xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งเดียวในญี่ปุ่น! สาวไทยคนแรกแห่ง “เกิร์ลกรุ๊ป” ที่บูมที่สุดในตอนนี้!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

[ขอบคุณภาพ: cherrsee.com]
เธอคือผู้ชนะหนึ่งเดียวที่ถูกเลือกจากผู้เข้าประกวดทั้งหมด 5,800 ราย คือชาวต่างชาติรายแรกที่ได้รับการยอมรับให้ร่วมวงเกิร์ลกรุ๊ปสัญชาติญี่ปุ่น คือสาวไทยเพียงคนเดียวที่โกอินเตอร์จนโด่งดังในแดนอาทิตย์อุทัย...
เธอคือ “เลน่า(Lena)-ณัฐชากร สุขุมเจริญจิต” แร็ปเปอร์สุดเท่ประจำวง “CHERRSEE” วงเจป๊อปแนวใหม่ซึ่งเพลงกำลังฮิตติดชาร์ตอันดับหนึ่งและโด่งดังที่สุดอยู่ในขณะนี้!!



เซอร์ไพรส์! 1 ใน 5,800 รายที่ถูกเลือก!!

[ขอบคุณภาพ: news.kstyle.com]
“หนูก็เหมือนเด็กที่ชอบ K-pop แล้วก็อยากเรียนเต้นทั่วๆ ไปเลยค่ะ” เด็กสาววัย 21 ตอบคำถามแรกกลับมาผ่านเสียงใสๆ สำเนียงของเธอไม่สู้จะชัดถ้อยชัดคำนัก แต่หนักไปในโทนญี่ปุ่นมากกว่า คงเพราะมันกลายเป็นภาษาหลักที่เธอใช้สื่อสารระหว่างใช้ชีวิตอยู่ที่นู่นไปแล้ว
 
รวมระยะเวลาตั้งแต่เดินทางไปฝึกฝน จนได้ออกอัลบั้มในฐานะศิลปินในสังกัดสไตล์ J-pop อยู่ทุกวันนี้ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แค่ 3 เดือน แต่มันก็บ่มเพาะประสบการณ์อะไรหลายๆ อย่างให้เธออย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง
 
ชักสงสัย ทำไมเด็กที่คลั่งไคล้ความเป็น K-pop ดันเปลี่ยนไปนิยมแนว J-pop ไปได้... คนถูกถามจึงเริ่มเล่าถึงที่มาที่ไป พร้อมกับแนบเรื่องราวที่น่าประหลาดใจที่สุดครั้งหนี่งในชีวิตให้ฟัง

“คุณพ่อคุณแม่ชอบส่งเราเรียนด้านดนตรีมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ตอนแรกก็ไม่รู้จัก K-pop เหมือนกัน แล้วก็เรียนเต้นฮิปฮอปมาเรื่อยๆ จนเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วที่ K-pop บูมๆ ก็เลยบอกคุณแม่ค่ะว่า อยากเรียนเต้นแบบ K-pop ดูนะ อยากรู้ว่าสไตล์แบบเกาหลีมันเป็นยังไง คุณแม่ก็เลยส่งไปเรียนที่เกาหลี หนูเลยไปลงเรียน Seoul International University ที่นั่นด้วยค่ะ

[กวาดรางวัลนักเต้นมาตั้งแต่เด็ก]

หลังจากนั้น พอเรียนได้ปีกว่าๆ ก็เลยลองไปออดิชันที่ค่ายของทางเกาหลีดู แล้วก็ได้รับคัดเลือกเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ในนั้น ทำได้ประมาณ 2 ปี แต่ดูๆ แล้วเขายังไม่มีแพลนว่าจะปั้นศิลปินสักที รุ่นพี่ที่เข้ามาก่อนเรา ฝึกอยู่ 5-6 ปี บางคนยังไม่ได้ออกอัลบั้มเลยก็มี หนูเลยคิดว่าถ้าเราอยู่บริษัทนี้ต่อไป เราไม่น่าจะได้ออกนะ และเราก็ไม่ได้อยากรอแล้ว เพราะเราไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ไปตลอด ความฝันของเราคือการออกอัลบั้ม ทำเป็นเกิร์ลกรุ๊ป ตอนนั้นก็คิดๆๆ ค่ะว่าจะทำยังไงดี แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
 
เรียกว่ามืดแปดด้านเลยค่ะตอนนั้น คิดหนักว่าเราจะเรียนอย่างเดียวก่อน หรือจะเป็นศิลปินดี ก็เลยนั่งเสิร์ชเลยค่ะว่า ยังมีที่อื่นที่รับออดิชันอีกหรือเปล่า แล้วก็เจอว่าที่ญี่ปุ่นมี ตอนแรกก็คิดถึงปัญหาเรื่องภาษาอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็คิดว่าลองส่งสมัครเล่นๆ ไปก่อนแล้วกัน ส่งคลิปทั้งร้องทั้งเต้นไปให้เขาเลย เป็นเพลงเกาหลีหมดเลย ปรากฏว่าหลังจากนั้น 3 อาทิตย์ เขาก็ตอบกลับมาว่า เลน่าช่วยเดินทางมาให้ดูตัวที่ญี่ปุ่นได้ไหม!!?

เราก็ตกใจมากค่ะ เอ๊ะ! ทำไมมันช่างรวดเร็วขนาดนี้ (ยิ้ม) เขาให้รายละเอียดมาว่า เราผ่านรอบ 2 แล้วนะ จากคนส่งคลิปเข้าไปทั้งหมด 5,800 คน แต่ต้องไปออดิชันให้ผ่านถึงรอบที่ 4 แล้วจะได้เป็นศิลปิน แล้วเขาก็ออกตั๋วให้เรามาออดิชันหมดทุกอย่างเลยค่ะ หนูก็เลยตัดสินใจบินจากเกาหลีไปญี่ปุ่นเลยทันที!!


ความฝันในการเป็นศิลปินของเธอ ช่างพอเหมาะพอเจาะกับความต้องการของทาง “J Rock” ในญี่ปุ่นขณะนั้นพอดี ซึ่งกำลังปั้นโปรเจกต์ “เกิร์ลกรุ๊ปแนวใหม่” โดยจับมือกับค่าย “Brave Entertainment” ฝั่งเกาหลี เพื่อผลิตวงสาวสวยที่มิกซ์เอาความน่ารักแบบญี่ปุ่นและความมีเอกลักษณ์แบบเกาหลี มาไว้ในวงนี้เพียงวงเดียว วงที่มีชื่อว่า “เชียร์ซี (CHERRSEE)”

“ตอนที่ไปถึง มีคนเป็นพันๆ คนเลยค่ะที่เดินทางมาออดิชัน แล้วเราก็ยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลยด้วย พูดแต่ภาษาเกาหลีได้ แต่มีคนที่พูดภาษาเกาหลีได้ มาช่วยให้ข้อมูลเราว่า บริษัทนี้ทำร่วมกับเกาหลี ซึ่งจะให้คนเกาหลีมาเป็น choreographer (คนออกแบบท่าเต้น) รวมถึง stylist และผู้กำกับเอ็มวีให้ด้วยค่ะ ทุกอย่างเลย เลยคิดว่ามันก็น่าจะดีนะ

รอผลอยู่ประมาณอาทิตย์กว่าๆ เขาก็โทร.มาบอกว่า เลน่าช่วยไปฝึกที่ Brave Entertainment กับศิลปินฝึกหัดในสังกัด J Rock ของเขาที่อยู่ที่นั่นแล้วได้ไหม หนูก็ตกใจมาก เอ..เขาเลือกเราจริงๆ แล้วเหรอ แสดงว่าเราได้เข้ารอบที่ 3 แล้วใช่ไหมเนี่ย (ยิ้ม) ทั้งๆ ที่เราทั้งพูดทั้งร้องภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลยเนี่ยนะ

พอไปถึง เขาก็บอกว่ามีสมาชิกในวงอยู่แล้ว 5 คนนะที่เขาซ้อมกันมานานแล้ว เตรียมตัวจะทำอัลบั้มแล้ว และเขาก็ถามเราว่า ถ้าเลน่าเข้าไปและได้เป็นสมาชิกคนที่ 6 จะทำได้ไหม หนูก็ตอบเลยว่าทำได้ค่ะ (น้ำเสียงหนักแน่น) พอซ้อมได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ก่อนจะประกาศผลรอบสุดท้าย เขาถึงมาเฉลยว่า เขาจะตัดจาก 6 คนให้เหลือแค่ 5 คน เพราะ 6 คนทำเกิร์ลกรุ๊ปไม่ได้ เท่านั้นแหละ ทุกคนเครียดกันหมดเลย


ก่อนที่เขาจะคัดคนในทีมออก เขาก็ถามหนูนะคะว่า คุณคิดว่าคุณจะได้ไปต่อไหม หนูก็ตอบว่าหนูคิดว่าหนูได้ไปต่อค่ะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับทางบริษัทด้วย ถ้าเลือกหนูแล้ว หนูก็จะไม่ท้อ หนูจะทำให้เต็มที่ และจะทำให้บริษัทคุณก้าวไปอีกอันดับหนึ่งให้ได้!! (น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว) เขาก็พยักหน้ารับค่ะ

ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะโดนคัดออกแล้วด้วยค่ะ (น้ำเสียงยังคงความตื่นเต้น เหมือนอยู่ในวินาทีประกาศผลอย่างไรอย่างนั้น) เพราะหนึ่ง ภาษาเราก็ไม่ได้ สอง มันก็ไม่ใช่บ้านเกิดเรา สาม เราเองก็ไม่รู้วัฒนธรรมอะไรของญี่ปุ่นเลยด้วยค่ะ แต่อยู่ดีๆ ผลมันก็พลิก!!

ที่น่าตกใจมากก็คือ ตอนแรกหนูคิดว่าสมาชิกในวงที่เขาจะปั้น จะมาจาก 5,800 คนที่ส่งคลิปมา แต่ไม่ใช่ค่ะ จริงๆ เขามี 4 คนที่เป็นศิลปินฝึกหัดของเขาอยู่แล้ว เราคือคนที่ถูกคัดจาก 5,800 คน และเป็นคนเดียวที่ถูกเลือก (พูดไปยิ้มไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น) ก็ตกใจมากค่ะ รู้สึกว่าทำไมมันโหดสุดๆ อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ)”



สตรองแค่ไหน แร็ปจนพี่ยุ่นมอบตำแหน่ง!!

[ต่างชาติเพียงหนึ่งเดียว นอกนั้นเพื่อนร่วมวง “CHERRSEE” คือคนญี่ปุ่นทั้งหมด]
ยัง..บทเรียนจากความโหดยังไม่จบลงเพียงแค่นั้น การได้ตำแหน่ง 1 ใน 5 สมาชิกวงเชียร์ซี (CHERRSEE) มาครอง เป็นเพียงแค่ปฐมบทแห่งความโหดเท่านั้นเอง เริ่มกันที่ปราการด่านแรกที่ต้องฝ่าไปให้ได้ก็คือ คลื่นใต้น้ำจากเพื่อนๆ ร่วมวงที่พูดกันคนละภาษา มาจากต่างวัฒนธรรม แถมยังปรับตัวไม่ทันกับโบกมือลาของสมาชิกคนเดิมที่ร่วมฟันฝ่ากันมา แล้วต้องมีสมาชิกหน้าใหม่อย่างเลน่าเข้าไปแทนที่อีกต่างหาก

“ก็คิดเหมือนกันนะคะว่าเขาอาจจะรู้สึกไม่ดีกับเรา แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำให้คนในวงยอมรับนะคะ เราก็ทำให้มันดีที่สุดของเราไป แต่ก็แอบคิดๆ เหมือนกันว่าเขาจะแอบว่าอะไรเราหรือเปล่านะ เพราะตอนแรกที่ประกาศผล เขาก็ร้องไห้กันใหญ่เลย เพราะเขาอยู่ด้วยกันมานานแล้วด้วย และเขาก็พูดภาษาญี่ปุ่นกัน หนูก็ฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะเบาๆ) ช่วงแรกๆ ก็เลยกลายเป็นตัวใครตัวมันไป ไม่ได้สื่อสารอะไรกันเท่าไหร่ เข้าไปใหม่ๆ ไม่มีใครคุยด้วยเลยค่ะ (ยิ้มบางๆ) หนูก็คิดในใจกับตัวเองว่า นี่เราอยู่ที่นี่ดีหรือเปล่าเนี่ย

เลน่านี่ดีจังเลยนะ ซ้อมมาแค่ 2 อาทิตย์ก็ได้เข้ากลุ่มเลย (ยิ้มเจื่อนๆ) ตอนแรกๆ เพื่อนในวงที่พูดภาษาอังกฤษได้ เดินมาบอกกับเราอย่างนี้ หนูก็ตอบเขาไปว่า ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยแล้วกันนะ แต่มันก็เป็นความกดดันแค่ช่วงนึงค่ะ เพราะคนญี่ปุ่นเขาไม่ค่อยฟูมฟายอะไรนานค่ะ ด้วยวัฒนธรรมเขาแล้ว เขาจะเสียใจแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แล้วจะไม่พูดเรื่องเก่าอีกเลย พอเวลาผ่านไป ก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น รู้สึกว่า เอ้อ..เราลืมเรื่องเก่าๆ ไปแล้วนะเนี่ย

ที่สำคัญ leader (หัวหน้าวง) เขาดีมากเลยค่ะ เขาเดินมาบอกกับเราเลยว่า ในเมื่อเรามาได้อยู่กลุ่มเดียวกันแล้ว เราก็มาทำให้กลุ่มของเราดีขึ้นไปกว่านี้ดีกว่า ส่วนคนอื่นๆ ก็ใช้เวลานิดนึงค่ะกว่าจะได้คุยกันจริงๆ จากช่วงแรกๆ ที่อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ไม่ได้พูด ไม่ได้สื่อสารอะไรกัน

มีอยู่วันนึง ชั่วโมงซ้อมเต้นกันอยู่ ซายูริก็เดินเข้ามาถามหนูว่า เลน่า ท่าตรงนี้ ถ้าเต้นแบบเกาหลี เขาเต้นกันยังไงเหรอ หนูก็ทำท่าให้ดูค่ะว่าเขาจะเต้นกันแบบนี้ๆ นะ แล้วคนอื่นก็ทำตาม แล้วก็ถามเราเพิ่ม แล้วตรงนี้ล่ะต้องทำยังไง เขาก็ลองเต้นดู หนูก็ช่วยดูแล้วก็ติเขาไปตรงๆ ว่า เธอทำท่าแบบนี้เหมือนไม่มีคาแรกเตอร์ของตัวเองเลยนะ ตอนแรกเขาฟังแล้วเขาก็ดูโกรธๆ ค่ะ

พอครูสอนเต้นเข้ามา ครูก็ติเหมือนที่หนูติเลย บอกว่าคนนี้เต้นดูไม่มีสไตล์ของตัวเองเลยนะ ให้ไปหาสไตล์ของตัวเองมาใหม่ เขาก็เลยเข้าใจค่ะ แล้วก็รู้ว่าเลน่าเป็นคนพูดตรงๆ นะ ไม่โกหก เพราะเราพูดด้วยความเป็นห่วง ทีหลังเขาก็บอกขอบคุณเรา แล้วก็รู้ว่าที่เราพูดเพราะเป็นห่วงคนอื่น

มีอยู่ครั้งนึง เขาเคยถามหนูว่าใส่ชุดแบบนี้สวยไหม หนูก็ตอบไปตรงๆ เลยว่า ตัวนี้เธอใส่ไม่สวยเลยนะ มันไม่เข้าจริงๆ ไปเปลี่ยนเถอะ เขาก็ตกใจมากว่าทำไมเลน่าพูดแบบนี้ แรงจัง (ยิ้ม) เพราะคนญี่ปุ่นเขาจะไม่พูดตรงๆ ค่ะ จะพูดกันแบบอ้อมๆ ถ้าเห็นว่าไม่สวย เขาก็จะพูดอ้อมๆ ว่าแบบนี้ก็ดีนะ แต่อีกแบบจะดีกว่าไหม พออยู่ด้วยกันมากๆ เข้า ทางฝั่งเขาก็ได้เรียนรู้ไปด้วยค่ะว่า เอ้อ..เลน่าเป็นคนที่พูดตรงมากนะ แต่ก็พูดถูก ก็เลยทำให้เราสนิทกันเร็วขึ้น” เธอยิ้มบางๆ ปิดท้าย

[ความสนิทสนมของเพื่อนร่วมวงในวันนี้ | ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @lena_cherrseefans]
ประสบการณ์ 2 ปี ที่เคยใช้มันไปกับการเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ในค่ายเพลงเกาหลี บอกเลยว่าไม่เสียเปล่า และในวันนี้เลน่าก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันยิ่งช่วยส่งเสริมให้ไลน์การเต้นของเธอแข็งแกร่งและโดดเด่นมากขึ้นไปอีก ซึ่งตรงกับความต้องการของค่ายญี่ปุ่นที่ตั้งโจทย์เอาไว้ให้วงเกิร์ลกรุ๊ปแนวใหม่วงนี้พอดี และจุดแข็งข้อนี้เองที่ทำให้เพื่อนๆ ในวงยอมรับในความสามารถของเธอได้เร็วยิ่งขึ้น 
 
ถ้าเป็นสไตล์การเต้นของญี่ปุ่น เขาจะเน้นให้แต่ละคนเต้นเหมือนๆ กันหมด ไม่มีคาแรกเตอร์โดดเด่นของตัวเองออกมา พอมีทางเกาหลีมาคุม เขาเห็น เขาก็โมโหเลยค่ะ บอกเลยว่านี่ยังอยากจะเป็นนักร้องกันอยู่อีกหรือเปล่า ทำไมต้องให้เต้นออกมาไลน์เหมือนกันหมดเลย อย่างคนที่รับคาแรกเตอร์สวยๆ ก็ต้องทำหน้าสวยๆ ไป คนที่มีคาแรกเตอร์น่ารักๆ ก็ต้องอินไปกับมันสิ เลยทำให้แต่ละคนต้องซ้อมไลน์ของตัวเองหนักขึ้นไปอีก

พอซ้อมหนักๆ เข้า สมาชิกในวงก็ร้องไห้กันหนักมาก เพราะถูกกดดันว่า ถ้าใครทำไม่ได้ก็ให้ออกไปซะ ถึงจะบอกว่ากลุ่มนี้มี 5 คน แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ยังตัดให้เหลือ 4 คนก็ได้ โปรดิวเซอร์เกาหลีเขาพูดอย่างนี้เลยค่ะ ดูทุกคนท้อแท้กัน จนหนูต้องเดินไปบอกเขาว่า คุณน่ะเป็นคนญี่ปุ่นนะ ภาษาก็เป็นภาษาของคุณ ประเทศก็ประเทศคุณ คุณอย่ายอมแพ้สิ!!


แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสาวน้อยสุดแกร่ง ที่ทำหน้าที่คอยพูดปลุกใจเพื่อนๆ ในวงอย่างเธอคนนี้จะไม่มีมุมท้อแท้เอาเสียเลย เลน่าเองก็เคยผ่านจุดกดดันที่สุดในชีวิตมาแล้วเหมือนกัน นั่นคือช่วงที่ยังสื่อสารความคิดความรู้สึกผ่านภาษาญี่ปุ่นออกมาไม่ได้เลย

“ตอนนั้นรู้สึกอึดอัดมาก เพราะเราไม่รู้ว่าคำนี้ออกเสียงยังไง จะถามใครก็ไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็จะมุ่งสนใจแต่การท่องท่อนร้องของตัวเอง หนูอึดอัดมากจนต้องโทร.ไปหาทีมงานคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาเกาหลีสื่อสารกับหนูได้ ขอให้เขาช่วยหาครูมาสอนภาษาญี่ปุ่นให้เราหน่อยได้ไหม เพราะถ้าไม่มีใครสอนหนูว่ามันต้องสำเนียงแบบไหน หนูจะร้องได้ยังไง

เขาก็ตอบกลับมาว่า ที่บริษัทไม่มีการส่งครูมาสอนให้นะ ในเมื่อคุณเลือกแล้วว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มนี้ คุณก็ต้องพยายามเอาเองสิ หนูก็เลยกลับมาเปิดยูทิวบ์ เรียนทางเน็ตเอาเองเลยค่ะ พูดตามฝึกสำเนียงไปเรื่อยๆ เป็นช่วงที่เครียดมากๆ เครียดที่สุดแล้วจริงๆ ค่ะ แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะว่าเราเลือกเองที่จะอยู่ตรงนี้ หนูก็ได้แต่คิดว่าหนูจะไม่ยอมแพ้ หนูยังไม่ยอมกลับบ้าน!!”

[ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @lena_cherrseefans]

แต่แล้วเลน่าก็เอาชนะทุกข้อจำกัดด้านภาษา จนคว้าตำแหน่ง “แร็ปเปอร์” ประจำวงเอามาไว้ในมือได้ ลองคิดดูว่าแค่จะให้แร็ปในภาษาแม่ของตัวเองก็ลำบากจะแย่แล้ว นี่ถึงกับต้องแร็ปในภาษาที่ยังพูดไม่คล่อง ฟังไม่ค่อยออกอีกต่างหาก แต่เธอก็ทำได้ และทำได้ดีจนเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุดแล้วในสายตาผู้อำนวยการผลิต

“ก่อนที่จะเลือกว่าใครจะได้คาแรกเตอร์ไหน ใครจะได้เป็นแร็ปเปอร์ มันจะมีคลาสให้ลองร้องกันดูค่ะ แบ่งออกเป็นคลาสเลยว่า คลาสนี้ร้องบัลลาร์ดนะ คือทดสอบคนที่ร้องเสียงสูงเสียงเพราะๆ ได้ แล้วดูว่าใครเหมาะสุด แล้วก็มีคลาสเพลงแนวน่ารักๆ ใครเหมาะที่สุด แล้วก็มีคลาสเรียนแร็ปด้วย ดูว่าใครแร็ปได้เท่มากที่สุด ก่อนที่จะคัดเลือก วางตัว แล้วก็มาทำอัลบั้มกัน ส่วนที่เขาเลือกหนูเป็นแร็ปเปอร์ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะตอนที่หนูส่งคลิปไปออดิชัน หนูก็ส่งแบบที่เป็นแร็ปไปเหมือนกัน แล้วก็มีท่อนร้องปกติด้วยค่ะ เขาเลยรู้ว่าเราแร็ปได้ แต่ตอนนั้นหนูแร็ปเกาหลีนะ

ก็ถือว่ายังดีค่ะที่ช่วงหลังเขามีครูมาร้องไกด์ให้ด้วย ถึงจะต้องแร็ป แต่คราวนี้หนูมีต้นฉบับสำเนียงที่ถูกต้องให้เอาไว้ทำตามได้ เลยจะง่ายกว่าช่วงที่ต้องหัดเรียนภาษาเองแรกๆ เยอะหน่อย ส่วนที่ต้องให้ครูมาร้องไกด์ เพราะแต่ละคนสำเนียงอาจจะมีเหน่อๆ บ้างอยู่แล้วค่ะ ถึงจะเป็นคนญี่ปุ่นเองก็อาจจะมีสำเนียงเหนือหรือใต้มาปน ครูเขาก็จะช่วยไกด์ เลยเป็นผลดีกับเราที่ได้เช็กสำเนียงไปด้วย”



“ตัวละครลับ” แห่งวงเกิร์ลกรุ๊ปอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น!!

ปล่อยเพลงไปได้ไม่กี่สัปดาห์ ซิงเกิลแรกของพวกเธอซึ่งมีชื่อว่า “Mystery” ก็ทะยานขึ้นเป็นอันดับหนึ่งซิงเกิลยอดนิยมของญี่ปุ่นในทันที!! จนเมื่อมินิซิงเกิลอัลบั้มถูกปล่อยออกไปหลังเปิดตัวศิลปินหน้าใหม่ ผลงานของเกิร์ลกรุ๊ป “เชียร์ซี” วงที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ ก็ขายได้เกลี้ยงแผงจนกลายเป็นปรากฏการณ์ของวงการเพลงไปแล้ว

คนญี่ปุ่นเขาจะไม่วัดระดับความดังของเพลงจากยอดในยูทิวบ์นะคะ แต่จะวัดจากยอดขายมากกว่า เพราะคนญี่ปุ่นเขาไม่ค่อยเปิดดูยูทิวบ์กันค่ะ แต่จะซื้ออัลบั้มมา แล้วมาเปิดดูเปิดฟังกันที่บ้าน จะให้ความรู้สึกว่านี่คือของของฉันนะ และในยูทิวบ์ก็ไม่มีเพลง 'Rose' (ซิงเกิลที่ 2 ซึ่งกำลังจะปล่อยเอ็มวีตามมาทีหลัง) ถ้าคุณอยากฟังเพลงนี้ อยากดูเอ็มวีดีๆ อยากมีอัลบั้มนี้มาเป็นของตัวเอง คุณก็ต้องซื้อซีดี นี่เป็นการตลาดของญี่ปุ่นเลยค่ะ (พูดไปยิ้มไป)


[กลายเป็นวง Girl Group แนวใหม่ที่โด่งดังที่สุดในแดนปลาดิบ]
เพลงยอดนิยมที่ได้ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งของที่นี่ เขาวัดกันจากยอดขายค่ะ แล้วก็วัดจากการเปิดเพลงตามสถานีต่างๆ ในโตเกียว ทั้งทางวิทยุแล้วก็ทีวี ก็จะมีรายการมาแนะนำว่ามีวงใหม่ของญี่ปุ่นนะ แนะนำเราว่าเป็นวงแนวเกาหลี ที่ผ่านมา เพลงของเราก็ได้ขึ้นชาร์ต ได้ออกทุกช่องเลยค่ะ แล้วก็มีหนังสือที่ลงโปรโมตด้วย ถ้าให้พูดถึงความดัง วงเราก็ถือเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่ดังอันดับหนึ่งของที่นู่นแล้วค่ะ ตอนนี้ก็เทียบกับศิลปินของญี่ปุ่นที่มี 18 คนได้แล้ว

เดินๆ ไปก็มีรูปเราตามที่ต่างๆ ด้วย (ยิ้ม) ไม่คิดว่าจะมีรูปตัวเองในชิบูยา, ฮาราจูกุ ฯลฯ ด้วยค่ะ หนูเคยบอกน้องไว้ด้วยค่ะว่า ถ้าวันนึงได้มีหน้าเราอยู่ตามชิบูยา ฮาราจูกุ อะไรแบบนี้ เราจะดีใจมากเลย แล้ววันนั้นก็มาถึงแล้ว หนูก็ดีใจมากๆ เลย ก็ถ่ายรูปเก็บไว้กันใหญ่เลยค่ะ (หัวเราะ) แฟนๆ คนไทยที่เห็นก็ถ่ายไว้ให้ด้วยค่ะ ถ่ายมาให้ดูว่านี่เลน่านะ”

แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่ทำให้แววตาของเธอยังเปี่ยมไปด้วยประกายสดใส อาจไม่ใช่เพราะซิงเกิลแรกในชีวิตได้กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตหรือไม่ แต่เพราะสาวน้อยวัย 20 ต้นๆ คนนี้ ได้ทำให้คนสำคัญในชีวิตของเธอมองเห็น “ความฝัน” ออกมาเป็นตัวเป็นตนได้แล้วต่างหาก

“ช่วงแรกๆ คุณพ่อยิ่งไม่ค่อยส่งเสริมเราด้านนี้เลยค่ะ เพราะไม่อยากให้ไปเต้นกินรำกิน เขาคิดอย่างนั้นค่ะ แต่จริงๆ แล้ว ถึงหน้าคุณพ่อเขาจะดูเหมือนไม่สนับสนุน แต่ในใจเขาก็สนับสนุนนะคะ (ยิ้มบางๆ) เขาก็จะโทร.มาหาตลอดตอนอยู่ที่นู่นว่า วันนี้ไม่ต้องกินข้าวเยอะนะ เดี๋ยวอ้วน หรือวันนี้ถึงจะนอนดึก แต่สิ่งที่ทำไป มันจะส่งผลต่ออนาคตนะ อย่าท้อ ก็จะพูดอะไรแบบนี้ค่ะ หนูก็เลยไม่ค่อยได้ท้ออะไรเท่าไหร่ เพราะมีครอบครัวที่ให้กำลังใจเยอะ


อย่างวันคอนเสิร์ตเปิดตัวศิลปิน ที่เราได้เล่นในโตเกียว เล่นกันในห้างฯ เหมือนสยามพารากอนบ้านเรา คุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็น้องๆ ก็บินมาดูเราหมดเลยนะคะ (แววตาปลื้มปริ่ม) มากันครบเลย 5 คน วันนั้นวันที่ 25 พ.ค. เป็นวันที่หนูตื้นตันใจมากๆ เลยค่ะ

ที่หนูรู้สึกภูมิใจมาก เป็นเพราะเราก็อยากจะให้คุณพ่อคุณแม่ได้ดูด้วยว่า สิ่งที่ทำมา มันไม่เปล่าประโยชน์นะ มันได้เห็นผลแล้วนะในวันนี้ คุณพ่อได้เห็นเราอยู่บนเวที ลงมาเขาก็พูดกับเราสั้นๆ ค่ะว่า ดีแล้วนะ...” เธอปิดท้ายประโยคด้วยคำพูดไม่กี่คำ แต่แววตาที่ส่งมานั้นกลับสื่อความหมายได้มากมาย

เชื่อไหมว่าเราเกือบไม่ได้รู้จัก “ศิลปินโกอินเตอร์” หนึ่งเดียวคนนี้ที่ไปโด่งดังในแดนอาทิตย์อุทัย เพราะแผนการตลาดในช่วงแรกๆ ของค่ายที่เธอสังกัดอยู่ วางกฎเอาไว้เลยว่าต้องปิดเรื่อง “สัญชาติไทย” ของเลน่าเอาไว้เป็นความลับ!!

“ตอนแรก ทางบริษัทเขาไม่ให้พูดว่าเราเป็นคนไทยนะ เพราะเขาเหมือนอยากจะหลอกแฟนคลับว่าเราเป็นลูกครึ่ง พูดเกาหลีได้ แล้วก็พูดญี่ปุ่นได้ด้วย เหมือนบริษัทเขากลัวว่าถ้าบอกความจริงว่าเป็นคนไทยแล้ว คนญี่ปุ่นเขาจะไม่ชอบวงนี้หรือเปล่า แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ชอบคนไทยนะคะ แต่เป็นเพราะวงนี้เป็นวงที่มีสมาชิกเป็นชาวต่างชาติเป็นวงแรกเลย ที่ได้ debut ที่ญี่ปุ่น บริษัทเขาเลยกลัวผลกระทบว่าคนจะรับได้ไหม แต่กลายเป็นว่าคนญี่ปุ่นเขายอมรับ แล้วก็ชอบ เชียร์เราด้วยค่ะ

["Mystery" ซิงเกิลแรกที่โด่งดังเป็นพลุแตก ทะยานขึ้นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น]

จริงๆ ตอนแรกเขาตั้งใจจะปิดข่าว แต่พอแฟนคลับเขาสนใจเรา เขาก็ไปค้นประวัติมา ก็ไม่รู้ค้นมายังไงถึงได้รู้ แต่เขาก็รู้ว่าเอ..เลน่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นนี่ เป็นคนเกาหลีหรือเปล่า พูดเกาหลีเก่งมาก เพราะเวลาให้สัมภาษณ์ เราก็ไม่ได้บอกชื่อจริง-นามสกุล ก็บอกแค่ชื่อเลน่า และเวลาใครมาสัมภาษณ์ ก็จะบอกเขาว่ายังไม่ให้เขียนค่ะว่าเป็นคนไทย แค่เขียนว่าเลน่ารับตำแหน่งแร็ปในวงนะ แล้วก็พูดภาษาเกาหลีได้ แค่นั้นจบ

แต่พอหลังๆ แฟนๆ ก็เริ่มรู้แล้วค่ะว่า เอ..เลน่าหน้าตาก็ไม่ค่อยเหมือนญี่ปุ่นเลยนะ แต่พูดเกาหลีได้ เป็นคนเกาหลีแน่ๆ เลย แรกๆ คนญี่ปุ่นก็พยายามจะมาพูดเกาหลีกับเราค่ะ (ยิ้ม) หนูก็ตอบไป แต่หลังๆ เขาก็เริ่มสงสัยว่าเป็นคนชาติไหนกันแน่เนี่ย หนูว่ามันอาจจะเป็นกลยุทธ์ของทางบริษัทด้วยก็ได้ค่ะ ประมาณว่าอยากให้คนมารู้จักเยอะๆ พอคนสนใจ รู้แล้วว่าเป็นคนไทย ค่อยมาเปิดเผยว่าเราเป็นคนไทย

มีแฟนคลับคนญี่ปุ่นที่ไปหัดพูดภาษาไทยเพื่อมาคุยกับเราด้วยค่ะ (ยิ้ม) ฝึกพูดมาเป็นประโยคเลยค่ะ ‘สวัสดีครับ ชอบเมืองไทยมากๆ นะครับ (เลียนสำเนียงคนญี่ปุ่นพูดไทยให้ฟัง)’ หนูฟังแล้วก็ดีใจมาก แล้วเวลามาขอลายเซ็น เขาก็พูดประโยคยาวมากๆ ก็มีนะคะ มีบอกว่า ‘เลน่าสู้ๆ นะ ต่อไปอนาคตข้างหน้าก็สู้ๆ ด้วยนะ’ เราก็รู้สึกว่า โห..สุดยอดเลย (ยิ้มกว้าง) คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็งงๆ ค่ะว่าเขาพูดอะไรกัน ก็รู้สึกดีใจมากค่ะที่ในที่สุด เขารู้ว่าเราเป็นคนไทย”

[สื่อญี่ปุ่น ไม่มีใครไม่รู้จักวงของเธอ “CHERRSEE”]

คอนเสิร์ต Live in Bangkok คือความฝันอันยิ่งใหญ่ที่เลน่าอยากทำให้ได้ ไม่ต้องจัดแบบหรูหราใหญ่โตเหมือนเวลาศิลปิน K-pop มาทัวร์คอนเสิร์ตในบ้านเราก็ได้ เพราะเธอเข้าใจดีกว่าวงของตัวเองในตอนนี้ยังมีฐานแฟนเพลงที่ไทยไม่หนาแน่นมากพอ แต่ขอแค่สักครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาเล่นสดในบ้านเกิดของตัวเอง แค่นั้นก็เติมเต็มความฝันบนเส้นทางสายนี้ได้ครบสมบูรณ์แล้ว

“แต่วงเรายังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในไทยเลยค่ะ หนูคิดว่าน่าจะเป็นเพราะทางญี่ปุ่นเขาไม่ได้ตั้งใจจะไปขายเพลงที่ไหน เหมือนเขาตั้งใจจะขายในบ้านเขาอย่างเดียว แค่ขายในบ้านเขาอย่างเดียว เขาก็รวยแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่คิดจะไป debut ที่ไทย, จีน, เกาหลี ไม่ต้องให้พวกเขารับรู้ก็ได้ เขาแค่ทำให้วงนี้ดังในประเทศเขาก็พอ ซึ่งก็ได้เงินเยอะแล้ว การตลาดเขาเป็นแบบนี้ค่ะ แต่ถ้าต่อไปดังมากๆ ในประเทศเขาแล้ว จะไปโปรโมตที่ไหนก็ได้แล้วค่ะ


คือตอนนี้ เราทำมาเล็กๆ ฟังกันในกลุ่มเล็กๆ คนไทยก็ยังไม่รู้จัก ที่รู้บ้างก็แค่รู้ว่าหนูแค่ว่าเราเป็นคนไทยที่ได้ไป debut ที่ญี่ปุ่นนะ ซึ่งหนูรู้สึกว่าที่เราฝึกซ้อมมามันยังไม่คุ้มเลยนะ หนูยังอยากให้คนรู้จักวงนี้มากกว่านี้อีกค่ะ อย่างน้อยๆ ก็ในเอเชีย ถ้าเทียบกับที่หนูทำมา หนูคิดว่าผลมันยังไม่พอด้วยซ้ำ มันยังอยู่ในวงเล็กๆ อยู่เลย เป็นเพราะเราขายตลาดเล็ก เราเลยได้ผลตอบรับเล็กๆ หนูคิดแบบนี้ค่ะ ก็เลยคิดว่ายังไม่คุ้ม คงต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่านี้อีก

ถ้าเป็นไปได้ หนูก็อยากให้วงนี้มาทัวร์คอนเสิร์ตที่ไทย มันเป็นเป้าหมายสูงสุดของหนูเลย แต่ตอนนี้ยังไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฐานแฟนเรายังน้อยอยู่เลย บางคนก็ยังไม่รู้จักและญี่ปุ่นก็ไม่ได้โปรโมตที่นี่ด้วย หนูก็คิดว่าถ้าหนูช่วยโปรโมตในสื่อ ให้เขาเห็นว่าคนไทยชอบญี่ปุ่นจริงๆ นะ หนูคิดว่าอาจจะมีส่วนช่วยให้บริษัทเปลี่ยนความคิด อาจจะคิดว่าเรามา debut ที่ไทยบ้าง

ปีหน้า เห็นว่าเขาจะเริ่มไป debut ที่เกาหลีแล้วนะคะ แต่ยังไม่มีแพลนจะมาในไทยเลย ถ้ามีก็คงจะเป็น fan meeting มากกว่า แต่หนูอยากให้เป็นการจัดคอนเสิร์ตค่ะ ไม่ต้องใหญ่ก็ได้ แค่อยากให้มีคอนเสิร์ตสักครั้งในไทย แต่ถ้าไม่มีโอกาสนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเท่าที่ได้ทุกวันนี้ก็โอเคแล้ว ได้เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ debut ที่ญี่ปุ่น เท่านี้หนูก็รู้สึกดีมากๆ แล้วค่ะ”





ไอดอลญี่ปุ่น ที่สุดแห่งความโหด!!

[ขอบคุณภาพ: news.kstyle.com]
เรื่องลดน้ำหนักก็เป็นอีกเรื่องที่โหดมากๆ ค่ะสำหรับการเป็นเกิร์ลกรุ๊ป คือตอนที่เป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ที่เกาหลี เขามีให้ควบคุมน้ำหนัก ให้ลดน้ำหนักก็ว่าโหดแล้ว แต่ก็ไม่โหดเท่าญี่ปุ่น เพราะไอดอลทุกคนที่นี่ต้องตัวเล็กมาก ต้องดูน่ารักๆ เหมือนตัวการ์ตูน ก็เลยหนักกันน้อยมากค่ะ ประมาณ 37-38 กก. แต่คนในวงปกติก็หนักกัน 44-45 กก. ก็เลยต้องลดกันสุดฤทธิ์เลย ซึ่งจะต่างจากเกาหลีที่ไอดอลของเขาจะเน้นไปที่หุ่นสวยๆ สูงๆ มากกว่า

ทุกคนในวงก็เลยต้องลดน้ำหนักกันโหดมากค่ะ บางคนต้องกินแต่น้ำเพื่อลดความอ้วน ช่วงที่จะถ่ายเอ็มวีน่ะค่ะ เป็นการลดน้ำหนักระยะสั้นเพื่อไม่ให้ตัวบวมตอนอยู่ในเอ็มวี บางคนก็ต้องกินแต่ผักกับเต้าหู้ แล้วพอถ่ายเอ็มวีเสร็จก็กลับมาคุมน้ำหนักให้อยู่ที่ปกติของตัวเองได้แล้วค่ะ

อย่างตอนนี้หนูหนัก 42 กก. บริษัทก็บอกว่ายังอ้วนไปหน่อย ต้องลดให้เหลือ 40 กก. แต่ถ้าจะไปถ่ายเอ็มวีก็ต้องลดลงไปอีก ก็เลยยิ่งเป็นอะไรที่รู้สึกกดดันมากที่สุดแล้วค่ะ เรื่องภาษาก็ว่ากดดันมากละนะ (ยิ้ม) ต้องพูดให้ได้ น้ำหนักก็ต้องมาลดให้ได้อีก


ตารางชีวิตตอนที่อยู่ที่นู่นก็คือ ต้องตื่น 8 โมงเช้าค่ะ แล้วก็วิ่งออกกำลังกายกับสมาชิกวงประมาณ 2 ชั่วโมง ถึง 11 โมงก็เริ่มยืดร่างกาย ช่วงเที่ยงๆ ถึงจะทานข้าวได้ ก่อนจะทานก็ต้องมาดูเรื่องอาหารก่อน คือต้องชั่งผักเป็นขีดๆ เพื่อไม่ให้ทานเกิน ไม่มีเนื้อให้ ไม่มีซอส จะมีแค่ผักกับเต้าหู้ มันโหดมากจริงๆ ค่ะ ช่วงแรกๆ ทุกคนทนไม่ไหวเลย บ่นกันหนักเลยว่าหิวข้าว ทำยังไงดี เพราะต้องซ้อมเต้นต่อด้วย มีทั้งหน้าแดง หน้าซีด แต่ตอนนี้ก็ชินกันแล้วค่ะ ไม่ทานก็ได้

แล้วพอซ้อมทุกอย่างเสร็จประมาณ 4 ทุ่ม ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านได้ แต่เหลือหนูคนเดียวที่ยังต้องมานั่งเรียนภาษาญี่ปุ่นต่ออีก 2 ชั่วโมง เรียนจนถึงเที่ยงคืน แต่คราวนี้ทางบริษัทเขาจ้างครูมาสอนภาษาให้เราแล้วนะคะ เพราะเขาก็บอกว่าอยากให้เลน่าเก่งด้วย ถ้าเลน่าไม่สู้ เขาก็ไม่รู้จะให้เลน่าอยู่ที่นี่ต่อได้ยังไง

จากตอนแรก เขาอยากให้หนูพัฒนาตัวเองมากกว่านี้ค่ะ เหมือนอยากให้เรารู้ว่าแค่คุณเข้ามาเป็นสมาชิกของวงได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะประเคนให้คุณทุกอย่างนะ ก็เลยบอกปฏิเสธที่จะหาครูมาสอนภาษาให้เรา แต่พอเขาเห็นเราหัดเองทุกอย่าง จนมีซิงเกิลแรกออกไปได้ประมาณ 2 อาทิตย์ หนูเริ่มสื่อสารได้ อ่านออก เขาก็คงเห็นว่าเราพยายามแล้วจริงๆ ก็เลยเดินเข้ามาคุยกับเราค่ะว่า งั้นไปเรียนภาษาเสริมหลัง 4 ทุ่มก็แล้วกันนะ 2 ชั่วโมง กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะได้พักก็ประมาณตี 2 แล้ว



บทเรียนจากแดนปลาดิบ

[ขอบคุณภาพ: ameblo.jp]
เคยเจอแฟนคลับเอาของแปลกๆ มาให้เหมือนกันค่ะ เช่น ตุ๊กตาน่ากลัวๆ เป็นตุ๊กตาคอขาด (หัวเราะ) หนูเห็นแล้วตกใจมาก ผู้จัดการเลยบอกว่าทีหลังไม่ต้องรับของจากแฟนคลับแล้วนะ ตอนนี้ก็ไม่ได้รับเองแล้ว ก็จะรับผ่านผู้จัดการแทน

คนที่ให้เป็นลุงคนนึงค่ะ คือคนที่มาเป็นแฟนคลับตามเราไปอีเวนต์ต่างๆ ส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นจะไม่ใช่วัยรุ่นนะคะ เพราะถ้าอยู่ในวัยเรียนหรืออยู่มหาวิทยาลัย เขาก็จะไปเรียนกัน เขาจะไม่ตามมาเชียร์ ก็จะมีแต่พวกลุงๆ ที่มีเวลาว่างค่ะ แฟนคลับส่วนมากก็เลยจะเป็นคุณลุง คุณป้า ที่มีเวลาเหลือแล้ว ที่จะตามไปดูเราได้

ที่ญี่ปุ่น คนยิ่งอายุมาก เขายิ่งเชียร์เราดีนะคะ เพราะเขาจะยิ่ง support เหมือนอย่างเวลาเขาชอบวงไหน เขาก็จะซื้อกลับไปเลย 100 แผ่น เหมือนกับวัฒนธรรมของเขา เขาถือว่าถ้าเขาชอบแล้ว เขาก็อยากจะ support ซื้อเก็บไว้ดู แต่จริงๆ แฟนเพลงก็มีหลายรุ่นค่ะ ผู้ใหญ่ก็มี เด็กก็มี แต่รุ่นที่จะมีเวลามาตามเรา ที่เห็นส่วนใหญ่ก็จะเป็นคุณลุงคุณป้าค่ะ (ยิ้ม) มันจะกลับกันกับประเทศเรา อย่างบ้านเราเด็กวัยรุ่นจะตามไปเชียร์ K-pop

[ความคลั่งไคล้จากแฟนคลับ]

ส่วนเรื่องอื่นที่ทำให้ประหลาดใจ ช่วงแรกๆ ที่ไปก็น่าจะเป็นเรื่องวัฒนธรรมกับผู้คนค่ะ ถ้าอยู่เมืองไทย เราจะทำอะไรช้าๆ เป็นปกติ คนที่นู่นเขาก็มองว่าคนไทยว่าทำอะไรก็ช้า กินข้าวก็ช้า เดินก็ช้า เพราะคนที่นี่เขากินข้าว 2 นาทีเสร็จแล้ว เดินก็เดินเร็วมากจนเราสงสัยว่านี่เดินหรือวิ่งกันเนี่ย (หัวเราะ) เขาก็เลยตอบเรามาว่าเวลาบ้านเขามันเร็ว ต้องทำอะไรให้เร็วๆ


อย่างตอนที่หนูไปทำงาน ถ้าเขานัด 8 โมงเช้า เวลา 7 โมง 50 ต้องถึงบริษัทแล้วค่ะ คือต้องไปก่อนสัก 10-15 นาที แต่ตอนแรกหนูก็ยังชินกับวัฒนธรรมเราไงคะ ก็ไปถึง 7 โมง 58 เขาก็ว่าเราเลยว่า ยังอยากเป็นนักร้องอยู่หรือเปล่า ถ้าอยากเป็นก็ต้องตรงเวลาสิ คือถึงเราจะยังไม่เลท แต่เขาก็ถือว่าเราไม่มีมารยาท ยังไงก็ต้องมายืนรอก่อน หรืออย่างตอนเรียนภาษาก็เหมือนกันค่ะ เราต้องมานั่งรอครู ไม่ใช่ให้ครูมานั่งรอนักเรียน ก็ช่วงแรกๆ ก็ต้องปรับตัวอยู่เหมือนกัน

สิ่งที่หนูได้เรียนรู้จากการทำงานทั้งกับคนเกาหลีแล้วก็คนญี่ปุ่นก็คือเรื่องมารยาทและความอดทนค่ะ อย่างที่เกาหลี เขาจะให้เราสู้ไม่ถอย ถ้าทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องซ้อมทั้งวัน ต้องทำอยู่นั่นแหละ เพื่อให้ได้มันมา อันนี้ตั้งแต่ตอนไปเป็นศิลปินฝึกหัดแล้วค่ะ ที่จะถูกปลูกฝังเรื่องนี้


ตอนย้ายมาญี่ปุ่น ก็คิดกับตัวเองเลยว่าเราก็เคยผ่านอะไรแบบนี้มาเยอะ ตอนไปเกาหลีใหม่ๆ เราก็ต้องอดทนเรื่องการฝึกภาษา ต้องสู้หลายๆ อย่างเหมือนกัน เลยคิดว่าถ้าจะมาเริ่มภาษาญี่ปุ่นใหม่ก็ไม่เป็นอะไรหรอก หนูคิดว่าถ้าคนเราพยายาม อะไรมันก็ได้ทั้งนั้นแหละ ต้องทำได้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาเท่านั้นเองว่าเราจะทำได้ขนาดไหน หนูได้เรียนรู้ตรงนี้แหละค่ะจากอยู่เกาหลี

ส่วนที่ญี่ปุ่น หนูได้เรื่องมารยาทเยอะมากค่ะ รู้สึกว่าเขาทำให้เราเรียบร้อยขึ้น ใจเย็นขึ้นด้วย แล้วก็รู้จักพูดอ้อมๆ มากขึ้น คือเราก็สื่อสิ่งที่เราอยากจะบอกเหมือนเดิมนะคะ แต่รู้จักพูดให้น่าฟังมากขึ้น คือถ้าเป็นแต่ก่อน จะบอกว่า ‘เธอใส่ชุดนี้ไม่สวยนะ เปลี่ยนเหอะ’ แต่ทุกวันนี้อาจจะพูดว่า ‘ชุดนี้ก็สวยนะ แต่อีกตัวนึงดีกว่า’ อะไรประมาณนั้น




ไม่มีอะไร “ไร้สาระ” ถ้าใจรักซะอย่าง!!


หนูก็เคยเป็นคน 1 ในล้านคนเหมือนกันค่ะที่เคยยอมแพ้ จากที่ชอบด้านนี้มาก แต่ตอนนั้นมันมืดแปดด้าน คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เป็นศิลปินแล้ว ถ้าตอนนั้นหนูยอมแพ้ หนูคงไม่ได้มาถึงตอนนี้ ถึงจะคิดว่าเราไม่ได้ภาษาญี่ปุ่น แต่ก็ลองทำ ตอนที่จะออกจากการเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลี ถึงจะอยู่ในจุดที่มืดแปดด้านแล้ว แต่หนูก็เลือกที่จะไปไหนก็ได้ จีนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ แต่หนูยังไม่อยากกลับไทย

เพราะความฝันของหนูคือการโกอินเตอร์ หนูอยากเรียนรู้วัฒนธรรม หนูว่าเพลงมันมีเสน่ห์มากนะ หนูอยากรู้ว่าเพลงของที่นี่เขาร้องยังไง เต้นยังไง แล้วหนูก็ได้รู้เรื่องการตลาด entertainment ด้วยค่ะ หนูเป็นคนที่ชอบลองมาก และตอนไปเป็นศิลปินฝึกหัด หนูก็แทบจะรู้ระบบทุกอย่างหมดแล้ว

อย่างเรื่องภาษา คนก็มองว่ามันยากนะ แต่ยิ่งเจอแบบนั้น หนูยิ่งคิดว่าต้องไม่ยอมแพ้ หนูจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกหรอก หนูบอกทางบริษัทเขาเลยค่ะตอนนั้นว่า ถ้าคุณไม่เลือกเราไปต่อ บริษัทคุณจะไม่โด่งดังเท่าเลือกหนูไปแน่ๆ ค่ะ เพราะถ้าคุณเลือกหนู หนูจะทำให้วงนี้โดดเด่นและจะพยายามให้มากกว่านี้ ทำให้บริษัทคุณก้าวไปให้ได้มากกว่านี้ ตอนนั้นพูดด้วยความเชื่อมั่นมากๆ เลยค่ะ พูดไปน้ำตาไหลไป (ยิ้ม) แล้วสุดท้ายเขาก็เลือกเรา และเราก็ต้องทำให้เขาเห็นค่ะ

[เบื้องหลังความสำเร็จ คือกำลังใจจากครอบครัว]

ถึงบางครั้ง มันจะดูมืดแปดด้านจริงๆ แต่ยังไงก็ต้องลองค่ะ และสุดท้าย มันก็ไม่ได้มืดแปดด้านอย่างที่เราคิดขนาดนั้น ทุกอุปสรรคมันมีทางออกทุกอย่าง

ทุกวันนี้ คนที่เห็นหนูร้องหนูเต้น บางส่วนอาจจะไม่เข้าใจ อาจจะมองว่าไม่เห็นมีอะไรเลย เพราะเวลาภาพมันออกมา มันเหลือท่อนเต้นให้เห็นนิดเดียว แต่เวลาฝึก เราฝึกกันหนักมากนะ มันยังมีเบื้องหลังอะไรอีกเยอะมากที่คนอื่นไม่รู้ คงเหมือนที่คุณพ่อคุณแม่เราที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ค่ะ ดูเป็นงานธรรมดาๆ แต่เบื้องหลังก่อนที่จะมีทุกวันนี้ได้ มันต้องผ่านอะไรมาเยอะมาก

หนูเลยคิดว่าบางอย่างที่มันดูเล็กๆ เราอย่าไปคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ เพราะมันต้องอาศัยประสบการณ์อะไรที่มันใหญ่มากหนุนอยู่ข้างหลังอยู่แล้ว เหมือนน้องๆ ที่ชอบ K-pop คนอาจจะมองว่าเต้นอะไรก็ไม่รู้ ท่าอะไร ก็เหมือนหนูค่ะที่คนอาจจะมองว่าร้องเพลงอะไรเนี่ย แต่หนูก็คิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยๆ หนูมีประสบการณ์หลายๆ อย่างที่หลายๆ คนไม่มีก็แล้วกัน 



[ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @lena_cherrseefans]




สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ: news.kstyle.com, ameblo.jp และ IG @lena_cherrseefans




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น