ข่าวคู่รักดารา ทั้งรักหวาน ทั้งร้าวจนถึงรักแตกหัก โดยเฉพาะคู่รักที่หวานปานจะกลืนกิน ประกาศแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยา แต่วันหนึ่งกลับมีข่าวรักร้าว สะบั้นรัก ย่อมกลายเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปทั่วบ้านทั่วเมือง ทว่าในอีกมุม หากลองมานั่งพินิจพิเคราะห์ "ชีวิตคู่ดารา" กันดูแล้ว หลายเรื่องย่อมนำมาเป็นบทเรียน สร้างเกาะปกป้องชีวิตคู่ของใครหลายคนได้ไม่น้อย
เมื่อ "ชีวิตคู่" ไม่เป็นอย่างที่คิด
อาจกล่าวได้ว่า "ความรัก" เป็นสิ่งที่ใครหลายคนปรารถนา ในวันแต่งงาน หลายคู่อาจมีวาจาอมตะเป็นคำมั่นให้แก่กันและกัน ทั้งคำสัญญาที่ว่า จะดูแลกันตลอดไป ไม่ทอดทิ้ง จะไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจ จะรักและซื่อสัตย์ตลอดไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป ความหวานที่เคยมีเต็มเปี่ยมเมื่อวันแต่งงานนั้น อาจจืดจางลงเมื่อรักไม่เป็นอย่างที่คิด โดยเฉพาะความแตกต่างที่ทำให้ชีวิตสวนทางกัน
เช่นเดียวกับคู่รักดาราหลายๆ คู่ที่มีจุดเริ่มต้นสุดชื่นมื่น เต็มไปด้วยความหวานจนไม่ต้องเติมน้ำตาลในอาหาร แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับกลายไปสู่บทสรุปของการยุติความสัมพันธ์ที่หลายคู่อาจจะไม่เคยมีสัญญาณใดๆ บ่งบอกถึงปัญหาชีวิตคู่ที่เกิดขึ้นมาก่อน หรือบางคู่ทนเจ็บเพื่อหวังประคับประคองความรัก แต่สุดท้ายก็ยากที่จะฝืนต่อไป
ดร.วัลลภ ปิยมโนธรรม นักจิตวิทยา วิเคราะห์บริบทการเลิกราของคู่รักดารา คนดังที่ตกเป็นกระแสข่าวผ่านทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ไว้อย่างน่าสนใจ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นคือ ความรู้สึกเบื่อหน่าย กับปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์ สำหรับ ประเด็นแรก แน่นอนว่าคู่รักหลายคู่ในช่วงเริ่มต้น มักจะมีความรู้สึกตื่นเต้นกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่เมื่อคบกันไปถึงจุดหนึ่งมักจะเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย โดยเฉพาะในกลุ่มดาราที่มีโอกาสได้พบเจอคนหน้าตาดีมากมาย
ประเด็นที่สอง คือการครองคู่ที่ไม่สามารถปฏิเสธเรื่องเพศสัมพันธ์ไปได้ ความซ้ำซากจำเจ และไม่ใส่ใจคู่ครองของตนก็เป็นสาเหตุของการเลิกรา ดังนั้น Make love หรือการทำรัก เป็นสิ่งสำคัญที่สร้างความสัมพันธ์อันดีในชีวิตคู่ เป็นสัมผัสแผ่วเบาที่ไม่ใช่เรื่องเซ็กซ์เพียงอย่างเดียว เพราะมันเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์แนบแน่น หากขาดสิ่งนี้ความสัมพันธ์ของคู่รักก็อาจสั่นคลอนได้
ขอบคุณภาพประกอบจาก atcloud.com
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเลิกราของคู่รักในกลุ่มของดารา คนดัง นักจิตวิทยา บอกว่า ถือเป็นส่วนน้อย เพราะคู่รักชาวไทยจำนวนมากกำลังประสบปัญหานี้เช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่า การคบหากันของบุคคลมีชื่อเสียงนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ดึงดูดความสนใจของประชาชน แต่ไม่ว่าคู่รักจะแต่งก่อนอยู่ หรืออยู่ก่อนแต่ง ก็ไม่มีอะไรมาการันตีความยาวนานของความรักของคนทั้งคู่ได้หากไม่มีศิลปะการครองรัก
สอดรับกับ นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนต่อมไร้ท่อและการเจริญพันธุ์ ในฐานะผู้เป็นคลินิกแห่งรักให้แก่ใครหลายๆ คน เขาให้ความสำคัญกับ "การเติมเต็มความหวาน" ทั้งคำพูดและการแสดงออก เพื่อให้ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างหวานชื่น เหมือนตอนแรกที่รักกัน
ดังนั้น เส้นทางของคู่รักย่อมเป็นเส้นทางที่ต้องเรียนรู้ และทำความเข้าใจซึ่งกันและกันไปจนสุดทาง เพราะทั้งคู่ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จึงต้องหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายและทำความเข้าใจ นี่คือสิ่งที่ นพ.พันธ์ศักดิ์ ใช้เป็นหลักคิดในการครองคู่มาโดยตลอด
ทำไม "ชีวิตคู่" ถึงกาลอวสาน
ธรรมชาติของชาย และหญิงมีความแตกต่างกัน การเรียนรู้และทำความเข้าใจกันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ คู่สมรสจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยเรียนรู้หรือทำความเข้าใจกันอย่างจริงจัง เมื่อไม่เข้าใจก็จะนำไปสู่ความคิดและการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ความสัมพันธ์มีปัญหาตามมา
จากคู่มือเสริมสร้างชีวิตคู่ ของสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุเอาไว้ว่า การใช้ชีวิตคู่ของคนโดยทั่วไป คู่สมรสมักจะมีความคิดและการกระทำผิด ๆ ใน 4 เรื่องหลักๆ ดังนี้
1. ทัศนคติเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่ ปัญหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการมีมุมมองความรักแคบ เชื่อว่าชีวิตคู่จะดีขึ้นเองไม่จำเป็นต้องทำอะไร เชื่อว่าเขา หรือเธอจะสามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้เสมอ
2. ลักษณะการมองความเป็นจริงที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ การมองความเป็นจริงด้านเดียว ตามมุมมองความคิดของตนเอง การมองความจริงแบบสุดขั้ว ไม่ถูกก็ผิด ไม่ดีก็ต้องแย่ ไม่มีอะไรที่เป็นกลาง ๆ การมองแบบนี้เป็นการมองที่แคบ
ในโลกนี้แท้จริงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นประกอบไปด้วยเหตุและผลมากมาย ไม่มีอะไรที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด และเราแต่ละคนยังมองความเป็นจริงด้วยสายตาที่แตกต่างกัน หากคุณยังมีมุมมองความเป็นจริงแบบสุดขั้วเช่นนั้น ชีวิตคู่ของคุณคงต้องพบกับปัญหาแน่นอน
3. มีความคิดเชิงลบต่อกัน ในที่นี้ การมองเชิงลบ หมายถึง การแปลความคิด คำพูด การกระทำ ทุกอย่างที่เกิดจากอีกฝ่ายหนึ่งในเชิงลบ มองว่ามีเจตนาไม่ดี การมองลักษณะนี้จะทำลายความสัมพันธ์ของคุณ
หากเคยเป็นเช่นนั้น ในคู่มือเสริมสร้างชีวิตคู่ ให้แนวทางไว้ว่า ควรหัดมองอีกฝ่ายหนึ่งในเชิงบวก ลองเชื่อในสิ่งที่คนรักพูดและทำ เชื่อในสิ่งดี ๆ ของคนรัก เชื่อในความตั้งใจดีที่คนรักมีต่อคุณ ชีวิตคู่ของคุณก็จะราบรื่นมากขึ้น ซึ่งคุณเองก็คงไม่อยากให้คนที่คุณรักมองและเข้าใจคุณผิดเช่นกัน
ดังนั้น ตัวคุณเองก็ไม่ควรที่จะมอง และเข้าใจคนที่คุณรักผิดเช่นกัน การมองในแง่บวกแท้จริงกำไรมากกว่า เพราะหากมีบางอย่างซึ่งไม่จริง อย่างน้อยที่สุด คุณเองก็สบายใจ ไม่ต้องวิตกกังวล และไม่ต้องไปแสดงท่าทางที่ไม่ดีต่ออีกฝ่าย ซึ่งจะเป็นการบั่นทอนชีวิตคู่ของคุณเอง
4. ความคิดอัตโนมัติจากฐานความคิดของตนเอง ความหมายของความคิดอัตโนมัติคือ ความคิดที่เกิดขึ้นทันทีทันใดเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น โดยไม่ได้ผ่านการตรวจสอบว่าถูกหรือผิด จริงหรือไม่จริง เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ส่วนใหญ่เป็นความคิดเชิงลบ หากคุณเชื่อในความคิดอัตโนมัติ คุณจะพบกับปัญหาในการใช้ชีวิตคู่แน่นอน โดยทั่วไป ความคิดอัตโนมัติมีลักษณะดังนี้
- เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเสี้ยววินาที
- อาจเป็นคำพูดหรือภาพแห่งความทรงจำของสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต
- มักมีลักษณะเชิงลบ เช่น ความคิดว่าเขาหรือเธอจะทำสิ่งไม่ดี คิดว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น เช่น เกิดเหตุการณ์สามีกลับบ้านช้า ความคิดอัตโนมัติที่เกิดกับภรรยาคือ "เขาคงจะจีบผู้หญิงอยู่แน่" ขณะที่ความเป็นจริงคือเขากำลังสะสางงานด่วนอยู่
ดังนั้น การมีแนวความคิดที่ถูกต้องในการใช้ชีวิตคู่ คือเรื่องสำคัญที่ "ดร.สมใจ รักษาศรี" ผู้อำนวยการสถาบันครอบครัวไทย ได้เขียนผ่านบทความ "ปกป้องชีวิตคู่ของคุณก่อนที่จะสายเกินไป" โดยเขียนไว้อย่างน่าสนใจตอนหนึ่งถึงการใช้ชีวิตคู่ภายใต้แนวความคิดที่ถูกต้อง
ประการแรก เส้นทางชีวิตคู่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ทุกคู่ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์และช่วยกัน "ฝ่าวิกฤต" แต่ละครั้งไปให้ได้ และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสที่จะประสานพลังรักให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยท่องไว้เสมอว่าเราอาจจะหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ได้ แต่สามารถเอาชนะมันได้ ถ้าร่วมแรงร่วมใจกัน
ประการที่สอง ชีวิตคู่คือชีวิตแห่งการเรียนรู้และการปรับตัวเข้าหากัน (ตลอดชีวิต) วันแต่งงานไม่ใช่วันสุดท้ายของการเรียนรู้และการปรับตัวเข้าหากัน อันที่จริงเป็น “วันแรก” ของการปรับตัวขนานใหญ่ต่างหาก และการปรับตัวก็จะมีไปเรื่อย ๆ แต่น่าเสียดายที่คู่สมรสเป็นจำนวนไม่น้อยหยุดการปรับตัวเข้าหากันหลังจากวันแต่งงาน ส่งผลให้ชีวิตคู่เป็นไปอย่างที่เห็นๆ กัน ซ้ำร้ายในบางรายกลับมีอันต้องเดินกันคนละเส้นทางหลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาได้ 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี
นอกจากนั้นยังอ้างอิงข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเรื่อง "ถังความรัก" ที่ต่างฝ่ายต่างต้องเติมความรักให้กันอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการแสดงออก ไม่เช่นนั้น ความสัมพันธ์ก็จะเหือดแห้ง และจืดชืด ทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายและชิงชังกัน นำไปสู่ปัญหาเรื่องการยุติความสัมพันธ์ตามมา
สูตรรักฉบับ "นพ.พันธ์ศักดิ์"
ปิดท้ายกันที่เคล็ด (ไม่) ลับในการครองคู่ให้ยืนยาว ฉบับ นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ คุณหมอที่ได้ชื่อว่าเป็นกูรูนักออกแบบชีวิตรักให้แก่ใครหลายๆ คน ทั้งที่ติดตามชมในรายการชูรักชูรส รวมไปถึงผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์ของคุณหมอในสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ
ถึงตอนนี้คุณหมอกับภรรยา (พญ.สุภาณี ศุกระฤกษ์ อายุรแพทย์และแพทย์ผิวหนัง) ครองรักกันมายาวนานกว่า 30 ปีแล้ว แต่ความรักของทั้งคู่กลับยังใหม่และมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ แม้จะเคยให้ทีมข่าว ASTVผู้จัดการออนไลน์สัมภาษณ์มาหลายปี แต่หลักคิดสู่การมีชีวิตรักที่ยืนยาวของคุณหมอยังคงใช้เป็นแนวทางได้ดีสำหรับทุกคู่
เข้าใจกัน
ผู้ชายควรเข้าใจผู้หญิงในแบบที่ผู้หญิงเป็น และผู้หญิงควรเข้าใจผู้ชายในแบบที่ผู้ชายเป็น หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเรียกร้องให้อีกฝ่ายปรับตัวมากเกินไป ในขณะที่ตัวเองไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อคนที่รักเลย แผนการรักที่จะดำเนินร่วมกันต่อไปย่อมมีโอกาสที่จะถูกพับเก็บใส่กรุได้ง่าย ดังนั้น ความรักที่คิดถึงอีกฝ่ายมากกว่าตัวเราเอง หรือยอมรับในสิ่งที่คนอื่นเป็น คือความสวยงาม และคุณค่าของความรัก
ไว้ใจกัน
การไว้วางใจกันเป็นอีกหนึ่งแก่นแท้ของความรัก บางคนหึงแบบไม่มีสาเหตุ ระแวงแบบไม่ฟังเหตุผล และชอบคิดไปเองแบบไร้แก่นสาร เมื่อเป็นเช่นนี้อาจทำให้อยู่ด้วยความไม่สบายใจกันได้ ทางที่ดี ถ้ารักกัน ก่อนอื่นเราต้องไว้ใจกัน ปล่อยให้เขาหรือเธอได้มีเวลาส่วนตัวบ้าง เพราะบางคนอยากมีเวลาอยู่กับตัวเอง อยู่กับเพื่อน หรือครอบครัว ซึ่งการเถียงกันบ่อยๆ จะยิ่งไปลดระดับความสัมพันธ์ และความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกันจนยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้
นับถือกัน
การยกย่องนับถือกัน เป็นอีกหนึ่งหลักการในการสร้างพลังรักอย่างยั่งยืน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่นับถือ หรือให้เกียรติทั้งถ้อยคำ และพฤติกรรมกันแล้ว ชีวิตรักก็ยากที่ไปด้วยกันได้ดี
ช่วยเหลือกัน
การช่วยเหลือกันเป็นการแบ่งรับแบ่งสู้ และแสดงน้ำใจที่ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกดี และไม่โดดเดี่ยว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการนำพาชีวิตรักไปสู่การมีสุขอย่างยั่งยืน
"ผมกับภรรยา เราช่วยเหลือซึ่งกันและกันดีมาตลอด แต่ก่อน เราไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกัน เสาร์และอาทิตย์ต่างคนก็ต่างทำงานด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งตอนนั้น เรามีลูกกันแล้ว แต่ผมกับภรรยาเราจะช่วยกันเลี้ยงลูก ไม่เอาเปรียบกันและกัน อย่างวันเสาร์ ผมตรวจคนไข้ ภรรยาผมก็จะเลี้ยงลูก ส่วนวันอาทิตย์ ผมเลี้ยงลูก ภรรยาก็จะไปตรวจคนไข้" นพ.พันธ์ศักดิ์ เผย
ให้อภัยกัน
คนทุกคนคือปุถุชนธรรมดา ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ สามารถทำผิดพลาดกันได้ ดังนั้น การไม่ยกโทษให้อีกฝ่ายก็เหมือนเป็นการไม่ยกโทษให้ตัวเราเอง ซึ่งเรื่องนี้ เป็นสิ่งสำคัญของการอยู่ด้วยกันของคนสองคน ดังนั้น ความรักไม่ใช่การลงโทษ แต่เหตุผลเดียวของการให้อภัยคือ "ถ้าเรายังรักกันอยู่"
"ถ้าคุณรักเขา คุณให้อภัยเขาได้แน่นอน แต่ถ้าคุณบอกว่า ฉันไม่มีวันให้อภัยเขาแน่ นั่นแสดงว่าคุณรักตัวเอง คุณไม่ได้รักเขาเลย เพราะคนที่รักกัน และอยู่ด้วยกันได้นาน ต้องเกิดความเมตตา อยากให้คนที่รักเป็นสุข ต้องมีความกรุณา อยากให้คนที่รักพ้นทุกข์ ต้องมีมุทิตา ยินดีเมื่อคนที่รักมีความสุข และจะต้องเกิดความอุเบกขา เมื่อคุณให้สิ่งที่ดีๆ แก่คนรักแล้วคนรักไม่เอา คุณต้องไม่งอน หรือโกรธ เมื่อมีสิ่งเหล่านี้เป็นหลักแล้ว เชื่อเถอะครับว่า ชีวิตคู่จะอยู่กันยาว"
เรื่องโดย : ASTVผู้จัดการ Live
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754