xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตจริง ตัวจริง "ไข่มุก The Voice" สาวกู้ภัยใจนักสู้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลูกอีสาน เสียงสวย สะกดใจผู้ชมไม่ให้ลุกไปไหน จากนักร้องตามงานวันเกิด ค่อยๆ พัฒนาตัวเองจนก้าวเข้ามาประกวดในรายการ MasterKey เวทีแจ้งเกิด, ได้เป็นเงาเสียง "หลิว อาราดา" ในรายการ "สงครามเพลงเงินล้าน" ล่าสุดกับเวทีชื่อดัง The Voice Thailand Season 4

ใช่แล้ว เธอคือ ไข่มุก-รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช สาวเสียงสวย ลูกเอื้อนน่าฟัง มีเสียงสูงเป็นอาวุธมัดใจจน "โค้ชโจอี้บอย" กดปุ่มเลือกตั้งแต่ท่อนแรกในรอบ Blind Auditions กระทั่งมาปังมากๆ ในรอบ Knock Out กับเพลง "ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน" ที่จับใจคนดูจนยอดวิวในยูทิวบ์ทะลุไปเกือบ 20 ล้านวิว โดยเธอบอกว่าตอนร้องเพลงนี้นึกถึงแฟนหนุ่มที่จากไปเพราะอุบัติเหตุ ทำให้การถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีอย่างที่เห็น

"หนูไม่ได้ตั้งใจมาตั้งแต่แรกค่ะ เพราะเวทีนี้มันใหญ่มากสำหรับหนู หนูก็ไม่กล้ามา (น้ำเสียงถ่อมตน) แล้วทีนี้มีผู้จัดการร้าน Route RCA ชื่อพี่ฮ้อมาชวนให้ลองไปสมัคร The Voice ตอนนั้นก็รับปากเฮียแกไปก่อน ค่ะๆ แต่ในใจไม่ไปหรอก (หัวเราะ) พอวันสุดท้าย เฮียก็โทร.มาจี้อีก บอกว่า ไปสิๆ สุดท้ายหนูก็ไปสมัคร แล้วอีกวันก็มาออดิชันด้วยเพลงความรักเจ้าขาจนผ่านเข้ามาในรอบลึกๆ ด้วยความงงๆ" เธอเล่าถึงจุดเริ่มต้น


ไม่เสียใจ แม้ไม่ได้ไปต่อ

กระทั่งมาถึงรอบ Live Performance ซึ่งเป็นรอบดรามาหนักมาก เมื่อชาวเน็ตวิจารณ์ถึงการร้องเพลงสากลในแบบฉบับลูกทุ่ง ซึ่งหลายคนมองว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของเธอ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เธอไม่ได้ไปต่อ ร้อนไปถึง "โค้ชโจอี้บอย" ต้องออกมาโพสต์เฟซบุ๊กขอโทษพร้อมชี้แจงเหตุผลในการทำโชว์ดังกล่าว

เช่นเดียวกับ "ไข่มุก" ที่ออกมาเปิดใจผ่านข้อเขียนทางเฟซบุ๊ก Kaimook Snickke Km โดยเธอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม และเป็นกำลังใจในทุกๆ รอบ ส่วนตัวไม่ได้หวังว่าจะได้เป็นแชมป์ แค่มาถึงจุดนี้ก็เกินพอแล้ว ดังนั้นไม่อยากให้โทษว่าเป็นความผิดของโค้ชโจอี้บอย



"ทุกคน หนูไม่ได้เสียใจอะไรเลย ถ้าหนูเป็นคนดู หนูก็จะโหวตพี่เบส ถึงรอบนี้หนูพอแล้ว ไปต่อก็ต้องเครียดอีก มาอยู่จุดนี้ต้องยอมโดนด่าสารพัด หนูตกรอบนี้แหละดีเเล้ว ถ้าเข้าไปไม่ชนะหนูก็โดนด่าอีก โค้ชหนูก็โดนหนักอีก มันคือเกม ทุกคนกำลังเล่นเกมอยู่ แพ้ชนะไม่ได้วัดว่าใครจะดังใครจะมีงาน ทุกวันนี้หนูโอเคทั้งงานเเละความรู้สึก หนูมีความสุขดีให้พี่เบสไปสู้กับทีมอื่นต่อ และเรามาเป็นกำลังใจให้ทีมเฮียกันค่ะ"

"หนูรักเฮีย หนูเข้าใจโชว์หนูชอบเพลงนี้ชอบทุกอย่างที่เฮียทำ หนูคิดว่าสิ่งที่เฮียให้ทำ ความรู้และคำเเนะนำคำสอนต่างๆที่เฮียป้อนให้ลูกทีม มันต้องดีที่สุด ที่หนูมีทุกวันนี้ มีคนรู้จักมากขนาดนี้ เพราะเฮีย เพราะเฮียให้หนูร้องเพลง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน แล้วเฮียไม่เคยทิ้งลูกทีมดูแลดีทุกอย่าง โค้ชคนอื่นดูแลกันยังไงหนูไม่รู้แต่เฮียดูแลลูกทีมเหมือนเฮียเป็นพ่อ


หนูว่าโชว์ที่เฮียทำมาทั้งหมด เฟี้ยวที่สุดละ คนบ้าไรนั่งควายร้องสากล มีคนคิดไหมว่าหนูจะร้องสากล มันคือความแปลกใหม่ ซึ่งหนูโคตรชอบเลย เจ้าควายน่ารักดีใจที่สุดแล้วตอนนี้ มันผ่านไปแล้วนะทุกคน ใครตกรอบก่อน รับงานก่อน 555 เรามาเป็นกำลังใจให้เฮียกันดีกว่า ช่วยกันทำให้ทีมเฮียเป็นเเชมป์ปีนี้" เธอโพสต์บอก

หนูไม่ได้ทำ แต่เราช่วยกันทำ

"ผลงานดีๆ ไม่เคยเกิดจากคนคนเดียว" คือสิ่งที่ไข่มุกตอบเมื่อถูกถามถึงกระแสความนิยมในวันนี้ ก่อนขยายความต่อไปว่า "เบื้องหน้าที่ออกมาดี ทีมงานทำงานกันหนักมากค่ะ หรือโค้ชแต่ละคนก็มีคำแนะนำให้หนูตลอด โดยเฉพาะโค้ชโจอี้บอย หนูขอเรียกพี่โจอี้ว่า เฮียนะคะ อยู่ทีมเฮียต้องบอกว่าสนุกสุดๆ มีความสุขสุดๆ ฮาสุดๆ เฮียจะเป็นคนที่ดูแลลูกๆ ของเขาดีมาก พาไปเที่ยว พาไปกิน พาไปเจอพี่ๆ ตั้งแต่ The Voice ซีซั่น 1 ยันซีซั่น 3



ถามว่าเฮียดุไหม ไม่นะคะ แต่จะใช้คำพูดนิ่งๆ แล้วเราจะสำนึกไปเอง (ยิ้ม) เช่น ก็แล้วแต่นะ ถ้าทำไม่ดีก็เรื่องของมึงนะ ดังนั้นถ้าเวลาเฮียโหด จะพูดนิ่งๆ ออกแนวประชดหน่อย เพราะเฮียเป็นคนจริงจังมาก คิดอะไรได้ปุ๊บเอาเดี๋ยวนั้นเลย หนูชื่นชมความคิดเฮียมาก ความคิดล้ำมาก สร้างสรรค์มาก

คำสอนที่เฮียจะบอกหนูเสมอก็คือ มึงไม่ต้องคิดว่าจะได้แชมป์หรือไม่ คิดแค่เพียงว่า ขึ้นเวทีไปแล้ว ทำให้เต็ม ทำยังไงก็ได้ไม่ให้มึงอายคน เพราะมึงจะต้องอยู่ในยูทิวบ์ไปอีกนาน คิดดูละกัน ทำให้ดีละกัน พูดง่ายๆ คือ เฮียไม่ค่อยให้กำลังใจ (หัวเราะ) แต่จะใช้คำพูดสะกิดให้คิดเอง"

"ความเจ๋งของไข่มุกอยู่ตรงไหน" เธอนิ่งคิดกับคำถามนี้ "หนูคิดว่าตัวเองอ่อนที่สุดในรายการละ คือแบบ...หนูจะเป็นลูกทุ่งที่ติดสำเนียง ไม่ว่าจะร้องเพลงอะไรก็ตาม ส่วนตัวก็เลยคิดว่าหนูมันไม่หลากหลาย แต่หนูจะทำได้ดีเรื่องเสียงสูงมากกว่า เอาจริงๆ แล้วหนูจะคิดว่าตัวเองไม่เก่งเลย ไม่เก่งจริงๆ"



ดังนั้น แม้ในรอบ Live Performance แฟนคลับจะร้องไห้หนักมาก เพราะ "ไข่มุก" ไม่ได้ไปต่อ แต่ "เสียง" ของเธอก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเหมาะแก่การเป็นศิลปินตัวจริงประดับวงการ และหากย้อนกลับไปค้นหาชีวิต ตัวตนของสาวน้อยคนนี้ก็ยิ่งพบความน่าสนใจที่ไม่ใช่มีดีแค่เสียงสวย

นี่แหละ "ไข่มุก The Voice"


แน่นอนว่า แม้จะพลาดไม่ได้ไปต่อ แต่ชื่อของไข่มุกก็ไม่ได้หายไปไหน "ตอนนี้เวลาไปไหนก็มีคนจำได้ค่ะ" เธอบอก "เหมือนหนูเห็นคนกระซิบแล้วมองมาทางหนูตลอด บางครั้งก็แอบได้ยินว่า ไข่มุกๆ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าความเป็นส่วนตัวหายไปเยอะค่ะ (ยิ้มแห้งๆ) ต่อจากนี้ เวลาจะทำอะไรก็ต้องระวังตัวหน่อย เดี๋ยวเขาเห็นเราป้ำๆ เป๋อๆ แล้วจะมองหนูไม่ดีว่า เอ๊ะ! ตัวจริงไข่มุกเป็นแบบนี้เหรอ (หัวเราะ)"

เมื่อถามถึงตัวตนจริงๆ ไข่มุกหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ "ตัวจริงเป็นคนพูดเหมือนจะไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรค่ะ (หัวเราะ) แถมยังพูดไม่ค่อยชัด สมาธิสั้น ไม่ค่อยเรียบร้อย ดังนั้น ถ้าให้มองตัวเอง ไข่มุกชื่อดูน่าจะเป็นสาวหวาน แต่จริงๆ แล้วไม่หวานเลย เป็นคนพูดจาแข็งๆ ใช้คำพูดกระแทกกระทั้น ไม่อ่อนโยนเลยค่ะ"






ไข่มุกให้เหตุผลว่า ที่เธอเติบโตมาบนบุคลิกดังกล่าวนั้น อาจเป็นเพราะคุณแม่ที่เลี้ยงลูกให้เข้มแข็ง ไม่ตามใจ อยากได้อะไรก็ต้องเก็บเงินซื้อเอาเอง

"ของชิ้นแรกที่อยากได้ และเก็บเงินซื้อเองก็คือ ตุ๊กตาบาร์บี้ค่ะ ตอนนั้นราคา 800 กว่าบาท ซื้อด้วยเงินตัวเองสมัยเรียนอยู่ชั้น ป.5 เก็บหอมรอมริบจากการร้องเพลงตามวันเกิด อย่างเวลาคนแถวบ้านจัดงานวันเกิดเขาก็จะให้เราไปร้องเพลง มีค่าจ้าง มีทิปให้ พอเก็บเงินได้ตามเป้าหมายแล้ว หนูก็ขอแม่ซื้อ แม่ก็ให้" สาวเสียงสวยวัย 19 ปีเล่า

ถามถึงคุณพ่อ แม้จะอยู่ห่างกัน เพราะทำงานไกลอยู่ที่ จ.ยะลา (ขับรถส่งขนม) เธอบอกว่า คุณพ่อจะกลับมาหาครอบครัวเดือนละครั้ง

"หนูกับพ่อเราอยู่ไกลกัน ทุกวันนี้หนูอยู่กับคุณแม่ พี่ชาย และน้องชาย หนูเป็นคนที่สอง เป็นลูกผู้หญิงคนเดียว มีหนูคนเดียวที่เดินทางสายร้องเพลง (ยิ้ม) อาจจะด้วยตอนเด็กๆ แม่ชอบพาร้องคาราโอเกะในบ้าน ส่วนพ่อก็เป็นอดีตนักร้องอีสาน เคยออกอัมบั้มสมัยที่ยังเป็นแผ่นเสียงใหญ่ๆ ซึ่งชื่อในวงการตอนนั้นคือ สุริยาน้อย ฝั่งมูล เรื่องเส้นเสียง เนื้อเสียงก็คงได้มาจากพ่อ เพราะพ่อร้องเพลงเพราะ



น้องสาวเสียงสวยกับพี่ชายคนโต


พี่สาวเสียงสวยกับน้องชายคนเล็ก

มี "แม่ละมัย" เป็นไอดอล

"แม่เป็นคนสู้ชีวิตมาก เข้มแข็ง เป็นผู้หญิงแกร่ง ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ชอบพึ่งพาคนอื่น อย่างช่วงพ่อป่วย แม่จะหนักมาก ช่วงนี้พ่อเริ่มดีขึ้นแล้วค่ะ ส่วนแม่ก็มาตรวจเจอต้อเนื้อในตาขาว ซึ่งตอนไปแข่งสงครามเพลงเงินล้านหนูได้เงินมา 1 แสนก็บอกแม่ว่าจะพาไปรักษานะ แม่ก็ไม่ยอม เพราะเป็นห่วงลูกๆ แม่บอกว่า ถ้าผ่าตาก็ต้องพักเป็นเดือนๆ แล้วลูกจะทำอย่างไร กินข้าวกับอะไร จะมีเงินใช้ไหม"

เป็นคำบอกเล่าที่เจือปนไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตากลมโตไหวระริกน้ำใสๆ รื้นขึ้นมาคลอเบ้าเมื่อถูกถามถึงคุณแม่ละมัย แม่บังเกิดเกล้าของเธอ

"ถึงตอนนี้แม่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับตาเลย" เธอบอกด้วยท่าทีนิ่งๆ "ยังเป็นต้อเนื้ออยู่เลยค่ะ ส่วนตัวอยากให้แม่รักษา แต่แม่ดื้อมากๆ ค่ะ คิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้ามีงานเข้ามาเยอะๆ มีเงินเก็บเยอะๆ จนแม่ไม่ต้องทำงานหาเงิน หนูก็จะให้แม่ไปผ่าตัดรักษา แล้วก็เลี้ยงแม่เองค่ะ" เธอบอก และเผยด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นต่อไปว่า อนาคตอยากเปิดร้านกาแฟให้แม่ เพราะคุณแม่ชอบกินกาแฟ และชอบทำขนม





"หนูจะต้องพาแม่ออกไปอยู่ในจุดที่ดีกว่านี้ให้ได้ นี่คือความตั้งใจของหนูเลยค่ะ ปัจจุบันเราอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ หนูอยากซื้อบ้านให้แม่ ให้ครอบครัวได้ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีชีวิตที่ดี ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มเก็บเงินจริงจังเลยค่ะ (ยิ้ม) เพราะมีค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ส่วนหนูไม่เคยขอเงินแม่เลย อยากได้อะไรก็จะทำงาน เก็บเงินซื้อเองค่ะ" เธอเสริม

ถึงตอนนี้ แม้จะพลาดแชมป์ The Voice Thailand Season 4 แต่ในแววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และคงไม่ยอมปล่อยให้โอกาสต่างๆ พลาดไปอีกแล้ว

"ตอนนี้หนูเรียนสาขาร้องเพลงที่วิทยาลัยดนตรีและศิลปะการแสดง SCA (Superstar College of Asia) มหาวิทยาลัยสยาม โดยจะเรียนวิชาหลักๆ ที่มหา'ลัยสยาม ส่วนวิชาเอกจะเรียนที่ SCA ปัจจุบันอยู่ปี 2 แล้วค่ะ มุ่งมั่นตั้งตาเรียนเพื่อตัวเองและครอบครัวค่ะ อยากมีงานมีเงินเยอะๆ เพราะไม่อยากให้แม่เหนื่อยแล้ว" สาวน้อยบอก

ว่างเมื่อไรต้องไป "อาสากู้ชีพ"



นอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อครอบครัวแล้ว สาวน้อยคนนี้ยังมี "หัวใจเพื่อมวลชน" ในการเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนด้วย

"หนูเป็นอาสากู้ภัยค่ะ" เธอยืดอกบอกด้วยความภาคภูมิใจ "เพิ่งมาเริ่มทำช่วงประมาณเดือนมี.ค. ค่ะ เข้ามาทำเพราะรู้จักกับพี่ที่เป็นนักร้องด้วยกัน หนูเข้าไปส่องไอจีพี่เขา หนูก็อยากทำบ้าง เริ่มทำที่จ.อุดรธานีก่อน พี่ๆ ก็จะสอนเรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้น อบรมเรื่องการปั๊มหัวใจ เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้หนูก็ทำได้นะคะ (น้ำเสียงอ้อนให้เชื่อว่าทำได้จริงๆ) เช่น ทำแผล ผูกผ้าห่อศพ ซึ่งเป็นงานที่หนูพอจะช่วยพี่ๆ เขาได้ อย่างถ้าเป็นศพหนูก็ยกไม่ไหว แค่ได้ช่วยถือเปลก็โอเคแล้วค่ะ ขอแค่ให้หนูได้ทำ หรือได้ช่วยเล็กๆ น้อยๆ หนูก็มีความสุขแล้วค่ะ"

เธอเล่าถึงเหตุผลว่า ที่มาทำตรงนี้ เพราะสูญเสียเพื่อนชายคนสนิทจากอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์แบบต่อหน้าต่อตา แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย ดังนั้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานอาสากู้ชีพ แม้จะไม่มีค่าตอบแทนให้ก็ตาม



"แม่ก็เป็นห่วงค่ะ แต่หนูก็แอบไป (ยิ้มดื้อใส่) พอแม่มาดูเฟซบุ๊ก หนูก็ไปอยู่ที่จุดเกิดเหตุละ (ยิ้ม) ซี่งหนูก็จะบอกแม่เสมอว่า เรื่องกู้ภัยอย่าห้ามหนูเลยนะ หนูอยากทำจริงๆ เพราะนอกจากจะได้เจอพี่ๆ กู้ภัยแล้ว ยังได้ช่วยเหลือคน เหมือนแม่ปลูกฝังให้เห็นใจผู้อื่นมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งแม่จะพูดเสมอเวลาหนูบ่นว่าเหนื่อย และไม่อยากรับงาน ประมาณว่า หนูร้องไม่กี่เพลงก็ได้ 1,000 บาทแล้ว คนที่ทำงานทั้งวันทั้งคืนได้วันละ 300 บาท เขาไม่เหนื่อยกว่าอีกเหรอ สิ่งที่แม่สอนตรงนั้น ทำให้หนูรู้ใจเขาใจเรา อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน"

แน่นอนว่า งานอาสากู้ชีพ เป็นงานที่ท้าทาย ต้องเจอกับคนเจ็บ คนตายในรูปแบบหลากหลาย แต่สำหรับเธอ มันทำให้เห็นสัจธรรมที่ไม่มีใครจะปฏิเสธได้

"หนูเจอตั้งแต่ฟันกันจนคู่กรณีหลังฉีก ถูกฟันหัวตรงกลางศีรษะ อุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนกัน ซึ่งหนูก็ได้ช่วยทำแผลให้ ส่วนเหตุการณ์ที่ตื่นเต้น แต่ก็หดหู่สุดๆ เห็นจะเป็นเหตุรถชนกับที่กั้นข้างถนนแล้วขาขาดกระเด็นไปประมาณ 20 เมตร ตอนนั้นก็หาขากันเกือบเช้า มาเจออีกทีตอน 10 โมงเช้า เห็นแบบนี้แล้วก็ปลงค่ะ"

ดังนั้น อย่าประมาทกับชีวิต ถ้ายังมีชีวิตอยู่ จงทำทุกวันให้ดีที่สุด นี่คือสิ่งที่เธออยากฝาก "การทำงานตรงนี้สอนให้หนูรู้จักใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้เลยว่า วันนี้เราออกจากบ้านแล้วจะได้กลับบ้านไหม ถึงเราจะป้องกันตัวเอง แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป เพราะคนอื่นก็ไม่ได้ระวังเหมือนกับเรา"

เรื่อง "หัวใจ" ฉบับไข่มุก



ปิดท้ายกับประเด็นคำถามเรื่องความรัก เธอเปิดใจว่า เคยมีแฟน แต่ก็ได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันหวนกลับด้วยอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ ก่อนจะเผยมุมมองความรักในแบบของเธอให้ฟังว่า "ความรักสำหรับหนู" เธอนิ่งคิด และเผยต่อไป "ไม่ว่าจะอยู่กับใครก็แล้วแต่ พ่อแม่ เพื่อน แฟน หรือใครก็แล้วแต่ เราต้องสร้าง และมอบความสุขให้กันและกันค่ะ ไม่ทำให้เขาเครียด ใส่ใจซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน"

ทั้งหมดนี้ คือบทสัมภาษณ์ที่ทำให้เห็นชีวิต และตัวตนของสาวน้อยเสียงสวยคนนี้ในมิติที่ลึกขึ้น ตั้งแต่ครอบครัวที่หล่อหลอมให้เธอรู้จักหยิบยื่นความรักให้แก่ผู้อื่น การมีใจนักสู้ ไปจนถึงมุมมองความคิด และการมองโลกที่ใหญ่เกินตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "หัวใจเพื่อมวลชน" ในการเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม

ผู้จัดการ Lite
เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : พลภัทร วรรณดีและขอบคุณภาพจากแฟนเพจ Kaimook Snickke Km, Lamai Dongpong




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น