จากเด็กสาวต่างจังหวัด สู่สุดยอด 'นางฟ้า' จากรายการ The Angel นางฟ้าติดปีก เสน่ห์ของเธอ นอกจากความสวย ยังมีความน่ารักแบบธรรมชาติที่ 'โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ' หนึ่งในกรรมการเคยชื่นชมว่า เป็นความสวยที่หาได้ยาก เพราะสวยในแบบที่ผู้หญิงด้วยกันเองไม่เกลียด
หลังจากได้คุย และค้นใจเธอ ก็พบว่าจริงอย่างนั้น ทั้งเสียงหวานๆ รอยยิ้มที่จริงใจ คล้ายดาราสาว 'แป้ง-อรจิรา' ดวงตาที่สดใส มองเห็นโลกในแง่บวก ชวนให้ตกหลุมรักจนยากที่จะถอนตัว เหมาะแล้วกับตำแหน่งนางฟ้าหน้าใหม่ที่จะทำให้ทุกๆ เที่ยวบินมีรอยยิ้ม
M-Cover มีนัดกับ 'ก้อย-กรกช แข็งขัน' หรือ 'ก้อย The Angel' วัย 24 ปี ที่บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ เธอมาในชุดเรียบๆ สบายๆ โดยเสื้อสกรีนคำว่า The Angel นางฟ้าติดปีก ซึ่งเป็นรายการค้นหาแอร์โฮสเตสทางช่อง 3 ที่เพิ่งจบไป และวันนี้เธอมาให้สัมภาษณ์ในฐานะแชมป์ที่พกเอาความน่ารัก สดใส เป็นกันเอง มาเปิดใจถึงความฝัน และเผยให้เห็นโลกใบเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรัก และความสนุกในแง่มุมต่างๆ
จากฝันเล็กๆ สู่ฝันที่ยิ่งใหญ่
หากพูดถึงอาชีพในฝันของสาวๆ 'แอร์โฮสเตส' คือหนึ่งในอาชีพที่ใครหลายคนอยากเป็น เช่นเดียวกับ 'ก้อย' เธอบอกว่า ฝันนี้ชัดเจนมาตั้งแต่เด็กแล้ว
"ฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตสมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เคยคุยกับคุณพ่อคุณแม่ไว้ว่า หนูอยากเป็นแอร์ฯ นะ ตอนนั้นในความคิดผู้หญิงคนหนึ่ง อาชีพนี้ ใครได้เป็นแล้วจะสวย ดูดี และมีจิตใจดีค่ะ (ยิ้ม) หากได้ทำแล้วคงไม่ยากหรอก แค่เดินบริการ ดูแลผู้โดยสาร เราน่าจะทำได้อยู่แล้ว" เธอเริ่มเล่า
แต่มุมมองความคิดต่ออาชีพนี้ได้เปลี่ยนไป เมื่อเธอเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อตามหาฝันในรายการ The Angel นางฟ้าติดปีก
"คุณพ่อดูทีวีแล้วเห็นว่ากำลังมีรายการ The Angel ค้นหาแอร์โฮสเตส คุณพ่อก็เลยบอกว่า ลองไปดูสิลูก เห็นบอกกับพ่อมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก้อยก็เลยตัดสินใจลองไปสมัครดู เพราะสมัยเรียนเป็นเด็กชอบประกวดอยู่แล้ว พอมีรายการแบบนี้ก็เข้าทางก้อยเลยค่ะ (ยิ้ม)" เธอเว้นช่วง "แต่พอมาสัมผัสจริงๆ ความคิดต่ออาชีพนี้ เปลี่ยนไปทันที อาชีพแอร์โฮสเตสในความคิดวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิม คือ ต้องมีความเป็นผู้นำ ต้องรับผิดชอบ ดังนั้น ความเป็นแอร์โฮสเตส มันไม่ใช่แค่สวย หรือแค่มีหัวใจบริการ แต่มันคือความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่พอสมควร"
พอให้เล่าถึงความรู้สึกครั้งแรกในการเข้ามาตามหาฝันในรายการนี้ ก้อยยืดตัวตรง ก่อนจะเปิดเริื่องให้ดูน่าตื่นเต้น "โห ครั้งแรกนะพี่" สาวน้อยเอ่ยขึ้น "คือหนูแทบจะไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย คิดว่าทางรายการให้มาสมัครอย่างเดียว แต่ทีมงานบอกว่า วันนี้ต้องแสดงความสามารถพิเศษด้วยนะ แต่เราไม่ได้เตรียมตัวมาเลย โชคดีที่สมัยเรียนเคยเป็นสันทนาการ หนูก็โชว์เต้นนิดๆ หน่อยๆ ให้เขาดู (หัวเราะ) เต้นแบบฮาๆ อ่ะค่ะ" เล่าจบก็หัวเราะยาว
พอผ่านรอบแรก และเข้าสู่รอบต่อไป นี่คือรอบแสดงความสามารถพิเศษแบบจริงจังของสาวน้อยร่างเล็กคนนี้
"ก้อยเลือกแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ มีพูดภาษาเหนือด้วยนะ เพราะหนูเป็นคนเหนือค่ะ (ยิ้มหวาน) เป็นคนอุตรดิตถ์" เธอบอก และขยายความต่อไป "ตอนเกิด ก้อยเกิดที่นี่ เป็นบ้านเกิดคุณพ่อค่ะ จากนั้นก็มาเข้าเรียนที่จ.นครสวรรค์ ซึ่งตอนนั้นคุณแม่อยู่เพชรบูรณ์ค่ะ คือแบบว่า อยู่หลายจังหวัดมากค่ะ (หัวเราะ)" ก้อยเล่าไปยิ้มไป
ปัจจุบัน ก้อยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยนเรศวร คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยได้ทุนไปฝึกงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็บินกลับมาช่วยคุณแม่ที่บ้าน ซึ่งเป็นบริษัททำอุปกรณ์ก่อสร้าง ส่วนคุณพ่อรับราชการทหาร
Seat audition รอบนี้น้ำตาแตก
ลงลึกไปถึงชีวิตในรายการ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องผ่านบททดสอบยากๆ หลายด่าน ที่กดดันสุดๆ เห็นจะเป็นรอบ Seat Audition ซึ่งเป็นรอบทดสอบจิตใจของผู้แข่งขัน และความมั่นคงทางอารมณ์ ซึ่งรอบนี้เป็นรอบที่ 'ก้อย' บอกว่า กดดัน และหนักใจที่สุดในชีวิต
"หนักสุดก็น่าจะเป็นรอบ Seat audition ค่ะ เพราะก้อย รวมไปถึงเพื่อนๆ ต้องเจอสภาวะกดดัน เมื่อต้องเลือกเพื่อนร่วมแข่งขัน 1 คน ที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งแอร์โฮสเตส ซึ่งก้อยไม่เคยคิดว่า ชีวิตนี้เราจะต้องมาตัดสินใจอะไรที่มันยากขนาดนี้ ให้เรามาตัดสินคนคนหนึ่งเลยนะ และคนคนนั้นก็คือเพื่อนของเรา บอกตรงๆ ว่า กดดันมาก เพราะต้องนึกถึงใจเขาใจเรา เขามีความฝัน เราก็มีความฝัน จะให้ไปตัดสินเขามันก็ทำไม่ได้
อีกอย่าง นิสัยของแต่ละคนใช่ว่าจะไม่ดีเลย มันก็ต้องมีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ดังนั้นจากพฤติกรรม หรือการกระทำบางอย่าง มันตัดสินยากค่ะว่าเขาเหมาะหรือไม่เหมาะกับอาชีพนี้ แต่พอถึงเวลาเลือกมันก็ต้องเลือกค่ะ ทำเอาน้ำตาไหลออกมาเหมือนกัน" ก้อยเล่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
ไม่แปลกที่รอบนี้ จะกลายเป็นเรื่องดรามาขึ้นในสังคม โดยเฉพาะคำถามกดดันของพิธีกรที่หลายคนมองเป็นการ "ยุให้คนตีกัน" ทว่าในความคิดของก้อยแล้ว กลับเห็นต่าง เพราะเข้าใจเหตุผลของรายการ เนื่องจากอาชีพแอร์โฮสเตสนั้น ต้องมีความอดทนสูง และต้องเจอภาวะกดดันรอบด้าน ทั้งจากผู้โดยสาร และจากการปฏิบัติงาน
แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธว่า กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์ เป็นพิธีกรขาโหดที่น่ากลัวคนหนึ่ง "ในรายการ พี่กฤษณ์ น่ากลัวสุดๆ แล้วค่ะ (หัวเราะ) พี่กฤษณ์ เป็นพิธีกรที่ถามเร็ว ตอบเร็ว แล้วก็เอาไมค์ออกเร็วมาก (หัวเราะ)" เธอเล่า "แต่พอหลังเวทีนี่แตกต่างกันเลยค่ะ พี่กฤษณ์น่ารัก และใจดีมากค่ะ"
แม้ในรอบ Seat audition จะเป็นรอบที่กดดันที่สุดสำหรับเธอ แต่รอบนี้ก็เป็นอีกหนึ่ง "ครูที่ดี" ของเธอเช่นกัน
"สภาวะกดดันตรงนั้น มันสอนให้ก้อยมีสติ และความคิดที่ต้องคิดบวก รวมไปถึงการเลือกใช้คำพูดที่ต้องเป็นกลางให้มากที่สุด ถึงวันนี้สิ่งเหล่านั้นมันติดตัวก้อยมาเลยค่ะว่า ชีวิตเราต้องมีสติ คิดก่อนพูด และพยายามคิดในแง่บวกอยู่เสมอ ถ้ามีอคติเมื่อไร การจะไปตัดสินคนคนหนึ่งมันจะลบในทันที" ก้อยเผย และย้ำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง "ก้อยเป็นคนคิดอย่างรอบคอบไปเลยค่ะ ที่สำคัญคือ ก้อยคิดถึงคนอื่นมากขึ้นด้วย"
'มิตรภาพ' ในการแข่งขัน
ส่วนเพื่อนๆ ในรายการ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็น "ผู้เข้าแข่งขัน" แต่ทุกครั้งที่ใครคนหนึ่งไม่สบายใจ ทุกคนก็จะมอบกำลังใจให้กันและกันเสมอ
"เวลาอยู่ในรายการ ก้อยจะเป็นคนเครียดง่าย กังวลง่าย อย่างตอนเข้ารอบ 15 คน จะมีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 5 คน กลุ่มก้อยต้องฝึกผ้าบิน ของพี่เล้ง ซึ่งเป็นอะไรที่ยากมาก (ลากเสียง) คือมีบางท่าที่ก้อยทำไม่ได้ อย่างตีลังกาลงมา ก้อยค่อนข้างกลัวความสูงนิดนึง จึงไม่ค่อยกล้าเท่าไร ตอนนั้นก็จะมีเพื่อนๆ คอยจับให้ จนเราตีลังกาถึงพื้นอย่างปลอดภัย คือตอนนั้นพูดเลยว่า น้ำตาไหลเลยค่ะ เพราะซึ้งในมิตรภาพ
หรือก่อนขึ้นเวที ก้อยจะเป็นคนเครียดกว่าคนอื่น พอเพื่อนๆ เห็นก็จะเข้ามาปลอบใจ มีให้ออกกำลังกายลดอาการตื้นเต้นหลังเวทีกันด้วย (หัวเราะ) พอขึ้นบนเวทีก็พยายามตั้งสติ และนึกถึงสิ่งที่เพื่อนๆ คอยบอกเราว่า เฮ้ย! ทำได้อยู่แล้ว ทำได้อยู่แล้ว คือก้อยรู้สึกว่า มันไม่เหมือนการแข่งขันที่จะต้องชิงดีชิงเด่นกัน แต่เป็นรายการที่เต็มไปด้วยมิตรภาพที่ดูแล และช่วยเหลือกันตลอดเลย" เธอเผยความรู้สึก
ว่าที่ "นกก้อย" นางฟ้านกแอร์
หลังจากคว้าใจมหาชนทั้งประเทศไปได้อย่างสวยงาม รับตำแหน่ง The Angel นางฟ้าติดปีกคนแรกของเมืองไทยไปครอง พร้อมด้วยรางวัลมูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 6 ล้านบาท วันนี้ก้อยต้องเตรียมตัวสู่การเป็นนางฟ้าติดปีกตัวจริง รวมไปถึงการเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของสายการบินนกแอร์ด้วย
สำหรับแชมป์ในครั้งนี้ เธอบอกว่า ยังไม่ใช่ความสำเร็จ เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความฝันที่จะต้องเดินหน้าทำฝันที่กำลังจะเป็นจริง
"หลังจากรายนี้แล้ว ก้อยต้องไปอบรมเพื่อเตรียมพร้อมสู่การแอร์โฮสเตสจริงๆ กับสายการบินนกแอร์ค่ะ ทั้งเรื่องของความรู้ทั่วไป บุคลิกภาพ ความปลอดภัย เมื่อเสร็จการอบรม ก้อยก็จะได้บินอย่างเต็มตัว ตอนนี้ก็ศึกษากรณีรับมือกับผู้โดยสารบนเครื่องจากข่าวต่างๆ ค่ะ ถึงเวลาจริงจะได้ไม่ตื่นเต้น"
เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ถามไม่ได้ถึงกรณีคลิป มนุษย์ลุง และมนุษย์ป้าที่แผลงฤทธิ์ใส่แอร์โฮสเตสจนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม
"มุมมองต่อผู้โดยสารกลุ่มนี้ อันดับแรกคือ ต้องทำใจเย็นๆ ค่ะ ต้องยอมผู้โดยสาร ยอมในที่นี้คือ ยอมกันด้วยเหตุผลค่ะ ถ้าเขามีเหตุผลที่จะชี้แจงเรา เราก็ยินดีที่จะรับฟัง แต่ถ้าเขาทำมากเกินไป หรือผิดกฏของสายการบินก็เป็นหน้าที่ที่เราต้องชี้แจงให้ผู้โดยสารกลุ่มนี้ฟัง
ถ้ายังไม่ยอมเหมือนกรณีคุณลุงในคลิป ก้อยเข้าใจว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย ทางพนักงานเองก็ต้องเลือกที่จะป้องกันผู้โดยสารท่านอื่นๆ ด้วย แต่ในอีกมุม ก็ต้องเข้าใจความรู้สึกของคุณลุงด้วยเหมือนกันว่า สิ่งที่เขาเจอก่อนขึ้นเครื่อง ทำไมอนุญาตให้เอากระเป๋าเข้ามาได้ แต่พอขึ้นเครื่องแล้วทำไมไม่ได้ ในกรณีนี้เราก็ต้องมาพูดคุยกันอีกทีหนึ่งเพื่อดูเบื้องลึก เบื้องหลังว่าจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้จริงๆ ก้อยว่าเราควรจะเรียกกัปตันมาช่วยอีกแรง"
แน่นอนว่า คลิปผู้โดยสารไม่พอใจการบริการหรือการกระทำของพนักงาน ย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์ของแอร์โฮสเตสอย่างมาก แต่ขึ้นชื่อว่างานบริการแล้ว นี่คือสิ่งที่ 'ก้อย' อยากชวนให้ลองคิดตาม
"ก้อยมองว่า เราทำงานบริการ ก็ควรจะยอมรับในจุดนี้อ่ะค่ะ ว่าจะต้องมีกระแสทั้งดีบ้าง และไม่ดีบ้าง เขาว่าอะไรเรามา เราก็ควรกลับมามองตัวเองว่า สิ่งที่เขาตำหนิ เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไหม ถ้ารู้ตัวว่าเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ แทนที่จะโกรธเขา หันมาปรับปรุงตัวเองจะดีกว่าไหม แต่ถ้าสิ่งที่เขาว่า หรือตำหนิมา เราเห็นว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันไม่สมควรที่เขาจะว่าเราอย่างนั้นนะ ตรงนี้ ก้อยมองว่า เราก็ต้องยอมรับ เพราะว่าเราทำงานบริการ ลูกค้าคือพระเจ้า หากรักในงานบริการ สิ่งหนึ่งที่จะต้องมีคือ ความอดทนที่สูงมากๆ"
นี่แหละ ผู้หญิงชื่อ "ก้อย"
รู้จักเธอในมุมกว้างกันแล้ว ทีนี้มาล้วงลึกตัวตนของว่าที่นางฟ้าหน้าใหม่ในมุมส่วนตัวกันบ้าง
"เพื่อนจะบอกว่า ก้อยเอ๋อ (หัวเราะ) ตอนนั้นก็ถามตัวเองว่า เราเอ๋อจริงเหรอ พอหลังๆ เพื่อนเริ่มพูดกันหลายคน ทั้งเพื่อนสนิท และเพื่อนในรายการ จนมาถึง 3 คนสุดท้ายในการแข่งขันก็ยังพูดอยู่ว่า เราเอ๋อ ไม่ค่อยทันคน เวลาใครเล่นมุกอะไรนี่ช้าตลอด จะไม่ค่อยทันเพื่อน แต่ถ้าส่วนตัวเลย ก้อยเป็นคนซุ่มซ่าม ชอบเดินชนโน่น ชนนี่
ส่วนนิสัยที่ตัวเองมองตัวเอง ก้อยเป็นคนเข้ากับคนง่ายจนบางครั้งที่บ้านก็เตือนๆ ว่า บางทีเฟรนด์ลี่มากเกินไป หรือให้คนอื่นเข้าถึงตัวมากเกินไปมันจะเป็นอันตรายต่อตัวเอง หลังๆ ก้อยจะคอยระวัง คือคุยได้ แต่ก็ต้องเว้นระยะห่าง แต่ก็ไม่เคยเจอใครที่คิดร้ายด้วยนะ ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตดีกับก้อยหมดเลย"
นี่คือคำบอกเล่าถึงตัวตนของ 'ก้อย' ที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ภายในของผู้หญิงตัวเล็ก ยิ้มหวาน เช่นเดียวกับทีมงานที่สัมผัสได้ถึงพลังเฟรนด์ลี่แบบเป็นธรรมชาติผ่านร้อยยิ้ม และดวงตาที่สดใส เมื่อรู้ต่อไปอีกว่า เธอเป็นนักจด นักวาดตัวยง ก็ยิ่งทำให้อยากรู้จักตัวตนของเธอมากขึ้น
"ก้อยชอบอ่านหนังสือ แล้วก็วาดรูปค่ะ อย่างเวลาไปเที่ยวที่ไหนแล้วประทับใจอะไร ก้อยก็จะวาดรูป และเขียนลงในสมุดบันทึกค่ะ ออกตัวก่อนค่ะว่า ก้อยวาดรูปไม่เก่ง แต่จะวาดตามความคิดที่เราประทับใจ” เธอบอก “ตอนนี้ก็วาดได้เป็นเล่มเลยค่ะ" เล่าจบ เธอก็เผยให้เห็นตัวตนอีกด้าน
"ก้อยมีโลกส่วนตัวสูงนิดหนึ่งค่ะ บางอารมณ์ก็อยากนั่งอยู่เฉยๆ ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง นั่งคิด นั่งวาด นั่งเขียน เพราะการได้เขียน และวาด พอกลับมาอ่าน เหมือนได้ทบทวนตัวเองอีกครั้ง ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า เมื่อก่อนเราคิดอะไร รู้สึกอย่างไร บางที่ชีวิตเรามันวุ่นวายนะ คิดโน่นคิดนี่ เจอนั่น เจอนี่อยู่ตลอด การใช้เวลาอยู่คนเดียว ได้วาด ได้เขียน ก้อยรู้สึกว่า เราสามารถจัดการตัวเองได้ดีขึ้น ช่วยให้ใจนิ่ง มีสมาธิ เหมือนเป็นการฝึกตัวเองไปในตัว อยากให้หาเวลาแบบนี้กันดูค่ะ กลับมาทบทวนตัวเอง ทบทวนหัวใจตัวเอง อย่าปล่อยให้มันวุ่นวาย หรือว้าวุ่น
โดยเฉพาะวัยรุ่น มันมีสิ่งรอบตัวเย้ายวนใจเยอะเหลือเกิน ลองกลับมานั่งคิด มานั่งทบทวนตัวเองดูว่า จริงๆ แล้วเราต้องการอะไร อยากเป็นอะไร เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน ก้อยเชื่อว่าเราจะมีความสุขที่จะเดินตามความฝันไปทีละขั้น ไม่ว่าระหว่างทางมันจะหนัก หรือมันจะเหนื่อยขนาดไหน แต่ในเมื่อเป้าหมายของเราชัดเจน เราก็จะพุ่งชนมันได้ทุกอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีควบคู่กันด้วยก็คือ ความพยายาม แม้เราจะมีพื้นฐานไม่เท่าคนอื่น ความพยายามจะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้อย่างแน่นอนค่ะ"
เช่นเดียวกับตัวเธอที่ครั้งหนึ่งต้องใช้ ความพยายาม อย่างมากในการเรียนคณะที่ตัวเองอ่อนด้อยในเรื่องภาษาอังกฤษ
"ก้อยเรียนสายวิทย์-คณิตฯมา เพราะคุณพ่ออยากให้เป็นพยาบาลทหาร แต่ด้วยความฝันที่อยากจะเป็นแอร์ ตอนแอดมินชัน ก้อยเลือกคณะที่เกี่ยวกับภาษามันค่อนข้างหนักสำหรับก้อยมาก เพราะพื้นฐานภาษาเราจะด้อยกว่าเพื่อนที่เรียนสายศิลป์-ภาษามา พอเริ่มปีหนึ่ง ก้อยโทร.บอกแม่เลยว่า สงสัยจะเรียนไม่ไหวนะ ร้องไห้ ส่วนเวลาจะสอบก็อ่านหนังสือไม่ทัน
แต่พอเราพยายาม พยายาม แล้วก็พยายาม วันหนึ่งก้อยก็ทำมันได้ คือเทอมนั้นเกรดก้อยพุ่งขึ้นไป 3.5 กว่าๆ คุณพ่อก็บอกว่า ไหนบอกทำไม่ได้ไง ทำไมเกรดสูงขนาดนี้ ตอนนั้น พูดเลยว่า มันรู้สึกภูมิใจมากค่ะ ก้อยไม่คิดว่า คนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษน้อยอย่างก้อย พอมาเรียนเอกภาษาอังกฤษเราจะทำได้ขนาดนี้ ขอบคุณความตั้งใจ และความพยายามของตัวเองที่ทำให้ก้อยผ่านมันมาได้ ตั้งแต่นั้นมา ก้อยไม่เคยดูถูกตัวเองเลยว่า ก้อยทำไม่ได้ แต่ถ้าพยายามๆ ทุกคนทำได้ค่ะ"
ส่วนรายการ The Angel นางฟ้าติดปีก แม้ว่าการเป็นแอร์โฮสเตสสามารถสมัครได้ตามปกติทั่วไป แต่การมารายการนี้ นอกจากเงินรางวัลแล้ว "การได้เรียนรู้" คือสิ่งที่เธอได้รับกลับไปเต็มๆ และถ้าไม่ได้เข้ารอบหรือได้แชมป์จากรายการนี้ เธอก็ยังยืนยันว่า จะเดินหน้าตามฝัน มุ่งสู่การเป็นแอร์โฮสเตสต่อไป
สุดท้ายนี้ ขอแสดงความยินดีกับสายการบินนกแอร์ที่กำลังจะมี 'นางฟ้าคนใหม่' หากได้ขึ้นไปทำหน้าที่เป็น "นกก้อย" แล้ว เชื่อว่าทุกเที่ยวบินมีรอยยิ้มอย่างแน่นอน
เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754