xs
xsm
sm
md
lg

วางไมค์ เปิดใจ 'ดา เอ็นโดรฟิน' ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักเธอ (มีคลิป)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตัวเล็กแต่พลังเสียงเหลือหลาย

จากเด็ก ม.5 ที่ได้ออกอัลบั้มกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่จนสร้างปรากฏการณ์แอบรัก "เพื่อนสนิท" ไปทั่วบ้านทั่วเมืองในปี 2547

ถึงวันนี้ เส้นทางสายดนตรีของ 'ดา-ธนิดา ธรรมวิมล หรือ ดา เอ็นโดรฟิน' เดินทางเข้าสู่ปีที่ 10 ในวัย 28 ปีแล้ว

แน่นอนว่า เธอยังขายเสียงร้องที่ใครหลายคนหลงรัก และตกหลุมรัก ซึ่งในสายตาเธอ มันมีคุณค่ามากกว่าความสวยงาม ความหล่อเหลา

แม้จะเปลี่ยนลุค ฉีกแนวสุดเฉี่ยว เปรี้ยวซ่าขนาดไหน สิ่งที่ดาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือ เสียงร้อง ความน่ารัก และเป็นกันเองกับแฟนเพลง รวมไปถึงบรรดาพี่ๆ น้องๆ นักข่าว เช่นเดียวกับ M-Open ที่ได้มีโอกาสเจอเธอในงานคอนเสิร์ตการกุศล โตโยต้า คลาสสิค ครั้งที่ 25 เมื่ออาทิตย์ที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา



ด้วยพลังด้านบวกที่แผ่ออกมาจากรอยยิ้ม สีหน้า และดวงตา รวมไปถึงความเรียบง่าย และความเป็นธรรมชาติ

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักร้องหญิงคนนี้ถึงเป็นที่รักของแฟนเพลง และสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการเพลงได้นานท่ามกลางนักร้องหน้าใหม่ที่แจ้งเกิดกันเป็นว่าเล่น

"ไม่คิดเลยว่าเพลงที่ดาร้องจะดังตู้มต้ามขึ้นมาขนาดนี้ ตั้งแต่เพื่อนสนิท สิ่งสำคัญ หรือน้ำเต็มแก้ว ตอนนั้นดาอยู่แค่ ม.5 เองค่ะ ชีวิตมันก้าวกระโดดไวมาก จริงๆ ไม่ได้หวังอะไรมาก แค่อยากช่วยเหลือที่บ้าน ซื้อบ้าน ซื้อรถให้ท่าน แล้วดาก็ได้ทำสิ่งที่ดาชอบด้วย นั่นก็คือการร้องเพลง" เธอเริ่มเล่า


นี่แหละ 'ดา เอ็นโดรฟิน'


หากย้อนกลับไปถึงภาพชีวิตในวันวานของนักร้องสาวเสียงดีคนนี้ ต้องบอกว่า เธอสู้ชีวิตมากๆ

แฟลตตำรวจ คือบ้านน้อยๆ ที่ประกอบไปด้วย พ่อ (เป็นตำรวจ) แม่ (เป็นครู) แล้วก็เธอ แม้จะต้องอยู่กันแบบเล็กๆ แต่ความสวยงามของบ้านไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาด แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณความรักที่คนในบ้านมอบให้กัน เหมือนกับบ้านที่ให้ความรัก และความอบอุ่นแก่เธอเสมอมา



ดังนั้น ครอบครัว คือความสำคัญที่จะต้องมาก่อน ในขณะเดียวกัน "ดา" ก็ไม่เคยทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นศิลปิน แต่กว่าจะถึงวันนี้ เธอ ยอมรับว่า เคยมีช่วงชีวิตที่เป๋บ้าง หลงบ้างตามประสาวัยรุ่น 

"ดาก็มีเป๋เหมือนกันนะ ช่วงที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ ซึ่งตอนนั้น ดารู้สึกแบบ เฮ้ย! จะเข้าหาใครดี คือวัยรุ่นทุกคน มันมีจุดเป๋หมดค่ะ แต่ประสบการณ์สอนให้ดาเรียนรู้ว่า อย่าลืมว่าปลายทางของเราคืออะไร คุณเป๋ได้ แต่ต้องรีบกลับมานะ คนเรามันไม่สมบูรณ์แบบหรอก

ตัวดาเองก็เคย ว้าย! ตายแล้ว ฉันเป๋มามากละ ต้องรีบกลับมาละ ไม่ใช่เป๋แล้วเป๋เลย ต้องรู้สึกว่า จุดที่เราจะต้องไปให้ถึง อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงละ ดาจะบอกกับตัวเองเสมอว่า เฮ้ย! แกมาตั้งครึ่งทางละ ถ้ารักและมีพลังที่จะทำต่อ ก็เลิกเป๋แล้วกลับมามองที่เป้าหมายว่าฉันจะต้องไปยืนอยู่ตรงนั้นให้ได้




หลังจากที่ "คลั่ง" และ "จริงจัง" กับงานเพลง และอยู่กับชื่อเสียงมานาน 10 ปี ถามว่า มีช่วงที่เหลิง หรือหลงระเริงไปกับมันบ้างไหม นี่คือคำตอบจากปากของเธอ

"ทุกวันนี้ดายังไปเทสโก้โลตัสอยู่เลยค่ะ (หัวเราะ) พูดตรงๆ ว่าดาโชคดีที่ไม่ค่อยได้เจอกับความเหลิง หรือหลงระเริงไปกับชื่อเสียงเท่าไร เพราะตอนที่เริ่มทำงานจริงๆ จังๆ ก็เพื่อซื้อบ้านจริงๆ เพื่อที่บ้านอย่างเดียว ซึ่งตอนนั้นดาอยู่บ้านพักข้าราชการตำรวจมาตลอด แถมที่บ้านยังเป็นหนี้

ดังนั้น ดาก็เลยไม่ทันที่จะรู้สึกว่า เราหลงไปกับชื่อเสียง เพราะเป้าหมายตอนนั้นคือ ทำงานเพื่อที่บ้าน เพื่อครอบครัวจะได้อยู่ดี กินดี มันก็เลยไม่มีโอกาสได้เหลิง
ถึงวันนี้ก็ยังเป็นดาเหมือนเดิม ทำงานง่าย อยู่ง่าย กินง่ายค่ะ" เธอเล่า "แล้วก็ยิ้มง่ายด้วยค่ะ" พูดจบดาก็ฉีกยิ้ม พร้อมด้วยประกายตาที่สดใส

ดาไม่ได้ทำ เราช่วยกันทำ


ไม่เพียงแต่ครอบครัว และความฝันของตัวเองเท่านั้น 'เพื่อนร่วมงาน' คือความสำคัญอันดับสามในชีวิตที่ไม่มีวันลืม นั่นเพราะเธอเชื่อว่า ผลงานดีๆ ไม่เคยเกิดจากคนคนเดียว ถ้าไม่มีพวกเขา คงไม่มีเพื่อนสนิท สิ่งสำคัญ น้ำเต็มแก้ว หรือเพลงอื่นๆ ในความทรงจำของแฟนเพลงในวันนี้




ส่วนอีกความสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ 'แฟนเพลง' ดาบอกว่า พวกเขาคือ 'สิ่งสำคัญ' ที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตผู้หญิงตัวเล็กๆ ให้มีพลังในการขับร้อง และทำผลงานดีๆ ออกมา

"ดาร้องเพลงมา 10 ปี ย่างเข้าปีที่ 11 แล้ว คนก็ยังฟังเพลงของดาอยู่ หลายๆ คนยังอยู่กับดา ตามดา นึกถึงเพลงดาทุกครั้งเวลาไปร้องคาราโอเกะ (ยิ้ม) หรือมีเราเป็นไอดอล อยากเป็นนักร้องแบบเรา หรือเอาเพลงเราไปโคฟเวอร์ แล้วยิ่งเด็กๆ รู้ว่าอดีตก่อนจะมาเป็นดาในวันนี้ มันลำบากนะ มันเหนื่อยนะ เด็กๆ ก็จะรู้สึกว่า เขามีกำลังใจ ขนาดพี่ดายังทำได้เลย เขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน พลังตรงนี้มันทำให้ดายิ้มได้ทุกครั้ง"


ดังนั้น หากวันใดที่ชีวิตอ่อนล้า หรือช่วงเวลาที่ต้องการชาร์จแบตฯ การนึกถึงช่วงเวลาดีๆ กับแฟนเพลง มันช่วยเติมเชื้อไฟในตัว "ดา" ได้เป็นอย่างมาก แต่หากวันใดที่มีพลัง เธอก็พร้อมที่เป็นผู้ให้อย่างเต็มพลังเช่นกัน ไม่ว่าจะบนเวที หรือหลังเวที นั่นเพราะเราต่างเป็นผู้รับ และผู้ให้ในบางเวลา




"พอมันผ่านจุดที่เราประสบความสำเร็จมาแล้ว ดารู้สึกว่า ดาอยากให้คนอื่นบ้าง ดาไม่ต้องการอะไรที่มากไปกว่าการให้ประสบการณ์ และส่งต่อความสุขให้คนอื่น" ดาเผยพร้อมด้วยประกายไฟในดวงตา "วันนี้ก็เริ่มคิดแล้วว่า ถ้าเกิดเราทำเพลงดี แล้วเอาน้องคนนั้น คนนี้มาทำ มันก็น่าจะดีนะ แล้วก็ดึงสิ่งที่เมืองนอกเขาทำ เช่น EDM (Electronic Dance Music) ซึ่งเป็นแนวเพลงชนิดหนึ่งที่ตี๊ดๆ หน่อย

หรือทำงานกับดีเจเมืองนอกไหม หรือการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ คืออะไรที่เรารู้สึกว่า เราไปเติมเต็มที่ตรงนั้นแล้วเราสามารถนำเสนอมันออกมาได้ น่าจะลองทำดู เพราะมันไม่ใช่ดีกับตัวดาคนเดียว มันดีกับประเทศไทย มันดีกับวงการเพลงบ้านเรา" 
นี่คืออีกข้อดีของนักร้องสาวคนนี้ที่กล้าลองทำหลายสิ่ง หลายกิจกรรม โดยไม่กลัวว่าจะทำได้หรือไม่ได้

อีกหนึ่งความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่



ล่าสุดกับการร่วมงานครั้งแรกกับวง The Covent Garden Soloists ซึ่งเป็นสุดยอดวงดนตรีคลาสสิกที่ทั่วโลกหลงใหล ด้วยการเป็นนักร้องรับเชิญ และร่วมถ่ายทอดพลังเสียงสไตล์คลาสสิกกับวงดุริยางค์ฯ ในงานคอนเสิร์ตการกุศล โตโยต้า คลาสสิค ครั้งที่ 25 แม้จะเป็นประสบการณ์ใหม่ และใหญ่ แต่เธอก็พร้อมที่จะเปิดใจ และเรียนรู้กับความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

"เคยคิดไว้ว่า เพลงเอ็นโดรฟินน่าเอามาทำใหม่มาก แต่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเพลงสิ่งสำคัญจะมาอยู่กับวงดุริยางค์ โคเวนท์ การ์เด้น โซโลอิสท์ จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสุดยอดวงดนตรีคลาสสิกระดับโลก ส่วนตัวรู้สึกภูมิใจในเพลงไทยมากขึ้นเยอะเลยค่ะ ดาคุยกับเขาว่า เฮ้ย! เราอาจจะคุยกันรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างนะ แต่ดนตรีมันคือภาษาสากลจริงๆ คือเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลย เราแค่มองหน้ากันแล้วแบบ...โอเคอ่ะ ดีนะ โอเคไหมค่ะ"


สำหรับการร่วมร้องเพลงในครั้งนั้น ดาเลือกเพลงมาทั้งหมด 3 เพลง คือ ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ สิ่งสำคัญ และมีแต่คิดถึง ซึ่งถือเป็นบทเพลงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในประเทศไทย



"เพลงสิ่งสำคัญ ความหมายมันดีมาก เพลงยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ ก็ความหมายดีมาก อีกเพลงที่ดาเลือกมาร้องก็คือ เพลงของพี่เบิร์ด ธงไชย นั่นก็คือเพลงมีแต่คิดถึง โดยทั้ง 3 เพลงที่ดาเลือกมานี้ ดาอยากให้คนไทยได้ฟังด้วยกัน เพราะดนตรีคือตัวขับเคลื่อนพลังชีวิตได้เป็นอย่างดี" เธอเผย และเล่าให้ฟังต่อไปถึงการทำงานกับวงดุริยางค์ระดับโลก

"เกร็งค่ะ เพราะเป็นผู้หญิงค่อนข้างไฮเปอร์ แต่ต้องมาอยู่นิ่งๆ กับวงออร์เคสตราชื่อดังระดับโลก ดารู้สึกว่า พลังบางอย่างที่ดาได้รับจากข้างหลัง ดาไม่เคยอยู่ใกล้ขนาดนี้มาก่อน ซึ่งชินกับวงดนตรีป็อปร็อกมาตลอด คราวนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ของดาเลยที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งกับวงออร์เคสตราระดับมืออาชีพที่ตรงเวลาเป๊ะ ทุกอย่างเป๊ะ"

เมื่อพูดถึงความยากง่าย เธอบอกว่า "ยากตรงการควบคุมตัวเอง เพราะวงออร์เคสตราต้องสงบ และมีพลัง ดังนั้นตอนร้องอยู่บนเวที ดาจะต้องโฟกัส และมีสมาธิมากๆ ห้ามหลุดเด็ดขาด พูดตรงๆ เลยว่า ต้องควบคุมตัวเองสูงมาก ก่อนร้อง ดาจะนอนเยอะมากค่ะ รวมไปถึงดูแลสุขภาพของเสียง ซึ่งก่อนหน้านี้มีงานตลอด 3 วันเลยค่ะ แต่ดาพยายามจะไม่ตะโกน ไม่บ้าพลัง (หัวเราะ) เพราะต้องเก็บพลังส่วนหนึ่งไว้ใช้บนเวทีนี้ด้วย"



นับเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่เธอได้รับ และเป็นผู้ให้ในเวลาเดียวกัน เพราะนอกจากได้มาร้องเพลงมอบความสุขสุดคลาสสิกแล้ว ยังมอบความสุขไปยังเด็กๆ ชายแดนภาคใต้อีกด้วย โดยเธอบอกว่า รายได้จากการจำหน่ายบัตรโดยไม่หักค่าใช้จ่าย จะนำไปมอบเป็นเงินสนับสนุนมูลค่า 2 ล้านบาท โดยเสด็จพระราชกุศล สมทบแก่โครงการโรงเรียนพระดาบสจังหวัดชายแดนภาคใต้ มูลนิธิพระดาบส ซึ่งจะนำเงินสนับสนุนไปใช้ในการสร้างอาคารเรียน และอุปกรณ์การเรียนการสอนต่าง ๆ ให้แก่เยาวชนที่อยู่ในจังหวัดยะลา ปัตตานี เป็นต้น

ดังนั้น คงไม่เกินไปนัก ถ้าจะบอกว่า 'ดา เอ็นโดรฟิน' คือศิลปินตัวอย่างที่ไม่เพียงแต่เป็น 'ผู้รับ' อย่างเดียว แต่ยังรู้จักเป็น "ผู้ให้" ด้วยการหยิบยื่นความรักแก่ผู้อื่น และสังคมอย่างเต็มพลัง เช่นเดียวกับเพลง "รักเอย" และเพลงอื่นๆ ในอัลบั้มล่าสุดที่กลับมาพร้อมลุคเปรี้ยวจี๊ดหลังจากห่างหายไป 3 ปี...

กลับมาคราวนี้ ความสำเร็จไม่ได้สำคัญสำหรับเธออีกต่อไป แต่การแชร์ความสนุก และความรู้สึกดีๆ ผ่านบทเพลง คือความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่า

เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : ขอบคุณภาพบางส่วนจากอินสตาแกรม @dathanida



ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754


กำลังโหลดความคิดเห็น