“ถามอะไรมาเราก็ตอบตรงๆ เป็นตัวของเราเอง ทำตัวให้เป็นคนดีก็พอค่ะ”
นี่คือคำพูดของ “จันจิ-จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย” ที่ในขณะนี้ถูกจับตามองในฐานะของแฟนใหม่มาริโอ้ หลังมีภาพที่ทั้งคู่ควงกันไปรับประทานข้าว และกลายเป็นประเด็นเมื่อเธอลบภาพดังกล่าวออก นักข่าวหลายสำนักต่างจับจ้อง จ่อไมค์เข้าหา ท่ามกลางกระแสฮือฮา มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถตอบได้ว่า เป็นแฟนตัวจริงหรือแค่เกาะกระแสมาริโอ้ดัง !!
อบอุ่นได้ แม้ครอบครัวไม่สมบูรณ์
วันนี้ M-Lite มีนัดพูดคุยและทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของคนที่ถูกครหา เธอมาพร้อมกับความมั่นใจในชุดเดรซยาว สีสันสดใสพร้อมกับจูงเจ้าตัวเล็ก น้องหมาพันธุ์บีเกิลตัวโปรด มาให้เราได้เชยชมกันอีกด้วย ทำให้รู้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนนรักสัตว์คนหนึ่งบวกกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ดูท่าทางเป็นกันเองเอามากๆ
ก่อนหน้าที่เธอจะโด่งดังในวงการบันเทิงและเป็นที่รู้จักในชื่อ “จันจิ” หลายคนคงสงสัยว่าเหตุใดเธอจึงชื่อแปลกเช่นนี้ แท้จริงแล้วเธอเป็นคนไม่มีชื่อเล่น ส่วนที่มาของชื่อนั้น มาจากชื่อ จันจิรา ซึ่งเป็นชื่อจริงของเธอนั่นเอง
“ชื่อจันจิมาจากจันจิรา คุณพ่อ-คุณแม่ ไม่ได้ตั้งชื่อเล่นให้ก็เลยชื่อ จันจิ จริงๆไม่ได้อยากจะเป็นญี่ปุ่น เคยถามพ่อว่าถ้าจะตั้งชื่อเล่นจะให้ชื่ออะไร พ่อบอกชื่อส้ม เลยบอกอย่างนั้นชื่อจันจิดีกว่า”
ภายใต้ใบหน้าอันอ่อนหวาน แต่ซ่อนไปด้วยความสวยเก๋ไม่เหมือนใคร เป็นเพราะเธอไม่ใช่คนเชื้อสายไทย100% แต่เธอเป็นลูกครึ่ง จีน-ฟิลิปปินส์
“คุณพ่อได้มีโอกาสไปเรียนที่ฟิลิปปินส์ค่ะ เลยได้ไปเจอกับคุณแม่ ก็เลยกลับมาสร้างครอบครัวอยู่ที่เมืองไทย การเลี้ยงดูของคนฟิลิปปินส์ จะคล้ายๆกับคนไทยเพราะอยู่ในแถบเอเชียเหมือนกัน”
ด้วยความที่เธอเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ พ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเด็ก แต่เธอกลับมองว่าเป็นเรื่องเฉยๆ ไม่รู้สึกขาดและไม่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กมีปัญหา เธอเข้าใจพ่อและแม่มากกว่า เธอโตมากับการเลี้ยงดูโดยพ่อ ทางญาติพี่น้องฝั่งพ่อดูแลมาอย่างอบอุ่น เลยไม่รู้สึกขาดตรงจุดๆ นั้น
“จันจิมีพี่น้อง 3 คน จันจิกับพี่สาวจะอยู่กับคุณพ่อ ส่วนน้องสาวจะเป็นคนละคุณพ่อ อยู่กับคุณแม่ที่ฟิลิปปินส์ จันจิไม่ได้อยู่กับคุณแม่ตั้งแต่ ป.3 จะถูกคุณพ่อเลี้ยงดูมาแบบแมนๆ ผู้ชายๆ ให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้มาจากคุณพ่อ คุณแม่จะเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวาน แต่จันจิไม่มีตรงนั้นเลย คุณพ่อจะเลี้ยงลูกแบบปกติทั่วไป อยู่กับคุณพ่อเค้าไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องแมน แต่การพูดจาซะมากกว่าที่ออกแมนๆ เค้าก็เลี้ยงเราแบบผู้หญิงนั่นแหละค่ะ”
แม้ว่าทางบ้านจะอยากให้เธอมาช่วยธุรกิจจิวเวลรี ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว แต่เธอก็ถูกเลี้ยงมาแบบไม่เคยโดนบังคับ ให้เลือกเอง ตัดสินใจเองทุกอย่าง และด้วยความที่เป็นลูกสาวที่ทั้งสวยเก่ง ไม่แปลกที่คุณพ่อจะหวง และเธอไม่เคยทำให้ครอบครัวต้องผิดหวัง เพราะรู้จักการวางตัวอย่างเหมาะสม
“คุณพ่อจะหวงมาก เราจะทำให้คุณพ่อเชื่อใจไม่ได้ออกนอกกรอบ และคุณพ่อจะไว้ใจเรามากกว่าจะไม่ตาม ต่างคนต่างให้สิทธิความเชื่อใจกันก็เลยอยู่กันได้ สิ่งที่ได้ซึมซับจากคุณพ่อมา คุณพ่อจะเป็นค่อนข้างจะดุแต่ไม่ตามไปทุกที่ ถ้าเค้าบอกอะไรก็ต้องฟังเค้า คือเค้าจะไม่บังคับเราว่าเราจะต้องเรียนอย่างนั้นนะ จะต้องเป็นอย่างนี้นะ ให้เราเป็นคนตัดสินใจให้เราทำทุกอย่าง ทุกวันนี้ จันจิเป็นคนเลือกเองหมดเลย”
พี่ชายวันนี้ คนรู้ใจวันหน้า
คุยมาได้สักระยะ บุคลิกของเธอเป็นสาวมั่นที่ตอบตรง ผู้สัมภาษณ์เลยขออนุญาติถามถึงเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้เลยแล้วกัน
อาจเลี่ยงไม่ได้ที่บางคนจะรู้จักเธอในนามหวานใจคนใหม่ของพระเอกหนุ่มมาดทะเล้น “มาริโอ้ เมาเร่อ” เจ้าตัวมองว่ามันคงเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ เพราะทางฝ่ายมาริโอ้เองก็เป็นที่น่าจับตามอง แต่เธอกลับพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ถือซะว่าตรงนี้เป็นโอกาสที่ดี ที่เธอนั้นจะได้แนะนำตัวเอง เธอพูดด้วยสีหน้าน้อยใจ
“ถือว่าจันจิเป็นคนคนนึงที่อยู่ในวงการนะ แต่เราไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น จันจิยังยืนยันว่าเราเป็นแค่พี่น้องกัน ที่รู้จักกันเพราะจันจิเคยเต้นให้ตั้งคอนเสิร์ต4+1แล้ว จันจิก็รู้จักเพื่อนๆพี่เค้า ไม่ได้เป็นแก๊งเดียวกัน แต่ถ้ามีงานบังเอิญเจอกันก็ไปด้วยกัน พี่โอ้เป็นคนหล่ออยู่แล้ว เป็นคนวางตัวดี น่ารัก พี่โอ้เค้าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สร้างภาพ เค้าฮาๆ ตลก ขำๆ
พอมีข่าวก็ตกใจ ก็มีการปรึกษาอยู่แล้วค่ะ ว่ามันเป็นยังไงเกิดไรขึ้น แต่ไม่ได้ซีเรียส เค้าเข้าใจ พี่โอ้ก็บอกว่ามีไรก็พูดกันไม่ต้องซีเรียสก็บอกไปตรงๆ เราไม่มีอะไรที่ต้องมาปิดบังอยู่แล้ว เพราะเราก็อยู่อย่างบริสุทธิ์ใจไม่ได้มานั่งปิดบังหรืออะไรแบบนี้ค่ะ
จันจิไม่ต้องการที่จะมาเกาะกระแสหรืออะไร ถามอะไรมาเราก็ตอบตรงๆ เป็นตัวของเราเอง ทำตัวให้เป็นคนดีก็พอ เป็นตัวของตัวเองเองดีที่สุด แต่ถ้าจะถามถึงเรื่องการพัฒนาเป็นเรื่องของอนาคตมากกว่า แต่ปัจจุบันก็เป็นพี่น้องกัน และเราไม่ได้โฟกัสว่าอนาคตข้างหน้าเราจะเป็นยังไงเราไม่รู้จริงๆ แต่ตอนนี้คิดว่าเป็นแบบนี้ดีกว่า”
ชายหนุ่มที่จะคว้าหัวใจเธอไปได้นั้นต้องดูแลเธอได้ เข้ากับเธอได้ เข้าใจในสิ่งที่เธอเป็น และที่ขาดไม่ได้เลยเขาคนนั้นก็ต้องอยู่ในฐานที่ว่าดูดี ส่วนผู้ชายที่เธอยี้ที่สุด เห็นจะเป็นผู้ชายคารมดี ที่สาวๆมีแต่จะกรี๊ดเข้าหา แต่สำหรับเธอนั้นขอบายดีกว่า เพราะเธอเกลียด ความเจ้าชู้ประตูดินเป็นที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่เธอเคยโดนมาแล้วกับตัว บอกเลยผู้ชายประเภทนี้ อย่าได้หวังว่าจะเข้ามากล้ำกรายในชีวิต
“เป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยนะ ถ้าจะคบเผื่อเลือกก็แสดงว่าไม่ได้นึกถึงจิตใจของอีกฝ่ายเลย เพราะสงสารคนที่เป็นตัวเลือก ถ้าไม่ต้องการเค้าก็ปล่อยเค้าไปเถอะ อย่าไปกั๊กเค้าเลย จันจิไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ แต่ส่วนมากคนเจ้าชู้เค้ามักจะดูแลคนเก่ง แต่เค้าก็จะดูแลใครก็ได้ไง จันจิอยู่กับคนที่สนุกสนานเฮฮากับเราคนเดียวดีกว่า
จันจิชอบคนสะอาด ดูแลตัวเองไม่ปล่อยให้ตัวให้โทรม ไม่กินแล้วนอน ไม่ปล่อยให้ตัวเองพุงโย้ ไม่ชอบคนพุงพุ้ย ไม่ต้องมีซิทแพคก็ได้แต่ขอเฟิร์ม เพราะจันจิเป็นคนชอบเต้น อยู่ในการออกกำลังกายมาตลอด ชอบคนที่คุยกันรู้เรื่อง เป็นคนรักตัวเอง”
ตรงๆ แรงๆ นี่แหละเธอ!
เมื่อบุคลิกภายนอกดูเป็นสาวแรงสุดมั่น ไม่แปลกที่คนภายนอกจะดูแค่ผิวเผินและพูดกับเธอว่า “เราเป็นคนหน้าหวานนะแต่บางทีทำไมเราดูแรงจังเลย” ระหว่างเธอบอกเล่า ผู้สัมภาษณ์เองก็รู้สึกแบบนั้น (พยักหน้าตาม)
และจากตัวตนภายนอกที่ดูสวย มีเสน่ห์ แต่เธอกลับไม่ใช่ผู้หญิงจ๋าซะทีเดียว แท้จริงแล้วบุคลิกภายในขัดกับหน้าตาอันแสนอ่อนหวานของเธออย่างชัดเจน เธอเป็นคนง่ายๆ สบายๆ เสียมากกว่า
“ความจริงแล้วเป็นคนมั่นใจ แค่ลุคภายนอกเฉยๆ จริงๆแล้วเป็นคนบ้าๆบอๆ สนุกสนานซะมากกว่ามาได้ดูแรงขนาดนั้น ส่วนมากคนที่รู้จักเราแล้วจะบอกว่าไม่เห็นเหมือนตอนแรกเลย แต่คนที่รู้จักเราแล้วจะมองเราว่า เราเป็นคนพูดเยอะ พูดไปเรื่อย สนุกสนาน เข้ากับคนง่าย
จันจิจะสปอร์ตในเรื่องการแต่งตัวการวางตัว เราไม่ได้เป็นผู้หญิงที่พูดคะขา การพูดการจาจะแมนๆ ลุคของจันจิจะไม่ได้เป็นคนแต่งตัวหวาน ใส่กระโปรงพลิ้วๆจะมีบ้างตามอารมณ์ แต่จะเน้นความสะดวกสบายซะมากกว่า”
เธอยังบอกอีกว่าการที่เธอไม่ได้เป็นผู้หญิงอ่อนหวาน เพราะส่วนหนึ่งอาจมาจากที่คุณพ่อส่งเธอไปเรียนโรงเรียนประจำตั้งแต่ม.1-ม.6 จะว่าไปตลอดระยะเวลา6ปี การอยู่โรงเรียนประจำมันไม่ง่ายนักสำหรับเด็กทั่วไป ที่ต้องห่างจากอกพ่อแม่ ไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แต่เธอกลับเห็นต่างจากคนอื่นและมองว่าเป็นเรื่องสนุกที่ท้าทายในชีวิต
“เป็นเด็กที่ไม่โยเย ไม่น้อยใจพ่อว่าทำไมพ่อถึงให้ไปอยู่โรงเรียนประจำ จะกลับบ้านเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ คิดว่ามันสนุกดี พี่สาวอยู่ก่อน เรารู้สึกว่าเราดูแลตัวเองได้ ไม่ได้เป็นคนเจ้าระเบียบ นิสัยที่ได้ติดมาคือสามารถดูแลตัวเองได้ เวลาไปไหนสามารถจัดกระเป๋าเองได้ สามารถไปนอนที่ไหนก็ได้ อยู่กับใครก็ได้ ใช้ชีวิตได้ไม่ยาก ข้อเสียคือ อาจจะไม่ได้เจอหนุ่มๆเพราะเป็นโรงเรียนหญิงล้วน (ยิ้มขี้เล่น) ไม่รู้สึกเสียดายที่ได้เรียนโรงเรียนประจำ ถ้าจันจิมีลูกก็จะให้ไปอยู่โรงเรียนประจำเหมือนกันเค้าจะได้ฝึกตัวเอง”
และนี่คือสีสันในชีวิตวัยเรียนของเด็กนักเรียนโรงเรียนประจำ ที่เด็กแสบทิ้งวีรกรรมเอาไว้ให้รุ่นน้องดูต่างหน้า ไม่ว่าอะไรที่เป็นกฎของโรงเรียน คุณครูจะห้ามอะไรเธอทำมาแล้วทุกอย่าง และเธอก็ยังเป็นขวัญใจรุ่นน้อง แต่กลับถ่อมตัวว่าไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนักไม่ถึงขนาดเป็นดาวโรงเรียน แต่ผู้สัมภาษณ์ดูๆแล้วเธอก็คงจะฮอตใช่ย่อย
“ตอนเรียนไม่ได้เป็นดาว แต่เป็นที่รู้จักว่ามากกว่าค่ะ ตอนอยู่โรงเรียนหญิงล้วน ม.1-6 ตอนดึกๆก็จะแอบเล่นผีถ้วยแก้ว ห้องที่จันจินอนเป็นห้องนอนรวม เตียง2ชั้น เหมือนเล่นไปโดนคำอะไรสักอย่าง แล้วเพื่อนกลัวมากทุกคนก็ลากเตียงมาชิดกัน หนีจันจิกับเพื่อนจันจิที่นอนด้วยกันแล้วเล่นด้วยกัน เลยกลายเป็นโซนที่ต้องอยู่เดี่ยวๆ อีกอย่างคือเวลามีของว่างชอบแอบขโมยขนมคุณครู มาทานตอนกลางคืน แอบเอาโทรศัพท์เข้าไปบ้าง เพราะที่โรงเรียนประจำจะเคร่งมาก ห้ามทานขนม ห้ามแอบเอาขนมเข้าไป ห้ามใช้โทรศัพท์”
ดูเหมือนนิสัยตอนเด็กๆ ที่ติดมาถึงตอนนี้ เธอจะเป็นผู้หญิงที่ดูง่ายๆ สบายๆ ไม่งอแง จนไปไหนมาไหนคนเดียวได้ แม้กระทั่งการชอปปิ้ง ซึ่งสำหรับสาวๆส่วนใหญ่คงจะนัดเพื่อนไปช่วยกันเลือกดูของ แต่สำหรับเธอกลับมีความเห็นที่แตกต่าง เพราะเธอมักชอบทำอะไรคนเดียว
“เรื่องของการเที่ยว เป็นคนอยากไปไหนไป อยากเที่ยวไหนเที่ยว อยากทำไรทำ ไม่ใช่คนงอแง ทำอันนู้นนี้ เป็นคนยังก็ได้ แต่เรื่องงอนก็เป็นปกติของผู้หญิง แต่จะไม่งี่เง่า เป็นคนชอบไปไหนมาไหนคนเดียว ชอบชอปปิ้งคนเดียว ชอบเดินเล่นดูของ เราเป็นคนชอบพินิจพิจารณากับสิ่งของนานๆบางทีถือของชิ้นนั้นเป็นชั่วโมงเดินไปเดินมาในร้านแล้วก็ไม่เอา”
เมื่อถึงวันพักผ่อน เธอกลับเลือกใช้วันพักผ่อนที่แสนมีค่าไปกับการอยู่บ้านและหากิจกรรมทำ เธอบอกตลอดว่าเธอไม่ใช่คนหวาน แต่ใครเล่าจะรู้ บางมุมก็แอบมีมุมกุ๊กกิ๊กน่ารักเหมือนกัน เพราะเธอใช้เวลาวันว่างไปกับการทำขนม เช่น คุกกี้ คัพเค้ก บราวนี่ มีความสุขทุกครั้งที่ได้เอาไปให้เพื่อนๆชิมจนทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอทำอร่อย แต่ไม่แน่งานอดิเรกของเธอชิ้นนี้ อนาคตอาจนำพาไปสู่การต่อยอดทางธุรกิจก็ได้
และอย่างที่บอกเธอเป็นคนรักสัตว์ แน่นอนนอกจากจะใช้เวลาในวันหยุด หมดไปกับการทำขนมแล้ว เธอยังใช้เวลาที่เหลือไปกับเพื่อนยามเหงา เจ้าตัวเล็ก น้องหมาตัวโปรดของเธอ สังเกตได้ว่าระหว่างพูดคุยกับเธออยู่นั้น เจ้าตัวเล็ก เห่าตลอดเวลา แสดงให้เห็นทีท่าของการหวงเจ้าของ เพราะเจ้าตัวเล็กติดเธอเป็นอย่างมาก
“ที่บ้านมีหมา2ตัว ตลอดชีวิตไม่เคยไม่เลี้ยงหมาที่ผ่านมาก็หลายพันธุ์ ปลั๊ก ปอม แต่แก่ตายไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เลี้ยง2ตัว คือ เจ้าตัวเล็กพันธุ์บีเกิลกับโทนี่พันธ์ชิวาวา เป็นหมาของคุณอาตอนนั้นน้ำท่วมคุณอาเลยเอามาฝากก็เลยอยู่ยาวเลย
การเลี้ยงน้องหมาต้องมีเวลาให้เค้าจริงๆถ้าไม่มีเวลาก็อย่าเลี้ยงเลย แต่ก่อนก็ไม่ค่อยมีเวลาก็รู้สึกสงสารเจ้าตัวเล็กมาก เค้าจะหงอย แต่จะให้พี่เลี้ยงดูแทน เดี๋ยวนี้มีเวลาเยอะขึ้นก็ได้ดูเค้า เค้าก็จะเหมือนหมาเด็ก ซนๆ เลี้ยงมาได้5-6 ปี แล้วค่ะ ได้มาจากรุ่นน้องที่สนิทโรงเรียน ให้เป็นของขวัญวันตอนเรียนจบ ม.6”
เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ในฐานะคนรักสัตว์ ผู้สัมภาษณ์จึงขอให้เธอพูดในฐานะคนรักน้องหมาคนหนึ่ง เกี่ยวกับกรณี เรื่องน้องหมาที่โดนทำร้าย เธอกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าว่า
“อยากให้มี พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์ ค่ะ ถ้าทำได้ควรทำเลย สงสารน้องหมาไปทำเค้าทำไม คนที่ทำกับสัตว์แบบนั้นต้องใจโหดมาก สัตว์เลี้ยงมันเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง อยู่กับเราได้ตลอดเวลา แล้วจะเค้าก็รักเราตลอด ไม่มีวันไหนที่เค้าจะเบื่อเรา เป็นเพื่อนยามเหงาได้ดีมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะเห็นเค้าวิ่งมาหาเราก็แฮปปี้แล้ว”
เธอคือ เทพนักเต้น
จากลุคภายนอกของเธอที่ดูเป็นสาวมั่น แต่หากเมื่อย้อนกลับไปวัยเด็ก เธอเป็นเด็กที่แสนจะขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกแม้กระทั่งกับคนในครอบครัว แต่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอชอบเต้น รู้แค่ว่าถ้าทำอะไรที่มันสนุกเธอจะอยากทำต่อและอยากแสดงออก กลายเป็นว่าเปลี่ยนจากคนขี้อาย ให้เป็นคนกล้าแสดงออกแบบไม่เหลือความอายอะไรเลย
“ตอนเรียนอยู่ชั้นอนุบาล คุณครูถามใครอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์บ้าง เรากล้ามากที่สุด รีบวิ่งขึ้นไปบนเวที (หัวเราะ) แต่ตอนเด็กๆ จันจิขี้อายมาก ไม่กล้าบอกว่าเราต้องการอะไรอยากทำอะไร ไม่กล้าที่จะพูด ไม่กล้าพูดตรงๆเพราะเคยพูดไปแล้วโดนล้อ ที่บ้านชอบแซว แต่ตอนนี้หรอ แซวไปเถอะ จันจิไม่สนแล้วเพราะกล้าแสดงออกแล้ว
การเต้น คือความสุขที่ได้แสดงออกต่อหน้าคน ทำให้เราไม่อายที่จะแสดงออก เป็นตัวของตัวเอง ไม่รักษาภาพลักษณ์จนแบบดูไม่เป็นตัวของตัวเองจนเกินไป คือเราเป็นยังไงก็แสดงออกมาแบบนั้น ครอบครัวจะชอบเต้นกันหมดเลย คุณแม่ชอบเต้น เพราะทางฝั่งฟิลิปปินส์ พอมีงานสังสรรค์ก็จะเต้น
จันจิเป็นคนเลือกเองตั้งแต่เด็กว่าจะทำอะไรชอบอะไร ตั้งแต่จำความได้ไม่มีใครมายัดเยียดให้ เข้าวงการมาได้ตอนอายุประมาณ15-16ปี เริ่มจากการเป็นแดนเซอร์ ของ พี่ “อู๋-เปรมจิตต์ อำนรรฆมณี” DDanceSchool จริงๆไปเรียนเต้นแล้วพี่อู๋เค้าเห็น จันจิเริ่มออดิชั่น ตอน ม.5-6 เต้นมาเรื่อยๆจนเข้ามหาวิทยาลัย”
ไม่แปลกที่ความสามารถพิเศษนี้ จะพาให้เธอได้ก้าวเข้าสู่วงการอย่างเต็มตัวกับผลงานในวงการบันเทิงที่หลากหลาย ด้วยความที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง เธอเป็นทั้งแดนเซอร์ ดีเจ ถ่ายแบบนิตยสารและเป็นเอ็กซ์ตร้าให้โฆษณาและเอ็มวี เมื่อได้รับโอกาสจึงไม่รอช้าที่จะคว้ามัน ทำผลงานทุกชิ้นอย่างเต็มที่และให้ดีที่สุด
ด้วยเหตุนี้สาวรักการเต้น จึงได้ร่วมงานกับศิลปินแถวหน้าของเมืองไทยและมีผลงานชิ้นโบแดงตามมามากมายทั้งได้เป็นแดนเซอร์ของ เบิร์ด-ธงไชย ,บี้-สุกฤษฎิ์ ,ชิน-ชินวุฒ ,น้ำชา-ชีรณัฐ , ไอซ์-ศรัณยู ศิลปินค่ายเอ็กแซ็กท์ ศิลปินเบอร์ต้นๆเกือบจะทุกคนก็ว่าได้ เสน่ห์ของการเป็นแดนเซอร์ คือการสร้างความสุขให้แก่คนดู เวลาอยู่บนเวที เธอไม่เคยคาดหวังให้ใครมามอง เมื่อถามถึงผลงานครั้งที่ประทับใจไม่รู้ลืม ท่าทางของเธอแลดูมีความสุข และเล่าด้วยสีหน้าแย้มแย้มว่า
“ก็ประทับใจมาตลอดค่ะ แต่ที่ประทับใจที่สุดคือคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด พี่เบิร์ดเป็นคนน่ารักและเทกแคร์แดนเซอร์ดี ทำให้จันจิรู้สึกภูมิใจที่ได้มาเต้น คอนเสิร์ตพี่เบิร์ดเพราะใครๆเค้าก็อยากมาเต้น คนที่เป็นแดนเซอร์สักครั้งในชีวิตก็อยากจะมาเต้นคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด
โมเมนต์ประทับใจในคอนเสิร์ต จะเป็นช่วงท้ายซะมากกว่า ตอนนั้นพี่เบิร์ดจะเต้น ร้อง แดนซ์ไม่หยุดเลย แล้วพี่เบิร์ดหันมายิ้มให้ เรารู้สึกว่าเรามีกำลังใจมาก พี่เบิร์ดเค้าไม่มีการเหนื่อยเค้าเต็มที่มาก
ด้วยความที่ตอนเด็กๆ จันจิอยากเป็นนักออกแบบท่าเต้น แต่ด้วยการเรียนและต้องช่วยธุรกิจจิลเวอรีที่บ้าน ตอนนี้เลยไม่ได้คิดว่าจะกลับไปเพราะมันอิ่มตัวมากแล้วค่ะ เราห่างจากตรงนั้นมาสักพักนึงแต่ไม่ได้มีการพัฒนา สิ่งที่เราเคยทำก็คิดซะว่าเป็นงานอดิเรกที่เราเคยได้ทำดีกว่า”
แต่ทุกวันนี้เธอก็ยังไม่ทิ้งความฝันที่อยากเป็นนักออกแบบท่าเต้น เธอนำสิ่งที่เธอรักมาใช้ในฐานะศิลปินในนามวง GAIA (ไกอา) ซึ่งมีความหมาย คือเป็นเทพผู้หญิงองค์แรกที่สร้างโลก โดยถูกส่งให้มาสร้างสีสัน สร้างความสนุกให้แก่วงการ และยังเป็นผู้บุกเบิกเกิร์ลกรุ๊ปวงแรกที่สามารถร้องได้ เต้นได้อย่างเต็มที่
เริ่มก่อตัวจากการที่ต้องการหาสาวๆมาทำวงเกิร์ลกรุ๊ป ให้เป็นศิลปินอันดับ1ของค่าย Do A Dot ในสังกัดเวิร์คพอยท์ เธอได้รับโอกาส จึงได้เข้ามาตรงจุดนี้ และไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะต้องได้ เพราะเธอจะถนัดไปทางด้านการเต้นมากกว่า ส่วนเรื่องการร้องเพลงนั้นเธอไม่เคยร้องให้ใครฟัง
เกิร์ลกรุปไทย ไม่แพ้ เกาหลี
ปัจจุบันนี้ วงการเพลงถือเป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบากหลายวงที่มาแล้วหายไปก็มีเยอะแลกกับชื่อเสียงและความโด่งดัง คงหนีไม่พ้นกับคำครหาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ตามมากับคำที่ว่า เลียนแบบเกาหลีหรือเปล่า
“วงGAIA(ไกอา) ของเราไม่ได้จะมาแล้วหายไปเราตั้งใจทำเต็มที่ทั้งเนื้อร้อง ดนตรี เอ็มวี เราตั้งใจฝึกซ้อม ไม่ได้มาเล่นๆ แป๊บเดียวแล้วไป มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง นำเสนอให้ออกมาในรูปแบบของเพลงไทย หลายคนอาจมีความคิดที่ว่าก๊อบฯเขามา แปลกแตกต่างตรงที่มีโปรดิวเซอร์เป็นชาวอเมริกัน แต่เราดูเบสที่เค้าทำดีมาเป็นตัวอย่างซะมากกว่า
ส่วนในเรื่องของดนตรีจะนำกลิ่นอายของอเมริกาหรือว่าเกาหลีมาผสมกันอยู่แล้ว เพราะเรื่องเพลงสามารถพูดได้ทุกภาษา และคาแร็กเตอร์ของแต่ละคนจะชัดเจนแตกต่างกันไปแต่สามารถไปด้วยกันได้ ส่วนเอกลักษณ์ของจันจิจะเป็นคาแร็คเตอร์ความเป็นตัวเองเลย วางคาแลคเตอร์เป็นผู้หญิงแข็งแรงดุดัน สาวสปอร์ต เต้น แดนซ์กระจายแข็งแรง จะไม่มีความหวานเลย
ตอนนี้การยอมรับก็กลางๆ เด็กๆ จะชอบ มีการพัฒนามามากขึ้นผลตอบรับดีมากขึ้น มีชาวต่างชาติก็มาเต้นcover ของเรานะ ไม่ใช่ชาวเอเชียนะแต่เป็นชาวยุโรป เช่น บราซิลมาชื่นชอบเรา เริ่มมีฐานแฟนคลับเพิ่มมากขึ้นตอนนี้มันเป็นโอกาสที่ดีที่เราถ้าเราตั้งใจทำงานเรื่อยๆ เราก็อาจจะไปตรงจุดๆ นั้น ยังไม่ได้คิดไปขนาดที่จะต้องโกอินเตอร์ แต่อยากทำทุกวันนี้ให้คนไทยรู้จักวงเราให้ได้มากที่สุดก่อนในฐานะเกิร์ลกรุ๊ปไทยนะ ที่แบบเราไม่ได้ไปก๊อบฯเค้ามา ให้ยอมรับกันเองก่อนที่จะกล้าไปเมืองนอก”
หากทุกวันนี้เธอไม่ได้เป็นนักร้อง สิ่งที่อยากจะประสบความสำเร็จในอีกด้านหนึ่ง คือเธออยากกลับไปช่วยธุรกิจที่บ้านอย่างเต็มตัว ส่วนงานในวงการบันเทิง เธอชื่นชอบการแสดง หากมีโอกาสก็อยากลองพัฒนาในเรื่องของความสามารถ
แต่ถึงอย่างไร เธอก็มองว่าวงการเป็นอาชีพที่เข้าง่าย ออกง่าย และไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถอยู่ได้นาน ดังนั้นเมื่อเธอมีโอกาส เธอจึงรีบคว้าและทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด
“จันจิทำในสิ่งที่มี กอบโกยโอกาสที่เราได้ ให้เต็มที่และดีที่สุด ไม่หวังพึ่งกระแส อะไรที่ทุกคนเค้ามองกันดีกว่า คือถ้าตั้งใจทำอะไรคนเค้าก็จะเห็น ถึงแม้จันจิจะไม่ได้เป็นคนที่มีรู้จักมาก แต่จันจิก็ภูมิใจในตัวเอง คือตกใจเหมือนกันว่าเราเข้ามาตรงจุดนี้ได้ยังไง ในส่วนตัวก็ร้องเพลงบ้างแบบสนุกสนาน ฮัมเพลงไปเรื่อยๆคนเดียว ยังไม่เคยร้องเพลงจริงๆจังให้ใครฟังมาก่อน เพราะจันจิไม่เคยต้องคิดว่าจะต้องมาร้องเพลงให้ใครฟัง ไม่ได้ฝึกมาว่าเพื่อจะมาเป็นนักร้อง คือเราไม่ได้คาดหวังว่าจะมายืนตรงนี้” เธอกล่าวทิ้งท้าย
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : จันจิ-จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย
วันเกิด : 29 มี.ค. 2534
การศึกษา : นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณา
ผลงานโดดเด่น : แดนเซอร์คอนเสิร์ต “แบบเบิร์ดเบิร์ด” ปี 2555, คอนเสิร์ต “บี้-สุกฤษฎิ์” และศิลปินอีกหลายคน, ดีเจคลื่น “MAX 94.5 FM”, นักร้องวง “GAIA”
สัมภาษณ์โดย ASTV ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: กรกนก วงษ์สุวรรณ
ภาพ: ศิวกร เสนสอน
ขอบคุณภาพบางส่วน: อินสตาแกรม "junji_gaia"
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754