xs
xsm
sm
md
lg

ศึกล้างบัญชีแค้น "ช่างกลตีกัน" หมดเวลากร่างในยุค "บิ๊กตู่"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศึกล้างบัญชีแค้น 'ช่างกลตีกัน' ปัญหาเรื้อรังที่ยังดื้อด้าน เอาไม่อยู่ แม้ที่ผ่านมาจะใช้กลเม็ดจัดการขั้นเด็ดขาดก็ดูจะไม่เป็นผล แถมยังทวีความรุนแรงจนน่าเป็นห่วง ล่าสุด "บิ๊กตู่" ลั่น หากพบนักเรียนตีกัน สั่งปิดคณะ และสถานศึกษาชั่วคราวทันที งานนี้ "นักเรียนนักเลง" ทั้งหลาย คงจะหมดเวลากร่างแล้วสินะ...

ช่างกลตีกัน ปัญหาซ้ำซาก เอาไม่อยู่

ต้องบอกว่าเป็นปัญหาซ้ำซาก แถมยังน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ กรณีเด็กนักเรียนอาชีวะหรือเด็กช่างกลใช้อาวุธทำร้ายนักเรียนสถาบันคู่อริถึงแก่ความตาย ซึ่งบ่อยครั้งเรามักจะได้ยินเด็กเหล่านั้นกล่าวอ้างว่าพฤติกรรมที่พวกเขากระทำนั้นเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ประเภทฆ่าได้หยามไม่ได้ เดินเฉียดกันนิดเดียวก็พร้อมจะวางมวย จ้องหน้ากันก็พร้อมจะหาเรื่อง จนบางครั้งแทบมองหาความเป็นมนุษย์ในตัวของเด็กเหล่านั้นไม่เจอ

ที่น่าเศร้าสะเทือนใจไปกว่านั้น หลายครั้งที่เกิดการตีรันฟันแทงกัน คนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่กลับไม่ใช่คู่อริโดยตรง แต่เป็นเพียงนักเรียนที่เรียนอยู่ในสถาบันที่เป็นอริกันเท่านั้น ซึ่งนับวันเหตุการณ์อันน่าเศร้าทำนองนี้เกิดขึ้นถี่ และทวีรุนแรงมากขึ้นจนไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหากันหรือใช้กลเม็ดจัดการอย่างไร

นอกจากนั้นยังทำให้สถาบันอาชีวะ ซึ่งเป็นความหวังของชาติดูจะสร้างความหวาดกลัวให้พ่อแม่ ผู้ปกครองไม่กล้าส่งลูกหลายเข้ามาเรียนกันแล้ว ไม่แปลกที่ความหวาดกลัว และสายตาประณามจากสังคมใส่เด็กกลุ่มนี้จึงเข้มข้นไม่ต่างจากมองเป็น 'อาชญากร' ในชุดนักเรียน นักศึกษา

ล่าสุด ดูจะเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงภาวะขาดการยั้งคิดยั้งทำของเด็กกลุ่มนี้ เมื่อมีการตระเวนออกล่าคู่อริต่างสถาบัน ทำการแก้แค้นด้วยตนเอง จนเกิดเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ น.ศ.อุเทนถวาย ยิง 2 นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันดับคาสถานีรถไฟบางซื่อเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 12 กันยายน โดยอ้างว่าเป็นการล้างแค้นให้เพื่อน น.ศ.สาวที่ถูกยิงหน้าห้างมาบุญครองจนเสียชีวิต และมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

นอกจากนี้ ผู้ต้องสงสัย ยังเปิดเผยอีกว่า เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ได้ก่อเหตุยิงนายพชร กัมพลาศิริ อายุ 21 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีกรุงเทพ จนเสียชีวิตภายในซอยรามคำแหง 107 (ซอยวัดศรีบุญเรือง) นั้นเป็นเรื่องจริง แต่เป็นการยิงผิดตัว

เรื่องนี้ ทำเอาคนเป็นพ่ออย่าง กำพล กัมพลาศิริ พ่อของเหยื่อนักศึกษาใจเหี้ยม เปิดใจผ่านสื่อว่า โกรธแค้นมาก และถ้าเป็นไปได้อยากทำร้ายผู้ต้องหาเสียตอนนี้เลยเพื่อชดใช้ให้ลูกชายเพียงคนเดียว พร้อมทั้งขอให้การเสียชีวิตของลูกชายเป็นกรณีเริ่มต้นการแก้ปัญหานักเรียนตีกันอย่างจริงจัง พร้อมทั้งวอนให้ผู้ปกครองดูแลลูกหลานของตัวเองให้ดี สอดส่องดูแล ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย แค่เพียงส่งลูกหลานไปเรียนเท่านั้น

ทั้งยืนยันด้วยว่าจะเอาผิดกับทางผู้ปกครองของผู้ต้องหาเพื่อเป็นกรณีตัวอย่างให้รับรู้ว่า ถ้าดูแลบุตรหลานไม่ดี ก่อให้เกิดความสูญเสียกับครอบครัวคนอื่นจะเป็นอย่างไร

ความรู้สึกของหัวอกคนเป็นพ่อในข้างต้น นอกจากจี้ให้มีการเริ่มต้นแก้ปัญหานักเรียนตีกันอย่างจริงจังสักที ยังทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนสะดุ้งเฮือก เพราะเด็กที่เติบโตขึ้นมาเป็นนักเรียนนักเลง สร้างปัญหาให้ส่วนรวม คนที่ควรหันกลับไปมองก็คือตัวพ่อแม่เองว่า คุณในฐานะพ่อแม่ ได้เป็นแบบอย่างความเป็นลูกผู้ชายที่ดีให้ลูกเห็นมากน้อยแค่ไหน หรือแค่ผลักภาระสำคัญเหล่านั้นให้คนอื่นเป็นคนสอน

ย้อนกลเม็ดจัดการนักเรียนนักเลง

ต้องบอกว่า ที่ผ่านๆ มา มีหลายต่อหลายมาตรการที่ผู้หลักผู้ใหญ่เข็นกันออกมาจัดการแก่เหล่านักเรียนนักเลง แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะดูๆ ไปแล้วยอดการตีกันกลับไม่ได้ลดลง แถมอุณหภูมิร้อนระอุของความบาดหมางกลับไม่มีทีท่าลดลงด้วย มิหนำซ้ำยังทำให้ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้รับลูกหลง ที่แย่ไปกว่านั้น บางรายไม่ใช่เป้าหมาย แต่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

ทีนี้ลองมาย้อนดูการแก้ปัญหาเรื่องนี้กันว่า ที่ผ่านมามีกลเม็ดจัดการนักเรียนนักเลงอะไรบ้าง โดยทีมข่าว ASTVผู้จัดการ ได้เคยรวบรวมเอาไว้ ดังนี้

1. ปรับ-จับ ต้องถือเป็นวิธีการที่คลาสสิกสุดๆ สำหรับประเทศที่มีนิติรัฐนำหน้าเยี่ยงประเทศไทย เพราะอย่างที่รู้ๆ อยู่ว่าการทำร้ายร่างกายนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมายเต็มประตู ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมายมีหรือที่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนี้หลุดรอดมือไปได้

2. ส่งเข้าสถานพินิจเด็ก และเยาวชน วิธีการนี้ถือเป็นการต่อยอดจากขั้นแรก คือต้องจับให้ได้ก่อนถึงจะทำได้ แน่นอนว่าหลักๆ ที่ทำก็เพื่อขัดเกลานิสัยของบรรดาวัยโจ๋เหล่านี้ให้มีความรู้ผิดรู้ชอบ

3. ยกเลิกการใช้หัวเข็มขัด และเข็มกลัดโรงเรียน วิธีการนี้นับว่าตรงประเด็นสุดๆ เพราะส่วนใหญ่เป้าหมายการตีกันของ 2 โรงเรียนก็คือการแย่งชิงสัญลักษณ์ของอีกฝ่ายมาอยู่ในความครอบครองให้จงได้

4. พักการเรียน-ไล่ออก อันนี้ถือเป็นมาตรการที่โรงเรียนใช้แก่เด็กตัวเอง เพราะถือว่าเป็นพฤติกรรมที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่โรงเรียนอย่างรุนแรง

5. ส่งเข้าค่าย วิธีนี้ก็คล้ายๆ แก่การเข้าสถานพินิจฯ นั่นเอง แต่ดีกว่าหน่อยตรงที่มีการฝึกและสั่งสอนถึงการประพฤติตัวอย่างไรให้ดี ซึ่งโดยส่วนมาก คนฝึกก็คือทหาร และใช้หลักสูตรทหารในการฝึกกันเลยทีเดียว

6. จับมือกันต่อหน้าสื่อ แน่นอนเมื่อใช้กฎหมายไม่ได้ผล การใช้กฎสังคมก็อาจจะช่วยได้ ซึ่งวิธีการก็ง่ายๆ คือเอาคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายมาออกทีวีด้วยกันเสียเลย แล้วคนที่ทำหน้าที่เป็นประธานซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็ทำทีเป็นว่ากล่าวตักเตือนกันนิดๆ หน่อยๆ ก่อนจะบีบบังคับให้คู่กรณีจับมือกัน พร้อมมอบดอกไม้เพื่อเป็นสัญญาของสัมพันธไมตรีและยุติศึกระหว่างกัน

7. ส่งตัวไปบำเพ็ญประโยชน์ เช่น ซ่อมรถ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ วิธีการนี้แม้จะไม่ได้ผลในระยะยาว แต่ถือว่ามีประโยชน์ต่อสาธารณชนไม่น้อย เพราะถือเป็นการนำความรู้ที่พวกเขาร่ำเรียนมาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ที่สำคัญยังถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กลับมาแก่เด็กอาชีวะอีกต่างหาก

8. ส่งตัวไปช่วยทหารที่ภาคใต้ วิธีการนี้ต้องบอกเลยว่าหลายคนชูรักแร้เห็นด้วย แต่ผู้ใหญ่ที่ทำงานด้านเด็กอย่าง วัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ ครูหยุย เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก เคยออกมาให้ความเห็นว่า ไม่ใช่วิธีที่ดี พร้อมเสนอวิธีการแก้ปัญหาระยะยาวว่า ควรให้ใช้วิธีคัดคนก่อนแล้วค่อยดูว่าเด็กที่ก่อเรื่องเป็นแกนนำหรือคนตาม ซึ่งวิธีการจัดการก็ต้องไม่เหมือนกัน และต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ห้ามประนีประนอม

"หน้าที่หลักๆ ของเจ้าหน้าที่เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ ก็คือจำกัดกลุ่มวงเอาไว้ จากนั้นก็จำแนกคน เพราะวงจริงๆ มันใหญ่มากเลยนะ แต่คนที่ตีกันมีไม่กี่คนหรอก ซึ่งตรงนี้มันจะช่วยจำแนกการจัดการได้ ใครทำผิดก็ว่าตามกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกหัวโจกนั่นแหละ

ส่วนกลุ่มที่รองลงมาก็คือ กลุ่มตาม กลุ่มนี้ก็ต้องเข้ากระบวนการหล่อหลอมพฤติกรรม โดยเราต้องฝึกให้คิด ซึ่งเมื่อก่อนเวลาเขาฝึกด้วยกระบวนการทหารแล้วมันได้ผล แต่เราต้องให้ฝึกจริงๆ ฝึกโดยมีอัตราตามโทษ และความถี่ที่ดำเนินการ เช่น ฝึกครั้งที่ 1 โทษ 20 วันแล้วขึ้นบัญชีไว้ ถ้าทำผิดอีกก็ขึ้นเป็นเท่าตัว 40 วัน ทำอีกก็เป็น 60 วันตามความถี่ แล้วการฝึกก็ต้องเข้มข้นเรื่อยๆ จะพาไปที่ไหน ชายแดนตรงไหนก็พาไป

แต่ไม่ใช่พอมีปัญหาก็ให้ลงไปภาคใต้ เพราะคนใต้ไม่ได้เป็นจำเลยกับคุณนี่ แสดงว่าภาคใต้มันแย่นักหรือ คนผิดก็โยนไปลงที่นั่นหมด แล้วการฝึกก็ต้องทำให้เข้ม ให้รู้ว่าความเหนื่อยมันคืออะไร ความเจ็บป่วยของการสูญเสียคืออะไร ไปดูชีวิตคนติดคุกเป็นยังไง ชีวิตคนป่วยเป็นเอดส์เป็นยังไง ลงรถพิการขาขาดเป็นยังไง คือเรียนรู้จากของจริง แล้วก็กลับไปเรียนหนังสือต่อได้" ครูหยุยเสนอทางเลือก

9. ยกเลิกป้ายรถเมล์ คนที่คิดวิธีการนี้ได้ต้องขอยกนิ้วให้งามๆ เลย เพราะนอกจากจะเป็นแก้ปัญหาจากต้นเหตุแล้ว ยังนับว่ามองการณ์ไกลจริงๆ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่า โรงเรียนคู่อริกันนั้นมักจะอยู่ในละแวกเดียวกัน แค่นั่งรถเมล์ 3-4 ป้ายก็ถึงแล้ว ดังนั้นเพื่อให้เรื่องนี้วิน-วิน ทั้ง 2 ฝ่าย ทางผู้เกี่ยวข้องก็เลยยกเลิกป้ายรถเมล์เสียเลย ซึ่งนับว่าค่อนข้างได้ผลพอสมควร

10. สังห้ามรับนักเรียน 1 ปีการศึกษา อันนี้ก็ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะถือเป็นการไล่น้ำเสียออกไปก่อน แล้วจึงค่อยเติมน้ำดีเข้าไป เป็นการตัดตอนวัฒนธรรมค่านิยมการใช้ความรุนแรงด้วยไปในตัว

11. สั่งปิดโรงเรียนชั่วคราว อันนี้ถือเป็นมาตรการที่กระทรวงศึกษาใช้ลงโทษโรงเรียนในฐานะที่ควบคุมเด็กไม่ได้ โดยปิดกี่วันกี่เดือนก็แล้ว บางแห่งโทษน้อยก็เปิด 7 วัน บางแห่งโทษมากก็เปิดไปเลยครึ่งเดือน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนวิธีนี้จะถือว่าไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร แถมยังมีเสียงต่อต้านอีกต่างหาก

สำหรับมาตรการสั่งปิดโรงเรียนนั้น ก่อนหน้านี้เคยมีนักวิชาการออกมาให้ความเห็นด้วยกันหลายท่าน หนึ่งในนั้นคือ พันตำรวจโท ดร.ศิริพงษ์ เศาภายน หัวหน้าภาควิชาบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า การสั่งปิดโรงเรียนนั้นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทางที่ดีควรจะเริ่มแก้ไขที่ระบบการศึกษา

"เรื่องอาชีวะตีกันมันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี เป็นเรื่องของระบบโซตัส (ระบบอาวุโส) เพราะฉะนั้นก็ต้องไปแก้แล้วทำความเข้าใจตรงนั้นกันใหม่ มันต้องเริ่มตั้งแต่การที่เด็กเข้ามาเรียนใหม่ๆ แล้วปลูกฝังเรื่องค่านิยม เรื่องจิตวิญญาณ แล้วพยายามให้ในเรื่องของความรู้เรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และเรื่องของการรักตัวเอง อย่าเชื่อรุ่นพี่มากจนเกินไป ก็คือต้องกระตุ้นผู้ใหญ่ในสถานศึกษาให้เอาจริงเอาจัง เริ่มตั้งแต่ตัวผู้บริหารต้องให้กำหนดนโยบาย และที่ครูอาจารย์ก็ต้องสานต่อ"

ขณะที่ ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข อาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็เคยแสดงทัศนะไว้ว่า การลงโทษโดยการสั่งปิดสถาบันถาวรนั้นถือเป็นการลงโทษสถาบัน ผู้บริหาร และผู้สอนในสถาบันที่ปล่อยปะละเลยในการดูแลเด็ก ซึ่งตนเห็นด้วยแก่มาตรการดังกล่าวหากมีการจัดการที่เหมาะสมรองรับ แต่ก็ยังมองคล้ายๆ กันกับ พันตำรวจโท ดร.ศิริพงษ์ว่า ควรจะเริ่มแก้ไขที่ระบบการศึกษาด้วย

"ปัญหามันอยู่ที่ระบบการศึกษาด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนระบบยุติธรรม ตำรวจ หรือสถานพินิจนั้นล้วนแต่เป็นการแก้ปัญหาปลายทาง อาจารย์ที่ปรึกษาหรือผู้บริหารต้องหันกลับมาศึกษาปัญหาว่าทำไมนักเรียนถึงตีกัน แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมาโรงเรียนละเลยบทบาทนี้ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่เรื้อรังมานาน การปิดโรงเรียนจะเป็นการลงโทษและสร้างความตระหนักให้แก่โรงเรียนและครูหันกลับมาใส่ใจนักเรียนมากขึ้น ที่ใหม่ที่จะรับนักเรียนเหล่านี้ไปก็จะต้องเตรียมความพร้อมที่รับนักเรียนเหล่านี้ไปด้วยเช่นกัน ทั้งการศึกษาและการบริหารจัดการนักเรียน"

ทั้งนี้ การดูแลเด็กที่มีปัญหานั้น ต้องทำเป็นมาตรการระยะยาว และได้รับการใส่ใจจากทุกฝ่ายอย่างจริงจัง ไม่ฉาบฉวย ไม่ใช่เฉพาะในช่วงที่เป็นข่าวและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่กลับไปแก้ที่สาเหตุที่แท้จริง

ยุค "บิ๊กตู่" ช่างกลหมดเวลากร่าง!

พอมาถึงรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มองข้ามในเรื่องนี้ รุกแก้ปัญหาตามหลักการ "ทำก่อน ทำจริง ทำทันที ให้มีผลสำเร็จ" โดยลั่นวาจาว่า ต่อไปนี้ตีกันโรงเรียนไหน ปิดโรงเรียนนั้น ปิดแผนกนั้น ปิดคณะนั้น ฝ่ายไหนตีก่อนสั่งปิดก่อนชั่วคราวจนกว่าจะสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมเสนอให้ไปหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้พวกแกนนำพวกรุ่นพี่รุ่นน้องคืนสู่เหย้าเลิกตีกัน และให้อภัยกัน

อย่างไรก็ดี กรณีช่างกลที่ไล่ยิงกันจนเป็นข่าวใหญ่นั้น ตามข่าวระบุว่า หลังจากนพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เชิญนายปัญญา มินยง อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และนายสืบพงษ์ ม่วงชู รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เพื่อหาทางยุติปัญหาการทะเลาะวิวาทระหว่างนักศึกษา 2 สถาบันดังโดยให้ให้ทั้ง 2 สถาบันทำบันทึกเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาอีกครั้ง

ฝ่ายอุเทนถวาย รายงานว่า เป็นเพราะศิษย์เก่าที่เป็นรุ่นพี่เข้ามายุยงรุ่นน้องให้ก่อเหตุ ขณะที่สถาบันเทคโนโลยีปทุมวันมีมาตรการที่ชัดเจนว่า ห้ามรุ่นพี่เข้ามาในบริเวณสถาบันโดยเด็ดขาด ทั้งการรับนักศึกษาก็จะไม่รับนักเรียนที่จบจากโรงเรียนที่มีปัญหาทะเลาะวิวาทเน้นรับนักเรียนจากต่างจังหวัดมากขึ้นก็พบว่าได้ผล เพราะไม่ใช่นักศึกษาที่มาจากสถาบันที่เป็นคู่อริกัน จึงมอบนโยบายให้อุเทนถวายกำหนดมาตรการห้ามบุคคลภายนอกเข้าสถาบันอย่างเด็ดขาดเช่นกัน

เปลี่ยนผ่านมาถึงรัฐบาลประยุทธ์ 1 การแก้ปัญหางานด้านสังคม โดยเฉพาะปัญหาเด็กอาชีวะตีกัน ฆ่ากัน ดูจะเป็นความหวังของสังคมไทยไม่น้อย เพราะเชื่อว่าในยุค "บิ๊กตู่" ช่างกลนิยมรุนแรงคงจะหมดเวลากร่างกันสักที ซึ่งก็คงต้องดูกันต่อไปว่าจะจริงจัง และจริงใจแค่ไหน...

ข่าว ASTVผู้จัดการ Live



ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754




กำลังโหลดความคิดเห็น