ในยุคที่พระออกนอกลู่นอกทางกันเยอะ ไม่แปลกที่ฆราวาสจะทุกข์เพราะ 'พระ' กันมากขึ้น ล่าสุด อดีตพระเกษม อาจิณณสีโล แห่งที่พักสงฆ์สามแยก จ.เพชรบูรณ์ ก่อเรื่องฉาว ยอมรับว่าเสพเมถุนกับลูกศิษย์อุปถัมภ์ภายในสำนักสงฆ์จริง แต่กระทำไปโดยไม่รู้ตัว และไม่ยินดี จนตอนนี้ตัดสินใจกล่าวคำลาสึก แต่งกายนุ่งขาวห่มขาว ปิดฉากพระที่ถูกมองว่า บ้าเพราะอยากดัง สอนคนไทยให้รู้ว่า 'อย่ายึดติดที่ตัวบุคคล'
'เกษม' อดีตพระฉาว เขาว่าเพี้ยน?!
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อดีตพระเกษม เคยเป็นพระสงฆ์ที่ถูกมองว่าเป็นพระบ้า อยากดัง เห็นได้จากพฤติกรรมที่ใครหลายคนมองว่า ทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นคำพูด หรือการกระทำ ซึ่งหากใครยังจำกันได้ กับข่าวพระหน้าหนึ่งสั่นสะเทือนวงการสงฆ์ในเหตุการณ์เมื่อกลางปี 2556
นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ ในฐานะผู้เสียหาย ได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.น้ำหนาว ให้ดำเนินคดีกับ พระเกษม อาจิณณฺสีโล แห่งที่พักสงฆ์สามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ในข้อหาดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนวัตถุ ทั้งห้ามกราบไหว้พระพุทธรูป รวมไปถึงการใช้เท้าเหยียบฐานพระพุทธรูป และใช้มือตบพระพักตร์องค์พระพุทธชินราชจำลอง
สุดท้าย เมื่อคดีต่อสู้ไปถึงศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษาสั่งปรับอดีตพระเกษมจำนวน 2,000 บาท จำนวน 2 กระทง รวม 4,000 บาท แต่การนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดค่าปรับให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือให้จำเลยจ่ายค่าปรับ 2,000 บาทในคดีความผิดดูหมิ่นเหยียดหยามต่อศาสนวัตถุ
ด้านอดีตพระเกษมก็บอกในตอนนั้นว่า แม้กระแสโลกตัดสินให้มีความผิด แต่เจ้าตัวบอกว่า "ไม่เคยผิดวินัยและไม่ควรผิด พวกผิดวินัยเต็มบ้านเต็มเมืองก็คือพวกเถรสมาคม มีเงินเยอะก็ผิดเยอะ และเห็นด้วยว่าควรให้ตรวจสอบทรัพย์สินพระ..."
นอกจากนี้ ยังเคยถูกสำนักพุทธศาสนาจ.เพชรบูรณ์ แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาเป็นพระภิกษุทราบคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศ แต่ไม่ยอมสละสมณเพศตามกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ประกอบกฎมหาเถรสมาคม สืบเนื่องมาจากที่พระเกษมได้แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมใช้เท้าเตะสำรับอาหารบนโต๊ะ ขณะญาติโยมและแม่ชีกำลังตักบาตรในหอฉันจนกลายเป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์หัวสี
สำหรับแนวทางของอดีตพระรูปนี้ ได้เผยแพร่คำสอนในแนวทางให้ยึดถือแต่เพียงพระไตรปิฎกเป็นแนวทางปฏิบัติเท่านั้น พร้อมยังเคยออกมาโจมตีการรับเงินของพระผู้ใหญ่ในเถรสมาคม โดยการประกาศลั่นให้หยุดทำลายพระพุทธศาสนา หยุดถวายเงินทองแด่พระภิกษุ และสามเณร
เฟซบุ๊กต้านพฤติกรรมอดีตพระฉาว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า พฤติกรรมที่ผ่านมาของอดีตพระเกษม เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าเพี้ยน และหลุดโลก จนมีผู้เปิดเพจเฟซบุ๊ก 'กลุ่มคนต่อต้านการกระทำพระเกษม อาจิณณสีโล' ขึ้น โดยโพสต์ภาพ และข้อความตำหนิการกระทำที่ไม่เหมาะสม และคอยรายงานความคืบหน้าต่างๆ อย่างกรณีล่าลุด ที่มีการโพสต์แจ้งข่าว พร้อมแจ้งเตือนเพื่อนสมาชิกให้ตักเตือนญาติพี่น้อง ที่ศรัทธาสำนักสงฆ์แห่งนี้
"คำสั่งสึกมาแล้ว จะแจ้งความแต่งกายเลียนแบบสงฆ์แล้วได้ข่าววงในว่าสึกแล้ว ตามกันชัดๆ อีกที สำนักบ้าๆ นี้ใครเจอเพื่อนเจอญาติไปหลงดูๆ อย่าประมาทพวกบวมๆ พวกนี้ อยู่ดีไม่ว่าดี กงจักรเห็นเป็นดอกบัว เห็นอีแอบเป็นอริยะ...บ้าจริง" กลุ่มคนต่อต้านการกระทำพระเกษม อาจิณฺณสีโล
ทางด้านพระสงฆ์ด้วยกันเองอย่าง พระพุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อในประเด็นฉาวของอดีตพระเกษมว่า ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องของคนบ้าที่อยากแสดงความบ้าและอยากความดัง
ส่วนกรณีที่ นายเกษม อ้างว่าเป็นการทำไปโดยไม่รู้ตัวนั้น พระพุทธะอิสระ บอกว่า เป็นสันดานของคนที่ต้องการกล่าวอ้างเพื่อเอาตัวรอด ยังไงก็ถือว่าผิด และไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานหรือพยาน ควรรู้ได้ด้วยตนเอง แต่นายเกษม เป็นคนหน้าหนา จึงไม่รู้จักละอายชั่วหรือกลัวบาป และคนอื่นๆ ควรแยกแยะ ไม่ต้องไปกราบไหว้ยกย่อง
มองอีกมุมจาก "พระ" อีกรูป
แม้หลายคน รวมไปถึงพระสงฆ์บางรูปจะไม่พอใจในท่าทีก้าวร้าวทั้งคำพูด และการกระทำของอดีตพระเกษม แต่ในมุมของพระสงฆ์ที่ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Phramaha Paiwan Warawunno กลับได้วิเคราะห์คดีฉาวที่เกิดขึ้นกับอดีตพระรูปนี้ โดยมองอีกมุมไว้อย่างน่าคิด
"พูดถึงกรณีของลุงเกษมนั้น อาตมามองว่า ถึงแกจะทำผิดพระวินัยขั้นแรง จนต้องสละเพศบรรพชิต แต่แกก็มีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่ไม่น้อย ในการประกาศยอมรับความผิดอย่างตรงไปตรงมา และเปิดโอกาสให้คณะสงฆ์ภายในวัด ไต่สวนถึงอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น โดยธรรมโดยวินัย และเมื่อมีสงฆ์ชี้มูลปรับอาบัติแล้วว่า ถึงแกจะอ้างว่า ทำลงไปโดยไม่มีเจตนาประกอบ คือ ไม่รู้สึกตัว แต่แกก็ปกปิดความผิดอันนั้นไว้ อันนับว่าเป็นความเสียหายอย่างหนึ่ง ในทางพระธรรมวินัย สมควรให้สึกไปเสีย แกก็ยอมรับมติของสงฆ์และสึกแต่โดยดี
เรื่องที่ชวนให้น่าคิดมากไปกว่านั้น ก็คือว่า การที่แกยอมสึกในครั้งนี้ เป็นไปเพราะอำนาจของพระธรรมวินัย ไม่ใช่เพราะอำนาจของกฎหมายบ้านเมือง หากเราจำกันได้ก่อนหน้านี้ คณะสงฆ์ที่ไม่พอใจในท่าทีก้าวร้าวของแก พยายามจะเล่นงานแก ด้วยวิธีการต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรม และใช้อำนาจทางกฎหมาย เพื่อจะบังคับให้แกสึก อย่างเช่นที่กล่าวหาแกว่า บุกรุกป่าสงวน เป็นต้น แต่แกก็ไม่ยอมสึก เพราะเห็นว่า ไม่ได้ทำผิดจริง ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน เมื่อสอบสวนกันโดยพระธรรมวินัย จากหมู่สงฆ์ภายในวัด ที่ปกครองกันเองแล้ว แกก็ชิงสึกเสียก่อน โดยที่ไม่สนใจไยดีถึงอำนาจของมหาเถรสมาคม หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลยแม้แต่น้อย
มันเป็นเรื่องที่มีให้เห็นได้ไม่ง่ายนัก ในการที่พระในยุคปัจจุบันจะให้ความเคารพยำเกรงในพระธรรมวินัย และยอมรับโทษ ตามบทบัญญัติของพระธรรมวินัยนั้น โดยไม่ต้องรอให้ใครมาใช้อำนาจทางบ้านเมืองบังคับ อย่างที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะพระที่ทำผิดพระวินัยขั้นร้ายแรง เดี๋ยวนี้มีแต่จะปกปิดโทษของตนเองไว้ แม้จะมีผู้อื่นโจทย์ฟ้องตามพระธรรมวินัย ก็หาได้มีหิริยอมรับแต่โดยดีไม่ จนถึงได้อาศัยกฎหมายทางบ้านเมือง ไต่สวนและชี้มูลความผิดตามหลักฐานแล้วเท่านั้น ถึงจะยอมรับ นี่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นได้อย่างหนึ่งว่า พระเดี๋ยวนี้เคารพยำเกรงกฎหมาย มากกว่าพระธรรมวินัย
อาตมามองว่า การที่ลุงเกษมกล้าออกมายอมรับในความผิดของตนเอง เป็นความงามอย่างหนึ่ง แลส่อให้เห็นว่า แกไม่ใช่คนที่หยาบกร้านเท่าไหร่นัก อย่างน้อยก็ไม่ได้ปราศจากลัชชีธรรมเลย ที่จริงอาตมายังมองมากไปกว่านั้นด้วยซ้ำว่า ที่แกต้องอาบัติหนักเช่นนี้ เพราะมีสัญญาวิปลาส คือมีจิตอันไม่ปกติ จะเกิดจากการที่แกอยู่กับคัมภีร์มากจนเกินไปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ อาตมามองว่าเป็นสิ่งผิดวิสัยที่พระซึ่งมีความแตกฉานชำนาญในพระไตรปิฎก และมีวัตรปฏิบัติอย่างเรียกว่า น่าเลื่อมใส ซึ่งแม้แต่เงินทอง ก็ไม่ยอมรับ อย่างลุงเกษม จะต้องอาบัติหนักง่าย ๆ และยอมรับได้อย่างหน้าตาเฉย โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ส่วนเรื่องอาการแปลกๆ หรือภาวะจิตวิปลาสของลุงเกษมนั้น มีให้เห็นมานานแล้ว อาตมาสังเกตได้ จากกิริยาหลายอย่างของแก ไม่ว่าจะจากการที่แก แสดงอาจาระ ผิดรูปผิดรอย เผยโทสจริต ด้วยการชอบใช้ความรุนแรง ทางคำพูดและการกระทำ ให้เห็นอยู่บ่อยๆ การตีความคำสอนในพระไตรปิฎกแบบสุดโต่ง ชนิดว่า ตบหน้าพระพุทธรูป ยังทำมาแล้ว หรืออ้างว่า เห็นนรกเห็นสวรรค์ เป็นต้น แต่จะว่าไป โรคโทสจริต หรือนิยมความรุนแรงนี้ เป็นโรคที่พระเดี๋ยวนี้เป็นกันมาก ไม่ใช่แต่ลุงเกษมเท่านั้น แม้แต่พระเถระรูปอื่นๆ ที่บวชมานาน ก็มักจะเผยกิริยาอาการ เช่นนี้ ออกมาให้เห็นเหมือนกัน
เมื่อต้องประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าถึงวันนี้ลุงเกษมแกจะลาสิกขาไป และพ้นสภาพจากความเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาตลอดกาล แต่สิ่งดีงามไม่น้อยที่แกเคยทำไว้ เมื่อสมัยที่ยังบวชอยู่ ก็จะยังเป็นคุณกับพระพุทธศาสนาต่อไป อย่างว่า คนเราจะดีส่วนเดียวมีที่ไหน มีดีก็ย่อมมีเลวบ้างปละปนกันไป ตามวิสัยของมนุษย์ขี้เหม็นทุกคน โบราณท่านจึงสอนว่า เสียศรัทธาในตัวบุคคลได้ แต่อย่าให้เสียอุดมการณ์ อาตมาคิดว่า ชาวพุทธอย่างเราๆ ท่านๆ คงจะมีสิตปัญญาพิจารณาได้ด้วยตัวเอง"
ระวังทุกข์เพราะยึดติิดที่ตัวบุคคล
ดังนั้น ในยุคที่พระสงฆ์ หรือใครก็ตามที่ถูกจัดว่า เป็นบุคคลที่น่าศรัทธา น่ายกย่อง แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ซึ่งบางคนทำเรื่องที่ผิดพลาดจนไม่น่าให้อภัย เมื่อเป็นเช่นนี้ แรงศรัทธาที่มีอยู่อาจสั่นคลอน และหมดตามไปด้วย เห็นได้จากกรณีพระหลายๆ รูป อย่างเช่น อดีตพระมิตซูโอะที่ลาสิกขากลับประเทศญี่ปุ่น ทำให้ลูกศิษย์ลูกหาหมดศรัทธา หรือบางคนรู้สึกเคว้ง เพราะไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเหมือนเมื่อก่อน
เช่นเดียวกับกรณีอดีตพระเกษม บางกลุ่มที่เลื่อมใสศรัทธาก็มีอยู่มาก การไปยึดติด หรือวางศรัทธาไว้ที่ตัวบุคคล ก็ย่อมมีโอกาสหวั่นไหว เมื่อพระรูปนั้นๆ เปลี่ยนไปไม่ใช่คนเดิม หรือไม่ใช่สิ่งที่วาดหวังไว้ ทางที่ดี อย่ายึดติดที่ตัวบุคคล ดังที่ พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ประธานสงฆ์วัดไตรสิกขาทลามลตาราม อ.ตากล้า จ.สกลนคร และพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ได้เคยบอกเอาไว้ว่า "จงเอาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง อย่ายึดติดในตัวบุคคล"
นั่นเพราะคำสอนโดยตรงจากพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่ใช้ได้ตลอดกาล แถมยังลดความทุกข์ที่เกิดจากพระในยุคที่พระสงฆ์ออกนอกลู่นอกทางกันเยอะขึ้นด้วย
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754