“วาได้ฉายาดาวเทียมไม่เจียมตัว วารู้สึกชอบตรงที่ ใช่! วาไม่ใช่ดารา แล้ววาก็ไม่อยากเป็นด้วย วาอยากเป็นนักแสดง เพราะฉะนั้น ดาวเทียมก็อาจจะจริง และวาไม่เคยเจียมตัวนั่นมันคือเรื่องจริง”
นี่คือคำพูดของ “วาววา-ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด” ผู้ที่ถูกครหาว่าเป็นดาราไร้วินัยซ้ำซาก จนโดนผู้ใหญ่เอือมระอาและไม่อยากร่วมงานด้วย ท่ามกลางกระแสร้อนแรงมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเคลียร์ทุกประเด็นดังกล่าวได้
เล่าอีกมุม “บางระจัน” รีเมก ไม่ได้บิดเบือน
บ่ายแก่ๆ ของวันธรรมดาช่วงต้นสัปดาห์ คือช่วงเวลาที่ทีมงาน M-Lite มีนัดกับนางเอกสาวร่างเพรียวที่กำลังมีละครหลังข่าวออนแอร์อยู่ในขณะนี้ ถ้าใครเปิดดูโทรทัศน์ช่อง 3 ต้องไม่พลาดที่จะได้เจอหน้าเธอให้เห็นจนคุ้นชิน นั่งรอไม่กี่อึดใจ และแล้วสาวงามก็ปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ก้าวเท้าเข้ามาหาผู้สัมภาษณ์พร้อมรอยยิ้มที่สดใสบวกกับท่วงท่าที่มั่นใจในชุดเดรซสั้น แฝงความน่ารักเป็นตัวเอง แต่ก็ซ่อนไปด้วยความเรียบหรูดูดีอยู่ในที
หลังกล่าวคำทักทายกันได้สักพัก บทสนทนาระหว่างเราจึงเริ่มต้นขึ้น หนีไม่พ้นประเด็นคำถามเริ่มทำความรู้จักกันที่ว่า เธอจับพัดจับผลูมาเล่นละครเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะบทที่ได้รับ ดูๆ แล้วขัดกับบุคลิกสาวหวานของเธอเป็นอย่างมาก คนถูกถามรีบตอบกลับพร้อมหน้าเปื้อนยิ้มทันทีว่า เพราะเรื่องบางระจัน เป็นเรื่องที่เธอใฝ่ฝันและอยากเล่นมานานแล้ว
“จริงๆ วารู้ข่าวเรื่องบางระจันมาสักพักนึงแล้วก่อนที่วาจะได้เล่น คือรู้ตั้งแต่ตอน Sixth Sense ซีซั่น2 ว่าเค้าวางตัวว่าใครเป็นพระเอก วาก็คิดอยู่ในใจว่า เอ๊ะ.. อยากเล่นจัง(อมยิ้มขี้เล่น) แต่ไม่เคยบอกใครแอบคิดคนเดียว คือวาอยากเล่นอยู่แล้ว อยากใส่ชุดไทย วาชอบ แล้วจู่ๆ ก็ได้เล่น ตอนนั้นวาก็ไม่รู้นะว่าได้เล่นเป็นตัวอะไร เพราะว่าก็ไม่ได้อ่านบทและก็ไม่มีใครบอกวาด้วย จนวันฟิตติ้งถึงรู้ว่าได้เล่นเป็นนักแสดงนำ”
ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกแล้ว อาจชวนให้หลายคนคิดว่าสาวน้อยคนนี้เป็นสาวหวาน แต่วาววากลับมองว่าบทบาทที่เธอได้รับนั้น ถือเป็นบทที่ใกล้เคียงกับตัวจริงอยู่ไม่น้อย เพราะความจริงแล้ว เธอไม่ใช่สาวหวาน ออกจะแก่นๆ เซี้ยวๆ เสีย ด้วยซ้ำ
“วาได้รับบทเป็นแฟงค่ะ คาแร็กเตอร์ก็จะแก่นๆ ซ่าๆ มีความมั่นใจในตัวเอง แล้วถ้าพูดถึงยุคนั้น ผู้หญิงก็จะต้องเรียบร้อยอยู่บ้านอะไรแบบนี้ใช่มั้ยคะ แต่อย่างตัวแฟง เค้าก็จะแหวกแนว อยู่นอกกรอบ ไม่เหมือนคนอื่น
คิดว่าทุกคนเหมาะกับบทที่ได้รับนะคะ อย่างพี่ปรางก็จะเป็นคนสวยดูแลตัวเอง พี่โบว์ก็เป็นคนสวยดูแลตัวเองแต่จะมีความแก่นในแบบของพี่เค้า พอมาเป็นตัวละครก็เหมาะ อย่างตัววาเองก็ไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าไหร่ เพราะติดขี้เกียจ แฟงก็จะไม่ค่อยสนใจเรื่องความสวยความงามเท่าไหร่ค่ะ”
ถึงแม้ว่าสาววาววา จะไม่เคยเล่นละครพีเรียดมาก่อน แต่เธอก็ทำการบ้านมาอย่างดี มีการอ่านบททำความเข้าใจก่อนเข้าฉาก นอกจากนี้เธอยังรู้สึกหลงรักละครพีเรียดมากกว่าละครในยุคปัจจุบันเสียอีก และเป็นปลื้มสุดๆ เมื่อกระแสตอบรับจากคนส่วนมากชมว่าเธอเล่นดีขึ้น
“วาไม่เคยเล่นละครแนวพีเรียดมาก่อน แต่วามีความรู้สึกว่ามันง่ายขึ้นนะ มันสนุกขึ้น มันเป็นธรรมชาติขึ้น คือตอนที่เราเล่นมันเหมือนเราหลุดไปอยู่อีกยุคนึงเลย เวลาเราไปถ่าย เราไปถ่ายในที่ที่มันไม่มีอะไรเหมือนในปัจจุบัน เวลาเราลงไปอยู่ในทุ่งนาก็คือทุ่งนาจริงๆ เวลาเราเล่น เราก็จะรู้สึกจริงๆ เพราะว่าเราอยู่ในสถานที่จริง
แต่อย่างบางทีถ้าเป็นละครปัจจุบัน มันก็จะยากนะ มันแยกยากว่าอันไหนเป็นเรา อันไหนเป็นตัวละคร เพราะจริงๆ แล้วสถานที่มันก็ใกล้เคียงกันไปหมด ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม แต่อันนั้นคือพอไปเป็นแฟง ไปเป็นตัวละครปุ๊บ มันแยกออกจากตัวเราทันทีเลย ก็เลยจะชัดเจนมากกว่า”
เธอยังกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่แลดูมีความสุขแบบสุดๆ ว่าการได้เล่นละครเรื่องบางระจัน ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาถ่ายทำเป็นระยะเวลายาวนานมาก แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข
“ตลอด 1 ปี 3 เดือน วามีความสุขมากไปกองสนุกสนาน ทุกคนในกองดีมาก เฮฮา สนุกมาก คือหน้ากองก็ทำงานกันจริงจัง หลังกองก็เล่นกันจริงจัง เล่นโอน้อยออก ใครแพ้ต้องไปเลียตูดพี่เพชร แล้วคือเลียจริงด้วยนะ คือทุกคนเล่นแล้วก็ต้องทำ หรือแพ้ต้องไปเต้นหน้า receptionหรือไม่ก็เลียตอไม้บ้าง อะไรบ้าง แบบเพี้ยนอะค่ะ (หัวเราะ)
จริงๆ แล้ว เล่นละครเรื่องนี้ถือว่าอุปสรรคมีน้อยมากเลยนะ จะมีบ้างเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น บู๊พลาด หรือไม่ก็จะเป็นอุปสรรคในเรื่องของฝนตก ถ่ายไม่ได้อะไรแบบนี้ค่ะแต่เรื่องอื่นก็ไม่มี”
ต่อข้อซักถามที่ว่า ละครบางระจันถือเป็นละครฟอร์มยักษ์ที่ผู้คนต่างให้ความสนใจ แต่ทันทีที่ละครลงจอออกอากาศในตอนแรก กลับมีเสียงติมากกว่าชม บ้างก็โจมตีในลักษณะที่บอกว่า บางระจันเวอร์ชั่นนี้ทำบิดเบือนประวัติศาสตร์ไปจากเดิม แต่สาววาววากลับไม่ซีเรียส และอยากให้มองว่านี่คือการเล่าเรื่องในอีกมุมหนึ่งมากกว่า
“ในเรื่องของกระแสบิดเบือนประวัติศาสตร์ จริงๆ แล้วก็ไม่นะคะ คือเราเล่าในแบบของอีกมุมนึงมากกว่า เหมือนถามว่า Walt Disney เล่าเรื่องMaleficent กับเจ้าหญิงนิทราออกมามันก็เป็น 2 มุม มุมที่เป็นเจ้าหญิงนิทราก็จะมองMaleficent อีกอย่างนึง
บางระจันนี้ก็คือเวอร์ชั่นอื่น อาจจะเล่าดำเนินเรื่องโดยพ่อค่าย โดยวีรชน แต่อันนี้พี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธ์ ผู้จัดละคร) ถือว่าเค้าดึงมาจากบทประพันธ์ของไม้เมืองเดิม ซึ่งเค้าเล่าจากมุมของชาวบ้าน แต่วีรชนก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น มันคนละมุมกัน เวอร์ชั่นเดิมวีรชนเดินเรื่อง แต่อันนี้ชาวบ้านเดินเรื่อง ไม่จำเป็นต้องเป็นวีรชน ทุกคนรักชาติแล้วออกไปรบได้ นี่คือแกนหลักของเรื่องที่มันแตกต่างกันค่ะ”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกบางกระแสที่มองว่าหน้าผมของตัวละครหญิงในเรื่อง ไม่สมจริง เพราะเข้ายุคเข้าสมัยมากขึ้น และดูผิดแปลกไปจากบทประพันธ์เดิม
“เสื้อผ้าหน้าผม 200 ปี ทีแล้วก็ไม่มีใครเกิดทันแน่นอน เพราะฉะนั้น มันอยู่ที่ว่าคนที่จะเอามาถ่ายทอด เค้าจะตีความออกมายังไง เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นตัวหนังสือ ถูกมั้ยคะ เราไม่รู้ว่าจริงๆ ว่ายุคนั้นเค้าใส่อะไรยังไง 100 เปอร์เซ็นต์ เราก็เอาปรับแต่งให้มันดูสวยงามแล้วก็ให้มันเข้ากับยุคปัจจุบันด้วย
อย่างเช่นผม ถามว่าทำไมถึงไม่ทำผมทรงนั้น ซึ่งเราไม่รู้ว่า 200 ปีที่แล้ว มันเป็นยังไง เพราะฉะนั้น เราก็ได้แต่จินตนาการตามบทประพันธ์ว่า เอ๊ะ.. มันน่าจะเป็นยังไง ยุคนั้นคนที่ไว้ผมยาว เค้าเรียกว่าจะได้เป็นพวกเจ้า ชาวบ้านก็เลยรู้สึกเหมือนอยากจะเป็นเจ้า อยากจะเป็นเหมือนแฟชั่นชั้นสูง คือผู้หญิงสมัยนั้นก็น่าจะไว้ผมยาว”
บางระจันถือเป็นละครประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้น ทีมงานจึงต้องมีความละเอียดอย่างมาก อีกทั้งยังมีนักประวัติศาสตร์มาช่วยตีความในแต่ละฉากอีกด้วย เธอเล่าด้วยสีหน้าน้อยใจ
“ก็อยากให้ดูให้สนุก ให้มีความสุขมากกว่าค่ะ เพราะว่าจริงๆ เราก็พยายามทำให้ตรงตามประวัติศาสตร์ให้มากที่สุด เรามีอาจารย์วิโรจน์ ศรีสิทธิ์เสรีอมร (โปรดิวเซอร์และที่ปรึกษาบทละคร) ซึ่งวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ มีนักประวัติศาสตร์จริงๆ มาตีความในแต่ละฉากเลยว่าแต่ละฉากต้องแต่งตัวยังไง กินอะไร อย่างสมัยนั้นกินแกงปลานะ ผู้กำกับจะมองว่าเอ๊ะ.. ทำไมมีแต่แกงหมู มันต้องกินแกงปลาสิ ก็จะเป็นในเรื่องพวกนี้ คือจริงๆ เราลงรายละเอียดค่อนข้างเยอะมาก (ลากเสียง) แล้วก็ทำเต็มที่จริงๆ ก็อยากให้คนดู อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เราผิดพลาดก็ต้องขอโทษ แต่ก็อยากให้ดูให้มีความสุข”
ขึ้นชื่อว่าละครฟอร์มยักษ์ นั่นหมายความว่าทางทีมงานและนักแสดงทุกคน ต้องตั้งใจกับการทำงานเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น เธอจึงอยากให้คนดู ดูด้วยใจที่เปิดกว้าง แต่ถึงอย่างไรเธอก็พร้อมน้อมรับคำติชม
“เรื่องบางระจัน วาคาดหวังว่าคนดูจะมีความสุข และก็ได้รับสิ่งดีๆ ไปจากละครแค่นั้นเอง ก็ไม่กดดันนะ มีคนโจมตี นั่นหมายความว่ามีคนดู เรามองให้มันเป็นเรื่องของในแง่ดีมากกว่า เพราะทุกอย่างมันสมดุล มีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบ อย่างน้อยเค้าก็ดู คือ ทีมงาน นักแสดงทุกคนตั้งใจทำออกมาให้คนดูเท่านั้นเอง จะว่า จะชมไม่เป็นไร ขอให้ดูก็โอเคแล้วค่ะ
อยากให้ดูด้วยใจที่เปิดกว้าง เพราะว่าจริงๆ แล้ว เราทุกคนตั้งใจทำให้ทุกๆ คนมีความสุข กับสิ่งที่เราทำไป เรามีความสุขตั้งแต่ตอนเราทำ แล้วพอมันออกมาเราก็อยากให้คนดูมีความสุข อะไรที่เล็กๆ น้อยๆ มองข้ามได้ก็มองแล้วมีความสุขดีกว่า แล้วก็ตั้งใจทำดีที่สุดแล้ว”
ไม่ดื้อ ไม่ใช่ “วาววา”
ด้วยความที่เธอเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ พ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเด็ก ถึงแม้ว่าในช่วงหนึ่งเธอจะเคยแอบน้อยใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมครอบครัวเธอถึงไม่สมบูรณ์แบบเพื่อนๆ แต่เมื่อโตขึ้นมองอีกมุมมันก็คือข้อดี หากเธออยู่กับคุณพ่อ ทุกวันนี้เธอคงไม่มีโอกาสได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง
“พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็กๆ ประมาณวาอยู่อนุบาลค่ะ ตอนนั้นวาก็แอบน้อยใจอยู่นะ เพราะชีวิตวัยเด็กมันก็สำคัญ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือสิ่งที่ดีที่สุด ครอบครัววาเป็นครอบครัวจีนจ๋า ถ้าวาอยู่กับพ่อวาคงไม่ได้มาทำงานตรงนี้ วาคงอาจจะต้องเรียน เรียน เรียน แล้วก็เรียน (หัวเราะขี้เล่น) แล้วก็ถ้าเรียนพิเศษก็คงจะให้เรียนแต่วิชาการ
อยู่กับแม่ แม่ก็จะให้เรียนอะไรที่สบายๆ แม่จะเลี้ยงมาแบบค่อนข้างปล่อยนะคะ ให้คิดเอง ให้ทำอะไรเอง แล้วก็จะเน้นเรื่องกิจกรรม คือบ้านวาเป็นนักกีฬาหมดเลย ตีเทนนิส ว่ายน้ำ เล่นยิมนาสติก เล่นบัลเล่ย์ ส่วนมากจะนอกกรอบไม่ค่อยเน้นทางด้านการเรียนอะไรมากค่ะ”
เธอถูกเลี้ยงมาแบบเด็กกิจกรรม คุณแม่เน้นให้เธอเรียนทางด้านกีฬามาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อครั้งหนึ่งเธอเลือกเรียนยิมนาสติกเพราะคิดว่ามันเป็นกีฬาที่สวยงาม แต่เอาเข้าจริงๆ เธอกลับยิ้มไม่ออกเพราะต้องโดนฉีกขาจนร้องไห้ทุกวัน
“แม่จะถามว่าอยากทำอะไร แต่พอทำแล้วเลิกไม่ได้นะ เพราะว่าเสียตังค์ไปเยอะ แม่ก็จะขู่ ยิมนาสติกเนี่ยเสียมา4 แสนแล้ว จะเลิกได้ไง(เสียงสูง) ที่เราชอบเพราะเรามองไปแล้วมันสวยไง เล่นริบบิ้น แต่พอเล่นจริงๆ แล้วมันเหนื่อยและเจ็บมาก โดนยืดขา ฉีกขาทุกวัน ก็ร้องไห้ จนตอนนั้นต้องแอ็กติ้งเป็นกล้ามเนื้อขาอักเสบ ไม่ไหวแล้วๆ (หัวเราะขี้เล่น) แต่โชคดีที่สรีระวาค่อนข้างสมส่วน เวลาเล่นกีฬาอะไรพอมีพื้นฐานยิมนาสติกอยู่ด้วยแล้วมันก็จะยิ่งง่าย”
ดูๆ แล้ว ถือว่าเธอเป็นเด็กเชื่อฟังและไม่ค่อยขัดใจคุณแม่สักเท่าไหร่ แต่ใครเล่าจะรู้ในอีกมุมหนึ่ง สาววาววาชอบทะเลาะกับคุณแม่อยู่เป็นประจำ ถึงแม้ตอนนี้เธอโตขึ้นแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังเชื่อว่าเธอดื้อในทางที่ดีขึ้น
“เรื่องขัดใจคุณแม่หรอ โอ้ยเยอะทุกอย่าง วากับแม่ทะเลาะกันตลอด คือวาชอบเถียง ดื้อที่หนึ่งทุกเรื่องเลย แม่เค้าจะเป็นคนขี้บ่น แล้วเราก็ไม่เคยยอม เถียงตลอด วาดื้อมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้ดีขึ้นนะ ยังดื้อเหมือนเดิม แต่ก็ดื้อในทางที่ดี คือ มุมมองของคนสองยุค มันไม่เหมือนกัน
พอเราโตขึ้นมาเรามีความคิดในยุคนี้ มุมมองโลกเรากว้างกว่า แม่อายุมากกว่าก็จริง แต่ว่าเรามีมุมที่แตกต่างออกไป เพราะฉะนั้น เราก็มีมุมมองของเรา เค้าก็มีมุมมองของเค้าก็ยังเถียงกันอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เค้าฟังขึ้นนะ เพราะวาเป็นคนดูแลครอบครัวเองทั้งหมด วาเป็นคนจ่ายค่าเทอมน้อง ดูแลบ้าน ดูแลแม่ ก็เลยมีเพาเวอร์นิดนึง (หัวเราะ)”
ปัจจุบันเธอเรียนอยู่ชั้นปี 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่เธอเลือกเรียนคณะนี้เพราะตอนนั้นเธอยังไม่มีความฝัน และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบอะไร แต่เมื่อเรียนไปแล้วก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ชอบ
“ดื้อขนาดนี้ใครจะเลือกให้ได้คะ (อมยิ้ม) ที่เลือกเรียนสาขานี้ เพราะตอนแรกยังไม่รู้จะเรียนอะไร ยังไม่มีความฝันของตัวเอง พอจบ ม.6 มา เราก็คิดเอ..ทำไมเรายังไม่มีความฝัน ไม่รู้ว่าเราชอบอะไร จนวาอ่านเดอะซีเคร็ท แล้ววาก็ฝันว่าวาอยากได้ทำงานที่วารัก ทำงานที่วาทำแล้วมีความสุขแล้วก็ได้เงิน พอเรียนไปก็โอเคนะ เพราะวาเป็นคนชอบใช้ My Mapping”
แต่ถึงอย่างไร เธอก็ไม่ได้มองว่าการศึกษา ต้องศึกษาหรือเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น เธอเชื่อว่าการเรียนรู้อยู่ทุกๆ วันมันคือประสบการณ์ที่ได้มากกว่าในตำรา และสำคัญกว่าการเรียนหนังสือ
“วาเชื่อว่าการศึกษาจริงๆ แล้วมันไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย วาเรียนรู้อยู่ทุกๆ วัน วาอ่านหนังสือดีๆ วารู้หลายๆ เรื่อง ถามว่าเรื่องบริหารวาทำธุรกิจเอง บริหารเอง เจอปัญหาเอง แก้ไขเอง มันเป็นประสบการณ์ที่มากกว่าแค่ในตำรา หรือว่าหลายๆ อย่าง Negociate การสื่อสาร การตลาด พอมันได้เจอเองมันก็เป็นการเรียนนะ
เพราะฉะนั้น วาก็เรียนรู้อยู่ทุกๆ วัน แล้ววาคิดว่ามันสำคัญมากกว่าการเรียนหนังสือ เราเรียนเพื่อที่จะได้ใบประกาศ กับเราเรียนเพื่อที่จะรู้ เรียนเพื่อที่จะรู้ย่อมดีกว่า แต่ว่าถ้าเรามีเวลา เราก็ไปเรียนเพื่อที่จะได้ใบประกาศด้วยก็ได้ เพราะว่ามันก็เป็นความภาคภูมิใจ แต่วาเชื่อว่าวาสามารถทำความภาคภูมิใจในแบบอื่นได้ วันนึงแม่คงจะได้เห็น”
เตรียมสลัดผ้า! โชว์ความเซ็กซี่
สาวน้อยก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงและโด่งดังมาจากละครเรื่อง The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้เธอโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 4 ปีแล้ว เธอผ่านงานละครมามากมาย แต่เธอเพิ่งจะสัมผัสการเป็นนักแสดงจริงๆ ในเรื่องบางระจันนี้เอง
“วาเล่นละครมา 4 เรื่องแล้วค่ะ แต่วาคิดว่าวาเพิ่งเป็นนักแสดงเรื่องบางระจัน เรื่องอื่นอย่าง The Sixth Sense เรายังไม่เข้าใจว่าการแสดงคืออะไร เราแค่อ่านบท แล้วเราก็แค่แสดงแบบที่เราเข้าใจ เรายังไม่เข้าใจที่แท้จริง
แต่ว่าชลลัมพี (ค่ายผู้จัดละคร) สามารถตัดต่อออกมาให้เราดูเล่นดีได้ ต้องขอบคุณชลลัมพีมากๆ เพราะตอนนั้นเรายังเด็กแล้วเราก็ไม่รู้ว่าอะไรคือการแสดง มันไม่ใช่มาทำท่าทำทางแบบนั้นแบบนี้ แต่มันต้องเข้าไปเป็นคนอีกคนหนึ่งจริงๆ เพิ่งมาเข้าใจ สัมผัสการเป็นนักแสดงจริงๆ ก็คือเรื่องบางระจัน นี่แหละค่ะ”
เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามเธอว่า คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของเธอ เธอนิ่งคิดอยู่นานก่อนที่จะตอบว่า “จริงใจมั้งคะ” แต่ถ้ามองจากลักษณะภายนอกแล้ว เสน่ห์ของเธอคงหนีไม่พ้นรอยยิ้ม ที่ช่างดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ซะเหลือเกิน และเมื่อถามว่าความสวยของผู้หญิงวัดจากอะไร สาววาววามองว่าผู้หญิงทุกคนมีความสวยในแบบของตัวเอง หากมีความมั่นใจซะอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ออกมาดูดี
“วาคิดว่าความสวยของผู้หญิงคือความมั่นใจนะ ข้างในสำคัญสุด เพราะว่าจริงๆ แล้วคนเรามันสวยในแบบของตัวเอง ต่อให้คนที่ถูกคนอื่นว่า ว่าขี้เหล่ก็ยังมีความสวย อยู่ที่ว่าเค้าจะกล้าเชื่อมั่นในตัวเองรึเปล่า ทำไมบางคนไม่สวยแต่เดินมาแล้วแบบดูดีจังเลย อยากมอง เพราะว่าข้างในเค้ามีดี ถ้าเชื่อว่าตัวเองมีคุณค่ามันจะเปล่งออกมา ทางผิวพรรณ หน้าตา ทุกอย่าง มันเกี่ยวจริงๆ
จริงๆ ทุกคนมีความสวยในแบบของตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้าอยากสวยขึ้นไม่ผิด แต่ว่าต้องพอใจในสิ่งที่เป็นก่อน รักในสิ่งที่ตัวเองเป็น สมมุติถ้าอยากจะผอมลงกว่านี้ คุณก็แค่ไปฟิตหุ่น แต่ว่าทุกวันต้องมีความสุขกับการเป็นตัวเองก่อนแล้วหลังจากนั้น อยากจะทำอะไรมันจะยิ่งดีขึ้น”
ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงต้องมี Sex Appeal ซัมเมอร์ปีนี้สาววาววาจึงเตรียมกายเตรียมใจสลัดผ้า โชว์หุ่นรับลมร้อน ขยี้ใจหนุ่มๆ เล่นเอาเสียเลย ถึงแม้ใบหน้าจะอ่อนหวาน แต่ถ้าเป็นเรื่องของความเซ็กซี่ สาววาววาคิดว่าสายตาของตัวเองเนี่ยแหละ เซ็กซี่ที่สุด!
“เซ็กซี่หรอ น่าจะเป็นสายตามั้ง ต้องทำตาเซ็กซี่ก่อน (ทำตาเซ็กซี่) แต่จริงๆ วาว่ามันอยู่ในอินเนอร์นะ ถ้าเรามั่นใจในตัวเอง วาคิดว่าซัมเมอร์ปีนี้จะถ่ายแบบเซ็กซี่ ผู้หญิงมีความเซ็กซี่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ ผู้หญิงต้องมี Sex Appeal นิดนึง แล้วก็ชอบส่วนตัวด้วย
ถ้าใกล้ถ่ายจริงๆ แล้วมี Reference ก็ต้องเข้าไปปรึกษาผู้ใหญ่ที่ช่องค่ะ คุณแม่ไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะวาใส่ชุดว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ถ้าคุณพ่อเห็นก็คงโดนบ่นแหละค่ะ แต่ต้องไม่บอก (หัวเราะร่วน) ก็วาถึงบอกไงว่าถ้าอยู่กันครบครอบครัว วาก็ต้องเป็นเด็กจีน นั่งใส่แว่นเนิร์ดอยู่ที่บ้าน”
อกหักเดี๋ยวก็หาย เฮิร์ตได้แต่ไม่เข็ด!
มาถึงเรื่องความรักกันบ้าง แว่วๆ มาว่า เธอนั้นก็ดูเหมือนจะมีคนคุยๆ อยู่ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นแฟน ผู้สัมภาษณ์เลยถามต่อว่าน่ารักแบบนี้เคยอกหักหรือเปล่า? เธอตอบด้วยสีหน้าขี้เล่นว่า “ก็ต้องเคยสิคะ”
“ตอนนั้นยังแบบเด็กๆ ตอนม.ปลาย อยู่เลยค่ะเฮิร์ตมาก (ลากเสียงยาว) ทำไมไม่มีเยื่อใยกันเลย ตอนนั้นเวลาคนอื่นพูดอะไรก็ไม่ค่อยเชื่อบอก เดือน 2 เดือน ก็หายเฮิร์ตแล้ว แล้วมันก็จริง เลิกกันได้ไม่เกิน 2 เดือนก็หายเฮิร์ต ถามว่าเข็ดเรื่องความรักมั้ยก็ไม่นะ(หัวเราะ)”
“ป็อปปี้เลิฟ” เชื่อว่าหลายคนคงมีอารมณ์นี้กันทุกคน และหนึ่งในนั้นก็คือสาวน้อยวาววา เมื่อครั้งหนึ่งเธอเคยแอบชอบรุ่นพี่ในโรงเรียน ชนิดที่ว่าเขินอายเอามากๆ เลยทีเดียว
“อารมณ์ประมาณเหมือนดูหนังสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก รู้สึกว่าใช่เลย ดูแล้วนึกถึงตัวเองตอนเด็กที่เราแอบชอบรุ่นพี่ แค่เราเดินผ่านห้องเค้าเราก็เขินแล้ว คือว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ อย่างวันนี้มาโรงเรียนเช้าเห็นเค้าแล้วไกลๆ เค้าเรียกชื่อเราแทนที่เราจะอะไร แต่เรากลับวิ่งหนี เพราะเราทำอะไรไม่ถูกและหลังจากนั้นพี่เค้าก็ไม่เรียกอีกเลย (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าเค้ารู้รึเปล่าว่าเราแอบชอบ แต่วาคิดว่าเค้ารู้นะ”
มุมมองความรัก ของเธอแตกต่างจากตอนเด็กอย่างสิ้นเชิง เพราะมันไม่ใช่แค่ป็อปปี้เลิฟอีกต่อไปแล้ว แต่ความรักคือการให้กำลังใจกัน ทำให้ทุกวันมีคุณค่ามากกว่าเดิม
“มุมมองความรักแตกต่างเพราะคนที่รักมันไม่ใช่แค่ป็อปปี้อินเลิฟแล้วแบบจะลืมทุกอย่าง ความรักคือการเข้าใจกันคือการเห็นอกเห็นใจกันคือกำลังใจ ให้มันมีคุณค่ามากกว่าเดิม วาเป็นคนรักไม่เผื่อใจ ทำอะไร ก็จะทำให้สุด สุดท้ายจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน เพราะว่าถ้าเราเผื่อใจเราจะทุกข์ตั้งแต่วันนี้แล้วนะว่า เค้าจะทิ้งเรามั้ย จะทิ้งเมื่อไหร่ วาเลยคิดว่าวันนี้มีความสุขก็สุขให้สุดไปเลย และถึงวันที่จะต้องทุกข์ก็ค่อยทุกข์วันนั้น วันนี้อย่าเพิ่งไปทุกข์ถ้ามันยังไม่เกิด”
ส่วนชายหนุ่มที่จะคว้าหัวใจเธอไปได้นั้นไม่จำเป็นต้องหน้าตาดี ขอแค่เป็นคนอารมณ์ดีและรักเธอจริงๆ เท่านั้นพอ ส่วนผู้ชายที่เธอยี้ที่สุดเห็นจะเป็น ผู้ชายขี้เก๊ก ซึ่งเธอไม่ชอบผู้ชายประเภทนี้เอามากๆ เธอบอกว่าไม่รู้จะเก๊กไปทำไม ขอบายดีกว่า แต่ถึงอย่างไรความรักก็เป็นเรื่องของคน 2 คน เธอจึงขอตัดสินใจเองโดยไม่ผ่านคุณแม่
“ว่าคิดว่าความรักเป็นเรื่องของคน 2 คนวาตัดสินใจเองหมดเลย มันก็เป็นชีวิตเรานะ วันนึงเราก็ต้องเติบโตมีครอบครัว มีชีวิตของเรา แม่เราก็อยู่จนถึงช่วงวัยหนึ่ง เราก็ต้องเติบโตออกไป เราก็รักแม่เหมือนเดิม แม่ก็รักเราเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น แค่นั้นก็พอแล้ว”
นักธุรกิจ ตัวยง!
อายุเพียง 20 ต้นๆ แต่เธอสั่งสมประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับเรื่องการบริหาร เพราะวาววาชอบที่จะเรียนรู้และมีมุมมองอะไรใหม่ๆ รอบตัวอยู่เสมอ และมักนำสิ่งที่เธอชอบมาต่อยอดทำธุรกิจ เพียงเพราะอยากแชร์เรื่องราวดีๆ ให้กับหลายๆ คน เท่านั้นเอง
“ตอนนี้วาทำแมกกาซีนค่ะ เพราะวาคิดว่าสื่อเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมคิดบวกหรือลบได้ ถ้าเรากระจายข่าวดี คนเห็นข่าวดี คิดบวก ชีวิตทุกๆ คนก็จะดีขึ้น เพราะฉะนั้น วาอยากแชร์สิ่งดีๆ อยากแชร์ Inspiration ดีๆ ให้กับคน วาก็เลยทำแมกกาซีนเล่นนี้ขึ้นมาชื่อ “DREAM ON” เป็นแมกกาซีนที่เกี่ยวกับคนที่มีความฝันและเค้าทำความฝันเค้าสำเร็จ ซึ่งจะเปิดตัวปลายเดือนมีนาคมนี้ค่ะ
อยากให้เป็น Inspiration ให้กับหลายๆ คน เพราะว่าวามาถึงจุดนี้ได้เพราะวามี Inspiration มาจากคนที่เค้าประสบความสำเร็จจากคนที่ไม่มีอะไรแล้ววันนึงเค้าทำได้ เพราะอะไรไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องเกิดมามีพร้อม แต่คุณต้องเชื่อในตัวเองและคุณต้องกล้าทำ และสุดท้ายวันนึงความสำเร็จก็จะมาหาคุณเอง”
ไม่เพียงเท่านั้นสาววาววา ยังมีธุรกิจนมถั่วเหลืองอีกด้วย เหตุเพราะความชอบส่วนตัวบวกกับหาเจ้าอร่อยทานไม่ได้ จึงลงขันกับลูกพี่ลูกน้องเปิดตัวเป็นธุรกิจซึ่งทำมายาวนานกว่า 2 ปีแล้ว
“ธุรกิจนมถั่วเหลือง ตอนแรกทำเป็น Homemade แต่ตอนนี้กำลังทำเป็นโรงงานแล้วค่ะ ที่วาทำเพราะชอบทานและประโยชน์มันเยอะมาก มันเป็นเครื่องดื่มที่มีครบ 5 หมู่ คือน้ำผักผลไม้ไม่มีโปรตีน นมวัวไม่มีไฟเบอร์ แต่นมถั่วเหลืองมีกากใย มีวิตามิน มีโปรตีน และมีไขมันดี แล้วก็มีแป้งที่ดีด้วย โดยเฉพาะผู้หญิงมันจะดีมาก เพราะทำให้หน้าไม่แก่ ทำให้ผิวอ่อนเยาว์
คุณอาจจะไม่ต้องฉีดโบท็อกเร็ว เพราะด้วยการดูแลจากข้างในแล้วมันก็เข้าไปดูแลข้างในแทน วาชอบทานตั้งแต่เด็ก และพอโตขึ้นมาหาเจ้าอร่อยไม่ค่อยมีก็เลยไปซื้อสูตรมาแล้วก็มาพัฒนาอีกทีนึงเพื่อที่จะได้กินของอร่อยแล้วก็มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น มีของดีวาก็รู้สึกว่าเออ วาก็อยากแชร์เพราะมันเป็นสิ่งที่ดี”
หากทุกวันนี้เธอไม่ได้เป็นนักแสดง เธอก็คงหันมาจับทำธุรกิจต่างๆ ของเธออย่างเต็มตัว และยังมีอีกธุรกิจหนึ่ง ที่เธอให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก นั่นคือการทำนา เพราะเป็นสิ่งที่เธออยากรักษามันต่อจากคุณตา คุณยาย
“วารู้สึกว่าจริงๆแล้ว ประเทศไทยมันมีมูลค่ามหาศาลเพราะว่าเรามีทรัพยากรที่ดีที่สุดในโลก มีที่ปลูกข้าวที่สามารถปลูกข้าวหอมมะลิชั้นดีที่ดีที่สุดในโลก มีผลไม้อร่อย วามองแผ่นดินนี้มันคือทอง ลูกหลานควรจะช่วยกันรักษาไว้
ลูกหลานสมัยนี้ได้ที่มาก็เริ่มขาย วาเลยรู้สึกว่าอยากจะรักษามันไว้ แต่รักษาอย่างเดียวไม่ได้ต้องเพิ่มคุณค่า และต้องสร้างมูลค่าให้มันด้วยเพราะฉะนั้น ข้าวที่ตายายวาปลูก วาก็เอามาขายเองสร้างเป็นแบรนด์ขึ้นมาแล้วก็ช่วงที่ไม่ได้ปลูกข้าว หน้าหนาวก็ปลูกถั่วเหลืองเอามาทำนมถั่วเหลือง เพราะฉะนั้น ถั่วเหลืองเป็นพืชคลุมดินพอเราปลูกไป สภาพแวดล้อมดี ดินดี ปลูกข้าว ข้าวก็งาม ชาวนาก็ได้รายได้จากถั่วเหลืองด้วย”
ทุกข์บ้างก็ได้ เดี๋ยวไม่สมดุล
คุยกันมาได้สักระยะ บุคลิกของเธอเป็นสาวมั่นที่ตอบตรงไปตรงมา ผู้สัมภาษณ์เลยขออนุญาตถามถึงเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่เป็นกระแสอยู่ขณะนี้เลยแล้วกัน
อาจเลี่ยงไม่ได้ว่าเธอผู้นี้ มีกระแสข่าวในเรื่องไร้วินัยซ้ำซาก มางานเลตจนผู้ใหญ่หลายคนถึงกับเอือมระอา และไม่ขอร่วมงานกันอีก เธอมองว่ามันอยู่ในหลักสมดุล เพราะการที่มีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิตมาก มันก็ต้องเสียหลายอย่างไปมากเหมือนกัน เธอพูดถึงประเด็นดังกล่าวด้วยสีหน้าน้อยใจว่า
“จริงๆ แล้ว Everything come with a price สิ่งที่ดีก็ come with a price การที่เราเข้ามามีหลายๆ อย่างที่ดีเข้ามาในชีวิตมาก แต่เราก็เสียหลายอย่างเหมือนกัน เพราะฉะนั้น มันก็อยู่ในหลักสมดุลเราเข้ามา เราได้ทำงานดีๆ เรามีคนรักเยอะ แต่เราก็มีคนเกลียดเยอะ เรามีคนชมเยอะ เราก็มีคนด่าเยอะมันก็ come with a price
เสียใจมั้ยก็เคยคิดอยู่แว็บนึง แต่วาก็เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การที่วาได้มาอยู่จุดนี้ได้มา ช่วงปีที่ผ่านมาวามีความสุขมากทั้งปี วาถ่ายบางระจันวาไปกอง ทุกคนเป็นเหมือนครอบครัวสนุกสนานเฮฮา มันมีความสุขมาแล้วไง มันก็เลยต้องมาเจอข่าวซะหน่อย ได้ทุกข์บ้างเดี๋ยวมันไม่สมดุล”
ข่าวคราวต่างๆ มากมาย ทำให้ครั้งหนึ่งเธอทุกข์ถึงขีดสุด แต่เมื่อมันทำอะไรไม่ได้เธอก็ได้แค่ปล่อยและไม่เอามันมาใส่ใจ เพียงแต่คิดอยู่เสมอว่ารู้ว่าตัวเองเป็นยังไงก็พอแล้ว
“อยู่ที่เรามากกว่าถ้าเราอยากทุกข์เราก็ไปจมอยู่กับมัน ถ้าเราไม่อยากทุกข์เราก็ออกมาจากมันเท่านั้นเอง เพราะว่าตอนที่วาทุกข์ที่สุดวาก็ไม่รู้วิธีที่จะออกมา วาก็ปล่อยให้มันทุกข์ไปทุกข์ไปเรื่อยๆ พอมันถึงที่สุดแล้วเราก็มีสติ ว่านี่แหละความทุกข์ เรากำลังทุกข์อยู่นะ เราก็ต้องย้อนกลับมาถามว่าอะไรที่ทำให้เราทุกข์ พอเรารู้แล้วว่า อ๋อ..ข่าวที่ทำให้เราทุกข์
แต่ถามว่าข่าวมันอยู่เฉยๆ ตัวหนังสืออยู่อย่างนั้น นักข่าวเขียนอย่างนั้น คนพูดถึงเราพูดอย่างนั้น แต่ถ้าเราไม่เอามันมาใส่ใจ เราจะทุกข์มั้ย ก็ไม่ เพราะฉะนั้น วิธีที่ทำให้เราไม่ทุกข์คือเราไม่ต้องไปคิดถึงมัน เรารู้ว่าเราเป็นยังไงพอแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็เลิกทุกข์”
จากเหตุการณ์ไร้วินัยของเธอ นักข่าวหลายสำนักต่างลงมติเห็นชอบตั้งฉายา “ดาวเทียมไม่เจียมตัว” ให้เธอ แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกโกรธ เพราะนั่นมันคือเรื่องจริง
“อย่างฉายาที่ได้รับ วาก็แฮปปี้นะ วาแฮปปี้มากเลย วาได้ฉายาดาวเทียมไม่เจียมตัว ว่ารู้สึกชอบตรงที่ ใช่! วาไม่ใช่ดารา แล้ววาก็ไม่อยากเป็นด้วย วาอยากเป็นรักแสดง เพราะฉะนั้น ดาวเทียมก็อาจจะจริง วาไม่ได้อยากเป็นดาราอยู่แล้ว ไม่ได้อยากเป็นดาว แต่วาอยากเป็นนักแสดง และวาไม่เคยเจียมตัวนั่นมันคือเรื่องจริง
คนเราไม่จำเป็นต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่เรามีฝันได้และเราก้าวไปข้างหน้าได้ วามาจากเด็กผู้หญิงที่ไม่มีอะไร วามีความฝัน วาทำทุกๆ วันให้มันดี วาทำหน้าที่ของวาด้วยความสุขความรักแล้ววาก็ค่อยๆ ดีขึ้นๆ ถ้าวาเจียมตัวว่าฉันเกิดมาไม่มีอะไรเลยฉันต้องอยู่อย่างนี้ ฉันจะจ้องชีวิตก็ก้าวไปไหนไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันอยู่ที่ว่าเราจะตีความยังไง ถ้าเราคิดดีมันก็จะดี วาก็โอเค แฮปปี้ วาดรูปหัวเป็นตัวเอง แล้วก็ตัวเป็นดาวเทียม ตอนนี้ว่าจะโพสต์ลงแล้ว แต่เดี่ยวเป็นข่าวดังอีก เลยไม่ลงดีกว่า”
เมื่อข่าวต่างๆ ถาโถมเข้ามา เกินกว่าเด็กสาวคนหนึ่งจะรับไหว แน่นอน ผู้ใหญ่หลายคนคอยให้คำปรึกษากับเธอ และสอนให้เธอฟังเฉพาะคนที่รักเธอพอ
“ทุกคนก็จะบอกให้วาฟังคนที่วารักแล้วก็รักวา คนที่ไม่รักเราก็ไม่ต้องไปฟัง ไม่มีผลกระทบต่อชีวิตเรา เราทำสิ่งที่ดี เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่แค่นั้นมันเพียงพอแล้ว คนเราเกิดมาก็ต้องตายอยู่ที่ว่าวันนี้ วันที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราสร้างคุณค่าให้กับอะไรได้บ้าง ให้กับใครได้บ้าง ให้กับโลกนี้ยังไงบ้างแค่นั้นพอ”
เรื่องราวที่ผ่านมา ถือเป็นประสบการณ์ที่สอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับตัวเธอได้เป็นอย่างมาก เธอมองว่ามันคืออุปสรรคในช่วงหนึ่งของชีวิต เพื่อทดสอบว่าตัวเธอนั้นจะผ่านไปได้หรือไม่
“Perfect Story มันต้องมีตัวที่ทำให้เป็นอุปสรรค สมมุติว่าวาแก่มา วาเล่าเรื่องชีวิตวา อย่า 'สตีฟ จอบส์' โดนไล่ออกจากบริษัทตัวเอง โดนสารพัด แต่สุดท้ายเค้าก็กลับมาได้ สตอรี่เค้าถึงมีเสน่ห์ เราได้ลุ้นว่า เอ้ย! แอปเปิลจะได้ สตีฟ จอบส์ กลับมามั้ย
ชีวิตเราเป็นกราฟค่ะ ถ้าตรงมันก็น่าเบื่อ เพราะฉะนั้น มีอุปสรรคบ้างมันก็โอเค มันเหมือนเป็นบททดสอบว่าจะผ่านไปได้มั้ย เราก็ต้องโตขึ้นค่ะ เรื่องราวมันผ่านเข้ามา มันอยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญาได้รึเปล่า อยู่ที่ว่าเราจะมองมันยังไง ผ่านเข้ามาก็ดีทำให้เรามีคลื่นในชีวิต”
ส่วนคติการใช้ชีวิตของเธอนั้น “คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องร้ายเรื่องดี ดีใจผิดหวัง เสียใจ เกิดขึ้นแล้วคือดี เพราะว่าตราบใดถ้าเราคิดว่าปัจจุบันไม่ดีอนาคตก็จะไม่ดีเพราะฉะนั้นอะไรที่เกิดขึ้นแล้วคือดี อนาคตเราจะได้ดี” วาววากล่าวทิ้งท้าย
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ: วาววา-ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด
วันเกิด:19 กรกฎาคม พ.ศ. 2534
การศึกษา: คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ผลงานโดดเด่น: ละคร แววมยุรา, The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 1 และ 2, บางระจัน
สัมภาษณ์โดย ASTV ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: กรกนก วงษ์สุวรรณ
ภาพ: พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพบางส่วน: Instagram “wawwa_nc”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754