'หัวทารกผ่าครึ่ง แผ่นผิวหนังลงอักขระ ชำแหละเครื่องใน' ชิ้นส่วนมนุษย์สุดสยองเหล่านี้ ถูกบรรจุลงในกล่องพัสดุห่ออย่างดิบดี เตรียมนำส่งปลายทางสหรัฐอเมริกา แต่ยังไม่ทันออกนอกประเทศเพราะถูกตรวจพบเสียก่อน กลายเป็นประเด็นวิพากษ์ไปต่างๆ นานา ซึ่งประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงหลีกไม่พ้น เรื่องไสยศาสตร์ การทำกุมารทอง ฯลฯ
ดูเหมือนจะไม่ได้ข้องเกี่ยวเพียงเรื่องไสยศาสตร์เพียงอย่างเดียว เพราะชิ้นส่วนทารกดังกล่าวเกี่ยวพันธ์ในประเด็นการก่ออาชญกรรม ที่ต้องสืบสวนสอบสวนถึงแหล่งที่มาชิ้นเนื้อแยกส่วน
ชิ้นส่วนศพข้ามประเทศ
เท้าความเมื่อช่วงค่ำวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้าคัดแยก บริษัท ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสฯ บริษัทรับส่งสินค้าระหว่างประเทศ เอ็กซ์เรย์ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยจึงทำการเปิดกล่องพัสดุปลายทาง ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐฯ พบชิ้นส่วนอวัยวะทารกบรรจุกล่องเตรียมนำส่งไปยังต่างแดน โดยแต่ละส่วนถูกแช่น้ำยาฟอร์มาลินในกล่องเรซิ่น มีทั้งหมด 3 กล่อง ตามข้อมูลเปิดเผยว่า
กล่องที่ 1 บรรจุศรีษะทารกผ่าครึ่ง
กล่องที่ 2 แผ่นผิวหนังของทารกลงยันต์ลายเสือเผ่น และอักขระ
กล่องที่ 3 บรรจุเครื่องใน, เท้า
ซึ่งพัสดุทั้งหมด ถูกส่งจากชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ย่านพระราม 3 เบื้องต้นแม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการเรียกตัวเข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริง แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าว่าชิ้นส่วนทารกนั้นมาจากแหล่งใดหรือมีที่มาอย่างไร
ด้านผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียร่วมแสดงทัศนะในประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะในมุมไสยศาสตร์ที่หลายคนเชื่อว่ามีความข้องเกี่ยวกับพัสดุสยองเทือกนี้ ความว่า
“อำมหิตมาก ลงอักขระด้วย เจ็บจนตายไม่พอ วิญญาณคงสาหัสสากรรจ์”
“ความงมงายมีกระจายอยู่ทั่วโลกแหละ แต่อยู่ในประเทศที่เจริญแล้วยังถูกสิ่งงมงายครอบงำสมองเอาได้นี่จัดว่าหัวอ่อน”
“เพราะกฎหมายไทยอ่อนแอ สวนทางกับ หลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า ที่เป็นเหตุเป็นผล ที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่เราสอนให้คนไทยหลงในอวิชชา การปฏิบัติเพื่อการพิสูจน์ทางกฎหมาย จึงมีอวิชชาเต็มทุกหน่วยงานราชการ ต่างชาติจึงเข้าใจว่าเราเป็นแหล่งอวิชชา ทำอะไรก็ได้ถ้าเป็นคนมีเงินก็ไม่ผิด ศีลธรรมที่มีมาก่อนกฎหมาย
จึงหายไปจากใจคนไทย ทั้งที่กฎหมายจะเขียนกฎข้อที่1..2..3.. ก็ยังต้องเหลียวมองศีลธรรม ความคิดเห็นจาก ไม่รักและปกป้องประเทศไทยแล้วจะให้ใครมารักมาปกป้อง”
ความงมงายสู่สากล
'ไม่เชื่อ..อย่าลบหลู่' จั่วหัวก่อนเข้าพิจารณาในมุมไสยศาสตร์ ทีมข่าว Astv ผู้จัดการ Live สอบถามไปยัง ชัยภัทร ธนพัชรชัย เจ้าของเว็บไซต์เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง mahawed63 เขาอธิบายเหตุการณ์ชิ้นส่วนทารกที่มีการลงยันต์ลงอักขระเกี่ยวเนื่องกับอาจมีความเกี่ยวเนื่องกับไสยศาสตร์ของการใช้กุมาร แต่วิเคราะห์ตามลักษณะบรรจุภัณฑ์เขามองว่าชิ้นส่วนทารกที่เป็นข่าวน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ การหล่อเร่ซิ่นแช่น้ำยาฟอร์มาลิน
ทางการแพทย์มักใช้กระบวนการนี้ในการเก็บรักษาชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อศึกษาวิจัย หรือคล้ายๆ กับการเก็บชิ้นส่วนเพื่อนำไปจัดแสดงให้ความรู้แก่ประชาชนของหน่วยงานทางการแพทย์ ตรงนี้ก็มีความเป็นไปได้
“แผ่นหนังที่มีการลงยันต์ เขาเรียกสะกดวิญญาณ แต่ไม่ใช่เรื่องใช้งานกุมาร” ชัยภัทร กล่าวและอธิบายว่าการสะกดวิญญาณถือเป็นบาปมหันต์ ทั้งนี้ การสะกดวิญญาณ ก็เพื่อไม่ให้ทารกที่ถูกสะกดออกไปไประรานใคร
อย่างไรก็ตาม การทำกุมารมรปัจจุบันนิยมอยู่ 2 ลักษณะ เขาอธิบาย “ส่วนใหญ่ปัจจุบันจะทำเป็นผงมากกว่าเป็นตัว จะใช้เป็นผงไปอุดที่ใต้ฐาน ถ้าเป็นองค์เป็นตัวเลยมันเป็นการสร้างเจ้ากรรมนายเวร”
เขา เล่าถึงที่มาของศพทารกที่มีและการนำกุมารไปใช้ประโยชน์ “เท่าที่ผมสืบรู้มานานแล้ว เป็นลักษณะโรงทำแท้ง มีอยู่ที่นึงเขาจะไปรับซื้อกันมา เพราะว่าวันๆ หนึ่งต้องมีคนมาทำแท้ง เขาบอกว่ามาทำแท้งกันเป็นรายวันเลย แล้วก็เอาศพเด็กที่ทำแท้งมาทำพิธี ไปฮั้วกับพวกอาจารย์พวกสำนักต่างๆ พวกนั้น แล้วส่วนใหญ่เขาจะส่งให้ จีน ราคาแพงมาก แต่จะเป็นตัวตากแห้งแล้วไปย่างไม่ตัวแบบนี้ เท่าที่ผมรู้เขาเอาไปใช้เชิงธุรกิจ เพราะว่าทาง จีน เขามีการแข่งขันสูงเรื่องของธุรกิจ พวกเจ้าของโรงงานมากว้านซื้อพวกนายทุนต่างประเทศก็มากว้านซื้อเพื่อเอาไปจำหน่ายประเทศตัวเอง รับซื้อทีหนึ่งก็เยอะ ขายกันเป็นตัวตัวก็เป็นแสน”
แต่สุดท้าย กลุ่มคนที่แห่ซื้อกันไปก็ของเข้าตัวแทบทั้งนั้น เป็นผลพวงมากจากบารมีคนสร้างไม่พอ ชัยภัทร อธิบาย
“ปัจจุบันที่เราเจอกันอยู่ในบ้านเราทุกวันนี้เป็นกุมารที่ถูกบังคับใช้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันเอาไปใช้ไม่ได้หรอก บารมีคนสร้างไม่เหมือนสมัยก่อนไม่เหมือนหลวงพ่อเต๋ เพียงแต่สร้างตามตำรา มันมีกันเหมือนกระดาษซีร็อกซ์ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ แล้วอีกอย่างสะกดวิญญาณไม่อยู่ บารมีไม่ถึง พอส่งออกขายไปก็ลักษณะเป็นผีหลอกหลอนธรรมดา”
อาชญากรรมในเงามนต์ดำ
อย่างไรก็ตาม ชิ้นส่วนทารกต้องสงสัยที่ถูกตรวจพบขณะกำลังนำส่งออกนอกประเทศ ผิดกฎหมายและเป็นภาระของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องตรวจสอบแหล่งที่มา และลงโทษผู้กระทำผิด พ.ต.อ.หญิง ดร.พัชรา สินลอยมา คณบดี คณะนิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ให้ความรู้ในมุมอาชญาวิทยา กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวคือการก่ออาชญกรรม ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจพิสูจน์
“ประด็นชิ้นส่วนของศพก่อนอื่นต้องพิสูจน์ก่อนว่าศพถูกฆาตกรรม หรือตายเอง แล้วนำชิ้นส่วนมาส่งพัสดุ แต่ตามกฎหมายการนำชิ้นส่วนศพมาส่งผิดอยู่แล้วค่ะ การทำลาย หรืออำพรางศพ ผิดอยู่แล้ว ประเด็นการตรวจพิสูจน์ต้องหาที่มาของศพเด็กว่ามาจากที่ไหน ประเด็นของการถูกฆ่า หรือตายเอง ต้องพิสูจน์ด้านนิติเวชโดยการผ่าศพชันสูตร หาสาเหตุการตาย”
เหล่านี้ นิติวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ โดยจะต้องทำการพิสูจน์สาเหตุการตาย และพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล
“ถึงเป็นต่างชาติก็ต้องสอบสวนให้รู้ว่า ซื้อมาจากที่ไหน สินค้าแบบนี้ไม่ได้มีอยู่เกลื่อน หากบอกไม่ได้ก็ต้องลงโทษไปเลย ปล่อยไว้แบบนี้ ประเทศไทยกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้” ความคิดเห็นหนึ่งจากโซเชียลมีเดีย
ชาวโซเชียลจำนวนมาก เห็นพ้องว่าเจ้าหน้าที่ฯ ต้องคลี่คลายประเด็นดังกล่าว และลงโทษขั้นเด็ดขาดเพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้มีผู้ลักลอบกระทำความผิดอีก
“ไปเอาทารกมาแยกชิ้นส่วนจากไหน? ลักพาตัวมาฆ่าหั่นศพหรอ? หรือมันจะไปหาศพเด็กที่ไหนมาได้ง่ายๆ? เด็กเป็นลูกใครหลานใคร มันไปเอามาได้ไง หรือลูกมันเอง??? เรื่องนี้ต้องสอบสวนให้หนัก ไม่เข้าใจว่าทำไมปล่อยตัวไอ้ผู้ต้องสงสัยไปง่ายๆ ตำรวจไทยเอ๊ย อย่าให้ซ้ำคดีเกาะเต่าเลย”
“เมืองไทยตอนนี้เป็นแหล่งพำนักของอาชญากรมาเฟียคนโรคจิตจากทั่วทุกมุมโลก รัฐปล่อยเปิดเสรีไม่ปกป้องความปลอดภัยของประชาชนเลย”
และบางส่วนก็แสดงความคิดเห็นตรงกับ เจ้าของเว็บไซต์เกี่ยวกับเครื่องรางฯ “อันนี้ไม่ใช่กุมารทองนะเพราะไม่ใช่เด็กที่ตายในท้อง นี่คือเด็กที่เกิดมาแล้ว และถูกทำให้ตายผิดธรรมชาติ จัดเป็นคดีฆาตกรรม”
เหตุดังกล่าวจะข้องเกี่ยวกับประเด็นไสยศาสตร์มากน้อยเพียงใด ไม่นานอาจเป็นคำถามที่ถูกทิ้งร้าง แต่ในประเด็นอาชญกรรมคงเป็นหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต้องเร่งสืบสวนสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นขบวนการอวิชชานอกรีด หรือกลุ่มมนุษย์ใจเหี้ยม ล้วนเป็นหน้าที่ของพวกท่านที่ต้องเร่งปราบปราม
….....................
เรื่องโดย Astv ผู้จัดการ Live
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754