xs
xsm
sm
md
lg

“มิ้นท์ - ณัฐวรา” เธอร้อนแรงกว่าแดดยามบ่าย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากมองจากจุดเริ่มต้นในฐานะนางเอกในสังกัดของผู้จัดการดาราชื่อดังแห่งยุคอย่าง 'เอ - ศุภชัย' เธอคือดาวรุ่งคนหนึ่งที่พร้อมจรัสแสง ด้วยใบหน้าสวยใสสมบทนางเอก (ผู้จัดการคนดังเคยเทียบเคียงเธอในฐานะ อั้ม - พัชราภาเบอร์สอง) ผิวขาวนวลชวนมอง เมื่อมาอยู่ในมือนักปั้นมือทอง คงไม่เกินเลยหากจะมองเห็นภาพไกลๆ ของเธอในฐานะดาราระดับดาวค้างฟ้า
 
แต่ชีวิตใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบดอกไม้ จากนางเอกพลัดผ่านสู่นางร้ายลงท้ายด้วยบทสมทบ ดาวบางดวงดับแสงไปจากผืนฟ้า โลกคงไม่รู้สึกอะไร แล้วเธอก็ห่างหายไปจากฟากฟ้าแห่งความฝัน แต่เพียง 6 เดือน และมันคือช่วงเวลาที่เธอตัดสินใจเว้นวรรค ตั้งหลักกับเป้าหมายนอกวงการของตัวเอง ชีวิตคลี่คลายผ่านวันเวลาไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

“มิ้นท์ - ณัฐวรา วงศ์วาสนา” ยังคงเป็นดาราคนหนึ่งที่หลายคนจับตา หน้าตาสวยหวานอย่างนางเอกแต่ปะทะคารมดุดันกว่านางร้าย ถึงตอนนี้ช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมาในวงการบันเทิงทำให้เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ตัวตนของเธอกลายเป็นภาพฉายชัด ไม่เกี่ยวกับว่าใบหน้าของเธอคล้ายกับใครในวงการ แต่ฉายชัดประทับตรึงจากผลงานของเธอในฐานะนักแสดง ในฐานะคนทำงานในวงการ

“มิ้นท์ไม่ถนัดพวกบทกุ๊กกิ๊กหรือซีนโรแมนติก มักจะเล่นไม่ได้อย่างที่ผู้กำกับต้องการ อาจเพราะตัวจริงไม่ได้เป็นคนหวานอะไร ไม่มีจริตจะก้าน มิ้นท์จะชอบบทปะทะคารมมากกว่า” เธอเอ่ยขึ้น “แต่การแสดงมันต้องหลากหลาย เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด”

และโดยไม่บอกกล่าวท่ามกลางฤดูร้อนที่วางไข่ดาวไปบนกระทะยังสุกมาแล้ว พร้อมขนาดแฮชแท็กบ่นอากาศร้อนเปรียบเปรยไปไกลถึงนรก...เธอเผยโฉมในทูพีชร้อนแรงกว่าแดดยามบ่าย

ในยุคเด็ก “เอ”

ไม่นานเกินจะจดจำกันได้ ช่อง 3 สร้างปรากฏการณ์หาญกล้าแบบที่ยากจะเกิดขึ้น ละครใหม่เปิดตัวนักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่แบบยกเซต มุ่งลงหลักปักฐานในฐานะนักแสดงดาวรุ่งโดยเด็กหลายคนคือเด็กในสังกัดของเอ - ศุภชัย ผู้จัดการดาราชื่อดังแห่งยุค

ดาราวัยรุ่นชื่อดังในยุคนั้นแทบทุกคนอยู่ในสังกัดของเอ - ศุภชัย ด้วยเครื่องหมายการค้าที่การันตีคุณภาพในฐานะนักปั้น หน้าตาดีมีสไตล์ตามสมัยนิยม รูปร่างที่ได้รับการดูแลความเป๊ะมาอย่างพิถีพิถัน รายละเอียดในการใช้ชีวิต ชื่อที่บางคนต้องเปลี่ยนเพื่อเข้าวงการไม่แปลกที่ยุคนั้นจะเป็นยุคของผู้จัดคนนี้

“มิ้นท์ - ณัฐวรา” ในวัย 19 ปีก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นเด็กสาวชาวลำปางขี้อายไม่กล้าแสดงออก อาชีพนักแสดงเป็นเรื่องไกลตัวเกินกว่าจะจินตนาการถึง กระทั่งโอกาสมาเคาะประตูเรียกหา เธอยังไม่เชื่อและไม่รู้ว่า เอ - ศุภชัยมีตัวตนอยู่ในฐานะนักปั้นมือทอง

“ตอนนั้นเพื่อนของพี่เอ ศุภชัยเขาเรียกให้ไปเจอกัน ช่วงนั้นมันก็มีพวกต้มตุ๋นเยอะ เราก็ไม่รู้จักพี่เอด้วยเลยพาครอบครัวไปหมดเลย ทั้งคุณพ่อคุณแม่คุณยายคุณน้า เรียกว่า พากันไปทั้งบ้านเลยเพื่อไปเจอพี่เอที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัดเลยไม่ไว้ใจ”

แต่วาทะศิลป์ในการเจรจาระดับเอ - ศุภชัยก็เปิดใจพ่อแม่ที่ไม่สนับสนุนได้สำเร็จ ไม่นานเธอกับแม่ก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่บ้านเอ - ศุภชัย มันคือบ้านหลังเดียวกับที่ดาราวัยรุ่นอยู่รวมกัน เป็นบ้านที่แบ่งสัดส่วนแยกชาย - หญิง มีระบบการดูแลจัดการดาราของตัวเอง

“ตอนนั้นพ่อไม่สนับสนุนเพราะไม่อยากให้มาไกลบ้าน แต่พี่เอเขาเก่งคะ พูดคุยจนแม่โอเคให้ลองมา พอมาอยู่กันแบบเป็นสัดส่วน มีงานปาร์ตี้ที่เราได้เจอพี่อั้ม - พัชราภา พี่เวียร์ - ศุกลวัตร คือได้เจอดาราหลายคน เราก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เฮ่ย ได้เจอตัวจริงเลย มันเป็นช่วงแรกๆ ที่เราเข้าวงการ แม่ก็มาอยู่ด้วยกัน เป็นช่วง 3 เดือนที่เรามาเก็บตัวเรียนแอกติ้ง ไปฟิตเนส เป็นช่วงที่พี่เอรอเซ็นสัญญาช่องซึ่งเราก็เข้าไปได้จังหวะโอกาสที่เหมาะพอดีด้วย”

จากนั้นโปรเจกต์ละครเรื่องหนึ่งถูกผลักดันออกมาโดยรวมดาราวัยรุ่นหน้าใหม่เป็นตัวหลักทั้งหมดของเรื่อง นั่นคือเรื่อง เงารักลวงใจ ที่ประกอบไปด้วย หมาก - ปริญ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, กุ๊บกิ๊บ - สุมณทิพย์ และเธอ

“โปรเจกต์นั้นโชคดีมากที่ใช้เด็กใหม่ทั้งหมดและเป็นเพื่อนกันที่บ้านพี่เอหมดด้วย เป็นเพื่อนๆ กันได้เล่นด้วยกัน ได้หาประสบการณ์ทางการแสดงซึ่งมันเป็นเรื่องแรก เหมือนเพื่อนๆ ทุกคนได้ก้าวไปทำอะไรใหม่ๆ พร้อมกัน”
เมื่อนึกย้อนกลับไป ชีวิตช่วงนั้นของเธอจึงคล้ายกับโรงเรียนประจำที่เช้าตื่นมาไปถ่ายละครกับเพื่อนๆ แล้วนั่งรถตู้กลับบ้านพร้อมกัน

“จากนั้นมิ้นท์ก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เซ็นสัญญากับทางช่องแล้วก็ถ่ายไปเรื่อยๆ”

แตงโมที่หายไป

ดารา - นักแสดงหลายคนเคยเป็นเด็กขี้อายมาก่อน เธอเองก็เช่นกัน ดังนั้นเรื่องจะเข้าวงการบันเทิงจึงเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินความสนใจในวัยเด็ก หากมีกิจกรรม มีงานอะไรภายในโรงเรียน เธอมักจะแอบอยู่เบื้องหลัง โบกมือปัดไม่อยากเข้าร่วม

“แต่แม่มิ้นท์เป็นครูที่โรงเรียนก็เลยมักจะผลักดันให้ทำกิจกรรมต่างๆ อยู่เสมอ เราก็ทำโน่นทำนี่ตามใจแม่มากกว่า พอโตขึ้นเราก็ยังไม่ได้สนใจตรงนี้ แต่ก็แปลกที่ท้ายที่สุดเรามาอยู่ตรงจุดนี้ได้”

จากวัยเด็กที่ภายนอกเป็นเด็กเงียบ มีระยะห่างกับผู้คนที่ไม่รู้จัก ไม่กล้าเข้าหาคนอื่น ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร ไม่มั่นใจในตัวเอง กลายเป็นคนเรียบร้อยจนถึงขั้นหยิ่งในสายตาของคนที่ไม่รู้จัก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังแบบนั้นอยู่บ้าง แต่อีกมุมหนึ่งเธอจะเกเรกับเฉพาะเพื่อนสนิทเท่านั้น

เหตุการณ์ที่เป็นพยานชี้ชัดถึงนิสัยนั้น เกิดขึ้นในวันหนึ่ง ในโรงเรียนหญิงล้วนที่ค่อนข้างเข้มงวด มีการเช็กชื่อในทุกคาบวิชาเรียน นักเรียนไม่สามารถหนีออกนอกโรงเรียนได้ แต่แล้วในวันเกิดเหตุที่อยู่ในช่วงหน้าร้อนของปี เธอกลับตัดสินใจหายตัวไป

“ช่วงนั้นมันหน้าร้อน ซึ่งถ้าเราได้กินแตงโมเย็นๆ ของสหกรณ์หลังทานข้าวมันจะเป็นอะไรที่สดชื่นมาก แต่วันนั้นมิ้นท์ทานข้าวช้ามากคะ ทานเสร็จก็ได้เวลาขึ้นเรียนแล้ว พอมิ้นท์ปรึกษาเพื่อนเรื่องนี้ ท้ายที่สุดเราก็ตัดสินใจเอาแตงโมคนละซีกเข้าไปแอบกินในห้องน้ำโรงเรียน นั่นคือครั้งแรกที่เราโดดเรียนในโรงเรียนเลย”

ในมุมมองของเธอ นอกจากห้องน้ำสะอาดและแตงโมดับร้อนในมือ เธอไม่รู้เลยว่าภายนอกทุกคนในโรงเรียนกำลังโกลาหลตามหาเธอกับเพื่อน

“ตอนนั้นเรากินแตงโมสบายใจไม่รู้เรื่องเลย พอออกมาเท่านั้นแหละเป็นเรื่องใหญ่เลย โดนทำโทษให้มาท่องศัพน์ที่ห้องบราเธอร์อยู่เป็นสัปดาห์เหมือนกัน”

ส้มโอที่หายไป

ไม่มากก็น้อย พ่อแม่ย่อมมีผลต่อลูก เธอก็เช่นกัน แม่ที่เป็นครูแน่นอนว่าย่อมมีความเข้มงวดในวินัย ใส่ใจรายละเอียดตามแบบผู้หญิง ในอีกด้านของชีวิต พ่อกลับเป็นคนใจดี และออกจะตามใจเธอมากกว่า แต่ทั้งสองก็ไม่ทำโทษเธอ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ทำโทษร้ายแรง เหตุการณ์ที่อาจตั้งชื่อเล่นให้ได้ว่า ส้มโอที่หายไป

“มีอยู่ครั้งหนึ่งคะ คือที่บ้านมิ้นท์จะไม่ทำโทษอะไรมาก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้น ที่บ้านมิ้นท์เดิมทีจะไม่ให้เลี้ยงหมา แต่มิ้นท์อยากเลี้ยงหมามาก เราก็ขอจนเลี้ยงได้ หมาตัวนั้นชื่อว่า ส้มโอ ค่ะ มันเป็นหมาตัวแรกในชีวิตเป็นพันธ์มอลทีส มิ้นท์ก็เลี้ยงมาได้เกือบปีซึ่งโดยปกติมิ้นก็จะมีหน้าที่ต้องอาบน้ำให้มัน แต่แล้ววันหนึ่งอยู่ดีๆ ส้มโอก็หลุดมือไป เราเองวิ่งตามจับมันไม่ทัน ตอนนั้นได้แต่คิดกับตัวเองว่า เอาไงดี ทว่าด้วยความที่เป็นเด็ก เราก็ไปฟ้องพ่อ บอก พ่อ...ส้มโอมันออกไป พ่อตอบกลับว่า เดี๋ยวมันก็กลับมาแหละ 

“จากนั้นพอเปิดทีวีดู มีการ์ตูนอิ๊กคิวซังหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ เราชอบดูการ์ตูนมาก ไปนั่งดูเราก็ลืมส้มโอไปเลย แล้วค่ำวันนั้น เพื่อนบ้านก็อุ้มส้มโอมา คือส้มโอตายแล้วคะ โดนรถชน”

ราวกับอุบัติเหตุที่รอวันเกิด อย่างไม่มีเค้ารางใดๆ เกิดขึ้นราวแผ่นดินไหวที่ไม่มีสิ่งใดจะบ่งชี้ เพียงทำหลุดมือในไม่กี่วินาที ลืมเลือนในไม่กี่ชั่วโมง สุนัขพันธุ์มอลทีสเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณในมือเพื่อนบ้าน และก้านมะยมในมือแม่ก็ฟาดตีไปที่เธออย่างหนัก

“คุณแม่ร้องไห้ ไปเด็ดก้านมะยมแล้วบอก แค่นี้ก็ไม่มีความรับผิดชอบ ทำไมไม่ดูแล จากนั้นก็เอาก้านมะยมฟาดเลย นั่นคือโดนหนักที่สุดแล้ว ทุกคนเสียใจ มันเหมือนเป็นสมาชิกในบ้าน ทุกคนรู้สึกหดหู่ไม่มีความสุข แม่บอก พอแล้วๆ ไม่เลี้ยงแล้ว”

ที่ปรึกษาในวันไกลบ้าน

วิธีมองโลกคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนแตกต่างกัน เมื่อถูกถามถึงสิ่งที่พ่อแม่สั่งสอน เธอมองว่า สิ่งดีงามที่พ่อแม่ของเธอบอกกล่าวคงเป็นปกติที่ทุกครอบครัวสอนสั่งกันมา ความคิดเกี่ยวกับชีวิต คำสอนของพ่อแม่ที่ยังอยู่ด้วยย่อมต้องเปลี่ยนไปตามช่วงชีวิตของลูก คำสอนก็เป็นเสมือนคำปรึกษา

“ทุกอย่างเหมือนที่บ้านอื่นๆ สอนตั้งแต่เราเป็นเด็ก บางทีสอนซ้ำๆ พูดซ้ำๆ ฟังบ้างไม่ฟังบ้างมันก็เหมือนเมื่อวานที่แม่สอนมาแล้ว แต่พอโตขึ้น...มันไม่ใช่แค่ลูกต้องเป็นเด็กดีนะ เราเจอสังคมที่มันใหญ่ขึ้น เจอคนที่มันแปลกขึ้น เวลาปรึกษาแม่ เราก็จะได้คำปรึกษาที่มันต่างไปจากตอนเราเป็นเด็ก

“อย่างตอนที่เข้ามาในวงการใหม่ๆ แล้วมีข่าวไม่ดี เราก็ร้องไห้ๆ ทำไมต้องว่ากันแรงขนาดนั้น คุณแม่ก็จะมีวิธีสอนเหมือนให้เราสบายใจ คนทั้งโลกเราให้ใครมารักเราทั้งหมดไม่ได้ เราเป็นยังไง เรารู้อยู่แก่ใจ ถ้าอะไรที่มันไม่ใช่ อย่าเอามาใส่ใจ คือเราเอามาใส่ใจ เราเสียใจแล้วคนรอบข้างเขาก็เสียใจไปด้วย ฉะนั้นอะไรที่มันไม่ใช่ไม่เห็นต้องแคร์เลยลูก แม่สอนให้แคร์คนที่เขารักเรา เราจะไปแคร์ทุกคนบนโลกมันเป็นไปไม่ได้”

การทำงานในวงการ จากก้าวแรกที่เข้ามา เธอมองเสมอว่าวงการนี้เป็นวงการใหญ่ เธอเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยรุ่นพี่มากความสามารถ ในความคิดของเธอจึงมีเพียงไม่อยากให้ใครไม่ชอบเพียงเท่านั้น

แต่พอเวลาผ่านไป เธอโตขึ้น มุมมองก็เปลี่ยนไป เธอมองว่า วงการบันเทิงเป็นสีสันให้กับคนดู ยิ่งทำงานในวงการนี้ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องโตกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน การทำงานต้องให้ทันเวลา ต้องรับผิดชอบในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด

“หากตอนเรียนมาสายมันก็เสียที่เราคนเดียว แต่การทำงานตรงนี้ เรามาสาย ทุกคนที่ทำงานร่วมกับเราจะกระทบหมด มันสอนให้เรารับผิดชอบมากขึ้น และงานในวงการก็เป็นอาชีพที่หาเงินให้เราเยอะมาก แต่เราต้องแลกกับมันด้วยความเป็นส่วนตัว”

ความเข้าใจในธรรมชาติของวงการที่เพิ่มมากขึ้น จากช่วงแรกที่เรื่องส่วนตัวยังเป็นสิ่งรบกวนจิตใจเธอ ถึงตอนนี้เธอมองอย่างเข้าใจสภาวะของการเป็นคนในวงการที่เกิดขึ้น ผู้คนย่อมคาดหวัง ย่อมอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวส่วนตัวของคนที่เป็นที่รัก

“ตอนหลังก็ปล่อยวาง โอเค เราต้องระวังตัวให้มากขึ้น และเข้าใจเขาว่าเราอยู่ตรงนี้ มันเป็นที่สว่าง เราก็เข้าใจกลไกของวงการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ปี มันเป็นการสะสมประสบการณ์ตอนนี้ก็มองว่าวงการบันเทิงเป็นงานเป็นอาชีพและเป็นสิ่งที่ให้โอกาส เหมือนให้อะไรเรามากกว่างาน มีคนรู้จักเยอะขึ้น เวลาจะทำธุรกิจหรืออะไร คนก็จะรู้จักเยอะกว่าคนอื่นอยู่แล้วด้วย ก็เป็นการได้เปรียบคนอื่นๆ แต่เราก็ต้องวางตัวให้ถูก ต้องรู้จักเคารพคนในวงการด้วยกัน”

เมื่อมองในระยะยาวแล้ว เธอเห็นว่า คุณสมบัติสำคัญที่สุดของคนที่จะประสบความสำเร็จในวงการบันเทิง ไม่ใช่เพียงหน้าตา หรือฝีมือ หากแต่เป็นความเสมอต้นเสมอปลาย การวางตัวให้มีความสม้ำเสมอ อยู่ในเส้นแบ่งที่ต้องไม่หลงตัวเอง เข้าใจอยู่เสมอว่าวงการนี้มีขึ้นมีลงเพียงเท่านั้น

“เรารู้สึกว่าคนที่เสมอต้นเสมอปลายมันน่ารัก อย่าไปคิดว่า เฮ้ย เราเป็นดารานะ เข้ามาในกองแล้ว ทุกๆ คนที่ทำงานในกองเขาเป็นรุ่นพี่เราหมด ไม่ว่าจะเป็นช่างไฟ สวัสดิการ หรือทุกอย่าง เราต้องเคารพไม่ใช่ว่ามองเข้าเขาไป เพราะละครเราจะออกมาไม่ได้เลยถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง”

ธุรกิจความงาม

ช่วงเวลาที่ห่างหายไปจากหน้าจอทีวี ไม่ได้สูญเปล่า เธอตั้งต้นทำธุรกิจจนเห็นผล 6 เดือนที่หายไป เธอมีผลิตภัณฑ์ 2 ตัวเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ขายในอินสตาแกรม 1 คือมาร์กหน้า อีก 1 คืออาหารเสริมบำรุงผิว เธอได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากการทำธุรกิจครั้งนี้

“มันก็ได้รู้ในส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมสวยว่าเขาขายยังไง ทำยังไงถึงจะมาแบบนี้ อย.ได้มายังไง ในช่วงที่มิ้นท์ทำตรงนี้ ออกแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์มิ้นท์ออกแบบหมดเลย ก็ลงไปกับรายละเอียดของมัน

“จากเดิมที่เรามีสูตรครีมจากรุ่นพี่ เราก็เอามาวิจัยเพื่อที่จะมาขออย. ขั้นตอนที่มันยากคือตรงนั้น ก็วิ่งเต้นกันตรงนั้น จนพอทำออกมาได้ มีกล่องมีอะไรแล้ว พอออกมาเป็นรูปเป็นร่างเราก็ดีใจแล้วที่เราทำออกมาได้ เราทำเอง มันเป็นสินค้าของเรา”

ในส่วนของการทำงาน แรกเริ่มเดิมทีก่อนเข้าวงการเธอไม่ได้สนใจเรื่องความสวยความงามนัก แทบจะไม่ได้ดูแลตัวเอง แต่เมื่อต้องเข้าวงการ ความสวยงามกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ อาหารเสริงบำรุงและสปาผิวกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำประจำ และยังต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจถึงกลไกต่างๆ ในร่างกายที่จะทำให้ผิวออกมาสวยงามเปร่งปรั่ง เหล่านี้กลายเป็นทางรัดให้เธอได้เรียนรู้ถึงเคล็ดลับต่างๆ

“คนอื่นไม่รู้เขาก็ทำผิวโน่นนี่โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองขาดสารอะไร บางทีทำไปก็ไม่ได้ผล แต่พอเรามาอยู่ตรงนี้มันทำให้เรารู้ว่าอะไรที่มันขาดไปในตัวเรา เหมือนมีความรู้ในอีกด้านหนึ่ง แล้วมันก็เป็นการดูแลตัวเองง่ายๆ”

เธอเผยถึงเคล็ดลับส่วนตัวว่า ต้องมีการดูแลหลายส่วนร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน บางทีไม่สามารถป้องกันได้ทั้งวัน หากเจอแดดแรงเพียง 2 ชั่วโมงก็ควรทาครีมกันแดดเพิ่มได้แล้ว

“ถ้ามีเวลาก็ต้องไปหัดสปาเพื่อทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกของเราหลุดออกไป ผิวเราจะไปดูเปล่งปลั่งไม่ดูหมองคล้ำ เรื่องผิวพรรณมันต้องใช้ตัวช่วยหลายๆ อย่าง ถ้าเรารักผิวจริงๆ นอกจากจะกินของที่มีประโยชน์ ยาบำรุง วิตามิน เราต้องดูแลจากภายในมาภายนอกด้วย ไม่ใช่ดูแลแค่จากภายนอก ต้องทำควบคู่กันไป การออกกำลังกายก็สำคัญ ทำให้ผิวกระชับด้วย การดูแลผิวมันมีหลายส่วนประกอบกัน”

ซีรีส์กับขนม

หลังชีวิตในวงการ นอกแสงไฟของการทำงาน เธอเป็นคนอยู่ติดบ้าน ถ้าไม่ได้ไปทำงาน เจอเพื่อนๆ อัปเดตชีวิตไปดูหนังฟังเพลง ก็เพียงอยู่บ้านและดูซีรีส์ต่อเนื่องยาวนานอย่างคนติดซีรีส์คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ฝรั่ง ซีรีส์เกาหลี ช่วงไหนติดเรื่องไหนเธอจะอยู่บ้านนั่งดูทั้งวัน

กิจวัตรประจำวันมีเพียงตื่นเช้า แปรงฟัง ดูซีรีส์ กินข้าวบนเตียงและดูซีรีส์ไปอีกยาวนาน หากเมื่อยเนื้อตัว ยังไม่เห็นแสงแดดของวัน เธอก็จะสวมรองเท้าผ้าใบ จูงสุนัขคู่ใจที่เลี้ยงไว้แล้วออกไปวิ่งเล่นในหมู่บ้าน บางวันก็นัดรวมเพื่อนไปตีแบดมินตัน นั่นคือวันพักผ่อนของเธอ

ในส่วนของการดูซีรีส์นั้น เธอมองว่าให้ประโยชน์ในส่วนของการแสดงที่ทำให้ได้เห็นการแสดงที่หลากหลาย ในซีรีส์ฝรั่งนั้นนางเอกมักจะเข้มแข็งอย่างชนิดที่แทบจะปกป้องพระเอกได้เลย ส่วนซีรีส์เกาหลีก็มักจะมีความโอเวอร์ ทำทุกอย่างแบบเห็นภาพได้ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เอามาประยุกต์ปรับใช้ได้กับการแสดงละครไทยในบางส่วน

“มันทำให้เราได้เห็นเครื่องมือทางการแสดงที่แตกต่างแล้วเอามาปรับใช้ได้ กับละครไทยมันก็จะเป็นละครมากๆ มีความประดิษฐ์สูงกว่า เหมือนซีรีส์หรือละครของแต่ละประเทศมันก็ต่างกันไป เรียกว่าเป็นความหลากหลายของการแสดงมากกว่า”

งานอดิเรกอีกอย่างที่เธอชื่นชอบก็คือ การทำขนมที่เธอจริงจังมาก ในกองถ่ายละครเรื่อง สามี เป็นช่วงที่เธอเพิ่งได้เตาอบมาก อาทิตย์เว้นอาทิตย์ที่เธอทำเค้กไปแจกในกองถ่าย วันเกิดใครเธอขอเป็นคนแสดงฝีมือแบบจัดเต็ม กระทั่งในหมู่บ้านหากมีจัดเลี้ยงอะไรเธอก็จะทำเค้กไปเสิร์ฟอยู่เสมอ

“เราทำแล้วมันเพลิน เหมือนเป็นการฆ่าเวลา เราก็รู้เรื่องขนมเยอะ มันก็มีความสุขเวลาเห็นมันออกมาเป็นชิ้น คนกินแล้วเขามาชม ทุกคนกินแล้ว เฮ้ย เราขอห่อกลับได้หรือเปล่า? มิ้นท์ก็โอเคๆ ดีใจมาก มันรู้สึกว่าเราทำในสิ่งที่เรารัก”

ดังนั้นเมื่อมีงานออกบูทขายของต่างๆ เธอจึงยกมือเข้าร่วมด้วยในงานที่จัดขึ้นที่เมืองทองที่ผ่านมา นั่นเองที่ทำให้เธอได้รู้ว่า เธอเหมาะกับการทำขนมในแบบที่ได้ทำสนุกๆ และแจกจ่ายให้กับเพื่อนๆ คนรู้จักเพียงเท่านั้น

“มันต้องทำวันต่อวัน และทำวันละ 200 -300 ชิ้น เรารู้สึก เออ เราไม่เหมาะกับการทำขาย เราเหมาะกับทำเป็นของขวัญให้กับคนที่รู้จัก ให้กับวันเกิดใครก็ตามที่เรารู้จักมากกว่า ถ้าทำขายคงเหนื่อยไป ตอนนี้พอใจกับการทำเล็กๆน้อยๆมากกว่า”

ขอตบไม่จูบ

ไฟล้างไฟ ,เลือดรักทระนงและปดิวรดา คือละคร 3 เรื่องที่อยู่ในแผนชีวิตของเธอในช่วงปีนี้ กับบทบาทที่ทั้งดีและร้าย การแสดงที่หลากหลายมากขึ้น เธอค้นพบความถนัดของตนเองหลังประสบการณ์ในวงการ

“ถ่ายเสร็จก็น่าจะได้ออนแอร์สิ้นปีน่ะคะ ทั้ง 3 เรื่องก็มีทั้งร้ายและดีแต่ไม่มีเรื่องไหนที่เรียบร้อยเลย(หัวเราะ) อย่างเรื่องไฟล้างไฟ เราเล่นเป็นคนดีนะคะ เล่นเป็นคนชอบพระเอกแต่เขามองเราเป็นน้องสาว เราจะทำทุกอย่างเพื่อพระเอกไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ถ้าเขาแฮปปี้ตรงไหนเราก็จะคอยช่วยเขา เรื่องนี้จะออกแก่นๆ จะเป็นคู่อริกับพี่เดี่ยว ส่วนเรื่องปดิวรดาโอเคนี่คือร้ายไปเลย ต้นเรื่องยังไงคือร้าย เป็นละครพีเรียด ส่วนเลือดรักทระนงเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ”

ในฐานะที่เคยเป็นนักแสดงที่ถูกวางไว้เป็นนางเอก เธอมองว่าการสลับมาเล่นร้าย เล่นดีบ้างเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง กระทั่งการสลับเป็นทั้งตัวร้ายในต้นเรื่องและท้ายเรื่องเป็นคนดี เธอมองว่าการแสดงต้องมีความหลากหลาย จะยึดติดว่าต้องร้ายหรือดีตลอดไม่ได้

“เหมือนมันได้ปรับปรุง ได้เล่นอะไรให้มันมากขึ้น ให้คนดูได้ดูอะไรที่หลากหลายขึ้นในตัวเรา”

โดยบทที่เธอชอบนั้น มักจะเป็นผู้หญิงเก่ง ไม่ว่าจะเป็นบทดีหรือร้ายก็ขอให้เป็นคนทันคนไว้ก่อน เธอจะชอบที่สุด เพราะบุคลิกของคนเก่งในละครมักจะมีท่วงท่าการเดิน การแสดงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ บทเรียบร้อยไม่ค่อยเข้ากับเธอมากนัก เคล็ดลับในการแสดงของเธอคือการทำการบ้าน ทำความเข้าใจบทและละครให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเธอก่อน บทพูดทุกอย่างต้องจำให้ได้ก่อนเข้าฉากในวันถัดไป ซีนไหนยากต้องวงกลมทำการบ้านไว้ให้หนัก

“ตัวละครที่เราได้รับมันคือใคร นิสัยใจคอมันคือยังไง เวลาโกรธระดับสิบมันจะเป็นยังไง หรือมีความสุขระดับ 10 มันจะหัวเราะขนาดไหน คือเราต้องทำความเข้าใจกับบทที่เราจะเล่นให้มากที่สุดให้มันซึมมาเป็นตัวเรา”

แต่ในส่วนของการแสดงเธอก็ยังมองว่า ตนเองทำได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะบทหวานกุ๊กกิ๊กที่เธอไม่ถนัด ไม่มีจริตจะก้านอย่างที่ผู้กำกับต้องการเท่าที่ควร

“เหมือนเราไม่ใช่คนกุ๊กกิ๊กด้วยคะ สมมติในซีนนี้มีให้จับมือ เราก็เดินเข้าไปจับเลย ผู้กำกับมันต้องมีมองตากันก่อน ส่งสายตากันก่อน”

แต่บทที่ถนัดนั้นคือบทปะทะคารมประชันฝีปาก

“เป็นบทด่าคะ กลายเป็นบทที่ชอบ อาจจะด้วยความที่ตัวบทที่มีคำพูดที่มีอะไรให้เราเล่นมากกว่าบทกุ๊กกิ๊กอาจจะเป็นท่าทางหรือคำพูดหวานๆ อย่างเดียว”

ร้อนกว่าแดดยามบ่าย

เปลวแดดยามบ่ายคือความร้อนที่หลายคนยอมแลกหลายสิ่งในชีวิตเพื่อไม่ต้องพบเจอ แต่ผลงานล่าสุดของเธอกับชุดว่ายน้ำแบบทูพีชยิ่งร้อนแรงกว่าแดดยามนั้น และเธอแอบฟิตหุ่น แอบรับงานถ่ายโดยไม่บอกกล่าวกับใคร

“ก็มีปรึกษาคุณแม่บ้าง แต่ตอนนี้ก็โตแล้ว คิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว พร้อมแล้วที่จะรับงานนี้ ผลก็ออกมาดีนะคะ คนก็แปลกใจกัน ชมกัน ติกันบ้างก็รับฟังไว้ปรับปรุง”

กับคอนเซ็ปต์ใสๆ น่ารักๆ ถือเป็นคอนเซ็ปต์ที่กำลังดีสำหรับเธอ โดยในการทำงานของเธอนั้น ยึดการทำงานในปัจจุบันให้ดีที่สุดที่แก่นแกนในการดำเนินชีวิต

“จริงๆแล้ว ความฝันสำหรับมิ้นท์ในวัยเด็กมิ้นท์มีความฝันเยอะแยะมากมาย แต่พอโตขึ้นมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีนึงมันไม่ค่อยมีแล้ว หมายถึงทุกวันนี้เรารู้สึกว่าเราอยู่กับความจริงมากกว่า แล้วก็ทำให้ทุกวันให้มันดีที่สุด รับผิดชอบงานที่ได้ทำให้มันดีที่สุด มิ้นท์รู้สึกว่าอนาคตเราจะแข็งแรงมั่นคงก็มาจากตั้งแต่วันนี้ที่เราทำทุกวันให้มันมั่นคงพอหรือยังมากกว่า มองงานในวงการบันเทิงว่าตอนนี้ทำตรงนี้ให้มันดีที่สุดก่อน แค่นั้นเอง”

เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ
ขอบคุณภาพจาก นิตยสาร MARS ฉบับที่ 150




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!

และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754




“เงารักลวงใจ” ณเดชน์, ณัฐวรา, ปริญ
สุนัขที่เลี้ยงอยู่ปัจจุบัน
 ธุรกิจความงาม
แฟนคลับ
ทำขนมเค้กแจก
พักผ่อนชิวๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น