อุบัติภัยใน 'วันลอยกระทง' ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะไอเทมเสริมอรรถรสจำพวกพลุดอกไม้ไฟ, โคมลอย ฯลฯ ที่ตกเป็นข่าวครึกโครมสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชนเป็นประจำทุกปี ซึ่งบทเรียนที่ผ่านมาทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างเข็นมาตรการออกมาปรามความคึกคะนองและความไร้ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมของบางกลุ่มกันยกใหญ่ กำราบด้วยโทษจำโทษปรับ แม้กระทั่งโทษประหารชีวิตในกรณีร้ายแรง ปล่อยโคมลอยก่อกวนการบิน
วันลอยกระทงถือเป็นเทศกาลครึกครื้นคืนที่ความสุขให้มวลชนชาวไทย ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา เกิดอุบัติภัยน่าสลดใจซ้ำรอยเดิม พลุระเบิดใส่มือนิ้วขาด โคลมลอยไปติดหลังคาบ้านเป็นเหตุไฟไหม้ ฯลฯ ซึ่งในปีนี้ดูเหมือนว่าแต่ละภาคส่วนจะตระหนักถึงปัญหาและออกมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด มุ่งลดปัญหาคาราคาซังที่ก่อกวนความสงบของประชาชน
แก้ไม่ตกปัญหาพลุดอกไม้ไฟ
บางคนแม้ไม่ได้เล่นพลุดอกไม้ไฟ แต่ใช่ว่าจะปลอดภัยจากอุบัติเหตุทำนองนี้ เพราะอาจโดนลูกหลงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว นั่นเท่ากับว่ากลุ่มคนที่เล่นพลุดอกไม้ไฟมีอัตตราเสี่ยงเป็นต้นทุนที่สูงอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงวันลอยกระทงมีความสุ่มเสี่ยงสูงมาก ซึ่งข้อมูลการบาดเจ็บรุนแรงจากการถูกเปลวไฟ หรือสะเก็ดดอกไม้ไฟหรือพลุ จากโรงพยาบาลเครือข่ายเฝ้าระวังการบาดเจ็บแห่งชาติ 28 แห่ง ระหว่างปี 2552 - 2556 เปิดเผยสถิติ 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้บาดเจ็บ 3,260 ราย และเสียชีวิต 8 ราย
“สยองกลางเมืองเชียงใหม่ 2 ชาวบ้านร่วมมือช่วยกันทำพลุเตรียมร่วมงานลอยกระทงเกิดบึ้มสนั่น”, “เล่นพลุส่งท้ายลอยกระทงตอนตีห้า แตกใส่มือหวิดแหลก”, “ประทัดระเบิดใส่กลุ่มเด็กจุดเล่นรับลอยกระทง เจ็บระนาว” พาดหัวข่าวเหล่าวนี้ เป็นเพียงตัวอย่างอุบัติเหตุจากพลุดอกไม้ไฟ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
ทางด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า พลุและดอกไม้ไฟจัดเป็นวัตถุระเบิดชนิดหนึ่ง ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้ไฟ และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 รวมทั้งประกาศหลักเกณฑ์การควบคุมและกำกับดูแลการผลิต การค้า การครอบครอง การขนส่งดอกไม้เพลิง
ในส่วนการผลิตและจำหน่ายพลุดอกไม้ไฟ จำเป็นต้องทำการขออนุญาต หากฝ่าฝืนจะมีโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มีโทษจำคุก 1 เดือนปรับไม่เกิน 1,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
และกรณีเล่นพลุดอกไม้ไฟก่อสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น ต้องโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220 โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 14,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สอดส่องท่าทีทางผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้สั่งการทุกหน่วยงาน เตรียมพร้อมดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเฉพาะอันตรายจากพลุดอกไม้ไฟ ที่มักจะเกิดขึ้นกับกลุ่มเด็กและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะร้านจำหน่ายพลุ ดอกไม้เพลิง ต้องปฎิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีใบอนุญาตผลิต นำเข้า และจำหน่าย
อย่างไรก็ตาม ทางเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เรียกร้องให้มีการพิจารณาเพิ่มโทษสูงสุด เพื่อกำกับดูแลแหล่งจำหน่ายวัตถุที่เข้าข่ายเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินเหล่านี้ ขณะที่ฉลากที่ปิดอยู่บนผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องมีคำเตือน ได้แก่ ห้ามเด็กต่ำกว่าอายุ 14 ปี และต้องอยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง, โปรดเก็บให้พ้นมือเด็ก, ไม่ควรเก็บในที่อุณหภูมิสูง รวมทั้งคำแนะนำ ควรเล่นในที่โล่งกว้าง หรือห่างไกลวัตถุไวไฟ
โคมลอย หายนะที่ร่วงหล่น?
กลายเป็นประเด็นปัญหาใหญ่ สำหรับผู้คนในหลายๆ พื้นที่ เพราะการลอยโคมแบบไม่รู้จักกาลเทศะรวมถึงผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยของคนบางกลุ่ม ที่สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินผู้อื่นอย่างมหันต์ เป็นปัญหาลุกลามอยู่ในขณะนี้คือการนำโคมลอยมาปล่อยในพื้นที่เมืองอย่างมั่วซั่ว ซึ่งไปตกหลังคาบ้านใครเข้า ซ้ำรายอาจก่ออัคคีภัยเสียหายใหญ่หลวง ซึ่งมีข่าวให้ได้สลดทิ้งท้ายเทศกาลลอยกระทงทุกปี
“การปล่อยโคลมไฟ ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ผมอายุ 34 แล้วนะ เมื่อก่อนไม่เห็นจะมีปัญหานะ เขาไม่ได้ปล่อยกันพร่ำเพรื่ออย่างปัจจุบัน” ความคิดเห็นจากผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตท่านหนึ่ง
"ช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ไม่กล้าไปเที่ยวไหนช่วงเทศกาลเลยค่ะ เพราะไอ้เจ้าลูกไฟลอยได้นี่ล่ะ ตีสามตีสี่ยังต้องเงยหน้ามองดูฟ้าว่า จะเจอแจ็กพอตมาตกที่บ้านไหม แม้ว่าจะลอยเลยผ่านไป เรารู้สึกโล่งอก แต่ไม่รู้ว่ามันจะไปตกบ้านใครโปรดละความสนุกบนความทุกข์ใจของผู้อื่น หรือจะรอให้ลูกไฟนั้นลอยมาที่บ้านคุณก่อนจึงจะเข้าใจรู้สึก" ความคิดเห็นจากผู้ใช้นามแฝง ไก่แก่แม่ปลาช่อน
"มันเคยลอยไปติดสายไฟแถวบ้าน ฟิวส์มันก็เด้ง ไฟดับทั้งหมู่บ้านเลย" ความคิดเห็นจากผู้ใช้นามแฝง เด็กหญิงมะเดี่ยว
ยกตัวอย่าง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รอบ 1 - 2 ปีที่ผ่านมา ช่วงเทศกาลลอยกระทงมักพบเห็นโคมลอยอยู่เหนือน่านฟ้าเมืองหลวง ซึ่งการลอยโคมไม่ใช่วิถีของชาวเมืองแถบนี้เลย แน่นอนการระบาดของโคมลอยก่อปัญหาไม่น้อย และในปีนี้ทางกรุงเทพมหานครจึงคลอดมาตรการรักษาความปลอดภัย
ห้ามจำหน่าย เล่น หรือปล่อยโคมลอยแบบมีไฟในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 หากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม การปล่อยโคมลอยในแถบภาคเหนือประเพณีอันดีงามที่ปฏิบัติต่อกันมา ขณะเดียวกัน โคมลอยเจ้ากรรมก็ส่งผลกระทบต่อเครื่องบิน อ้างอิงถึง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ในช่วงวันลอยกระทงของทุกปีจะมีการเปลี่ยนแปลงตารางบินและบางเที่ยวบินต้องยกเลิกเลยทีเดียว ซึ่งสถิติการเก็บโคมลอยที่ตกในสนามบิน ที่ผ่านมา พบว่ามี ปี 2554 มีโคมลอยกว่า 456 ลูก, ปี 2555 มีโคมลอย 297 ลูก และปี 2556 ที่ผ่านมาเก็บซากโคมลอยได้ถึง 1,414 ลูก ซึ่งในปีนี้เอง ทางผู้ที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือไปยังภาคประชาชนให้ทำการปล่อยโคมเป็นเวลา
ด้าน พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 กล่าวเน้นย้ำผ่านสื่อว่า การจุดพลุการเล่นดอกไม้ไฟนั้นในเทศกาลลอยกระทงเป็นการสร้างความเดือดร้อน และเป็นอันตรายต่อชีวิตทรัพย์สินของประชาชน อ้างอิงการเดินอากาศยานตาม พรบ.2521 มาตรา 6 ว่าด้วย การกระทำใดๆ ทั้งโคมลอย ทั้งลูกโป่ง ลำแสงเลเซอร์ ที่จะไปทำให้เกิดการรบกวน กระทำให้เป็นอันตรายต่ออากาศยาน หรือน่าจะเป็นอันตราย โดยอัตราโทษถึงขั้นประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกระหว่าง 5 ปี ถึง 20 ปี เพราะกฎหมายเห็นว่าเป็นภัยสาธารณะที่ร้ายแรง
ยิ่งห้าม..ยิ่งยุ..ยิ่งทำ?
เทศกาลลอยกระทงในปีนี้ ดูเหมือนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะข้อบังคับทางกฎหมายมาเป็นตัวชูโรง ขอความร่วมมือจากภาคประชาชน เพื่อรักษาความสงบ สร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในช่วนเทศกาล พ.ต.ต.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ประธานบริหารหลักสูตรอาชญวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม วิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า แม้กฎหมายจะระบุอัตราโทษที่สูงแต่ถ้าประชาชนขาดการรับรู้ก็เปล่าประโยชน์ ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายนั้นประชาชนจำเป็นต้องรับรู้ถึงอัตราโทษด้วย ถึงจะส่งผลในเชิงพฤติกรรม
“อัตราโทษกับความผิด แน่นอนอัตราโทษที่ค่อนข้างสูง ย่อมมีผลต่อความรู้สึกทำให้คนรู้สึกเกรงกลัว ต้องเสียค่าปรับจำนวนเงินที่สูงหรือว่ามีอัตราโทษจำคุกที่สูง อย่างไรก็ตามยังเป็นข้อถกเถียงในกลุ่มนักวิชาการในต่างประเทศอยู่เสมอนะครับ อัตราโทษที่สูงก็จริงแต่ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เสมอภาคและเป็นธรรม หมายความว่าตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พบผู้กระทำความผิดลักษณะนี้ต้องดำเนินการหมดเหมือนกัน 100 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นลูกผู้ใหญ่บ้าน ลูกกำนัน หลานผู้ว่าฯ ถ้าพบต้องดำเนินคดีเหมือนกันหมด แน่นอนว่ามันส่งผล ทางวิชาการบอกส่งผลทำให้คนที่กระทำความผิดเกิดความเกรงกลัว”
การรับรู้ของประชาชนส่งผลเป็นปัจจัยสำคัญ นั่นกับว่ากฎข้อบังคับและอัตราโทษต่างๆ ต้องทำการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลต่อประชาชนโดยทั่วกัน “การรณรงค์ ประชาสัมพันธ์มีผลต่อความรู้สึกของคน ถ้าทำไม่ถูกต้องคุณจะถูกดำเนินคดีนะ”
อย่างไรก็ตาม กฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถห้ามปรามความคึกคะนองได้ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นวัยอยากรู้อยากลอง ส่วนในประเด็นที่ทางเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องนำกฎหมายมาเป็นเครื่องมือรักษาความสงบสุขในช่วงเทศกาอย่างเข้มงวด จะสามารถช่วยลดความเสียหายจากอุบัติภัยที่เกิดจากพลุดอกไม้ไฟ หรือการลอยโคม ได้มากน้อยเพียงใด
พ.ต.ต.ดร.กฤษณพงค์ ยกตัวอย่าง เทศกาลสงกรานต์ ที่มีการรณรงค์เรื่องเมาไม่ขับ หรือการรณรงค์ขับขี่รถจักรยานยนต์ใส่หมวกกันน็อก แต่ท้ายที่สุด ตัวเลขการเกิดอุบัติเหตุก็ยังสูงไม่ได้ลดลงจากเดิมเสียเท่าไหร่ จึงอนุมานปัญหาของพลุดอกไม้ไฟ และโคมลอยในช่วงเทศกาลลอยกระทง เช่นเดียวกัน ตัวเลขไม่น่าจะต่างไปต่างเดิมเสียเท่าไหร่ ซึ่งมองว่าปัญหาตรงนี้เป็นผลพวงจากนิสัยอะลุ่มอล่วยของคนไทย ที่บางกลุ่มลุกลามเป็นปัญหาการละเมิดกฎหมาย
…....................
เรื่องโดย Astv ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754


