xs
xsm
sm
md
lg

“คริสซี่” นางเอกวัยใส ขวัญใจชาวไซเบอร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ทุกคนจะบอกว่าคริสซี่ยิ้มแล้วตาเป็นสระอิ พอยิ้มแล้วจะเหมือนโลกสดใส" คริสซี่-กฤษณ์สิรี สุขสวัสดิ์ เธอคือนางเอกหน้าใหม่ ที่ทำให้โลกมายาสดใสด้วยรอยยิ้มขี้เล่นมีเสน่ห์ และทันทีที่ผลงานของเธอลงจอออกอากาศให้ได้ชมกันเพียงไม่กี่ตอนก็ถูกพูดถึงมากที่สุด ฮิตจนชื่อละคร “ใต้เงาจันทร์” ติดอันดับแฮชแท็กในทวิตเตอร์ ด้วยพล็อตเรื่องที่มีเนื้อหาสนุก บวกกับการให้แง่คิดดีๆ ในเรื่องของความรัก ที่สำคัญเป็นการพลิกบทบาทของนางเอกหน้าใสที่น่าจับตามอง!

จิกๆ กัดๆ จนฮิตติดเทรนด์!

ช่วงบ่ายๆ ของวันธรรมดาปลายสัปดาห์ เป็นเวลาที่เรามีนัดพูดคุยกับสาวน้อยลูกครึ่งอังกฤษ “คริสซี่” นางเอกคู่ 2 จากละครน้ำดีทางช่อง 3 “ใต้เงาจันทร์” เมื่อทีมงาน M-Lite ไปถึง ไม่นานสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ผมยาวดำขลับกับใบหน้าอันอ่อนหวานนัยน์ตาลูกครึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มบวกกับท่าทางที่ดูเฟรนด์ลี่เอามากๆ

ไม่รอช้าบทสนทนาของเราก็เริ่มขึ้น ประเดิมคำถามแรกเมื่อละครออนแอร์ไปแล้วกระแสตอบรับน่าชื่นชมขนาดไหน สาวน้อยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเอง แววตาของเธอบ่งบอกถึงความรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อการแสดงความสามารถผ่านจอแก้วเป็นเรื่องที่ 2 ของเธอสร้างความชื่นชอบให้กับผู้ชมอย่างไม่มีข้อกังขา หนำซ้ำชื่อของละครอย่างใต้เงาจันทร์ ยังติดเทรนด์แฮชแท็กในทวิตเตอร์อีกด้วย ถือว่าคุ้มค่ากับค่าเหนื่อยของเธอไม่น้อย


ตอนที่ละครออนแอร์ก็จะเข้าทวิตเตอร์ดูประกอบคู่ไปด้วยเพื่อที่จะได้ดูว่ามีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ และคือตกใจมาก เพราะคำว่าใต้เงาจันทร์มันดันติดเทรนด์แฮชแท็ก คือขึ้นเลยมาแบบบนๆ เลย ก็คือแปลว่าคนก็ดูเยอะใช้ได้เลยนะ ก็รู้สึกดีใจมากค่ะ เพราะว่าถ่ายเรื่องนี้ก็เหนื่อยใช้ได้เลยแล้วก็ถ่ายควบคู่กับการเรียนไปด้วย ทั้งละครสนุกทั้งผลตอบรับดีเลยโล่งใจสบายใจมาก ตอนแรกก็กังวลว่าคนจะไม่ชอบคาแร็กเตอร์นี้รึเปล่า แต่พอคนพูดถึงก็โอเคละค่ะ โล่งใจ(อมยิ้ม)”


ในเรื่องนี้ถือเป็นละครเรื่องที่ 2 ของเธอแล้วหลังจากได้ฝากฝีไม้ลายมือไว้กับละครสุดชิคอย่างเรื่อง The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ทั้งภาค 1 และ 2 คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอมากนัก เพราะถือว่าคุ้นชินกับการแสดงมาพอสมควรแล้ว แต่ใครเล่าจะรู้ว่าผลงานที่เธอเคยได้รับกับเรื่องนี้นั้น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เธอกลับชอบบทแบบนี้มากกว่าโดยให้เหตุผลว่าบทนี้ใกล้เคียงกับตัวตนเธอมากที่สุด



“รับบทเป็นเจมี่ค่ะ เป็นลูกคุณหนู เป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ แบบฉันอยากได้อะไรฉันก็ต้องได้ แล้วก็จะทำอะไรไม่ค่อยแคร์คนอื่นแต่จุดเด่นของเจมี่คือ ชอบพี่โต (เกรท-วรินทร ปัญหกาญจน์) ตั้งแต่เด็ก จะหลงรักเขา อยากให้เขาเป็นแฟนเรา อยากแต่งงานกับเขา แล้วเราก็ทำทุกอย่างเพื่อให้เขามารักเราให้ได้บทนี้ชอบนะคะ อย่างคริสซี่กับเรื่องแรกค่อนข้างต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยว่า เรื่องนี้ค่อนข้างที่จะฟรีมากกว่า เราสามารถที่จะเล่น แบบเขาเล่นไรมาเราเล่นกลับได้ ไม่ต้องแอ๊บแล้ว ไม่ต้องมาเป็นสาว สวยใส แล้ว อันนี้คือเขาจิกมาเราจิกกลับ เราสามารถออกท่าได้เยอะ ก็สนุกดีค่ะ


โดยส่วนตัวคริสซี่เป็นคนที่ชอบเปลี่ยนตลอด อย่างเรื่องแรกเรามาแบบเรียบร้อย เรื่อง 2 เรามาแบบจิกกัด เรื่อง 3 อาจจะเป็นแบบร้ายลึกไปเลยก็ได้ คือชอบที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ค่ะ พอได้ทำอะไรใหม่ๆ มันก็สนุก อย่างเรื่องนี้นิสัยก็จะตรงกับคริสซี่นะคะ ตัวเจมี่จะมีแอ๊บใสต่อหน้าพี่โต แต่พอเราไม่ชอบใครก็จะแอบมีจิกกัดบ้างแต่ไม่ใช่เหมือนเราซะทีเดียวนะ แต่จะเหมือนตรงที่ชอบแซวคนอื่น จิกกัดคนอื่น คือมันก็จะมีความท้าทายทุกอันแหละค่ะ จะมีความสบายใจที่ได้เล่นตัวนี้ เพราะเหมือนกับเราได้เล่นเป็นตัวเอง (หัวเราะ)”




ทว่า แม้ว่าสาวน้อยจะผ่านการเล่นละครมาแล้วนั้นแต่เธอก็ยังตื่นเต้นไม่น้อย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญและเป็นการลบภาพคาแร็กเตอร์เดิมๆ จากเรื่องก่อนเสียด้วย

“ตื่นเต้นค่ะ เหมือนตั้งแต่เล่นThe Sixth Sense1, 2 ทุกคนก็จะติดภาพเราเป็นแบบนั้น เหมือนเราเล่นละครมาชีวิตเรามีอยู่แค่นี้ แต่พอมาเล่นเรื่องนี้มันก็ตื่นเต้นตรงที่คนอื่นเขาจะรู้จักเราในแบบอื่นแล้วนะ มันจะมีช่วงที่ห่างหายจากจอไปนาน เพราะถ่ายทีละเรื่อง พอตอนนี้ได้กลับมาลงจออีกครั้งเราก็รู้สึกดีใจคุ้มกับความเหนื่อยค่ะ เล่นเรื่องนี้ก็มีคนชมบ้างนะคะคือตัวคริสซี่ก็จะไม่ค่อยรู้ตัวแต่ดูจากที่คนอื่นเขาพูดเขาก็จะบอกว่าเหมือนเล่นแล้วโฟรขึ้นค่ะ มันไม่มีความเก็ง จำบทได้ดีขึ้น เล่นแล้วเหมือนเป็นตัวละครนั้นมากขึ้นไม่ต้องเทกบ่อยเท่าเรื่องแรกๆ”

สาวน้อยกระซิบให้ฟังว่าแรกเริ่มที่รู้ตัวว่าจะได้มาเล่นละครเรื่องนี้แล้วต้องประกบกับนักแสดงมากความสามารถอย่าง “มาร์กี้-ราศรี” ก็ออกอาการประหม่าและเกร็งอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อได้เข้าฉากกันแล้วเธอต้องเปลี่ยนจากคำว่าเกร็งมาเป็นความประทับใจแทนเพราะสาวมาร์กี้เป็นคนน่ารักและคอยช่วยเธอเสมอหากซีนไหนที่เธอไม่เข้าใจ

“กับพี่เกรทคือสบายมากค่ะ เพราะเคยร่วมงานกันมาแล้วก็จะเข้าขากันได้ เหมือนมีอะไรก็พูดคุยกันเลย ส่วนพี่กี้(ราศรี บาเล็นซิเอก้า) คริสซี่ก็รู้จักก่อนเข้าวงการตอนที่เล่นเรื่อง 4 หัวใจแห่งขุนเขา ก็จะคิดว่าเฮ้ย.. เราได้เล่นละครปะทะกับคนนี้เราจะเอาอะไรไปสู้เขาเราดับแน่ๆ (หัวเราะร่วน) แต่พอเข้าซีนกันแล้วคือพี่กี้เขาช่วยมากๆ ตรงไหนไม่เข้าใจพี่กี้ก็จะอธิบาย ถ้าเราเล่นไปยังไงพี่กี้เขาก็จะปรับของเขาให้เข้ากับเราให้ได้ คือช่วยเราเต็มที่พี่กี้ก็น่ารักมาก เฟรนด์ลี่ เหมือนเม้าท์มอยกันตลอดเวลา




ส่วนพี่เพื่อน (คณิน ชอบประดิถ) ก็จะเป็นครั้งแรกเหมือนกันไม่เคยคุยไม่เคยร่วมงานกัน ตอนแรกก็เกร็งๆ ค่ะ เหมือนพี่เขาถ้าไม่สนิทกับใครก็ยังไม่ค่อยกล้าพูดอะไร ไม่กล้าคุยด้วย แต่พอเข้าซีนกันบ่อยๆ ก็จะรู้ละว่าพี่เพื่อนเป็นคนชอบแซว และแปลกตรงที่ว่าคริสซี่กับพี่เพื่อนกินอาหารเหมือนกัน เป็นคนไม่กินผัก ไม่กินผลไม้ ไม่กินของแปลก แกงจืด ยำ อะไรคือกินไม่เป็นเลย คือ 2 คนนี้เหมือนกินอาหารเด็กอย่างกินข้าวกับไข่เจียวก็สั่งมากินกัน 2 คน เพราะกินอย่างอื่นไม่เป็นกันอยู่ 2 คน ต้องนั่งโต๊ะด้วยกันตลอดค่ะ”

สาวน้อยอ้อนท่านผู้ชมฝากผลงานละครเรื่องนี้ผ่านทางทีมงาน M-lite อย่างน่าเอ็นดู เธอกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่าละครเรื่องนี้มีแง่คิดดีๆ เกี่ยวกับเรื่องความรักแฝงไว้อยู่มากมาย แถมยังครบรสทั้งดรามา ตลก คอมเมดี้ เรียกได้ว่าพลาดชมไม่ได้สักตอนเลยทีเดียว

“คริสซี่อยากให้ลบความทรงจำเกี่ยวกับตัวเก่าๆ ให้มองเราว่าเราก็เล่นอย่างอื่นได้นะ เราไม่ได้เรียบร้อย เงียบอย่างเดียวนะ เราก็มีความโก๊ะๆ แบบคนอื่นเขานะ อยากให้คนดูเรื่องนี้เยอะๆ เพราะเราตั้งใจทำมาก และนานๆ เรามีงานออกมาก็อยากให้ดูนิดนึง เรื่องนี้มีแง่คิดดีๆ เน้นเรื่องความรักเลย อย่างใครตกอยู่มนสถานการณ์ที่มีผู้ชาย 2 คนมาชอบแล้วดีทั้งคู่แล้วเราจะทำอย่างไงดีล่ะ



คงมีคนตกอยู่สถานการณ์แบบนี้คือรักเขาข้างเดียวมาตลอด แล้วทำทุกอย่างเพื่อเขามาตลอดแล้วสุดท้ายก็โดนพูดว่าเขาไม่ได้คิดกับเราแบบนั้นนะเราจะทำอย่างไง จะสอนว่ามันไม่ได้มีแค่คนคนนี้คนเดียวรึเปล่า ลองหันมองคนข้างๆ เขาอาจจะดีกว่าร้อยเท่า เขาพร้อมที่จะอยู่ข้างเราทำไมเราไม่หันมองเขาบ้างยังไงก็ฝากละครเรื่องนี้ด้วยนะคะ นี่คือมีครบทุกอารมณ์เลย เศร้า ดรามา ตลก คอมเมดี้ ฝากผลงานด้วยเพราะตั้งใจทำเรื่องนี้มากๆ อยากให้คนดูดูแล้วชอบตัวเจมี่ เพราะตัวเจมี่ไม่ได้ร้ายอย่างที่คิดนะคะ”

โดดเด่นสะดุดตา จน “พอลล่า” เห็นแวว

เธอเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงจากการชักชวนของ “พอลล่า เทเลอร์” ตอนนั้นเธอมีอายุเพียงแค่ 10 ต้นๆ ทำให้เวลาเธอไปแคสต์งานก็มักจะไม่ได้เพราะคู่แข่งของเธอนั้นโตกว่าเธอพอสมควร แต่เธอก็ไม่ย่อท้อแคสต์งานมาเรื่อยๆ จนได้เข้าตาของผู้จัดละครช่อง 3 เธอจึงได้งานชิ้นแรกที่ได้เป็นนางเอกเต็มตัว

“เริ่มจากอยู่โมเดลลิ่งก่อนค่ะ คือตอนนั้นพี่พอลล่าเป็นคนเจอคริสซี่ตอนเด็กๆ เลยเลยแนะนำให้มาอยู่โมเดลลิ่งเขามั้ย เพราะตอนนั้นเขาเพิ่งทำโมเดลลิ่ง ก็เข้าไปแคสต์ติงงานโฆษณา งานเดินแบบ ตอนเด็กๆ แทบไม่เคยได้งานเลยเพราะตอนนั้นอยู่ประถมอยู่เลยแล้วคนที่ไปแคสต์อยู่ระดับมหาวิทยาลัยกันหมดเลย ไม่มีทางที่เราจะไปสู้เขาได้เลย



ก็คุยกับพี่พอลล่า พี่พอลล่าบอกอยากให้เราฝึกตั้งแต่เด็ก อยากให้คุ้นหน้าเราให้ความรู้สึกเหมือนเราโตมากับวงการมันทำให้เราสบายใจมากกว่าถ้าเข้ามาตอนโตเลย หลังจากนั้นก็ได้มาแคสต์ละครThe Sixth Sense ผู้จัดเขาก็กำลังหานักแสดงหน้าใหม่ ก็ถามว่าลองดูมั้ยเข้ากับบุคลิกคริสซี่ดีนะไม่เคยเห็นคริสซี่เล่นละครอะไรเลย ก็ลองไปแคสต์ดูก็ได้ค่ะ ก็เลยได้เข้ามา”
สาวน้อยคริสซี่เข้ามาในวงการบันเทิงอย่างเต็มตัวแล้ว และการทำงานในวงการนี้คุณพ่อและคุณแม่ของเธอนั้นสนับสนุนเต็มที่ เรียกได้ว่าลูกชอบแบบไหนพ่อ-แม่ ก็เห็นดีด้วย แถมเมื่อละครเรื่องแรกออนแอร์ยังเห่อเสียด้วยซ้ำ ถือเป็นครอบครัวน่ารักๆ อีกครอบครัวหนึ่งที่ไม่เคยปิดกั้นโอกาสและยังคอยสนับสนุนในสิ่งที่ลูกชอบ



“คุณแม่ชอบค่ะ อะไรที่ทำแล้วสบายใจท่านก็โอเค คุณแม่ก็คงไม่อยากให้เราเรียนหนังสือกลับบ้าน อยากให้มีอะไรที่ทำที่ดีต่อตนเอง แล้วยิ่งพอเข้ามาในวงการทำให้คริสซี่รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเยอะมากๆ ทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ผลดีก็คือเหมือนทำให้เราโตเร็วกว่าคนอื่น ทำให้เราใช้ชีวิตมากกว่าคนอื่นนิดนึง

คุณพ่อก็ชอบค่ะ สนับสนุนเต็มที่ เขาก็ถามละครออนแอร์วันไหน ไหนดูสิ ตอนเล่นละครเรื่องแรก ทางบ้านก็เห่อนะคะ คุณแม่ถึงขั้นรีบกลับมาจากที่ทำงานมาเปิดดู ปกติคุณแม่ค่อนข้างที่จะทำงานหนักกลับบ้านดึก วันไหนมีละครเราคุณแม่ก็รีบกลับมาเพื่อดูละครด้วยกัน”

บ้านหลังนี้ อบอุ่นอย่าบอกใคร

สำหรับเด็กทั่วๆ ไปแล้ว พ่อ-แม่บางท่าน อาจจะไม่อยากให้ลูกเหนื่อยและเลี้ยงลูกแบบทะนุถนอม แต่สำหรับพ่อ-แม่ของเธอแล้วท่านให้อิสระทางความคิด ให้ทำในสิ่งที่ลูกชอบและสอนให้ลูกทำอะไรเองตั้งแต่เด็ก ซึ่งเธอถือว่าเธอโชคดีเพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอโตเร็วกว่าคนอื่นๆ และสามารถตัดสินใจทำอะไรเองได้

คุณพ่อ คุณแม่เลี้ยงมาแบบให้ตัดสินใจเอง ไม่เคยบังคับ แต่ก็จะมีบ้างถ้าเราดื้อ แต่ถ้ามีอันไหนที่เราอยากทำคุณพ่อ คุณแม่ก็จะฟรีให้เราทำแต่ต้องอยู่ในทางที่ถูกต้องนะคะ เลี้ยงมาแบบเด็กฝรั่งเลย ดูแลตัวเองทำอะไรฝึกเอง ใช้เงินตัวเอง ที่โรงเรียนคริสซี่จะเน้นมีรถมารับ เพราะโรงเรียนอยู่ในวังก็จะเดินไกลต้องมีคนมารับ แต่คุณแม่ก็จะไม่ค่อยว่างก็จะฝึกให้กลับบ้านเองตั้งแต่ประถมเลย แบบอยากไปเที่ยวกับเพื่อนใช่มั้ย อย่างไปสยามฯ ก็นั่งรถไฟฟ้าไปเองตั้งแต่เด็ก อย่างเราอยากได้อะไรก็เก็บเงินซื้อเองนะจะได้บริหารเงินเป็น

แล้วอย่างไปต่างจังหวัดกับเพื่อนเคยไปโดยที่ไม่มีพ่อ แม่ไปด้วยก็ไปตั้งแต่เด็ก เหมือนเป็นการฝึกตัวเอง ตอน ม. ต้น ก็ดีค่ะที่โดนเลี้ยงมาแบบนี้ เหมือนพ่อแม่คริสซี่บางคนประคบประหงมตั้งแต่ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังดูแลตัวเองไม่ได้ แต่อย่างคริสซี่ก็จะเป็นแบบตอนนี้ก็ขับรถเอง อยากไปไหนเอง ใช้เงินตัวเอง ตอนนี้เราเหมือนบริหารตัวเองได้ 100 เปอร์เซ็นต์



อย่างแรกเลยเรารับมือกับปัญหาเป็น อย่างเรามีปัญหานี้เข้ามาเราควรจะแก้ไขปัญหายังไง เราควรตัดสินใจอะไร อย่างคริสซี่ทั้งเรียนทั้งทำงาน บริหารเวลายังไง เพื่อนบางคนเรียนเสร็จกลับบ้าน เรียนเสร็จไปเที่ยว ก็จะเละเทะตุ้มเป๊ะอย่างคริสซี่เรียนเสร็จทำงาน กลับบ้าน อ่านหนังสือ เราจะบริหารได้ดีกว่าคนอื่นที่เขาไม่ทำงานค่ะ”

“คริสซี่” ดูเหมือนจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายไม่ค่อยดื้อมากนัก และมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ในตัวสูงอยู่เหมือนกัน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเมื่อครั้งเธอยังเด็ก เธอเป็นเด็กที่เอาแต่ใจและดื้อมากคนหนึ่งจนทำให้แม่ต้องเสียใจและเป็นห่วงอย่างหนัก เมื่อจู่ๆ เธอทนฟังคำบ่นของแม่ไม่ไหวเดินลงจากรถเอาเสียดื้อๆ ซะอย่างนั้น เหตุการณ์ในวันนั้นจึงเป็นเหตุการณ์ที่เธอจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้และถ้าย้อนกลับไปได้เธอจะไม่ทำแบบนี้โดยเด็ดขาด

“โดยเฉพาะคุณแม่เราจะแอบดื้อนิดนึง แต่ส่วนคุณพ่อเราจะว่านอนสอนง่าย เคยทะเลาะกับคุณแม่หนักมากบนรถตอนนั้นค่อนข้างเด็ก ยังอยู่ ม.ต้นอยู่เลย ตอนนั้นรถติดด้วย คุณแม่ก็จะว่าๆๆ เราก็จะปวดหัวมาก เราก็ไม่อยากฟังแล้วเดินลงจากรถไปเลยกลางถนน ตอนนั้นถึงขั้นคุณแม่โทร.ตามเป็น 100 สาย ว่าไปอยู่ที่ไหน แต่ตอนนั้นมันใกล้บ้านก็เลยเดินกลับบ้าน ตอนนั้นคุณแม่ก็เสียใจมาก พอโตมาก็นั่งคิดว่าตอนนั้นเราไม่น่าลงเลยน่าจะทนๆ ฟังไปก็จบแล้ว ตัวคริสซี่กับคุณแม่ ถ้าโกรธกันก็แยกห้องแล้ววันต่อมาก็คุยกันปกติ ส่วนมากงอนๆ กันก็วันเดียวจบ พอรุ่งเช้าตื่นมาก็ไม่อะไรกันแล้วก็คุยกันปกติ”



แต่ใช่ว่าเธอจะไม่มีเรื่องราวที่น่าประทับใจให้พ่อ-แม่ได้ชื่นชม เมื่อเธอโตขึ้นเธอทำงานควบคู่ไปกับการเรียนที่มาพร้อมกับความตั้งใจ และเธอก็ทำทั้ง 2 อย่างได้อย่างดีทีเดียวแม่จึงรู้สึกว่าภูมิใจในตัวเธอกล่าวชมเธออยู่บ่อยครั้งว่า“ลูกเราก็ทำได้นี่หว่า เห็นเหมือนเป็นเด็กไม่เอาไหน งอแง แต่พอโตขึ้นมาก็ใช้ชีวิตเป็นนะ”สาวน้อยเล่าด้วยท่าทีเคอะเขิน

แอดเวนเจอร์ลุยได้ทุกที่!

ด้วยความที่รักการเล่นกีฬาทั้งครอบครัว เธอจึงเล่นกีฬาเป็นหลายอย่างตั้งแต่เด็ก และกีฬาสุดโปรดจะต้องเป็นกีฬาที่ค่อนข้างแอดเวนเจอร์หน่อยๆ อย่างเช่น ปีนเขา พายเรือ ถึงแม้จะขัดกับหน้าตาอันอ่อนหวานก็ตามแต่ต้องขอบอกเลยว่ากีฬาแบบนี้แหละที่บ่งบอกความเป็นตัวเธอได้อย่างดีที่สุด

“ไปว่ายน้ำค่ะ แต่ก่อนคุณพ่อจะชอบชวนไปโบวลิ่งกัน แล้วคุณพ่อก็จะเป็นนักกีฬา ส่วนคริสซี่ก็จะเป็นนักเต้นนักบัลเลต์ ครอบครัวคริสซี่ก็จะเป็นครอบครัวที่เป็นกีฬาๆ หน่อย ส่วนเรื่องไปเที่ยวคริสซี่จะเป็นคนที่เดินทางน้อย เพราะคุณแม่ค่อนข้างยุ่งเหมือนท่านไม่ค่อยว่าง ถ้าว่างทีนึงก็จะไปยาว อย่างล่าสุดไป ไปทั้งหมด 13 เมือง 2 ประเทศ 13 เมือง คือเต็มที่เลย คือคุณแม่ไปแล้วชอบไปเข้ามิวเซียมไปฟังประวัติเมืองนี้ แต่ตัวคริสซี่จะไม่ค่อยชอบฟัง ชอบอารมณ์แบบแอดเวนเจอร์มากกว่าไปปีนเขา พายเรืออะไรแบบนี้ค่ะ

คริสซี่เป็นคนลุยๆ ตอนไปต่างประเทศก็เดินขึ้นลงเขา เห็นคนอื่นเดินชมนกชมไม้ถ่ายรูป คริสซี่จะแบบไม่ได้ต้องเดินไปถึงจุดสุดทางเดินให้ได้ แล้วก็เป็นคนชอบไปทะเลมากๆ ก็จะไม่มีอารมณ์แบบอยู่โรงแรมสวยๆ นวด สปา อาบแดด จะเป็นอารมณ์แบบไปดำน้ำ ไปพายเรือ ไปเที่ยวเกาะ ทุกอย่างเลยค่ะ”





สาวน้อยผู้รักธรรมชาติคนนี้ ชอบที่สุดคือการไปเที่ยวทะเล เธอบอกถึงความรู้สึกพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขให้ฟังว่าการไปทะเลเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งหากเหนื่อยกับโลกแห่งความเป็นจริงมากๆ ตรงนั้นคือสิ่งที่ทำให้สบายใจที่สุด

“อะไรก็ได้ที่เป็นทะเล ชอบไปเที่ยวเกาะ เป็นคนชอบทะเล ถ้าให้เลือกพัทยา หัวหิน เกาะ ก็คงเลือกที่จะไปเกาะมากกว่า ชอบอยู่แบบนั้นเพราะรู้สึกว่าเวลาอยู่ทะเลแล้วมันสบายใจ ถ้าไปพักผ่อนก่อนนอนก็ขอเดินออกมาฟังเสียงทะเลก่อนแล้วค่อยเข้าไปนอน คือไม่ต้องเห็นอะไรเลย มืดก็ได้ แต่ขอได้ยินเสียงทะเล

เป็นคนไม่กลัวดำนะคะ เป็นคนอยากผิวแทนด้วยซ้ำเพราะรู้สึกว่า ขาวบางทีมันโพลนไปแล้วมันดูไม่มีมิติ ถ้าแทนนิดนึงจะทำให้ผิวเราดูเงา ก่อนหน้านี้ไปสัตหีบผิวไหม้มาก ลอกหนักมาก แดงมาก เกิดมาไม่เคยผิวไหม้ขนาดนี้ ก็ดีใจ เราไม่ขาวแล้ว แต่สุดท้ายผิวก็ลอก กลายเป็นขาวเหมือนเดิม คริสซี่รู้สึกว่าค่านิยมคนไทยคือผิวขาว ทุกคนชอบ แล้วมันก็จะไม่มีใครโดดเด่นออกมา”

นี่แหละตัวฉัน

ด้วยภาพลักษณ์ในจอแก้ว ทำให้ใครหลายคนมองว่าเธอนั้นเป็นสาวหวาน เรียบร้อยแต่ความจริงนั้นเธอเป็นคนโก๊ะๆ เปิ่นๆ เสียมากกว่า และอีกด้านหนึ่งนั้นเธอเป็นคนที่พูดเก่งพอควรหากสนิทกับใครแล้วรับรองว่าคนที่อยู่ข้างๆ เธอ ต้องไม่มีเหงาเป็นแน่

“ใครๆ ก็บอกว่าคริสซี่เป็นคนหน้าหวาน โมเมนต์แรกที่คิดก็คือแบ๊วๆ หวานๆ เงียบๆ แต่พอได้รู้จักจริงๆ จะเป็นคนโก๊ะๆ คือถ้าเราเริ่มละลายพฤติกรรมได้นิดนึง ก็จะพุ่งใส่คนนั้นเลย คือจะพูดๆ ชวนไปนู่นไปนี่ แล้วก็จะสนิทกับคนง่าย จะเป็นที่แบบถ้าเขาไม่หาเราก่อน เราเข้าหาเขาก็ได้ เป็นคนอัธยาศัยดี คุยเก่งนะคะถ้าเราผ่านจุดนั้นมาได้แล้ว




ทุกคนจะบอกว่าคริสซี่ยิ้มแล้วตาเป็นสระอิ พอยิ้มแล้วจะเหมือนโลกสดใสอะไรแบบนี้ค่ะ ในร่างกายชอบตาค่ะ เพราะว่าเป็นมีสีตาน้ำตาลเขียว ก็เลยชอบ ปกติลูกครึ่งเขาก็จะตาสีน้ำตาล แต่เราเขียวเพราะคุณพ่อตาสีค่อนข้างเขียวก็เลยได้มานิดนึง”

ส่วนสไตล์การแต่งตัวเธอชอบอะไรที่ใส่แล้วสบายๆ ไม่เวอร์ ไม่หวือหวาจนเกินไป เธอชอบแต่งตัวแบบมิกซ์แอนด์แมต ผสมทุกอย่างแต่ต้องออกมาลงตัวและดูดี และที่ขาดไม่ได้รองเท้าผ้าใบคู่โปรดที่เธอชอบใส่อยู่เป็นประจำ

“เป็นคนที่ค่อนข้างแบบมันจะมีหลายแบบ อยากไปมหา’ลัย ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นรองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะ ก็จะออกแนวชิลไปเลย แต่ถ้าแบบไปกับเพื่อนไปกินข้าว เป็นคนชอบใส่กางเกงมากกว่า ถ้าใส่กระโปรงยังชอบใส่กับรองเท้าผ้าใบ คือไม่ชอบหวานไปเลยทีเดียว จะไม่ชอบดุ ไม่ชอบหวาน แต่ชอบผสม ใส่กระโปรงกับรองเท้าผ้าใบ ใส่กางเกงก็จะเป็นกางเกงขาบาน อย่างเสื้อ เสื้อแขนยาว แต่พอหันหลังหลังเปิด อะไรแบบนี้ค่ะ มันจะต้องมีผสมๆ จะไม่ชอบแบ๊วๆ เลย”





เธอไม่เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปเธอไม่ชอบชอปปิ้ง ไม่ชอบซื้อของ แต่หากมีเวลาว่างส่วนมากสาวน้อยมักหมดไปกับการนอนดูซีรีส์อยู่บ้าน เพราะเธอจะชอบใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองเสียมากกว่า

“ไม่ไปออกกำลังกาย ก็นอนดูซีรีส์อยู่บ้าน โดยเฉพาะซีรีส์ฝรั่ง อย่างไทยก็จะคลับฟรายเดย์อะไรแบบนี้ ก็ชอบมากติดตามตลอด เหมือนดูอะไรพวกนี้แล้วมันได้อะไรเยอะค่ะ ชอปปิ้งก็จะแล้วแต่ช่วงค่ะ อย่างบางช่วงก็จะรู้สึกเสื้อผ้าเราเริ่มใส่ซ้ำบ่อยไปแล้วถ่ายรูปลงคนจะทักกันเยอะแล้ว ก็จะเป็นช่วงที่ชอปปิ้งวันเดียวก็จะชอปเยอะๆ แล้วก็จะไม่ชอปยาว คือไม่ชอบไปชอปเรื่อยๆ ค่ะ ขี้เกียจ ไม่มีตังค์ค่ะเก็บตัว (หัวเราะ)

คริสซี่จะเป็นคนที่แปลกคือ 1 วัน ต้องมีช่วงที่ต้องอยู่คนเดียว จะไม่สามารถอยู่กับคนอื่นได้เยอะๆ ตลอดเวลาขนาดนั้น อย่างเช่นอยู่กับคนอื่นตั้งแต่เช้าจดเย็น แต่กลางคืนก่อนนอนต้องขอเวลาอยู่กับตัวเองนิดนึง ก็แค่นั่งเล่นมือถือเงียบๆ แบบสบายใจ ถ้าอยู่หอที่มหา’ลัยก็จะเลือกอยู่หอคนเดียวเพราะเป็นคนไม่ชอบมีรูมเมต”

ปลายทางไม่สำคัญเท่าเดินทาง

ชีวิตคือการเดินทางต้องผ่านอุปสรรค ทั้งความสุข ความเศร้า ดีใจ หรือเสียใจ ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นบททดสอบของชีวิตก่อนที่เราจะไปถึงจุดที่เรียกความสำเร็จ สาวน้อยบอกคติประจำใจที่ยึดถือเป็นหลักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

คริสซี่ชอบโพสต์อันนึงมากที่เขาบอกว่าจุดหมายปลายทางไม่สำคัญเท่าเดินทาง คืออย่างเช่น การถ่ายละครจุดหมายปลายทางคือให้ละครออนออกมาให้คนดูแต่การเดินทางทั้งหมดคือระยะเวลาที่เราถ่ายละคร และที่สำคัญสำหรับนักแสดงคือการถ่ายทำเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ได้เจอคนแบบไหนบ้าง เสียใจ เศร้าใจ เป็นบทเรียน เป็นการเดินทางทั้งหมดเลยทุกอย่าง

ตอนนี้รู้สึกว่าอยากทำอะไรอีกเยอะ ไม่ใช่ว่าอยากดัง แต่อยากทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วอยู่ในระดับที่โอเคเลย ที่เลี้ยงครอบครัวได้ เรามีคนเคารพ เรามีคนรัก ไม่ใช่แบบขึ้นไปให้คนข่มเหง โอเคมันต้องเหนื่อยแหละช่วงที่ขึ้นไป แต่เราไปถึงจุดนั้นเราก็จะภูมิใจ”




เธอยอมรับว่าเมื่อได้มาทำงานในวงการบันเทิงแล้วมุมมองของเธอเปลี่ยนไปอย่างมาก จากที่คิดว่าเป็นอาชีพที่สวยงาม สบาย และได้เงินมาแบบง่ายๆ กลับกลายเป็นอาชีพที่ทำแล้วสาหัสสากรรจ์อยู่เหมือนกันเพราะห้ามลาห้ามขาด ไม่เช่นนั้นกองถ่ายจะดำเนินไปไม่ได้

“ตอนเข้ากับหลังเข้ามุมมองคือเปลี่ยนไปเลยค่ะ ตอนแรกคิดว่าเป็นดาราแล้วสบาย ถ่ายละครออกมาเงินเยอะ คนชอบเยอะ ทุกอย่างคือดี เป็นดาราสบายดีออก แต่พอเข้ามาแล้วนี่คือแรงงานพม่าชัดๆเลย เป็นกรรมกร (หัวเราะ) คือทำงานน็อกเวลา 7 โมงเช้า ถึง 4 ทุ่ม คือคนที่ไหนเขาจะทำงานกันแบบนี้
แล้วมันไม่ใช่ทำจันทร์-ศุกร์ หยุดเสาร์-อาทิตย์ คือทำ 7 วันเลย คือเหนื่อยมากแล้วจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องมา เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียว เขาทำงานกันเป็นทีมใหญ่ ไม่ใช่ทำงานแบบออฟฟิศที่จะลาแล้วมีคนทำแทน นี่ลาทีป่วนกันทั้งกอง เกรงใจด้วย แล้วความเป็นส่วนตัวเราก็หายไป หลายๆ อย่างที่เราต้องแลก”

<

ในเรื่องของความรักแล้วเธอบอกว่าตอนนี้เธอยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เพราะนอกจากจะเรียนแล้วก็ต้องทำงานจึงไม่มีเวลา เลยขอโฟกัสตรงนี้ก่อน ทว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเธอมีความรักขึ้นมาชายหนุ่มที่ครองใจเธอได้นั้นต้อง ตี๋ ขาว และนิสัยต้องกวนๆ เท่านั้น ถึงจะอยู่กับเธอได้

“ช่วงนี้ก็จะติดเพื่อนอย่างเดียวเลยค่ะ เหมือนอยู่มหา’ลัยก็อยู่ด้วยกันทั้งวัน เลิกเรียนก็อยู่กับเพื่อน วันหยุดถ้าเหงาก็โทร.ไหาเพื่อนเพื่อนก็จะมาหาเลย อารมณ์ติดเพื่อน ยังไม่คิดเรื่องความรัก เพราะยังเอาตัวเองไม่รอดเลยแต่ถ้ามีสเปกขอสูงขาว ตี๋ ชอบผู้ชายอบอุ่น นิสัยที่กวนๆ คุยด้วยแล้วสนุกแบบโต้ตอบกันได้เพราะคริสซี่เป็นคนกวนอยู่แล้วไง ไม่ชอบผู้ชายมั่นหน้า มั่นใจในตัวเอง”




ก่อนจะสิ้นสุดการสนทนาในวันนี้สาวน้อยทิ้งท้ายให้คติ และมีมุมมองเกี่ยวกับความรักว่าหลายคู่มักมีปัญหาที่เกิดจากความไม่เข้าใจกันหากยอมถอยคนละก้าวความรักก็จะอยู่ได้ยืดยาว
“ดูจากเพื่อนๆ แล้ว หลายคนที่มีปัญหามาจากความไม่เข้าใจ เหมือนเชื่อมั่นตัวเองเกินไปฉันถูก ยืนยันแบบนี้ก็ทำแบบนี้ไม่คิดว่าผิด เป็นแบบนี้หลายคู่ ต่างคนต่างเป็น 1 ต้องลดลงคนละ 0.5 แล้วมาประกอบกันเป็น 1 ถ้าเราถอยออกมาก็จะเข้ากันได้”

ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : คริสซี่-กฤษณ์สิรี สุขสวัสดิ์
วันเกิด : 3 กันยายน 2539
การศึกษา : คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผลงานโดดเด่น : ละครเรื่อง The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ภาค1 และ2 , ใต้เงาจันทร์

สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: กรกนก วงษ์สุวรรณ
ภาพโดย: พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพบางส่วน: อินสตาแกรม “ksiekrissie”




รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น