ธนาคารออมสินไอเดียเก๋แก้ปัญหาหวยแพง ปล่อยกู้ให้ผู้ค้าสลากฯ แก้ปัญหาการขายสลากฯ เกินราคา ทว่า วิธีการแก้ปัญหานี้อาจเป็นการสร้างปัญหาหนี้เพิ่มแทน เพราะที่ผ่านมาผู้ค้าก็ประสบปัญหาด้านเงินทุน จนไม่สามารถรับสลากฯ ไปจำหน่ายได้อยู่แล้ว!
“กู้” ช่วยแก้!?
จากกรณีธนาคารออมสินออกไอเดียแก้หวยแพง โดยปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ค้ารายย่อย-คนพิการ รายละ 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับสลากฯ ไปจำหน่ายและแก้ปัญหาการขายสลากฯ เกินราคา โดยผู้มีเงินทุนสามารถรับสลากฯ ไปจำหน่ายได้เองโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
โดยมาตรการนี้เกิดจากที่ผ่านมา ผู้ค้าสลากฯ มักจะประสบปัญหาด้านเงินทุน ทำให้ไม่สามารถรับสลากฯ ไปจำหน่ายได้ จึงต้องมีการขายโควตาสลากฯที่ได้ไปให้กับพ่อค้าคนกลางเพื่อรับไปจำหน่ายแทน ส่งผลให้มีการจำหน่ายสลากฯ ในราคาที่เกินกว่าใบละ 80 บาท
ทั้งนี้ ผู้ค้ารายย่อยและคนพิการได้รับวงเงินสินเชื่อรายละ 100,000 บาท จะเพียงพอต่อการรับสลากฯไปจำหน่าย 2 งวดต่อเดือน จะจัดสรรสลากฯรายละ 5 เล่ม หรือ 500 ใบ หากประเมินถึงต้นทุนที่ผู้ค้าสลากฯฯ เป็นตัวแทนขายจะได้รับส่วนลด 7เปอร์เซ็น หรือคิดเป็นในราคาใบละ 74.40 บาท จะเป็นเงินต่องวดทั้งสิ้น 37,200 บาท หรือต่อเดือนที่ 74,400 บาท ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการขายสลากฯฯ เกินราคา
จากประเด็นดังกล่าว ทำให้มีคำถามมากมายต่างถาโถมเข้ามา ว่าการแก้ปัญหานี้อาจจะเป็นการสร้างหนี้สินเพิ่มให้กับผู้ค้าหรือไม่? “รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์” คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็นกับทางทีมข่าวASTV ผู้จัดการLive ว่าหากธนาคารออมสินปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ค้าสลากฯ เขาก็กล้าลงทุน เพราะที่ผ่านมาคนที่มีรายได้น้อยยังไม่มีทางที่จะไปรับเองได้
“ผมเห็นด้วยนะครับ ถ้าหากว่าออมสินจะปล่อยเงินกู้ คนที่ค้าขายสลากฯ จริงๆ เขาถึงจะกล้าลงทุน อันนี้มันก็เป็นวิธีการแก้ปัญหาเพราะไม่อย่างนั้นระบบของสลากฯ ถ้าคนจะไปรับก็ต้องจ่ายเงินสด ที่ผ่านมาคนที่มีรายได้น้อยยังไม่มีทางที่จะไปรับเองได้ ก็ต้องไปเอาจากยี่ปั๊วและกำไรเขาก็จะได้น้อยลง อันนี้จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สลากฯ มีราคาแพง เพราะว่ากว่าคนที่มีรายได้น้อยจะได้ล็อตเตอรี่ มันก็เป็นซาปั๊ว ยีปั๊วไปหมดแล้ว ส่วนอันนี้เขาก็อาจจะมาเป็นยี่ปั้วเอง เป็นยี่ปั้วรายย่อย”
แน่นอนว่าหากธนาคารออมสินปล่อยเงินให้กู้แล้ว ทั้งธนาคารเอง หรือคนกู้ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น แต่ถึงอย่างไรอาจารย์ก็เห็นด้วยกับการแก้ไข และมองว่ามาตรการนี้เป็นวิธีการที่น่าทดลอง
“เขาก็ต้องแบกรับความเสี่ยงไป เพราะถ้าจะให้ผู้กู้เอาสินทรัพย์ไปวาง มันก็ไม่แน่ว่าเขาจะมีไปวางหรือเปล่านะ และถ้าเกิดว่าไม่มีไปวาง ออมสินจะกล้าให้หรือเปล่า คือนอกจากจะต้องมีคน 3-4 คนมาช่วยกันค้ำประกันแบบกลุ่ม และถ้าเกิดคนนี้ไม่มา คืน 3-4 คนก็ต้องรับภาระไป
โดยรวมแล้วผมเห็นด้วยกับการแก้ไข มันก็เป็นมาตรการที่น่าทดลองดู สำหรับคนที่อยากมาเป็นยี่ปั๊วรายย่อยได้ทดลองดู แต่มันก็เสี่ยงด้วยกันทุกฝ่ายแหละ ออมสินก็มีความเสี่ยง คนมากู้ก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน เพราะปกติสลากฯ มันจะขายไม่ดีเท่ากันทุกงวดนะครับ งวดอย่างเดือนที่จะเปิดเทอมมันจะขายไม่ดี ช่วงฝนตกมากก็จะขายไม่ได้ มันก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจด้วยเหมือนกัน กำลังในการซื้อของคน ผมก็มองว่ามันเป็นวิธีการที่น่าทดลองดู ถ้ามันทำได้จริง มันก็ได้ปลดแอกเขา”
ยิ่งกู้ ยิ่งลำบาก!
ในทางกลับกันทางด้าน “ธวัช สถิตวิทยา” ประชาสัมพันธ์สมาคมผู้ค้าสลากฯเลขท้าย เขากลับมีความเห็นในเชิงไม่เห็นด้วย เพราะมาตรการนี้จะมีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย หากผู้ค้ามีหนี้สูงก็จะเกิดความลำบาก
“มันก็มองได้ทั้งสองมุม อย่างในมุมคนพิการหรือคนค้าขายที่ไม่มีทุนผมก็เห็นด้วยครับ แต่ปัญหามันคือว่าธนาคารต้องลดความเสี่ยงเรื่องอัตราดอกเบี้ย หลักประกัน คนค้ำประกัน มันเป็นธนาคารของรัฐ มีหนี้สูงก็ลำบาก
ถ้าเขาปล่อยน้อยมันก็ไม่ได้ผลหรอก มันไม่คุ้มกัน เขาก็ไปกู้เงินด่วนมาดีกว่า มาหมุนเอา เพราะกู้มาหมุนเอาสัก 2-3 วัน ผลสุดท้ายเหมือนเดิมก็คือ พอดอกเบี้ยมันแพงก็จะไปผ่อนยี่ปั๊ว เพราะถ้ากู้รัฐมันก็ยุ่งยาก มันซับซ้อน”
หากผู้ค้าส่วนใหญ่หันไปกู้ธนาคารกันหมด ปฏิเสธไม่ได้ว่า พ่อค้าคนกลางคงได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ต้องดูนโยบายว่าจะให้ผู้ค้าขายขั้นต่ำกี่เล่ม หากให้ขายน้อยต่อเดือนมันก็ไม่ไหว
“รายย่อยๆ ก็คงไปธนาคาร แต่รายใหญ่ๆ คงไม่ไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องดูว่านโยบายทางกระทรวงจะให้คนขายขั้นต่ำกี่เล่ม ที่จะให้เขาอยู่ได้ ผมได้ยินมาว่าโควตาให้ 10 เล่มใหญ่ 20 เล่มเล็ก จะหั่นเหลือครึ่งเดียว และเดือนหนึ่ง ตกลงขายเดือนหนึ่ง 10 เล่ม มันจะอยู่ได้ยังไง และถ้าขาย 80 บาท กำไรเท่าไหร่ ตีสัก 5 บาทต่อ 1 คู่ และถ้า 10 เล่มใหญ่ต่อเดือนมันจะไหวเหรอ เพราะฉะนั้น มันก็เหมือนเดิมได้น้อยเขาก็ไม่ทำอยู่ดี เขาก็ไปส่งยี่ปั๊ว เซ็นเบิกสลากฯ และก็เอามาให้เขา”
หากราคาสลากฯ ดีมันก็คุ้มที่จะรับมา แต่หากราคาตกก็โดนทิ้งเข้าระบบเดิม มันเลยกลายเป็นวัฏจักรวนเวียนไปเรื่อยๆ และหากสลากฯ เหลือเยอะจะทำอย่างไร
“เคยมีถกเถียงกันว่า ปัญหาที่คนไปผ่านยี่ปั๊วกันเยอะ เพราะเขาได้สลากฯน้อย บางคนอยู่ต่างจังหวัดได้ 2 เล่มครึ่ง 3 เล่ม บางคนก็ทิ้งในช่วงที่สลากฯราคาดี มันก็พอคุ้มที่จะมารับ แต่พอสลากฯราคาตกในตลาด คนก็ทิ้งและเข้าระบบเดิม มันกลายเป็นวัฏจักร
พอสลากฯเหลือสำนักงานทำอะไรไม่ได้ก็ไปวานขอยี่ปั๊วให้มารับหน่อย มันเป็นวัฏจักรแบบนี้ วนเวียนไปเรื่อยๆ และโดยทั่วไปมันแปลกสลากฯกินแบ่งถ้าแพงๆ มักจะขายดี แต่ถ้างวดไหนสลากฯ ถูกนะ 80-90 บาทก็เหลือกันบาน มันเป็นพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย รู้สึกว่ามันแพงและมันมีค่า ถ้ามันถูกมันก็เกลื่อน เหลือเยอะและจะแก้ยังไง”
ต่อข้อซักถามที่ว่า การแก้ปัญหานี้จะเป็นการสร้างภาระหนี้สินให้กับผู้ค้าหรือไม่นั้น ผู้ค้าสลากฯ เลขท้าย ตอบกลับทิ้งท้ายว่า มันอาจเดือดร้อนไปเป็นทอดๆ และในส่วนของหนี้สินก็อาจเป็นไปได้ในส่วนหนึ่ง แต่คงไม่ใช่กับทุกคน
“ก็เป็นไปได้ ถ้าคนไม่มีวินัย คือได้ตังค์มาแล้วก็ไม่ไปจ่าย แทนที่จะเบิกสลากฯ มาและก็มาคืนหนี้ ก็คือ 2 ต่อ สลากฯ ก็เอาไปขาย แต่หนี้ก็ไม่ใช้ หรือมีบางคนหัวใสเอาไปปล่อยต่ออีก เพราะว่าคนหาเช้ากินค่ำที่ต้องดิ้นรนเขามีวินัยนะ ไม่ใช่เขาไม่มีวินัย เขาก็ อยากมีแต่บางทีการต้องต่อสู้ดิ้นรน มันมีค่าใช้จ่ายอะไรมารอเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นมันไม่มีใครไปกู้ร้อยละ 5 ต่อเดือน ร้อยละ 10 ต่อเดือนหรอกครับ
เพราะว่าเขามีความจำเป็น ส่วนในกรณีนี้มันก็อาจเดือดร้อนเป็นทอดๆ ไป ทั้งทางฝ่ายให้ปล่อยกู้ และทางผู้ยืม ผมว่ามันก็เป็นไปได้ในส่วนหนึ่งในการสร้างภาระหนี้สิน แต่คงไม่ทุกคนหรอกครับ มันอยู่ที่วินัยและอยู่ในสภาพเศรษฐกิจช่วงนั้นด้วย เพราะถ้าช่วงนั้นมันหนักหนาสาหัส คนก็เอาตัวรอดก่อน หนี้รัฐบาลก็อาจไปเจรจากันทีหลัง”
ข่าวโดยASTV ผู้จัดการLive
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754