17 ปี ด้วยวัยเพียงเท่านี้ แต่ประสบการณ์ทางด้านดนตรีของเธอกลับก้าวไปไกลเกินกว่าอายุหลายเท่านัก หลายคนเริ่มรู้จักเธอในฐานะผู้คว้าแชมป์ “Thailand’s Got Talent” ซีซั่นแรกด้วยวัยเพียง 13 ปี บางคนรู้จักเธอจากภาพหนูน้อยผู้โชคดีที่มีโอกาสร่วมร้องเพลงกับศิลปินระดับโลกอย่าง “David Foster” หลายคนรู้จักเธอในนามคนไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้เข้าประกวดร้องเพลง แข่งขันกับคนอเมริกันอยู่ในรายการเรียลิตี “Rising Star” ได้อย่างดุเดือดสูสี
และอีกหลายคนกำลังจะได้ทำความรู้จักตัวตนจริงๆ ของเธอคนนี้ “ไมร่า-มณีภัสสร มอลลอย” จากปากของเธอเอง
หอบ “ความฝัน” โกอินเตอร์
(จัดเต็มบนเวที Rising Star)
“อยากจะขอบคุณทุกคนเลยนะคะที่คอยติดตามไมร่า ตั้งแต่ Thailand’s got talent ขอบคุณที่คอยให้กำลังใจ คอยเชียร์กัน ไมร่าเห็นตลอดค่ะว่าคนไทยมาคอมเมนต์ในหน้าเพจของไมร่า รายการต่างๆ ก็มีคอยส่งกำลังใจมาเชียร์ ก็ดีใจมากค่ะที่มีคนคอยสนับสนุนและให้กำลังใจแบบนี้ กำลังใจจากทุกคนคือกำลังใจของไมร่าเลยค่ะ ทำให้ไมร่าอยากสู้ต่อไป อยากขอบคุณมากๆ (ลากเสียง) เลยค่ะ”
นี่คือสิ่งที่ไมร่าอยากพูดกับแฟนเพลงชาวไทยมากที่สุด หลังจากได้รับกำลังใจอย่างล้นหลาม ช่วยโหวตช่วยเชียร์และคอยติดตามข่าวคราวของเธอมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่ได้มีโอกาสประกวดร้องเพลงในรายการ “Rising Star” เรียลิตีสัญชาติอเมริกันซึ่งออกอากาศผ่านช่อง ABC ถึงแม้ว่าการแข่งขันครั้งนั้น เธอจะไม่ได้หอบรางวัลอะไรติดตัวกลับมาด้วย มีเพียงประสบการณ์ที่คุ้มเกินคุ้มสำหรับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถเข้าไปลึกถึงรอบ “6 คนสุดท้าย” อย่างที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน และเจ้าตัวก็พร้อมแล้วที่จะถ่ายทอดประสบการณ์สุดหินให้ฟัง ในวันที่เพิ่งเดินทางถึงบ้านเกิดได้ไม่กี่วันนี้เอง
(กำลังใจจากคนไทยในแอลเอ)
“ตอนแข่ง Rising Star ก็รู้สึกว่าหินเหมือนกันค่ะ เพราะคนที่มาสมัครเขาเก่งกันมากๆ หลายคนเลย มีคนที่เป็นนักร้องอาชีพกันอยู่แล้วด้วย บางคนที่มาแข่งก็มีทัวร์คอนเสิร์ตของตัวเองอยู่ด้วย บางคนก็ดังใน Youtube ทุกคนที่เจอดูมีประสบการณ์กันมาเยอะมาก แต่ที่ทำให้รู้สึกต่างจากเวทีที่ไทยมากคือ ไม่มีใครพูดภาษาไทยกับหนูเลยค่ะ (หัวเราะ) ยกเว้นคุณแม่กับคุณพ่อ (ยิ้ม) พูดกันอยู่แค่นี้ นอกนั้นบรรยากาศการแข่งขันก็จะคล้ายๆ กันค่ะ เพราะไม่ว่าจะแข่งในประเทศไหน เวลาแข่ง ทุกคนก็จะซีเรียส ทุกคนก็อยากเอาชนะ อยากทำให้ดีที่สุด”
ไมร่ารื้อฟื้นความหลังให้ฟังด้วยท่าทีสบายๆ ตามสไตล์ของเธอ มีหยอดมุกเพิ่มสีสันเป็นช่วงๆ ช่วยให้รับรู้ได้ว่า เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้ามีนิสัยน่ารักร่าเริงและเป็นกันเอง ที่น่าสนใจคือพอพูดถึงเรื่องดนตรีทีไร ไม่ว่าเรื่องราวที่บอกเล่าจะมีเนื้อหาติดตลกเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือ “แววตาแห่งความมุ่งมั่น” ของเธอ ซึ่งค่อนข้างขัดแย้งกับคำบอกเล่าจากผู้เป็นแม่ว่า จริงๆ แล้วลูกสาวเป็นเด็กขี้อายและไม่ค่อยชอบการแข่งขันสักเท่าไหร่ เมื่อถามเจ้าตัวดูอีกที จึงได้รู้ว่าที่เห็นจัดเต็มอยู่บนเวทีนั้น มีเบื้องหลังที่ไม่ค่อยอยากบอกให้ใครรู้เก็บเอาไว้อยู่เหมือนกัน
(วินาทีประกาศผล)
“ทุกครั้งก่อนจะขึ้นเวที จะเหงื่อแตก สั่น แล้วก็ต้องเข้าห้องน้ำตลอดเลย เป็นตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ ขนาดตอนนี้ก็ยังไม่หายเลย อาการแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของไมร่าเลยค่ะ ยิ่งตอนประกวด Rising Star ยิ่งเป็นหนักเลยค่ะ (พูดไปยิ้มไป) ต้องเข้าห้องน้ำหลายรอบมาก ส่วนเข้าไปทำอะไร อย่าให้เล่ารายละเอียดเลยค่ะ เดี๋ยวผู้อ่านจะเลิกอ่าน (หัวเราะ)
แต่พอขึ้นบนเวที เราจะเหมือนมีองค์ลง (หัวเราะ) เป็นคนที่อยากทำให้มันดีที่สุดน่ะค่ะ ไม่ว่าจะทำอะไรต้องตั้งใจให้เต็มที่ ไม่งั้นเราจะไม่ให้อภัยตัวเองค่ะ ไมร่าเป็นคนแบบนี้”
ถ้วยนี้เพื่อป้า!!
(คว้าแชมป์ Thailand's got talent ซีซัน 1 ในวัย 13 ปี)
วาดภาพเอาไว้ว่าวัยเด็กของไมร่า คงจะต้องผ่านมาแล้วหลายสมรภูมิเวทีแข่งขันเหมือนอย่างที่นักล่าฝันเจนเวทีหลายๆ คนเป็นกัน แต่ความจริงแล้ว เธอกลับเคยประกวดเพียง 4 ครั้งเท่านั้นเอง และทุกครั้งก็เป็นเวทีใหญ่ๆ หมด ไม่ใช่เพราะไม่อยากประกวดเวทีเล็กๆ แต่เพราะไมร่าไม่อยากประกวดบ่อยๆ ต่างหาก
“เขาจะแข่งแต่เวทีใหญ่ๆ ไปเลยน่ะค่ะ เพราะเขาไม่อยากแข่งเท่าไหร่ จากที่ประกวดของสถาบันดนตรี “มีฟ้า” ตอนนั้น แล้วก็มาประกวดเวที “KPN” ได้เข้ารอบ 10 คนสุดท้าย ตอนนั้นใครๆ ก็ตกใจค่ะว่าไมร่าเข้ามาได้ยังไง มาจากไหน เพราะเขาอายุน้อยที่สุดในการประกวดแล้ว แล้วก็มีประกวดของ “ฟิวเจอร์ปาร์ค” ครั้งนี้ได้ถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ มาด้วยค่ะ จนมาได้ประกวด “Thailand’s got talent” แล้วก็ “Rising Star” ค่ะ” คุณแม่ช่วยเท้าความให้ฟัง ก่อนปล่อยให้เจ้าของเรื่อง เล่าผ่านมุมมองของตัวเองต่อไป
“หนูชอบแข่งเวทีใหญ่มากๆ ไปเลย ไม่ก็เป็นเวทีที่มีคนขอมาค่ะ (ยิ้ม) อย่างเวที “ฟิวเจอร์ปาร์ค” ชิงถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพฯ ตอนนั้นที่หนูตัดสินใจไปแข่งเพราะคุณป้าขอมาค่ะ (พูดไปยิ้มไป) คุณป้าบอกอยากได้ถ้วยพระเทพฯ ทำให้ป้าหน่อยได้มั้ย? เหมือนเป็นชื่อเสียงวงศ์ตระกูลน่ะค่ะ คุณป้าบอกอย่างนั้น ไมร่าก็เลยโอเค ไปประกวดแล้วก็ได้มาค่ะ”
พอได้ถ้วยมาแล้วตั้งไว้บ้านคุณป้าหรือเปล่า? ผู้สัมภาษณ์กระเซ้าถามระคนสงสัย จึงได้คำตอบพร้อมท่าทีเขินๆ จากไมร่าตอบรับกลับมา “เปล่าค่ะ ตั้งไว้บ้านหนูนี่แหละ แต่คุณป้าก็แวะมาชื่นชม” สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อเมริกันพูดคุยอย่างอารมณ์ดี ก่อนส่งไม้ต่อให้คุณแม่ช่วยลงรายละเอียดความทรงจำที่น่าประทับใจเพิ่มเติม
“งานที่ฟิวเจอร์ปาร์คมีเรื่องเล่าฮาๆ เยอะมากค่ะ เพราะต้องไปประกวดหลายอาทิตย์มาก ต้องไปทุกอาทิตย์เลย ช่วงไปประกวด คุณป้าเขาได้ไปทำบุญวันเกิดที่บ้านพักคนชราที่บางแคพอดี เขาเลยไปบอกพวกคุณยายคุณตาที่นู่นไว้ว่า หลานกำลังประกวดชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ อยู่ เดี๋ยวถ้าหลานชนะ จะให้หลานเอาถ้วยมาให้ทุกคนชื่นชมด้วยกัน ตายายที่บ้านบางแคก็อวยพรกันใหญ่ แล้วสุดท้ายก็ชนะจริงๆ
แล้วยิ่งวันที่ประกวดยิ่งฮาไปใหญ่ รอบสุดท้ายเหลือประมาณ 5 คน คนอื่นๆ เขาเป็นเด็กประกวดหมดเลย ทุกคนร้องเพลงของ “Whitney Houston” หรือไม่ก็ร้องเพลงจากหนังเรื่อง “Dreamgirls” โชว์พลังเสียงกันเยอะมากค่ะ แต่ไมร่านี่ ไปร้องนิ่งๆ ร้องแนว Musical ยืนนิ่งๆ ของเขาแบบนั้น ไอ้เราก็ไม่คิดว่าลูกจะได้รางวัลหรอก คุณพ่อเขายิ่งไม่ได้มาดูเลยค่ะเพราะไม่สบาย แค่ขับมาส่งแล้วก็นอนรออยู่ในรถ พอเราโทร.ไปบอก “ลูกชนะนะ” พ่อบอก “ไม่ต้องมาโกหกผมเลย” (ยิ้ม) ไม่เชื่อค่ะว่าลูกจะชนะ
ทุกครั้งที่เขาไปประกวด คุณแม่ก็ไม่เคยคาดหวังอะไรกับเขาเลยนะคะ แล้วก็บอกเขาด้วยว่าไม่ต้องไปคาดหวังอะไร สอนเขาตลอดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ มีคนอื่นเก่งกว่าเราตั้งเยอะแยะ เราก็แค่ทำส่วนของเราให้ดีที่สุด ได้แค่ไหนก็แค่นั้น”
และไมร่าก็ใช้ความรู้สึกแบบเดียวกันนี้เข้ามาลงสมัครในเวที “Thailand’s got talent” แค่ทำให้เต็มที่ที่สุดโดยไม่ต้องกังวลถึงผลรางวัล Wไมร่าไม่เคยคาดหวังอะไรเลยค่ะเวลาเข้าประกวด คิดแค่ว่า โอเค เราจะทำให้ดีที่สุด อย่างครั้งนั้นก็ทำเพื่อคุณป้านะ ส่วน Thailand’s got talent อันนี้มาจากความตั้งใจของตัวเองเลยค่ะ อยากไปเอง เพราะเราเคยดูรายการจากของต่างประเทศอยู่แล้ว เห็นว่าเท่ดี อยากลอง ก็เลยไป แล้วก็ทำให้เต็มที่ อาจจะเครียดนิดนึงตอนประกวดค่ะ แต่ไมร่าไม่ใช่คนคิดมาก”
(ครอบครัวร่วมยินดีในเวที Thailand's got talent ครั้งที่ 1)
สุดท้าย เธอก็ได้ตำแหน่งแชมป์จากเวที Thailand’s got talent มาไว้ในครอบครอง และไม่คิดว่าจะเข้าแข่งขันในเวทีไหนอีก กระทั่งวันที่ได้เดินทางไปเรียนที่อเมริกา “พอไปอยู่ที่นู่น เรารู้เลยว่ากว่าเราจะได้โอกาสๆ นึงมันยากมากๆ คนในประเทศมี 300 ล้านกว่าคน หลายๆ คนอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นดารา พอมีโอกาสตรงนี้ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอนาคตของเราค่ะ ก็เลยลงสมัครดู”
ถึงตอนนี้ดูเหมือนเส้นทางดนตรีของเธอจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถามว่ามองอนาคตของตัวเองไว้อย่างไรบนเส้นทางนี้ จึงได้คำตอบกลับมาว่า “ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความคิดว่าจะเลือกทำเป็นอาชีพมันมาตอนไหน แต่เหมือนรู้กับใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าอยากร้องเพลงอะไรแบบนี้ค่ะ ในอนาคต หนูคงไม่อยากทำงานแบบนั่งในออฟฟิศ”
“ซูเปอร์สตาร์” ทารก
“อูคูเลเล่, กีตาร์, เปียโน, ไวโอลิน, วิโอล่า” คือเครื่องดนตรีที่เธอเล่นได้ “ป๊อป, อาร์แอนด์บี, แจ๊ส, คลาสิก, โอเปร่า” คือแนวเพลงที่เธอร้องได้ เคยร้องประสานเสียงอยู่ในคณะประสานเสียงของโรงเรียน เคยเป็นไวโอลินอยู่ในวง “Junior Orchestra” อ่านประวัติคร่าวๆ แล้วคงคิดว่าเธอเติบโตมาจาก “ครอบครัวตัวโน้ต” ที่ไหนได้ ในบ้านกลับไม่มีใครเป็นนักดนตรีหรือศิลปิน เพราะคุณแม่เปิดบริษัททำบทเรียนออนไลน์ทางคอมพิวเตอร์ ส่วนคุณพ่อชาวอเมริกันเป็นนักข่าวสายธุรกิจ
(หลากความสามารถด้านดนตรี)
“ที่บ้านไม่มีเครื่องดนตรี ไม่มีเครื่องเล่นคาราโอเกะ ไม่มีอะไรเลยค่ะ ไม่มีใครร้องเพลงเลย แม่กับพ่อก็ไม่ร้องเพลงเลย แต่เราจะเปิดเพลงให้เขาฟังตลอดค่ะ ตั้งแต่ท้องเขาเลย พ่อเขาจะชอบเปิดเพลงพวกแนวออเคสตร้าโดยเฉพาะของบีโธเฟ่น (Ludwig van Beethoven) ค่ะ เป็นเพลงบรรเลงทั้งนั้น แล้วแม่ก็จะเบื่อมาก บอกตลอดว่าให้ปิดซะทีๆ รำคาญ” คุณแม่เล่าไปยิ้มไปก่อนเผยความลับเล็กๆ ให้ฟังว่า จริงๆ แล้วแววซูเปอร์สตาร์ของไคร่าเริ่มฉายแสงตั้งแต่ตอนเป็นทารกแล้ว!
“พอโตขึ้นมาได้สักขวบ 2 ขวบ เวลามีดนตรีแจ๊สขึ้นมาในทีวี จากเล่นนู่นเล่นนี่อยู่ เขาจะนั่งนิ่งฟังแบบตั้งใจทันที คุณพ่อก็เริ่มสงสัยว่าทำไมเด็กตัวแค่นี้ถึงได้สนใจดนตรีแบบนี้ มันถึงขนาดที่แม่ต้องอัดดนตรีนั้นไว้ เพื่อเอามาเล่นซ้ำๆ ตอนหลอกให้เขากินนมเลยค่ะ
กลายเป็นว่าถ้าไม่เปิดเพลง ไม่กินนม เขาจะเอาลิ้นดันๆ ออกตลอด แต่พอเราเปิดเพลงหรือเล่นดนตรีทิ้งไว้ เขาถึงจะกินนม เป็นอย่างนี้มาตลอดเลย มีช่วงนึงติดเรื่องมู่หลาน (ภาพยนตร์การ์ตูนเพลงของวอสท์ ดิสนีย์) มาก แม่เลยต้องถือวิดีโอเทปม้วนนั้นไปด้วยทุกที่เลยค่ะ ไปไหนก็ต้องเปิดให้ดู ถ้าไม่เปิดจะไม่กินข้าว ไม่กินนม คือต้องเปิดให้เขาเพลินๆ พอเพลินปุ๊บ จะป้อนอะไรให้กินก็กินหมด ปีที่มู่หลานออกมา แม่ก็จำไม่ได้ว่าปีไหน แต่ไมร่าดูหลายรอบมาก เป็นพันๆ รอบได้ ดูจนจำได้แทบจะทุกคำพูดของหนังแล้วค่ะ”
(ไมร่า-ไนน่า สองพี่-น้อง ผู้รักการร้องเพลง)
แล้วตอนนี้ยังเป็น “มู่หลาน” ยังเป็นหนังเรื่องโปรดอยู่หรือเปล่า? ลองหันไปถามเจ้าตัวดูบ้าง ไมร่าได้แต่หัวเราะแก้เก้อแล้วตอบว่า “ก็ยังชอบอยู่นะคะ แต่ตอนนี้ก็มีเรื่องอื่นที่ชอบเพิ่มแล้ว เปลี่ยนบ้าง (ยิ้มหวาน)” ส่วนเรื่องที่เล่นดนตรีได้หลายอย่างนั้น ไมร่าบอกว่าน่าจะมาจากความชอบส่วนตัวมากกว่า
“หนูชอบตามเทรนด์ค่ะ (ยิ้ม) เห็นเพื่อนเล่นไวโอลินตอน ป.1 ก็บอกคุณแม่ แม่อยากเรียนแบบนี้ อยากเก่งแบบเขา เราก็เลยหัดเล่นบ้าง หรืออย่างเห็นเพื่อนเล่นกีตาร์แล้วร้องเพลงไปด้วย คิดว่าอยากทำแบบนั้นบ้าง เท่จังเลย ก็ลองทำดู เลยพอจะเล่นได้บ้างอย่างละนิดละหน่อยค่ะ แต่ถ้าเล่นได้จริงๆ มีแค่อย่างเดียวค่ะคือ “วิโอล่า” มาจากเคยเล่นไวโอลิน แล้วก็เปลี่ยนมาเล่นวิโอล่าแทน คงเป็นชิ้นที่ถนัดสุดแล้วค่ะ นอกนั้นพอจับๆ ได้ แต่ถ้าจะเล่นให้คนดูจริงๆ คงไม่ไหว”
“แม่ไม่เคยบังคับให้เขาไปลงเรียนอะไรเลยค่ะ แค่ซื้อไวโอลินแพงหน่อยแม่ก็บ่นแล้ว” คุณแม่ช่วยเสริมด้วยรอยยิ้มทีเล่นทีจริง ก่อนเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นในการเอาดีด้านร้องเพลงที่ชัดเจนที่สุดของลูกให้ฟังว่าเกิดขึ้นตอน 8 ขวบ เพราะไมร่าอยากร่วมเวิร์กชอปกับทีม “Disney On Ice” เลยขอคุณแม่อัดเสียงร้องส่งเป็นซีดีส่งเข้าไป จนได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 30 คน และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยเรียนร้องเพลงมาก่อนแล้วผ่านการคัดเลือก คนนั้นก็คือ “ไมร่า”
เขาได้รับคัดเลือกไป พอถึงเวลา เด็ก 30 กว่าคนเป็นเด็กประกวดหมดเลย ครูที่มาสอนเขาก็ถามว่า “มีใครไม่เคยเรียนร้องเพลงมาบ้าง?” ทั้งห้องมีคนนี้คนเดียว
“รู้สึกสนุกอย่างเดียวเลยค่ะตอนนั้น คิดแค่ว่าจะได้ใส่เสื้อผ้าของดิสนีย์ ได้ขึ้นไปร้องเพลง แค่นั้นก็สนุกแล้วค่ะ” หลังจากนั้นก็มีเรียนร้องเพลงบ้าง อาทิตย์ละชั่วโมงที่โรงเรียน “Shrewsbury International School Bangkok” เริ่มจากร้องเพลงป๊อปธรรมดาๆ จนมาร้องแนวคลาสิกในตอนหลัง จากนั้นจึงได้เรียนที่สถาบันดนตรีมีฟ้า จนได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของสาขา เป็นเหตุให้ได้รับรางวัลชนะเลิศครั้งแรกในชีวิต
(ยืนยันด้วยภาพว่าชอบ วอลท์ ดิสนีย์ จริงๆ)
“พอเริ่มเรียนไปได้เดือน 2 เดือน ที่สาขานั้นเขาก็มีการส่งเด็กที่เรียนไปประกวด เป็นตัวแทนสาขา แล้วไมร่าก็ชนะ คราวนี้ส่งไปแข่งแบบทั่วประเทศที่ตึกแกรมมี่ ตอนนั้นน้องยังเด็กอยู่เลยค่ะ เพิ่งจะประมาณ 8 ขวบ แล้วก็แข่งแบบไม่ได้แบ่งว่าเป็นแนวไหนด้วยนะคะ ใครอยากร้องลูกทุ่งก็ร้อง ใครอยากร้องสากล ใครอยากร้องลูกกรุงก็ร้อง
ไม่ร่าก็ไปร้องเพลงสากล ร้องแบบยืนนิ่งๆ เลย ส่วนคนอื่นเขาก็จัดเต็มร้องลูกทุ่งกัน เต้นกันแบบแพรวพราว บางคนก็ร้องบียองเซ่ ไมร่าก็มาร้องเพลงแจ๊สแบบนิ่งๆ ครูที่สอนเขาเอง นั่งดูเด็กคนอื่นๆ ยังมากระซิบบอกแม่เองเลยนะว่า ไม่ได้หรอกแม่ (ยิ้มบางๆ) เพราะเด็กคนอื่นเขาก็ร้องแบบโชว์พลังเสียงสุดๆ หรือร้องลูกทุ่ง เขาก็เต้นกันสะบัด แต่สุดท้าย พอตอนประกาศ ปรากฏ ชนะได้ที่ 1 กรรมการทุกคนให้คะแนนเป็นเอกฉันท์ให้เขาได้”
“ตอนนั้นร้องเพลง Over The Rainbow ค่ะ” คนที่จำรายละเอียดเรื่องราวได้น้อยกว่าอย่างไมร่าช่วยเสริมชื่อเพลงให้ ลองให้มองย้อนกลับไป จะเห็นคุณแม่คุณพ่อยืนเคียงข้างบนเส้นทางฝันนี้มาตลอด แม้กระทั่งตอนประกวดเวที Rising Star คุณพ่อกับคุณแม่ก็ต้องผลัดเวรกันไปช่วยดู เพราะที่นู่นเขามีกติการะบุไว้ว่า หากผู้เข้าแข่งขันอายุไม่ถึง 18 ปีต้องมีผู้ปกครองคอยอยู่ด้วย ไมร่าจึงถือโอกาสแสดงความรู้สึกตื้นตันใจ หันไปฝากคุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ กันแบบน่ารักๆ เอาไว้ขณะกำลังให้สัมภาษณ์ “ก็ดีใจค่ะที่คุณแม่คอยสนับสนุนแล้วก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อความฝันของเรา”
เธอคือแขกรับเชิญของ “David Foster”!
(เดวิด ฟอสเตอร์ ชวนร่วมคอนเสิร์ตพิเศษด้วยตัวเอง)
ที่ทำให้ไมร่าก้าวได้ไกลในวัยเพียง 17 ปีเช่นนี้ อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยทิ้งโอกาสดีๆ ที่เดินเข้ามาในชีวิตเลยสักครั้ง แม้ว่าในขณะที่โอกาสเดินทางเข้ามา เธอจะอยู่ในสภาวะไม่พร้อมสักแค่ไหน แต่ไมร่ากลับไปเคยหยิบมาเป็นข้ออ้างสำหรับเธอเลย และโอกาสครั้งที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันในวันที่เธอกับครอบครัวเดินทางไปดูคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดังก้องโลกอย่าง “David Foster” และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นผ่านสายตาคนเป็นแม่ที่จดจำทุกรายละเอียดได้อย่างดีที่สุด
“คอนเสิร์ตของ David Foster เขาจะชอบเดินมาที่นั่งคนดู หาคนที่ชอบร้องเพลงให้ลุกขึ้นมาร้องด้วยกัน ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไมร่าก็ได้ลุกขึ้นยืนร้องกับเขาค่ะ แต่ตอนแรกน้องไม่ได้ยกมือขอร้องเองนะคะ
ไม่ได้มีการเตรี๊ยมกันมาก่อน คือเขาจะเดินมาที่คนดู แล้วก็ชี้เลือกให้คนนั้นร้องเลยค่ะ มีเวลาให้ 20-30 วินาทีเพื่อให้คนนั้นได้ช่วงเวลาของความเป็นซูเปอร์สตาร์ในตอนนั้น ก็มีคนที่ยกมือขอร้องเยอะเหมือนกันนะคะ แล้วก็เป็นคนดังๆ ของเมืองไทยทั้งนั้นเลย คนที่ลุกขึ้นก่อนไมร่าคือ คุณนนทิยา จิวบางป่า
พอเสร็จจากเขา เดวิดก็เดินมาเรื่อยๆ ส่วนไมร่าที่นั่งอยู่อีกที่ก็มุดๆๆ เก้าอี้ เพราะกลัว (เล่าไปยิ้มไป) ไมร่าไม่อยากร้องค่ะ แต่พี่นุ้ย-สุจิรา เขาเคยไปออกอีเวนต์ด้วยกันบ่อยๆ เห็นไมร่านั่งอยู่แถวๆ เดียวกัน และคนรอบๆ แถวนั้นก็รู้จักไมร่า ทุกคนเลยช่วยกันตะโกน “ไมร่าๆๆ” น้องก็มุดๆ ค่ะเพราะเขาขี้อาย แล้วก็เพิ่งตื่นนอนด้วย หลับมาจากบนรถตอนขับมาพามาดูคอนเสิร์ตค่ะ ยังไม่ได้วอร์มเสียง ไม่ได้อะไรทั้งสิ้นเลย พอถูกเรียกก็เลยต้องออกไปยืนแล้วก็ร้อง
พอร้องเสร็จ คุณเดวิดแกก็ร้อง “ว้าว!!” เสร็จแล้วไมร่าก็กลับมานั่งค่ะ จากนั้นพอคอนเสิร์ตเล่นไปได้สักแป๊บนึง ช่วงที่นักร้องโอเปร่าของแกขึ้นมาร้อง จู่ๆ แกก็เรียกไมร่าค่ะ บอก “ไหน... ไมร่าอยู่ไหน ขึ้นมาบนนี้ซิ” เรียกให้ขึ้นไปร้องสดๆ เลยค่ะ แล้วให้ไปร้องคู่กับนักร้องโอเปร่าของแก ร้องกันสดๆ ตรงนั้นเลย เสร็จแล้วแกก็ชมแล้วก็พูดว่า “I’ll see more of you” ประมาณว่าเดี๋ยวเราจะได้เจอกันอีกนะ
แต่หลังจากคอนเสิร์ตก็ไม่ได้มีการแลกเบอร์อะไรกันนะคะ แต่หลังจากนั้นหลายเดือนผ่านไป คุณเดวิดเขาก็หาหนทางติดต่อมาทางคนรู้จักคุณพ่อ จนได้คุยกัน ถามว่าให้น้องมาร้องเพลงที่ L.A. ได้มั้ย พรุ่งนี้ (ทำตาโต) พอเรารู้เรื่องแค่นั้น เราก็ตอบเขาไปเลยค่ะว่าได้เลย! แล้วก็ตัดสินใจไปเลย เพราะเวลาที่เมืองไทยมันเร็วกว่าที่บ้านเขาไงคะ เพราะฉะนั้น เราบินไปยังไงก็ทัน
(ลงเครื่องปุ๊บ ซ้อมปั๊บ)
ตอนนั้นยังไม่รู้เลยนะว่าเพลงอะไร ยังไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเลย งานอะไร เพลงอะไร ยังไม่รู้เลย แต่พ่อกับแม่ตัดสินใจให้เลยค่ะว่ายังไงก็ต้องไป ไมร่าก็ตกลงทันทีเลยเหมือนกัน มีโอกาสได้ไปร้องกับ David Foster เลยนะ พอเขาชวนมาเราก็ตกลงเลยค่ะ เขาโทร.มาตอนกลางวัน ตอนเย็นเราก็ขึ้นเครื่องไปเลยค่ะ เพิ่งมารู้ก่อนขึ้นเครื่องว่าต้องร้องเพลงอะไรและไม่เคยฝึกร้องเพลงนี้มาก่อนด้วย เพลงนี้ร้องยากมาก และเขาก็เรียนของเขาเองตอนอยู่บนเครื่อง ชื่อเพลง “The Prayer” เขาก็ดู Youtube บนเครื่อง หัดท่องเนื้อบนเครื่องนั่นแหละค่ะ พอลงเครื่องปุ๊บก็ Sound Check เลย แล้วก็ร้องเย็นนั้นเลย ร้องคู่ด้วยนะคะ คู่กับนักร้องของเดวิด (Fernando Varela)”
(ได้ร่วมเวทีเดียวกับ Nicole Scherzinger อดีตสมาชิกวง The Pussycat Dolls - คนที่ 2 ในรูป)
ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดคุณแม่จึงเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตลอดทั้งบทสนทนาขนาดนี้ เพราะงานที่คุณแม่พูดถึงคืองานฉลองครบรอบ 65 ปีประเทศอิสราเอลและงานมอบรางวัลเกียรติยศให้แก่ “Larry Ellison” ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ Oracle ซึ่งจัดโดยสถานกงสุลอิสราเอล ถือเป็นคอนเสิร์ต Exclusive ที่เต็มไปด้วยคนดัง รวมถึง Nicole Scherzinger อดีตสมาชิกวง The Pussycat Dolls ที่ร่วมขึ้นโชว์พลังเสียงในครั้งนี้ด้วย
ใครว่าเพลงไทยไม่เจ๋ง!!?
ให้คนรุ่นใหม่ที่ฟังเพลงมาแล้วหลากหลายแนวอย่างไมร่า ลองมองวงการเพลงในบ้านเราสมัยนี้ดูบ้างว่าเป็นอย่างไร? พอจะเทียบกับเพลงสากลได้บ้างไหม เพราะผู้สัมภาษณ์มองว่าบางครั้งดนตรีในเพลงไทยที่ทำออกมา อาจไม่เปิดโอกาสให้นักร้องได้โชว์พลังเสียงสักเท่าไหร่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไมร่ากลับเห็นต่างออกไป เธอบอกว่ามีอีกหลายๆ เพลงที่เธอชอบและเป็นเพลงดีมีคุณภาพของบ้านเรา
“อย่างเพลงของพี่โก้ Mr.Saxman แต่งให้หนูร้อง เพลง “เป็นเธอได้ไหม” ซิงเกิลใหม่ของหนู หนูก็ว่าพี่โก้เขาก็รู้จักไมร่าดีนะคะ รู้ว่าไมร่าเริ่มร้องเพลงยังไง พี่โก้เขาเข้าใจเสียงไมร่า เข้าใจดนตรีอย่างดีมากๆ ด้วยค่ะ พี่เขาคือที่ 1 ที่สุดแล้วค่ะสำหรับไมร่า หนูรู้สึกว่าเพลงที่ออกมาก็พอดีกับเสียงไมร่านะคะ เพราะเพลงนี้ก็ได้โชว์พลังเสียงด้วย แล้วก็มีความอ่อนหวานอยู่ในนั้นด้วย
(โก้-Mr.Saxman คนดนตรีคุณภาพ แต่งซิงเกิลให้โชว์พลังเสียง)
(เจนิเฟอร์ คิ้ม อีกหนึ่งศิลปินเสียงคุณภาพในดวงใจ)
หรือในเพลงไทยอีกหลายๆ เพลง ไมร่าก็ชอบเยอะนะคะ เพลงพี่คิ้ม ก็เป็นศิลปินอีกคนหนึ่งที่มีทั้งเพลงเพราะแล้วก็ได้ใช้พลังเสียงจริงๆ หรือเพลงพี่ดา-เอ็นโดฟิน ไมร่าก็ฟังมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วค่ะ ไมร่าก็ว่าร้องยากนะคะ แล้วก็อีกหลายๆ เพลงเลย แต่เพลงไทยที่ชอบที่สุด คงเป็นเพลง “สายลม” ของพี่คิ้มค่ะ ส่วนถ้าเป็นเพลงฝรั่งเหรอคะ... (กวาดตาคิด) เยอะมากเลยค่ะ เปลี่ยนตลอด ขอคิดก่อนนะ (หัวเราะเบาๆ)”
คนส่วนใหญ่จะได้ยินเธอร้องเพลงแนวคลาสิกตามเวทีต่างๆ และคิดว่าเธอคงต้องการเอาดีด้านนี้ แต่ความจริงแล้วไมร่าบอกว่าชอบทุกแนวและร้องได้ทุกแนวเลย
“จริงๆ แล้วให้ร้องแนวไหนก็ร้องได้ค่ะ แต่ถ้าให้เลือกแนวเดียว ให้ออกอัลบั้มสักครั้ง ก็คงเลือกแนวป๊อปมั้งคะ เพราะคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเราก็ชอบ เราก็ร้องได้” เมื่อเห็นว่าผู้สัมภาษณ์ชักสีหน้าตกใจอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจะได้ยินคำว่า “ป๊อป” ออกมาจากปากไมร่า เธอจึงอธิบายเพิ่มเติม
“ป๊อปที่ไมร่าหมายถึง ไม่ใช่ป๊อปแบบกระโดดโลดเต้นนะคะ แต่คงเป็นป๊อปแบบนิ่งๆ ถ้าให้ยกตัวอย่างเพลงของฝรั่งที่ไมร่าชอบ จะมีนักร้องใหม่ที่ชื่อ “Sam Smith” ค่ะ ไมร่าไม่ต้องบอกเลยว่าเพลงโปรดเพลงไหน เพราะเพลงของเขาเพราะทุกเพลงจริงๆ อัลบั้มใหม่ของเขาดีมาก (ลากเสียง) เขาเป็นป๊อปที่ไม่ใช่แนวกระโดดโลดเต้นน่ะค่ะ เป็นป๊อปที่ร้องแล้วโอ้โห! เหมือนป๊อปคุณภาพน่ะค่ะ”
“เพลงเขาเพราะจริงๆ ค่ะ ทุกคำเหมือนปั้นมา เขาพูดกันว่าเหมือนเป็นงานเพลงของ Adele (Laurie Blue Adkins) ฝ่ายชาย เพลงเขาละเมียดมากจริงๆ” คุณแม่ช่วยยืนยันอีกแรง
“Adele ไมร่าก็ชอบค่ะ ทุกเพลงของเขาดีจริงๆ ส่วนถ้าเป็นศิลปินไทยในดวงใจ ไมร่ายกให้พี่ดา-เอ็นโดรฟินค่ะ ชอบมาตั้งแต่เด็กเลย ตอนเด็กๆ ไมร่าจะร้องเสียงต่ำไม่ค่อยได้ แต่เพลงพี่ดาส่วนมากจะมีเสียงต่ำ ไมร่าก็เลยจะได้ฝึกเสียงต่ำมาจากเพลงพี่ดาเนี่ยแหละค่ะ
ไมร่าว่าวงการเพลงไทยเจ๋งนะคะ เพลงไทยไม่เหมือนเพลงฝรั่ง เพราะไมร่าก็ฟังเพลงฝรั่งมาเยอะมากตอนเด็กๆ แต่พอมาฟังเพลงไทยก็ชอบเหมือนกัน อย่างเช่น วง Slot Machine ครั้งแรกที่ฟังก็ชอบเพลงเขามาก คลั่งวงเขาไปพักนึงเลย ยิ่งพอไปเจอพี่เฟิร์ท แล้วก็เจอพี่ๆ ในวง ยิ่งรู้สึกชอบค่ะ เขาน่ารักมาก ถ้าเป็นวงดนตรีในเมืองไทยที่ชอบที่สุดก็คงเป็นวงนี้แหละค่ะ
ไมร่าว่าทุกวันนี้วงการเพลงบ้านเราดีขึ้นเรื่อยๆ นะคะ เริ่มออกนอกกรอบกันมากขึ้น มีความหลากหลายมากขึ้น จากตอนเด็กๆ ที่เคยฟังเพลงมาตลอด พอเริ่มโตขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความหลากหลายมากขึ้นไปอีกค่ะ”
“หวัง” แต่ไม่ “คาดหวัง”
“มุ่งมั่นแต่นอบน้อม” น่าจะเป็นคำจำกัดความที่เหมาะที่สุดสำหรับไมร่า และดูเหมือนว่าส่วนผสมทั้งสองอย่างนี้จะมาจากเชื้อชาติไทย-อเมริกันที่มีอยู่ในตัว จึงทำให้เธอมีทั้งความมั่นใจและมีนิสัยถ่อมตัวไปด้วยได้ในขณะเดียวกัน ถามว่ามีความเป็นไทยหรืออเมริกันอยู่ในตัวมากกว่ากัน ไมร่าตอบว่า “เท่าๆ กันนะคะ ถ้าอยู่เมืองไทยก็เป็นไทย อยู่อเมริกาก็เป็นอเมริกาได้ค่ะ”
“เวลาอยู่ที่อเมริกา ไมร่าอาจจะไม่จำเป็นต้องทักทายใครด้วยการยกมือไหว้ค่ะ เพราะถ้าไหว้ หลายคนอาจจะงงว่าอะไรคือท่าแบบนี้ (ทำท่าไหว้ให้ดู) ที่อเมริกาจะไม่มีระบบ Seniority น่ะค่ะ เขาก็เลยอาจจะไม่เข้าใจตรงนี้
เหมือนหลายๆ ครั้งที่ไมร่าก้มเวลาผ่านคณะกรรมการรายการ Rising Star หรือเวลาเดินผ่านผู้ใหญ่ หนูก็จะก้มหัว เขาก็จะงงว่าก้มทำไม เดินผ่านฉันทำไมต้องก้มด้วย ก็ถือว่ายังมีหลายๆ อย่างที่เป็นวัฒนธรรมไทยที่ยังติดอยู่กับตัวไมร่าค่ะ เพราะไมร่าก็โตที่ไทยเกิดที่ไทย คนที่นี่ก็จะสงสัยตลอดแล้วก็มาถาม เราก็จะอธิบายว่านี่คือวัฒนธรรมไทยค่ะ เขาก็ถึงจะเข้าใจ
ส่วนถ้าเป็นนิสัยแบบฝั่งอเมริกา คงเป็นเรื่องการพูดความคิดของตัวเองค่ะ เพราะเวลาอยู่เมืองไทยตอนเด็กๆ ไมร่าจะไม่ค่อยกล้าพูดคำว่า “ไม่อยาก” ไม่ค่อยกล้าปฏิเสธอะไรเท่าไหร่ค่ะ แต่พอไปที่นู่น เขาจะชอบถามว่าแบบนี้โอเคมั้ย? เธอสามารถปฏิเสธได้นะถ้าเธอไม่ชอบ เทียบกับเมื่อก่อนตอนที่อยู่ไทย ถามคำถามเดียวกัน ไมร่าอาจจะตอบว่า “ก็โอเคค่ะ” ทั้งๆ ที่บางทีในใจไม่โอเค แต่เดี๋ยวนี้ก็กล้าพูดมากขึ้นแล้ว
ตอนไมร่าไปแรกๆ ไมร่าก็ไม่ค่อยกล้าพูดอย่างที่คิดเท่าไหร่ค่ะเพราะว่าอยากได้แบบนี้ๆ นะด้วยความที่เกรงใจ แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มกล้าพูดความคิดเห็นของตัวเองมากขึ้นแล้วค่ะ ไมร่าว่าความเกรงใจดีนะคะ สุภาพดี แต่ถ้าเกรงใจเกินไปก็ไม่ดีค่ะ เพราะสุดท้ายมันจะกลับมาส่งผลไม่ดีกับตัวเราเอง มัวแต่ไปห่วงคนอื่นมากเกินไปจนลืมห่วงตัวเอง”
ทุกวันนี้ ไมร่าเรียนอยู่ที่โรงเรียน “Beverly Hills High School” รัฐแคลิฟอร์เนีย ยังไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าจะลงเรียนด้านไหน “กะเข้าไปทดลองก่อนค่ะว่าจะเป็นแบบไหน แล้วค่อยเลือกอีกทีว่าจะพุ่งไปด้านไหน แต่คิดๆ ไว้ว่าคงเรียนเกี่ยวกับด้านดนตรีนี่แหละค่ะ” เธอบอกไว้อย่างนั้น ส่วนเส้นทางชีวิตในภายภาคหน้า ไมร่าไม่ได้กำหนดอะไรไว้ตายตัวมาก แม้กระทั่งเรื่องจะกลับมาทำงานที่ไทยหรือไม่ เธอก็ให้คำตอบว่า “คงดูไปเรื่อยๆ ก่อนค่ะว่ามีโอกาสอะไรเข้ามาบ้าง แต่ถ้ามีงานติดต่อมาก็กลับมาได้เป็นระยะๆ ค่ะ”
ลองให้คิดเล่นๆ ว่าถ้าไม่ได้เป็นนักร้องจะเป็นอะไร? ไมร่าตอบทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด “อยากเล่นละครค่ะ ละครในทีวีหรือเล่นในหนังก็ได้ค่ะ จะของไทย ของฝรั่ง ของอะไรก็ได้ค่ะ ของ Bollywood ก็ได้ค่ะ ไหนๆ Hollywood คงไปเล่นไม่ได้ ขอ Bollywood ก่อนก็ยังดี (หัวเราะ) ล้อเล่นนะคะ
ถ้าไม่เป็นนักร้องก็อยากเป็นนักแสดงค่ะ (ยิ้มเขินๆ) ถ้าไม่เป็นนักแสดงก็อยากจะทำอะไรเกี่ยวกับอาร์ตๆ แต่ไมร่าคงไม่ทำอะไรเกี่ยวกับคอมพ์มั้งคะ เพราะไมร่าแย่มากกับเรื่องเทคโนโลยี อาจจะเป็น Fashion Designer ไปเลย แต่จะให้ไมร่ามานั่งทำงานออฟฟิศ ไมร่ายังนึกภาพไม่ออกค่ะ ชีวิตมันเหมือนเดิมแทบจะทุกวัน คล้ายๆ ต้องไปโรงเรียน ไมร่าคงไม่ไหวเท่าไหร่ค่ะถ้าต้องใช้ชีวิตแบบนั้น อาจจะขาดใจตาย”
(เคยแสดง เรยา เดอะมิวสิคัล จึงสนใจการแสดง)
ดูเป็นคนมุ่งมั่นแต่ก็ไม่เครียดจนเกินไป ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ายิ้มร่าเริงแล้วให้คำตอบว่า “ก็ไม่ได้ “คาดหวัง” อะไรมากค่ะ ก็ได้แต่ “หวัง” ไว้บ้าง อาจจะหวังว่าอยากมีอัลบั้ม ฝันว่าอยากเป็นนักแสดง ก็มีฝันๆ ไว้บ้าง แล้วก็พยายามจะทำให้ฝันของตัวเองเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรค่ะ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน ไม่ได้โทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่ได้ คือเราอยากทำมากนะคะ มากที่สุดเลย แต่ไม่อยากเครียด”
(ชมคลิป ไมร่าโชว์พลังเสียงในซิงเกิลใหม่)
---ล้อมกรอบ---
มุมงุ้งงิ้งของ “คู่ซี้ต่างวัย”
(คุณแม่-ไมร่า คู่ซี้ต่างวัย)
กิจกรรมยามว่างของคู่ซี้แม่ลูกคู่นี้คือการชอปปิงเพราะเป็นกิจกรรมโปรดของคุณลูก “เดี๋ยวเลิกจากนี่ กะว่าจะไปยูเนียนมอลล์ค่ะ (ยิ้ม) ชอบไปเดินดูของค่ะ ชอบลอง ชอบจับ แต่ส่วนใหญ่สุดท้ายก็ไม่ซื้อค่ะ” ไมร่าบอกแพลนคร่าวๆ ก่อนปล่อยให้คู่ซี้ต่างวัยเสริม
“ฟังสถานที่ซื้อก็รู้นะคะว่าชอบชอปแบบไหน ยูเนียนมอลล์, แพลตทินัม เขาจะไม่ค่อยซื้ออะไรหรูๆ เท่าไหร่ค่ะ”
และด้วยความที่ไปเป็นเพื่อนลูกซื้อเสื้อผ้าแบบนี้เป็นประจำ จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องถกเถียงน่ารักๆ เล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่ซี้คู่นี้ “ส่วนใหญ่จะเถียงกับเขาเรื่องการแต่งตัวค่ะ บอกจะใส่ตัวนี้นะลูกมันโป๊” คุณแม่อธิบาย ก่อนไมร่าจะช่วยเสริมชุดใหญ่
“ใช่ค่ะ คุณแม่จะห่วงตลอด ลูกแบบนี้ไม่สวยเลย ไปเปลี่ยนเถอะ (พูดไปยิ้มไป) บอกอย่าใส่กางเกงยีนส์แบบนี้นะ ใส่แล้วมันอ้วน เราก็บอกว่าใส่แล้วมันสบายอ่ะค่ะ ชิลชิลดี กางเกงยีนส์ใครๆ เขาก็ใส่กัน คุณแม่ก็จะบอก ไม่ได้นะลูก ใส่กางเกงยีนส์แล้วตูดเป็นกระด้ง (ระเบิดหัวเราะพร้อมกันแม่และลูก)”
(คุณพ่อ-น้องสาว-ไมร่า)
ทุกวันนี้ นอกจากจะเป็นคู่ซี้ช่วยดูเรื่องแฟชั่นแล้ว คุณแม่ยังเป็นผู้ช่วยคนสำคัญเรื่องโลกออนไลน์อีกด้วย ทั้งเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม หรือแม้แต่ทวิตเตอร์ ทั้งสองคนเป็นคนดูแลเองทั้งหมด
“ไมร่ากับแม่ช่วยกันค่ะ บางทีไมร่าพิมพ์ภาษาไทยไม่ทัน พิมพ์ภาษาไทยยากค่ะ กว่าจะหา สระอึ ได้แต่ละที ยากมาก (หัวเราะ) กว่าจะหาเจอแต่ละทีก็ 5 นาทีแล้วค่ะ” ไมร่าบอก
“ถ้าตอบเป็นภาษาไทย เขาก็จะพูดมาแล้วแม่ก็จะพิมพ์ให้เขาค่ะ แต่ถ้าตอบเป็นภาษาอังกฤษ เขาก็จะพิมพ์เองเลย เพราะเขาจะพิมพ์ภาษาอังกฤษเร็วอยู่แล้ว”
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ: ไมร่า-มณีภัสสร มอลลอย (Myra Molloy)
เชื้อชาติ: ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน
อายุ: 17 ปี
เกิดวันที่: 18 ก.ย. 2540
การศึกษา: Beverly Hills High School รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ความสามารถพิเศษ: เล่นอูคูเลเล่, เปียโน, กีตาร์, ไวโอลิน, วิโอลา, รำไทย
รางวัลที่ได้รับ: ชนะเลิศ “Mifa Singing Contest 2006” (รุ่นอายุ 8-12 ปี), ชนะเลิศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ “Future Park Junior Talent Award” และชนะเลิศการประกวดรายการ “Thailand’s got talent” ซีซันแรก ปี 2011
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: นฤมล ประพฤติดี
ขอบคุณภาพบางส่วน: แฟนเพจ “Maneepat Myra Molloy”
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754