นั่ง ยืน เดิน หัวเราะ เสยผม... ไม่ว่าจะอิริยาบถไหนก็ไม่อาจละสายตาไปจากเธอคนนี้ได้ หากใครเคยสงสัยในนิยามคำว่า “สวยเซ็กซี่” หมายถึงอะไร แค่ลองมาทำความรู้จักในทุกมุมของเธอคนนี้ก็จะหายข้องใจ แต่จะมีข้อสงสัยใหม่ขึ้นมาแทนว่า ผู้หญิงคนนี้หายไปอยู่ที่ไหนมา ถึงได้เพิ่งมาจรัสแสงในภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่องนี้ “ผีห่าอโยธา” บรรทัดต่อจากนี้นี่เองที่จะทำให้ได้รู้ว่า เธอไม่ได้เซ็กซี่แค่หน้าตาและไม่ได้แสบซ่าเพียงแค่ชื่อ “โซดา” อย่างที่ใครๆ มอง
ไม่ขอปฏิเสธ ได้งานเพราะ “เซ็กซี่”
“คนที่จะมาเล่นเป็นตัวละครตัวนี้ได้ต้องมีความเซ็กซี่อยู่ในตัว” ด้วยคอนเซ็ปต์ในหัวของผู้เขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “ผีห่าอโยธยา” อย่างคุณชายอดัม (ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล) ตรงนี้เอง ที่เป็นกลไกสำคัญให้เขาได้โคจรมาเจอกับ “โซดา-วีรี ละดาพาณิชย์ดี” และมอบบท “บัว” ช่างตีดาบหญิงแกร่งหนึ่งเดียวในหมู่บ้านให้กับเธอ จนเป็นที่มาของการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตที่เรียกได้ว่าโหดจนแทบกระอักเลือด!
หญิงสาวร่างบางผมยาวสลวย เริ่มย้อนรอยความทรงจำให้ฟังผ่านน้ำเสียงฉะฉานเด็ดเดี่ยว ทุกถ้อยคำที่ถ่ายทอดออกมาแฝงความมั่นใจเอาไว้ในที ท่าทางสบายๆ สลับกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ช่างผ่อนคลายของเธอ ทำให้การพูดคุยกันในครั้งนี้เป็นมากกว่าการสัมภาษณ์ไปโดยปริยาย แต่กลายเป็นเหมือนบทสนทนาระหว่างเพื่อนฝูงไปแล้ว เล่นเอาผู้สัมภาษณ์ลืมไปเลยว่าเรามาพบปะกันในฐานะนักข่าวกับดารา
ความน่ารัก ขี้เล่น เป็นกันเองของเธอทำให้เข้าใจได้ในทันทีว่า เหตุใดผู้หญิงคนนี้จึงถูกใครต่อใครมองว่าเป็นสาวเจ้าเสน่ห์ โดยเฉพาะจังหวะที่นิ้วเล่มเทียนนั้นแทรกผ่านไรผมบางเบาขึ้นไปด้านหน้าเพื่อปัดรำคาญ แล้วปล่อยให้ผมดำขลับเหล่านั้นสยายลงมาตามธรรมชาติ ยิ่งทำให้รู้ซึ้งเลยว่าเหตุใดเธอจึงกลายเป็นตัวเลือกเดียวที่ผู้กำกับต้องการให้มารับบท “สาวแกร่งที่แฝงไปด้วยความเซ็กซี่”
“คุณชาย (ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล) เขาเคยเห็นเราตั้งแต่ช่วงทำเพลงแล้วค่ะ มันเริ่มมาจากว่าตอนนั้นโซดายังอยู่วงเกิร์ลกรุ๊ปอยู่เลย ซึ่งพี่เต้งเขาดูอยู่ พอดีว่าพี่เต้งเขาสนิทกับผู้กำกับ มาคุยกันเรื่องทำ Production แล้วเห็นเรา ก็เลยมาชวนไปลองแคสต์ดูค่ะ เขาสไตล์ผู้หญิงแกร่งๆ หน่อยมารับบทตรงนี้ ก่อนหน้านั้น เขาบอกว่าเขาแคสต์คนมาเยอะมากแล้วนะคะ ประมาณ 200 กว่าคนก็ยังหาคนที่จะมาเล่นบทนี้ไม่ได้ เราก็ดีใจมากค่ะที่ได้เล่น
(คุณชายอดัม กำกับเข้มนางเอกใหม่)
เขาอยากให้ตัวละครตัวนี้เซ็กซี่ แต่เป็นคนที่เซ็กซี่ด้วยตัวเอง ประมาณว่าถึงจะตีดาบอยู่ ทั้งๆ ที่มีเหงื่อมีเลือดอาบ ตัวละครตัวนี้ก็ยังต้องเซ็กซี่ได้ คุณชายเขาบอกด้วยค่ะว่าตอนเขาเขียนบท เขาเขียนจากตัวนักแสดงด้วยนะคะ เหมือนกับพอเลือกนักแสดงได้ปุ๊บ เขาก็จะเขียนบทและเอาตัวเราเข้าไปในนั้นด้วย ทำให้เราเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวละครที่ชื่อบัวตัวนี้ มีหลายๆ มุมที่คล้ายๆ เรา แต่ชีวิตจริงเราคงไม่ได้ต้องต่อสู้หนักอะไรเท่าบัว แต่ลักษณะความคิดคล้ายๆ กันมากค่ะ”
หลายต่อหลายคนชมว่าเป็นผู้หญิงเซ็กซี่อย่างนี้ มองเห็นสิ่งนั้นอยู่ในตัวเองบ้างไหม? คนถูกถามหัวเราะแก้เขินเป็นคำตอบกลับมาแล้วให้รายละเอียดไปในทิศทางตรงกันข้าม
“ไม่นะ เราไม่เคยคิดว่าตัวเองเซ็กซี่เลยนะ ก็เลยพูดไม่ได้ว่าฉันเซ็กซี่ตรงไหน เดินแล้วเซ็กซี่หรือเสยผมแล้วเซ็กซี่ ไม่กล้าพูดเลย มันเขิน เรามองว่าตัวเองเป็นคนหวานนะ (หัวเราะเขินๆ) เป็นคนที่รายละเอียดเยอะค่ะ เราชอบทำอะไรตรงข้ามกับบุคลิกตัวเอง คือเพื่อนเราจะรู้ว่าเราเป็นคนค่อนข้างตลก ติงต๊องด้วย แต่ถ้าคนอื่นมองจากภายนอก ไม่ได้เข้ามารู้จักเรา เขาจะคิดว่าเราหยิ่ง เชิด มั่นใจ มีหลายคนเลยค่ะที่ตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว บอกเราเลยว่าเห็นตอนแรกเขาไม่กล้าเข้ามาคุย แต่พอมารู้จักถึงรู้ว่าเราบ้ามาก (ลากเสียง)
(รับบท “บัว” ช่างตีดาบหญิงแกร่งหนึ่งเดียวในหมู่บ้าน)
อีกอย่าง เราชอบทำอะไรที่ตรงข้ามกับตัวเอง อย่างเช่น ชอบจัดดอกไม้ ชอบทำขนม ตอนนี้ก็เรียนทำขนมอยู่ค่ะ แล้วก็มีถักผ้าพันคอ ชอบทาเล็บ ฯลฯ ชอบนั่งทำอะไรอยู่กับตัวเองนานๆ อาจจะเป็นคนแปลกๆ หน่อยหนึ่ง ยิ่งขนมยิ่งชอบทำค่ะ เพราะกะจะเปิดร้านขนมด้วย บอกใครก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อนะ เพื่อนบอกว่าดูแล้วอย่างเราน่าจะเหมือนผู้หญิงที่เดินไปสั่งเค้กที่ร้านมากินมากกว่า แต่เรามองตัวเองว่าเราเป็นคนค่อนข้างวินเทจมากนะ ชอบนั่งฟังเพลงเก่า
ปกติเวลาอยู่บ้านหรือออกไปกับเพื่อน การแต่งตัวของเราจะเซอร์มากนะ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ผ้าใบ จะชอบใส่ผ้าใบมากค่ะ แต่ถ้าออกอีเวนต์ ด้วยคาแร็กเตอร์ของเรามาในทางเซ็กซี่ มันเหมือนเป็นจุดที่เขาจะจ้างเรา เราก็เลยต้องแต่งแนวนั้น พูดง่ายๆ คือ เมื่อเขาจ้างเราเพราะเซ็กซี่ เราก็ขายเซ็กซี่ ตามเนื้องานไปเท่านั้นเองค่ะ”
ไม่ใช่ “เซ็กซี่สตาร์” แต่พร้อมสลัดผ้า!
(ขอบคุณภาพ: นิตยสาร “RUSH”)
ล่าสุดที่ถ่ายแบบสไตล์สปอร์ตเกิร์ล โชว์ส่วนเว้าส่วนโค้ง เซ็กซี่นิดๆ ลงในนิตยสาร “RUSH” เธอก็มองว่าเป็นงานอีกชิ้นหนึ่งเช่นกัน แต่คงไม่ถึงขั้นเรียกว่า “ถ่ายแบบเซ็กซี่” เพราะยังไม่ได้สลัดผ้าโชว์เนื้อหนังอะไรขนาดนั้น แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ว่าอาจมีนุ่งชุดว่ายน้ำทูพีซมาอวดเรือนร่างให้หนุ่มๆ ได้เลือดกำเดาพุ่งกัน
“ต้องถามว่าถ้าถ่ายให้ดูแบบนี้บ่อยๆ แล้วเบื่อปะ (ยิ้มขี้เล่น) ก็คิดอยู่เหมือนกันค่ะว่าอยากถ่ายชุดว่ายน้ำ ถ้ามีคนติดต่อมาแล้วมีคอนเซ็ปต์ดีๆ ถ่ายออกมาแล้วภาพสวยๆ ก็อยากถ่ายนะคะ ถือว่าครั้งหนึ่งในชีวิตค่ะ ไม่แน่อีก 2 ปีจากนี้อาจจะไม่มีให้ถ่ายแล้วก็ได้ เหี่ยวแล้ว (หัวเราะ) แต่ถามว่าเราจะไปในทางเซ็กซี่เลยไหม เราว่าคนอื่นมองเราไปในภาพเซ็กซี่อยู่แล้วนะ ก็เลยอยากให้คนอื่นเห็นเราในมุมอื่นๆ เพิ่มมากกว่าค่ะ เช่น จริงๆ แล้วโซดาเป็นคนตลกนะ เราเล่นตลกได้นะ (ยิ้ม) หรือถ้าอยู่กับเพื่อนเราฮามากนะ เฟรนด์ลี่สุดๆ เราอยากให้มีมุมนั้นด้วยที่คนจะได้เห็น จะให้ตลกหรือเท่ เราก็ทำได้เหมือนกัน”
โดยส่วนตัวแล้ว โซดาไม่ได้อยากให้ใครมาเรียกว่าเป็น “เซ็กซี่สตาร์” เพราะดูจะไม่เหมาะกับเธอเท่าไหร่ ส่วนถ้าความเป็นเธอที่ปรากฏในสายตาใครต่อใครตอนนี้จะทำให้ถูกมองว่ากำลัง “ขายเซ็กซี่” เธอก็พร้อมจะยอมรับเพราะกำลังทำอย่างนั้นอยู่จริงๆ!
“เราไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะถ้าใครจะพูดถึงเราในแง่นั้นนะ ก็ถามว่าเราเป็นคนทำมันจริงๆ หรือเปล่าล่ะ อย่างเล่นหนังเรื่องนี้ ใส่ผ้าแถบคนก็อาจจะมองว่าเซ็กซี่ แต่ทุกคนในเรื่องก็ใส่นะเพราะเราอยู่ในยุคการแต่งตัวแบบนั้น หรือที่เราถ่ายเซ็กซี่แบบนี้ขึ้นนิตยสาร คนเขาก็ต้องมองเราว่าขายเซ็กซี่อยู่แล้วเพราะเราไปถ่ายมาจริงๆ ก็เลยเฉยๆ ค่ะ เพราะถ้าเราทำจริง เราก็ต้องยอมรับ ในเมื่อทำให้มันเซ็กซี่ คนก็ต้องมองว่ามันเซ็กซี่ ต่อไปอาจจะลดๆ ความเซ็กซี่ลงก็ได้ค่ะ มันเป็นเรื่องของหน้างานมากกว่า
(ขอบคุณภาพ: นิตยสาร “RUSH”)
ส่วนคำว่า “เซ็กซี่สตาร์” ถ้าเป็นที่เมืองนอกมันจะดูเริดไงคะ แต่ถ้าพูดคำนี้ในเมืองไทยมันยังไม่ค่อยเท่าไหร่ ถามว่าใครที่เป็นเซ็กซี่สตาร์แล้วอยู่ได้บ้างไหม ก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่นะ หรืออย่างตอนนี้นางเอกใสๆ เขาก็ถ่ายเซ็กซี่กันแล้วนะ มีถ่ายชุดว่ายน้ำกันเกือบหมดแล้ว มันเลยเหมือนเป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเซ็กซี่สตาร์ก็ได้ค่ะ
แต่ถ้าวันหนึ่งเราจะลุกขึ้นมาถ่ายเซ็กซี่จริงๆ ครอบครัวก็ไม่ว่าอะไรนะคะ เพราะปกติอยู่บ้านก็สลัดผ้าเดินเป็นประจำอยู่แล้ว (หัวเราะ) เป็นเพราะเราเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วมั้งคะ เป็นคนชอบคิดอะไรเองทุกอย่าง พ่อกับแม่จะเลี้ยงเราเหมือนเด็กฝรั่งน่ะค่ะ ให้อิสระกับเรา ให้ตัดสินใจเองมาตั้งแต่เรื่องเรียนแล้ว ไม่ต้องมานั่งบอกว่าเราต้องเป็นครูเป็นหมอ เราก็เลยเลือกเองว่าจะเรียนนิเทศ จนมาเรื่องงานทุกวันนี้ก็เลือกที่อยากทำเองหมดเลย”
จริงๆ แล้ว นิยามคำว่า “ผู้หญิงเซ็กซี่” สำหรับโซดา อาจไม่จำเป็นต้องโชว์เนื้อหนังเลยก็ได้ “ความเซ็กซี่สำหรับเรามันต้องออกมาจากภายในค่ะ บางคนแต่งตัวไม่ต้องโป๊แต่เขามีความเซ็กซี่อยู่ในตัวเองก็มีนะ บางคนถ้าจะเซ็กซี่ กินข้าวก็เซ็กซี่นะ มันออกมาจากตัวเขาเอง ต่อให้ผู้หญิงหวานๆ ก็เซ็กซี่ได้นะ ตาโตๆ แบ๊วๆ ก็ยังเซ็กซี่ได้ ในความรู้สึกของเราผู้หญิงทุกคนมีความเซ็กซี่หมด อยู่ที่ว่าจะสื่อออกมาหรือเปล่าแค่นั้นเอง ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงเซ็กซี่หมดแหละ แม้แต่ผู้หญิงเท่ๆ ก็เซ็กซี่ได้เหมือนกัน”
สุดยอดวิบากกรรม! ผีห่า-ผีโหด
“1 ปีเต็ม” คือระยะเวลาในการถ่ายทำภาพยนตร์แนวแอ็กชันสยองขวัญเรื่อง “ผีห่าอโยธยา” ได้ยินแค่นี้ก็ว่าโหดเอาการ แต่พอมาฟังรายละเอียดในเชิงลึก ช่วงเวลาที่โซดาต้องเทกคอร์สเรียนสารพัดกลยุทธ์เพื่อสร้างตัวละครที่ชื่อ “บัว” ให้ปรากฏบนฟิล์มให้ได้ ยิ่งโหดกว่านั้นอีกหลายเท่า นางเอกสาวหน้าใหม่รายนี้จึงเข้าใจทันทีว่าเหตุใดคุณชายอดัมจึงเลือกผู้หญิงที่ดูแข็งแรงและออกกำลังกายเป็นพื้นอยู่แล้วอย่างเธอ
“คิดดูว่าจากที่เราคิดว่าเราออกกำลังกายหนักแล้ว พอรับเล่นบทนี้มันยิ่งกว่าที่เคยฟิตอีกค่ะ หลังจากที่ได้บท เราต้องเข้ายิมอาทิตย์ละ 5 วัน หนักมาก” เธอเน้นเสียงให้รับรู้ถึงน้ำหนักที่ตอกแบกรับ แล้วปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ เพื่อบ่งบอกว่าสุดท้ายก็สู้ไม่ถอยอยู่แล้ว “มีให้เราไปเรียนฟันดาบ เรียนการต่อสู้ หลบระเบิด ว่ายน้ำ โดนทุกอย่างเลย (หัวเราะสะใจ) ผู้กำกับยังบอกเลยว่าเรื่องนี้บัวทรมานที่สุดแล้ว เล่นเรื่องนี้ได้ เรื่องอื่นก็สบาย"
("ผีห่าอโยธยา" หนังสุดโหดเรื่องแรกในชีวิต)
"ตอนแรกที่เขาบอกว่าเราต้องเล่นภาพยนตร์ เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจหรอกค่ะว่าต้องทำยังไงบ้างเพราะมันเป็นเรื่องแรกของเรา ก่อนหน้านี้มีแค่งานถ่ายเอ็มวีกับเล่นหนังสั้นของรุ่นพี่ค่ะ ตอนนั้นเราก็เข้าใจไปว่าการถ่ายหนังคือการอัดวิดีโอและแสดงตามบท แต่พอมาถ่ายทำภาพยนตร์จริงๆ มันไม่ใช่เลยค่ะ มันยากกว่านั้นเยอะ ทุกอย่างในฉากเขาทำมันขึ้นมาจริงๆ สถานที่จริงที่ทำให้เหมือนสมัยอโยธยา มีอุปกรณ์สมัยโบราณหลายอย่างที่คนยุคนี้คงไม่รู้จัก ดาบก็ต้องเอาไปใส่ไฟและตีจริงๆ เพื่อให้มันคม
ในฉาก เราก็ต้องตีดาบร้อนๆ นั้นจริงๆ นี่ก็ได้แผลเล็กๆ น้อยๆ จากการถ่ายทำด้วยนะคะ มีสะเก็ดไฟจากที่ตีดาบกระเด็นใส่ ส่วนที่หลังก็มีรอยสะเก็ดระเบิดเล็กๆ อยู่ มันมาจากฉากระเบิดใหญ่ๆ ในเรื่องที่ติดระเบิดเอาไว้ประมาณ 20 จุดค่ะ ตอนนั้นทีมงานก็เยอะ ความกดดันก็มีเยอะ เพราะถ้าพลาด เขาต้องเซตทุกอย่างใหม่หมดเลย เราก็เลยพยายามให้ผ่านในทีเดียว เริ่มจากซ้อมโดดจนคอเคล็ดไปหมดเลย แล้วก็มีแผลจากสะเก็ดเอฟเฟกต์ด้วย
(สาวแกร่งสาวเท่ บทนี้ที่เข้ากับเธอ)
ตอนที่ต้องเข้ายิมอาทิตย์ละ 5 วัน จากปกติเข้าแค่อาทิตย์ละ 2 วัน แต่ไม่ได้ฟิกซ์อะไรมาก คิดดูว่าเรากลับบ้านร้องไห้ทุกวันเลยค่ะ ตอนนั้นยังทำเพลงกับเพื่อนในวงอยู่ เราก็บ่นให้เพื่อนฟังว่ามันทรมาน มันปวดเนื้อปวดตัวมาก เล่นหนังมันต้องหนักขนาดนี้เลยเหรอ ตัวก็เหลือนิดเดียว ตัวลีบมากจนเพื่อนบอกเราขาดโปรตีน (หัวเราะ) เพราะสารอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกายเราไม่ทัน เหมือนเราใช้ไปเยอะมาก เบิร์นวันๆ หนึ่งเยอะมาก ไม่มีไขมันเลย
พอยิ่งเหนื่อย ยิ่งผอม แล้วมันยิ่งไม่อยากอาหารนะ ทีนี้อารมณ์เราก็จะแปรปรวนตลอดเวลา แต่สุดท้ายก็เอาชนะตัวเองได้ค่ะ หลังจากเทรนแบบนั้นประมาณ 4 เดือน ระหว่างนั้นเราก็ต้องไปเรียนดาบด้วย พี่ผู้จัดการต้องขับรถเราไปส่งที่อยุธยาเพื่อเรียนดาบทุกวัน ตื่นตีห้า ไปถึงนู่นเจ็ดโมงเช้า เรียนจนถึงบ่ายสาม เป็นแบบนี้ติดกัน 7 วัน ไปเรียนที่โรงเรียนสำนักดาบพุทไธสวรรย์ค่ะ เป็นสำนักที่สอนทหารอยู่แล้ว จากปกติการรำดาบจะเน้นเรื่องความอ่อนช้อยเพราะเป็นการรำเพื่อโชว์ แต่ที่นี่เขาใส่ความแข็งแรงเข้าไปด้วย เพราะครูที่สอนเขาดูคิวบู๊ละครให้นักแสดงหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน นอกจากเรื่องรำดาบแล้ว เขาก็จะสอนเรื่องมุมกล้องด้วย อาจารย์จะให้ทำท่าให้เหมือนจริงที่สุด
ช่วงนั้นเราก็ต้องเอาเวลามานั่งท่องบทด้วย เพราะเป็นนักแสดงใหม่ ทุกคนเขามีประสบการณ์กันมาก่อนแล้ว ตอนแรกเราดูรายชื่อนักแสดงก็แอบเกร็งๆ เหมือนกันนะ น้องนางเอกทั้งสองคนก็เคยแสดงมาก่อนแล้ว พี่คนที่เล่นเป็นพระเอกก็เลยเล่นละครเวทีมาก่อน เราก็เครียดเรื่องการแสดงตัวเองเหมือนกันเลยต้องมีไปเรียนการแสดง ผู้กำกับเขาจะส่งให้เราไปเรียนแทบทุกอาทิตย์เลยค่ะก่อนเปิดกล้อง ประมาณ 2-3 เดือน เป็นช่วงที่เหนื่อยมากจริงๆ ค่ะ เหนื่อยถึงขั้นที่คิดว่าจะไม่ทำแล้วด้วยนะ มาพูดตอนนี้มันเหมือนเรื่องเล็กน้อยนะ คนอื่นอาจจะมองว่าจะหนักอะไรกันนักหนา มันก็เรื่องธรรมดาที่ต้องฝึก แต่ตอนนั้นมันรู้สึกไม่ไหวจริงๆ ค่ะ คิดเลยว่านี่เล่นหนังเรื่องหนึ่งมันยากขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย”
เรียกได้ว่า จากที่ “แกร่ง” อยู่แล้ว หลังกรำศึกหนัก ผ่านงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตเรื่องนี้มาได้ ยิ่งทำให้โซดาแกร่งขึ้นอีกหลายเท่า
“จริงๆ แล้วไม่เคยคิดว่าจะมาทางการแสดงเลยนะคะเพราะเราไม่ถนัด เราชอบด้านเพลงมากกว่า มันอิสระกว่า ตอนแรกก็ต้องปรับตัวเหมือนเยอะเหมือนกันนะ เพราะกลัวว่าเราจะทำได้ไม่ดี กลัวจะเป็นตัวถ่วงคนอื่นๆ เราชอบไปเปรียบเทียบว่านักแสดงคนอื่นเขาเก่งจริงๆ เราจะทำได้เหรอ วิตกตลอดว่าเราจะทำได้ไหม จะไปเริ่มจากตรงไหนดี จนได้ลองและได้ปรับมาเรื่อยๆ จากการซ้อม-การเรียน
ที่ตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้เพราะมองว่านี่คือโอกาสค่ะ เราเป็นคนไม่ชอบทิ้งโอกาส อยากลอง คิดว่าถ้าทำได้ไม่ดีก็ไม่เสียหาย สุดท้ายเราก็จะไม่มีก้าวต่อไปในสายงานนี้เอง เพราะฉะนั้น ถ้าฟีดแบ็กกลับมาจากคนดูว่าเราแสดงไม่ดีเลย เราก็จะไม่เสียใจแล้วค่ะ เพราะเราได้ตั้งใจทำเต็มที่แล้ว ถือเสียว่ามันคงไม่ใช่ทางของเราจริงๆ หรืออย่างเรื่องงานเพลงก็เหมือนกันค่ะ เราได้ลองทำแล้ว ถึงจะแยกตัวออกมาจากวงก่อน และยังไม่ได้ประสบความสำเร็จในเส้นทางนั้น แต่ก็ถือว่าเราได้ลองกับมันสักตั้งแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต”
ลูกหลงตัวแสบ!
ดูเป็นคนมั่นอกมั่นใจแบบนี้ แต่จริงๆ แล้ว โซดาบอกว่าข้างในใจจริงๆ ไม่ได้มั่นคงอะไรอย่างที่เห็นขนาดนั้นหรอก “ชอบคิดกลับไปกลับมากับตัวเองในหลายๆ เรื่องเลยค่ะว่า ทำแบบนี้จะดีไหมนะ แต่จะไม่ค่อยถามคนอื่น ถามตัวเองๆๆ ถ้าไม่มั่นใจก็เปลี่ยน สมมติจะใส่ชุดนี้ออกไปจากบ้าน เราจะไม่ถามคนอื่นนะว่าดีไหม แต่จะมองว่าถ้าออกไปแล้วจะกล้าเดินหรือเปล่า ถ้าไม่กล้าก็เปลี่ยนเหอะ” เธอปิดท้ายด้วยรอยยิ้มโฉบเฉี่ยว
ส่วนใหญ่เพื่อนในกลุ่มของเธอจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงลุยๆ เฮ้วๆ แนวเดียวๆ กัน จึงทำให้โซดาเป็นคนตรงๆ ง่ายๆ สบายๆ อย่างที่เห็น
“เวลาไปชอปปิ้ง จะชอบไปคนเดียว เพราะว่าเบื่อผู้หญิงที่ให้รายละเอียดเรื่องชอปปิ้งเยอะๆ ไม่เสร็จสักที เราก็จะบอกเลยว่าเดี๋ยวเสร็จแล้วไปเจอกันร้านนี้ๆ นะ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ อย่างเวลาไปเรียน แทนที่เราจะจับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงคุยเรื่องละครเมื่อคืนเหมือนคนอื่นๆ เราจะรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ ต้องมาคุยเรื่องพระเอกคนนั้นคนนี้ ส่วนใหญ่เลยจะคุยกับเพื่อนผู้ชาย ชอบไปฟังเขาพูดเรื่องสนุกเฮฮากัน เรื่องมันๆ เดี๋ยวชวนกันไปทำนู่นทำนี่ จะไม่เป็นพวกมานั่งจุกจิกว่าเดี๋ยวจะไปชอปปิ้ง เดินเล่นที่ไหนๆ หลังเลิกเรียน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ เป็นคนมีอิสระในตัวเองค่อนข้างสูง”
เดาเล่นๆ เอาไว้ในใจว่าพื้นฐานนิสัยลักษณะนี้คงเป็นลูกคนเดียวแน่ๆ พอถามความจริงจากปากเธอจึงได้รู้ว่าเดาผิดไป เพราะเธอเป็น “ลูกคนสุดท้อง” เป็นลูกคนที่สี่ แต่คุณแม่ตั้งท้องห่างจากพี่ชายคนที่สามถึง 7 ปี โซดาจึงกลายเป็น “ลูกหลง” คนเดียวของตระกูล
“คุณแม่ทำหมันแล้วด้วยค่ะ คิดดู (ยิ้ม) คุณแม่บอกทำแล้วมีเราหลุดมา (หัวเราะ) เราก็เลยห่างจากพี่ชายคนที่สาม 7 ปีค่ะ นอกนั้นพี่สาวอีก 2 คน เขาก็จะอายุไล่เลี่ยกันหมดเลย แต่ถึงเราจะอายุห่างจากพี่ๆ แต่เราก็สนิทกันนะคะ ส่วนใหญ่ก็จะใช้ชีวิตอยู่กับพี่น้องกันนี่แหละค่ะตั้งแต่ตอนเด็กๆ มีอะไรก็ชวนพี่น้องไปด้วยกัน คุยกันได้ทุกเรื่องกับคนในครอบครัว ทุกวันนี้ ถึงพี่สาวพี่ชายเขาจะแต่งงานกันออกไปหมดแล้ว แต่เราก็ยังมีนัดเจอตลอด”
หมุนเข็มนาฬิกา ย้อนเวลากลับไปอีกสักนิด แล้วจะรู้ว่าเหตุใดเธอจึงดูเป็นสาวมั่นแสนซนผู้รักอิสระอย่างทุกวันนี้ได้ ก็เพราะโซดาเคยเป็น “เด็กแสบ” ตัวจี๊ดประจำโรงเรียนมาก่อน ต้องบอกว่าวีรกรรมที่เคยทำเอาไว้ทั้งหมดนี้ทำให้เธอเหมาะกับชื่อ “โซดา” เสียจริงๆ ถ้าจะ “ซ่า” ได้ขนาดนี้!
“เป็นเด็กแสบเหมือนกันนะ แต่เราก็ไม่ถือว่าเป็น “เด็กหลังห้อง” หรือ “เด็กหน้าห้อง” นะคะ เราแปลกอย่างหนึ่งตรงที่เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ดีมากเลยนะ เราจะมีทั้งกลุ่มเพื่อนที่ไปเฮ้วกัน เวลาอยู่ข้างนอกคนอื่นจะรู้ว่าเป็นกลุ่มเฮ้วประจำห้อง แต่เวลาเรียนปุ๊บ เราจะอยู่กับกลุ่มนักเรียนที่เป็นตัวท็อปของห้อง และจริงๆ แล้วเราก็จบมาได้เพราะเพื่อนกลุ่มนี้เลยนะ
อย่างเพื่อนที่ ม.กรุงเทพ ก็จะมี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นเพื่อนผู้ชายที่เราจะไปเที่ยวไปกินข้าวด้วยกัน แต่พอนั่งอยู่หน้าห้อง จะไปนั่งกับกลุ่มเด็กเรียน เป็นกลุ่มเด็กเกียรตินิยมเลยนะคะ เขาก็จะคอยช่วยเหลือเราตลอดเวลาเราไม่ได้เข้า ด้วยความที่เราประจบ (ยิ้ม) รู้จักเข้าหาเพื่อน เราก็เลยไปได้ทั้งสองกลุ่ม อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้มั้งคะ เราเลยสับสนตัวเองมาจนโตว่าสรุปแล้วฉันจะเป็นแนวไหนดี จะเด็กเรียนหรือเด็กหลังห้องดี (หัวเราะ)
พูดถึงเรื่องวีรกรรม เราก็มีเยอะนะคะ แสบ (แววตาแสนซนของเธอปรากฏชัดขึ้นเพื่อพูดถึงคำนี้) วีรกรรมตอนมัธยมปลายจะเยอะสุด มีโดดเรียนบ้าง มีไปทำแสบๆ เอาไว้เยอะมาก พูดออกสื่อแล้วอาจจะถูกจับได้นะ (หัวเราะ) มีเติมน้ำมันเขาแล้วก็ขับรถหนี หรือเคยไปแอบจิ๊กหมวกกันน็อกของมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ เอามาหมดเลยนะ เพราะว่าอยากแกล้งเขาค่ะ อยากให้เขาโดนตำรวจจับเพราะไม่ใส่หมวกกันน็อก
จะบอกว่าเราเป็นคนขี้แกล้งมาก ถ้าโทร.หาเพื่อนแล้วจำเสียงไม่ได้หรือเปลี่ยนเบอร์ใหม่ เราจะแกล้งทันทีเลย แล้วแกล้งแบบร้ายๆ เลยนะ เพื่อนบางคนโกรธเราจริงเลยก็มี โทร.ไปบอกว่าแฟนเพื่อนมาเป็นชู้เราอะไรอย่างเนี้ย (หัวเราะ) ขอแค่มีโอกาส ทำทุกอย่างเลยแหละให้ได้แกล้งคนอื่น แต่ทุกวันนี้เฉยๆ แล้วค่ะ ไม่ค่อยแกล้งอะไรเท่าไหร่ละ
ให้ย้อนกลับไปมองก็รู้สึกว่าตลกดีนะ ตอนนั้นที่เราแสบได้ถึงขนาดนั้น แต่ตอนนี้เราก็เป็นคนดีแล้วค่ะ (ยิ้ม) คิดเองได้แล้วว่าแบบนั้นมันไม่ดี ถ้าน้องๆ คนไหนกำลังเป็นเหมือนเราตอนเด็กๆ ทำอะไรแสบๆ แกล้งคนอื่นก็จะบอกว่า ถ้าอยากทำก็ทำเลย เดี๋ยวก็รู้เอง (ยิ้มโหดๆ) แต่ก็อย่าไปทำเยอะไงคะ ที่บอกว่าเราแสบ เกเรตอนเด็กๆ แต่เราไม่เกเรถึงขั้นออกนอกลู่นอกทางไปเล่นยาเสพติดนะคะ เราไม่เคยลองเลย เพราะเรื่องยาเสพติดมันไม่ใช่เล่นๆ นะ ถ้าพลาดไปลองแล้ว มันไม่ใช่แค่วีรกรรมแสบๆ สนุกๆ นะคะ มันแย่เลย คนจะมองเราไม่ดีอีกเลย มันคืออันตรายของสังคมและครอบครัว อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงดีกว่า”
ขอโอกาสให้ “ซอมบี้ไทย”
“แอ็กชันสยองขวัญ” แนวนี้อาจไม่ค่อยคุ้นสำหรับภาพยนตร์ไทย แต่ถ้าเป็นภาพยนตร์แนวเดียวกันสัญชาติอื่น คนไทยอาจตีตั๋วไปดูได้อย่างไม่ลังเลมากนัก ด้วยความคิดติดหัวข้อนี้เอง โซดาจึงอยากให้คอหนังทั้งหลายลองเปิดใจ ขอโอกาสให้ซอมบี้แบบไทยๆ อย่าง “ผีห่าอโยธยา” ได้ลองเปิดเรื่องราวผีดิบแบบใหม่ๆ สักครั้งหนึ่ง
“ต้องบอกว่าเรื่องนี้มีทุกแนวเลยค่ะ เป็นทั้งแอ็กชันสยองขวัญด้วย ดรามาด้วย พูดถึงเรื่องนี้ คนไทยส่วนใหญ่คงคิดถึง “ซอมบี้” ก็เลยอาจจะมองว่ามันก็แนวคล้ายๆ หนังเมืองนอกที่เขาทำกันอยู่แล้วอย่าง “Resident Evil” หรือ “The Walking Dead” อะไรแบบนั้น แต่อยากจะบอกว่าเรื่องนี้เราทำแบบของเราค่ะ มันมีความเป็นไทยในแบบที่ฝรั่งทำไม่ได้เพราะมันเป็นพีเรียด
มันมีรายละเอียดหลายอย่างที่มีความเฉพาะอยู่ในเนื้อเรื่องด้วยค่ะ ผู้กำกับเขาจะเขียนเอาไว้หมดเลยว่าผีห่าเป็นยังไง การแสดงออกทางการเคลื่อนไหวทั้ง ขา-แขน-ตา-หู-จมูก-ปาก จะเป็นยังไง เราต้องฆ่ามันแบบไหน และคำว่า “ผีห่า” มีความหมายจริงๆ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนะคะ ถูกบัญญัติไว้ว่าหมายถึงผีที่เกิดมาจากโรคระบาด คนสมัยก่อนตายด้วยโรคห่ากันเยอะมาก แต่ด้วยความเป็นหนัง เราก็เลยหยิบตรงนี้มาทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ถ้าพูดถึงเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ชอบที่สุดเลยสำหรับโซดาคือความเป็นพีเรียดค่ะ พอเราได้แสดงในฉากนั้นมันให้ความรู้สึกเหมือนเราได้กลับไปยุคนั้นจริงๆ เลยนะ อย่างบ้านของบัว บัวเป็นนักตีดาบ จะมี “สูบ” อยู่ใกล้ๆ ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนสมัยนี้ไม่รู้จักและน่าสนใจมากค่ะ เอาไว้สูบลมให้ไฟมันลุก แต่เราต้องสูบเอง ถ้าเป็นสมัยนี้อาจจะใช้พัดพัดไฟให้แรง แต่สมัยก่อนเขาจะใช้สูบนี่แหละค่ะสูบแรงลมขึ้นมาจากใต้ดิน ถือว่าได้ความรู้เยอะมาก อุปกรณ์หลายๆ อย่างที่อยู่ในยุคนั้นเราก็ได้รู้จักไปด้วย” แววตาเป็นประกายบวกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นๆ ของคนที่อยู่ตรงหน้า คงสามารถทำให้ใครต่อใครอยากลองเปิดใจให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ยากนัก
“ปกติแล้ว โซดาเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้วค่ะ ดูทุกแนวเลย แต่หนังผีจะน้อยหน่อยเพราะว่ากลัว แต่เรื่องนี้ไม่หลอนเหมือนหนังผีค่ะ จะไม่ได้แสดงฉากเหมือนมีเงาแว้บไปแว้บมา ไม่มีโผล่มาจากห้องน้ำ ถ้ามาหลอกจะมาเป็นตัวเลย มาเป็นผีห่ามีเส้นเลือดปูดขึ้นมาให้เราสู้ เราเลยไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนหนังผี แต่อาจจะกลัวความเน่าเปื่อยของมันมากกว่า
เราว่าทุกวันนี้คนไทยเปิดกว้างสำหรับการดูหนังกันขึ้นเยอะนะคะ แต่อาจจะขอคิดก่อนว่าเรื่องนี้น่าดูไหม อย่างเรื่อง “ผีห่าอโยธยา” คนอาจจะเป็นแนวที่ยังไม่ค่อยรู้จัก นึกไม่ออกว่าจะมาแบบไหน เพราะแนวที่คนไทยส่วนใหญ่ชอบก็จะมี คอมมาดีหรือไม่ก็หนังผีไปเลย แต่อยากให้ลองดูค่ะ ไม่แน่ว่าจากที่เคยเรียกหนังแนวนี้ว่า “ซอมบี้” พอออกจากโรงอาจจะเปลี่ยนเป็นเรียกว่า “ผีห่า” แทนก็ได้นะ
สำหรับโซดา ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เลยค่ะ ด้วยความที่เราใหม่เรื่องการแสดงมาก ผู้กำกับก็เลยจะสอนเราใหม่ทุกอย่างหมดเลย สอนแบบลงรายละเอียดด้วย เพราะเขาจะเดินมาสั่งเราให้เล่นอารมณ์ๆ นี้นะเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้ เขาจะไม่สามารถบอกเราว่าฉากนี้ต้องร้องไห้นะ แล้วปล่อยให้ร้อง แบบนั้นเรายังทำไม่ได้เลยค่ะ แต่ถ้าเป็นนักแสดงที่เก่งๆ เขาสามารถร้องได้โดยไม่ต้องบิวต์อะไรมากมาย คุณชายก็จะสอนวิธีคิดค่ะว่าต้องคิดยังไงให้ร้องไห้ได้ นี่คือวินาทีสุดท้าย ถ้าเราต้องจากคนที่เรารักไป เราจะมีความรู้สึกยังไง จนสุดท้ายเราก็ร้องเองได้”
คะแนนเต็ม 10 ให้ตัวเองเท่าไหร่สำหรับการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่องนี้? เจอคำถามนี้เข้าไป โซดาถึงกับยกมือขึ้นมาโบกเป็นพัลวัน ตอบทันทีว่า “โห... ไม่กล้าให้คะแนนการตัวเองเลยค่ะ เดี๋ยวให้ผู้ชมไปตัดสินกันเองดีกว่าเนอะ แต่ถ้าถามว่าให้ “คะแนนความตั้งใจ” ตัวเองเท่าไหร่ อันนี้ให้เต็มสิบเลยค่ะ” สาวเซ็กซี่วัย 29 ยิ้มขี้เล่นปิดท้าย
---ล้อมกรอบ---
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ: โซดา-วีรี ละดาพาณิชย์ดี
อายุ: 29 ปี
การศึกษา: บัณฑิตคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ม.กรุงเทพ
ผลงาน: ภาพยนตร์เรื่อง “ผีห่าอโยธยา”
พักเพื่อสานต่อ “เส้นทางดนตรี”
ถึงแม้จะขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง “FullClips” แล้ว แต่ทุกวันนี้โซดายังนั่งแต่งเนื้อเพลงเก็บเอาไว้เล่นๆ ไปเรื่อยๆ เพราะความรักในเสียงเพลง พูดตรงๆ ว่าไม่ได้คาดหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นสะพานไปสู่เส้นทางสายไหนในวงการบันเทิง แต่แค่คิดเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งถ้ามีโอกาสจะกลับมาทำเพลงอย่างจริงๆ จังๆ อีกครั้งหนึ่ง
“ไม่ได้คาดหวังเลยค่ะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำทางไปสู่อะไรได้หรือเปล่า แต่ถ้าได้ก็ดีนะคะ (ยิ้ม) แค่ขอให้เรามีงานต่อๆ ไปแล้วกันค่ะ จะเป็นภาพยนตร์หรือละครก็ได้ค่ะ เพราะมันเป็นทางที่เราเริ่มทำมาแล้วไงคะ แต่อย่างงานเพลง เราก็ยังไม่ได้ทิ้ง อยู่ที่ว่าจะเราหาจุดไหนที่ลงตัวกับเรา อาจจะทำของเราเองก็ได้ค่ะ
ตอนที่ทำกับวงเก่าก็เขียนเนื้อกันเอง แต่งกันเอง นี่ก็มีเนื้อเพลงที่แต่งเก็บไว้หลายเพลงอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ยังไม่มีโอกาสจะเอาออกมาใช้เพราะเราทำดนตรีเองไม่เป็น แต่เป็นคนชอบเขียนค่ะ ชอบนั่งเขียนเนื้อ เราเลยจะเขียนเอาไว้หลายเพลง แต่มันยังไม่สมบูรณ์ มันต้องมีดนตรีเข้ามาประกอบ ซึ่งก็ต้องว่ากันอีกทีหนึ่ง ตอนนี้เหมือนมันเป็นสิ่งที่เราพักเอาไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยแวะกลับมาทำแล้วกัน
(สมัยยังเป็นเกิร์ลกรุ๊ปอยู่ในวง “FullClips”)
จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นนักร้องนะคะเพราะคิดว่าคงเป็นเรื่องไกลตัวมาก แต่เราชอบฟังเพลงแล้วก็ชอบร้องเพลงมาก อยู่บ้านก็ร้อง เคยประกวดด้วย มีเคยลงเรียนเป็นดีเจด้วยนะคะตั้งแต่ตอนมัธยม เรียนเสริมแนววิชาชีพที่เราชอบ เราชอบดนตรี ชอบเพลงมากอยู่แล้วค่ะ พอได้คุยกับเพื่อนๆ ก็เลยรวมตัวกันทำวง ทำด้วยความสุขโดยที่ไม่ได้คิดว่าจะดัง และตอนนี้ก็ไม่ได้ดัง เพลงออกมาคนก็ไม่ค่อยรู้จักแต่เราก็ถือว่าเราได้ทำแล้ว
ตอนที่อยู่กับดนตรี เราแฮปปี้ทุกครั้งนะคะ แต่ตอนนี้เราก็ต้องก้าวไปข้างหน้าแล้ว เดี๋ยวไม่มีกิน (หัวเราะ) เก็บความฝันเอาไว้ก่อนดีกว่าค่ะจะได้อยู่ได้นานๆ ตอนที่ยังอยู่ในวงเกิร์ลกรุ๊ป แนวเพลงเราคือแนวอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ฮอลล์ ผู้หญิงกวนๆ เต้นๆ แต่จริงๆ แล้วแนวนั้นมันอาจจะไม่ค่อยเข้ากับเราเท่าไหร่ค่ะ เพราะส่วนตัวแล้วเราชอบเพลงแนวคันทรีป็อบ ที่ผ่านมาก็มีคนเข้ามาคุยๆ เรื่องเพลงเหมือนกันค่ะ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร คงต้องรอดูกันไปยาวๆ อีกทีหนึ่ง
ส่วนเรื่องฟีดแบ็กภาพยนตร์ เราคิดแค่ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้น มันต้องออกมาดีอยู่แล้ว (ยิ้ม) แต่มันจะดีไปในทางไหนก็ไม่รู้นะ (หัวเราะ) มันไม่ใช่ว่าต้องได้ร้อยล้านถึงจะดีนะ แค่เราทำเต็มที่แล้ว เราก็พอใจแล้วค่ะ”
“หนุ่มดึงดูด” สำหรับสาวเซ็กซี่
ให้พูดถึงนิยามคำว่า “เซ็กซี่” สำหรับผู้หญิงมามากแล้ว ลองถามกลับว่าแล้วผู้ชายที่มี Sex Appeal สำหรับสาวเปรี้ยวเฉี่ยวเก๋ล่ะ ควรเป็นแบบไหน? โซดาหัวเราะแก้เขินอยู่พักใหญ่ๆ แล้วบอกว่า “ไม่เคยรู้จักผู้ชายเซ็กซี่นะ แต่ถ้าเป็นผู้ชายที่ดึงดูดเราน่ะเหรอ... อืม... (นิ่งคิด) คงจะเป็นผู้ชายที่สุขภาพดีมั้งคะ มีซิกแพ็กค่ะ ที่สำคัญ ต้องคุยกันรู้เรื่อง”
“ยิ่งเราเป็นแบบนี้ คนอื่นคุยกับเราไม่รู้เรื่องบ่อยๆ ด้วย เลยยิ่งต้องคุยค่ะ (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่าคนที่จะเข้ามาต้องเป็นคนที่คุยกันค่อนข้างรู้เรื่องนะซึ่งมันหาได้ยากนะ แต่เรื่องสเปก ถามว่าเราชอบผู้ชายหล่อๆ เท่ๆ ไหม ต้องมีซิกแพ็กไหม มันก็ต้องมีชอบ แต่ถ้าสุดท้ายคุยกันไม่รู้เรื่อง มันก็อยู่กันไม่ได้หรอกค่ะ ต้องคุยกัน ต้องใช้เวลาศึกษาไป ทุกวันนี้ก็พอจะมีบ้างเหมือนกันค่ะคนที่พอคุยรู้เรื่อง แต่เรายังโสดอยู่นะ (ยิ้ม) ต้องบอกว่าเราไม่ค่อยได้โฟกัสเรื่องแบบนี้เท่าไหร่เลยค่ะ เพราะแค่อยู่กับเพื่อนเราก็แฮบปี้ได้แล้ว เป็นคนติดเพื่อนมากระดับหนึ่งเลยล่ะ
คนที่จะคบกับเราได้คงเป็นคนที่รับข้อเสียเราได้มั้งคะ (หัวเราะ) เพราะเป็นคนที่ข้อเสียเยอะมากนะ บางทีก็พูดไม่รู้เรื่อง ค่อนข้างดื้อ ชอบคิดเองเออเอง อารมณ์แปรปรวน แล้วก็ขี้หงุดหงิด เวลามีปัญหากันแล้วเราจะต้องขอเคลียร์ทันที จะรอไม่ได้ ใจร้อน ต้องจบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ก็เลยคิดว่าคนที่ดูแลเราได้ น่าจะเป็นคนที่โตกว่าเรา อายุเยอะกว่าเรา เราเป็นคนมีพื้นที่ส่วนตัวสูง อยู่กับคนอื่นๆ มากๆ นานๆ จะรู้สึกอึดอัด ต้องกลับไปอยู่คนเดียว
ช่วงเวลาที่ชอบที่สุดคือตอนกลับบ้านแล้วเตรียมตัวจะนอนค่ะ ได้ทำอะไรๆ คนเดียว นอนคนเดียว มีความสุขสุดๆ เวลาได้คิดอะไรๆ หรืออย่างเวลามีเพื่อนมานอนด้วย วันหนึ่งก็ปกติ พอวันที่สองจะเริ่มรู้สึกว่าทำอะไรไม่ค่อยสะดวกแล้ว สามวันนี่ไม่คุยเลย อึดอัด (หัวเราะ)
สุดท้าย คำว่า “เข้าใจ” คงสำคัญที่สุดแล้วค่ะ คือไม่ต้องมาคอยเทกแคร์ ไม่ต้องโทร.หาเราทุกวันก็ได้ ต่างคนต่างมีอิสระ ขอแค่เข้าใจกัน มองตารู้ใจ มีเวลาไปไหนมาไหนกันบ้าง และที่ไม่ชอบมากที่สุดและขอเลยค่ะว่าอย่าทำคือเรื่อง “นอกใจ” ต้องให้เกียรติกันค่ะ ถ้าตกลงว่าคบกันก็ต้องให้เกียรติ นอกนั้นก็สบายๆ เรื่องสเปกไม่มีเลย แค่คุยกันรู้เรื่องก็โอเคแล้ว และรับสิ่งที่เราเป็นได้ก็พอแล้ว”
ส่วนสาวๆ ที่ยังโสดๆ อยู่เหมือนๆ กันนั้น โซดาขอบอกเลยว่าไม่ต้องไปคิดมาก แค่ทำชีวิตให้ดีและมีความสุขที่สุด เดี๋ยวอะไรๆ ก็จะดีเอง
“การอยู่คนเดียวมันเหงานะคะ แต่มันก็เป็นปกติ สุดท้าย เราก็ต้องอยู่คนเดียว บางคนเห็นเพื่อนจู๋จี๋ดู๋ดี๋กัน อาจจะคิดว่าอยากมีบ้าง เดี๋ยวมันก็มี เดี๋ยวมันก็มาค่ะ ไม่ใช่ว่าเราจะเศร้าหรือห่อเหี่ยว ตอนที่โสดอยู่ เราก็ทำตัวเองให้มีชีวิตชีวา สุดท้าย จะได้รู้สึกว่าการรอใครสักคนหนึ่งมันมีค่านะ เราทำชีวิตเราไปด้วยระหว่างนี้ ถ้าเมื่อไหร่ที่ชีวิตเราเสร็จสมบูรณ์แล้ว เดี๋ยวก็จะมีคนที่โคจรเข้ามาตรงกันเอง”
ปั่นไปเสียวไป!
ต่อยมวย ตีปิงปอง เล่นบาสฯ เข้าฟิตเนส ฯลฯ ชอบเล่นกีฬาชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นสปอร์ตเกิร์ลคนหนึ่งเลยทีเดียว “ปั่นจักรยาน” ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำหรับโซดาในช่วงหลังๆ มานี้ เธอบอกว่ามีมินิฟิกเกียร์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเอาไว้ไปร่วมแก๊งแข้งเหล็กกับเพื่อนๆ ในทีม “แต่เพื่อนๆ เขาจะขี่กันจริงจังเลยค่ะ ประเภทเสือหมอบเลยนะคะ ส่วนเราแค่พอปั่นได้ เอาแค่สนุกๆ เวลาปั่นไม่ทันเพื่อนก็จะรอ ออกไปปั่นทีหนึ่งก็จะไปกับกลุ่มใหญ่ๆ มีปั่นเลียบทางด่วนบ้าง สนามปั่นของสุวรรณภูมิบ้าง”
ระยะหลังๆ มานี้ ข่าวคราวเรื่องชาวสองล้อถูกรถชนเสียชีวิตหรือบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลมีเยอะแยะเต็มไปหมด พูดตรงๆ ว่าเธอเองก็กลัวเหมือนกัน แต่ที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการระวังตัวเอง
“ส่วนตัวแล้วก็กลัวเหมือนกันนะคะเพราะต่อให้เราระวังแล้ว เซฟทุกอย่าง มีหมวกกันน็อก มีไฟ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเขาไม่ระวังหรือเมา มันก็แก้ยาก อาจจะต้องไปดูกันที่กฎหมาย ถ้ากฎหมายแรงกว่านี้อะไรๆ จะดีขึ้นไหมคะเรื่อง “เมาไม่ขับ” ปัญหามันซับซ้อนเนอะ พูดยาก ไม่รู้จะพูดยังไงให้มันเหมาะดี
ทุกวันนี้เราเลยต้องเลี่ยงตัวเองไปก่อนค่ะ ไปขับในที่ทาง ในสนามที่เขาจัดไว้ให้จักรยานโดยเฉพาะ จะได้ไม่อันตรายมาก อันนี้สำหรับตัวเรานะคะ แต่ก็ยังมีเพื่อนๆ เราที่เขาปั่นกันแบบจริงจัง ใช้เป็นพาหนะปั่นบนถนนจริงเลยก็มี ก็คงต้องระวังตัวเองให้มากๆ ค่ะ หันซ้ายหันขวา รถมาก็รีบหนีให้ทัน เพราะไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ ค่ะ”
สัมภาษณ์โดย ASTV ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: วรวิทย์ พานิชนันท์
ขอบคุณภาพ: นิตยสาร “RUSH” และ เฟซบุ๊ก “Creamsoda Veeree”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754