนี้สื่อโซเชียลฯมันแรงมาก บางทีข่าวอะไรที่เข้ามามันทำให้เกิดความวุ่นวายหลายๆ อย่างในสังคมของเรา หรือถ้าใช้คาถาลบความทรงจำสักนิดก็คงดี(หัวเราะ)

ถ้าได้มีโอกาสเจอกับ J.K.Rowling จะบอกอะไรกับเธอ
ก็อยากจะบอกว่า ผมรู้สึกดีใจที่หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นมาบนโลก แล้วเราก็รักมันมากขนาดนี้ รู้สึกดีใจที่ J.K.Rowling ยังคงทำให้แฮร์รี่อบอวนอยู่ ยังดำเนินอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าบางทีอาจจะมีโมเมนต์ที่แบบ...ยังไม่พออีกเหรอ ยังไม่จบอีกเหรอ แต่เราก็ยังมีความโหยหามันอยู่ในเวลาเดียวกัน



กว่าจะมาเป็นหนังสือชื่อดังถึงทุกวันนี้ ผู้เขียนโดนสำนักพิมพ์ปฏิเสธผลงานไปถึง 12 แห่ง จนมาถึงสำนักพิมพ์บลูมส์บิวรี่(Bloomsbury) ที่ตกลงตีพิมพ์ ถ้า J.K.Rowling ล้มเลิกความตั้งใจไปซะก่อนเราคงไม่ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้กันแล้ว กว่าที่ผู้เขียนจะได้หนังสือแต่ละเล่มมาตั้งผ่านปัญหา ผ่านอุปสรรคมากมาย มันทำให้ผมรู้ว่า ไม่มีใครทำให้ความตั้งใจของล้มล้มเลิกได้ นอกจากตัวเราเอง ถ้าเรามีความฝันแล้วเราล้มเลิกมันง่ายๆ มันคือการล้มเลิกที่พังทลายที่สุดแล้วล่ะครับ ถ้าหากผมได้เจอ J.K.Rowling ตัวจริงคงกอดแล้วร้องไห้ใส่เธอแน่ๆ(หัวเราะ)


สัมภาษณ์โดย : ผู้จัดการ Lite
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพประกอบ : เฟซบุ๊ก “Aphichat Treetaruyanon”และแฟนเพจ “Muggle-V”




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น