เมื่อตายายอายุกว่า 70 คู่หนึ่งซึ่งมีฐานะยากจน ต้องควักเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนถึง 2 แสนบาทให้แก่บริษัทประกันภัย จึงก่อให้เกิดข้อกังขา วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักว่าตกลงแล้ว ฝ่ายไหนถูก ฝ่ายไหนผิด และอะไรคือคำว่า “ถูกต้อง” และ “ยุติธรรม” กันแน่!?
รุมประชาทัณฑ์! อย่าไร้มนุษยธรรม
กลายเป็นเรื่องราวของมนุษยธรรมที่กระทบจิตใจผู้คนและก่อให้เกิดข้อกังขามากที่สุดในขณะนี้ สำหรับคดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงกลางปีที่แล้วของตายายยากจนคู่หนึ่งใน จ.ยโสธร ที่ถูกบริษัทประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหาย 2 แสนบาท เพราะขับรถไปชนควายของสองตายายบนถนนตาย เป็นเหตุให้รถยนต์ของผู้ฟ้องร้องได้รับความเสียหาย
เมื่อข่าวดังกล่าวแพร่สะพัดออกไป เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูโดยหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมตายายต้องเสียเงินขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ตายายน่าจะเป็นผู้เสียหายมากกว่าเนื่องจากควายตาย ขณะที่บางคนก็ยกเอาข้อกฎหมายชี้แจง โดยระบุว่าตายายทำผิดกฎหมายจริง ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก เนื่องจากจูงลากสัตว์กีดขวางจราจร และบางรายกล่าวว่ากรณีนี้ควรยึดหลักมนุษยธรรมมากกว่ากฎหมาย
เนื่อง0kdสภาพของตายายคือบุคคลยากจน รวมถึงเงินที่ตายายนำมาจ่ายค่าเสียหายนั้นมีเหรียญปะปนอยู่มากคล้ายกับเก็บหอมรอมริบมานานเป็นจำนวนเงิน 3,000 บาท อีกทั้ง ตายายยังมีอายุมากถึง 70 ปี และอาศัยอยู่กันตามลำพัง นอกจากนี้ยังไม่มีทนายคอยสู้คดีให้อีกด้วย และนี่คือเสียงต่อต้านจากคนในสังคมบางส่วนที่ทิ้งเอาไว้ในกรณีนี้
“ทำไมไม่ถามถึงคนขับรถบ้างว่าประมาทหรือเปล่า ชนควายถ้ามีประกันยอมความก็ได้แต่นี้ไม่ยอม ก็ให้ประกันจัดการ คนขับนั่นแหละไม่มีมนุษยธรรม”
“ควายเป็นสัตว์ใหญ่ คนขับรถน่าจะเป็นแต่ไกล และลดความเร็ว รอให้พ้นวิกฤตไปก่อน จึงค่อยเลื่อนรถ ไม่ทราบว่า มาเร็วหรือเปล่า ขนาดชนควายตายนี่นะ”
“ข้อกฎหมายมีไว้เป็นข้อตกลงในสังคมต้องว่าไปตามพยานหลักฐานเท่านั้นไม่สนว่าใครจะบอกว่าถูกหรือผิดหรือสงสารนอกจากศาลตัดสินเท่านั้น แต่การช่วยเหลือโดยมนุษยธรรมก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะบรรเทาความเสียหาย”
จากประเด็นร้อนแรงนี้เอง ทำให้สื่อสำนักหนึ่งได้เปิดข้อกฎหมายสำหรับคดีนี้มาให้ได้ทราบกันว่า ใครผิด ใครถูก เพราะ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ควายของตากับยายก็ตายเหมือนกัน แต่ทางบริษัทประกันมองว่าสองตายายเป็นผู้ละเมิดกฎหมาย 2 ฉบับ
1. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 111 ที่ระบุว่าห้ามมิให้ผู้ใดขี่ จูง ไล่ต้อน หรือปล่อยสัตว์ไปบนทางในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร และไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ
2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ปพพ.) มาตรา 433 ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น
เมื่อดูจากกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้แล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าของควายเป็นผู้ผิดและต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม เมื่อยังมีข้อเท็จจริงพ่วงท้ายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 433 ที่ระบุว่า "เจ้าของสัตว์อาจไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ได้" หากพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังในการเลี้ยงสัตว์
น้ำใจคนไทย ไกล่เกลี่ย-ถอนฟ้อง
ล่าสุด "บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี" ดาราชื่อดังได้เป็นตัวแทนช่วยเหลือสองตายายในเรื่องนี้แล้ว พร้อมเปิดรับบริจาคเงินเพื่อซื้อควายตัวใหม่ให้ด้วย โดยเธอได้โพสต์ความคืบหน้าผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวว่า ได้ชี้แจงกับทางบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) แล้ว โดยทางบริษัทได้เปิดโอกาสรับฟังและจะขอถอนฟ้องโดยไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น
"จริงๆ ต้องใช้คำว่า ถอนฟ้อง! บุ๋มได้ขอเจรจากับทาง บ.วิริยะประกันภัยแล้วนะคะ คุณกานดาและคุณณัฐพงศ์ ได้ชี้แจงว่า ตอนฟ้องร้องไม่ทราบว่าคู่กรณีเป็นใคร และเจ้าหน้าที่ก็ทำตามหน้าที่เท่านั้น ทั้งนี้บริษัทวิริยะจะขอถอนฟ้องโดยไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น #องค์กรทำดี
ขอขอบคุณคุณกานดา คุณณัฐพงศ์และบริษัทวิริยะประกันภัย ที่เปิดโอกาสรับฟังและเมตตากับคนยากจน ส่วนองค์กรทำดีจะสอบถามความต้องการของคุณตาคุณยายว่า ถ้ายังแข็งแรงและยังทำนาไหวเราจะรวบรวมทุนในการจัดหาซื้อควายให้คุณตาต่อไป ส่วนคนที่ระดมทุนแล้วในโซเชียลเน็ตเวิร์คอื่นๆ สามารถมารวมตัวช่วยกันได้นะคะ"
ส่วนทางด้าน “ณัฐพงษ์ บุญเย็น” ผจก.ฝ่ายปฏิบัติการภาค 2 บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ก็ได้ออกมาชี้แจงว่า ทางบริษัทได้ยื่นหนังสือไปถึงหลังเกิดเหตุตั้งแต่ปีก่อน แต่ก็ไม่ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งถ้าเข้ามาเจรจากันแล้วเชื่อว่าน่าจะไม่จำเป็นต้องมีการฟ้องร้องกันเพราะบริษัทสามารถผ่อนผันหรือยกเลิกการเรียกร้องค่าเสียหายได้หากพบว่าคู่กรณีมีความจำเป็นจริงๆ
"มันเป็นไปตามขั้นตอนซึ่งเหตุที่เกิดนั้นมาจากควายของตาและยายตัดหน้ารถยนต์ที่เอาประกันกับเราแล้วมีการพิสูจน์จากทางตำรวจแล้วว่าเป็นฝ่ายผิดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2557 ซึ่งระหว่างนั้นเรายื่นหนังสือไปแล้ว แต่ตาและยายคงจะกลัวหรือได้รับคำปรึกษาผิดๆ มาจึงไม่ได้เข้ามาไกลเกลี่ยกับเรา เพราะถ้ามาแต่แรกคงไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องกัน เพราะมีหลายกรณีเหมือนกันที่คู่กรณีไม่มีความสามารถในการจ่ายแล้วบริษัทก็ไม่ติดตามเอาเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องควายตัดหน้ารถนั้นปีหนึ่งก็มีแบบนี้หลายครั้งและบางครั้งเจ้าของก็ไม่มาแสดงตัวด้วยซ้ำ แต่อยากแนะนำให้เข้ามาไกล่เกลี่ยกันมากกว่า ส่วนเรื่องตากับยายนั้นความจริงจบไปตั้งแต่วันแรกที่แถลงต่อศาลแล้ว (4 มิ.ย.58) ซึ่งเราก็เชื่อตามนั้นและไม่ได้ทำการเรียกร้องค่าเสียหายแต่อย่างใด"
ข่าวโดยASTV ผู้จัดการLive
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754