บทเรียนที่สาวไทยไม่เคยจำ การใช้ "กลูต้าไธโอน" เสริมความขาวใส ทั้งกิน ทั้งฉีด โดยไม่เกรงกลัวผลร้ายต่อร่างกายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ล่าสุด มีการแชร์ภาพเลือดสีข้นขาวในหลอดไซริงค์ พร้อมบรรยายว่านี่คือเลือดของคนที่ฉีดกลูต้าฯ เป็นเวลานาน ส่งผลให้เลือดเปลี่ยนสีกลายเป็นสีขาว สร้างความตกอกตกใจ รวมถึงสงสัยว่า เหตุการณ์ฉีดกลูต้าฯ จนเลือดเปลี่ยนสีไปด้วยนั้น สามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่?
แชร์กระหึ่ม ฉีดเร่งขาวทำเลือดเปลี่ยนสี
สยดสยองไปตามๆ กัน หลังมีภาพแชร์ว่อนอินเทอร์เน็ต เลือดในหลอดไซริงค์ที่ผิดปกติเพราะมีลักษณะข้นขุ่นเป็นสีขาวเจือสีแดงจางๆ พร้อมบรรยายใต้ภาพว่า “สาระวันนี้ปกติเลือดคนเป็นสีแดง แต่กับคนไข้รายนี้ จากการซักประวัติ คนไข้ไปฉีดกลูต้าไธโอนมาหลายครั้งแล้ว จนอาการหนักมาโรงพยาบาล ขอให้ดูตัวอย่างสำหรับคนที่อยากขาว ก็ได้ขาวจริงนะ ขนาดเลือดยังขาวเลย”
แน่นอนว่า ใครหลายคนที่เคยเสริมความขาวด้วยการฉีดกลูต้าฯ วิตกไปตามๆ กันว่า ในร่างกายของตัวเองจะเกิดความผิดปกติเช่นนี้บ้างหรือเปล่า ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันมากมาย จนสะดุดลงตรงที่มีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นโต้แย้งว่า ที่เลือดเปลี่ยนเป็นสีขาวนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง ทีมงาน ASTV ผู้จัดการ Live จึงยกหูโทรศัพท์ต่อสายไปยัง นพ. จินดา โรจนเมธินทร์ รองผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อยืนยันว่า แท้จริงแล้วมันเป็นเช่นไร
“จากภาพที่ปรากฏบนอินเทอร์เน็ตที่เห็นว่าเป็นเลือดข้นๆ เนี่ย ความจริงมันเกิดขึ้นมาได้นะครับ แต่ว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกับการฉีดกลูต้าฯ ประเด็นคือเวลาเราฉีดกลูต้าฯ เนี่ย ผลของมันที่เราทราบคือจะทำให้เม็ดสีเมลานินสร้างน้อยลง ทำให้ผิวขาว แต่ทีนี้การฉีดเข้าไป เม็ดเลือดมันเป็นเม็ดเลือดแดงพวกเฮโมโกลบิน มันไม่มีเมลานิน เพราะฉะนั้นกลูต้าฯ จึงไม่สามารถทำให้เลือดเป็นสีขาวได้ เพราะในเลือดมันไม่มีเม็ดสีเมลานิน
ในภาพทางอินเทอร์เน็ตที่เราเห็นเลือดเป็นสีขาวเนี่ย สาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ก็คือเวลาเราเจาะเลือดคนไข้มา แล้วคนไข้นั้นมีปริมาณไขมันในเส้นเลือดสูง เช่นไตรกลีเซอไรด์ หรือคอเลสเตอรอลสูง พอทิ้งไว้มันจะตกตะกอนเป็นสีขาวหรือเหลืองได้ครับ หมอเชื่อว่าไม่ใช่เพราะกลูต้าฯ ทำให้เลือดเปลี่ยนเป็นสีขาวนะครับ แต่คนไข้อาจจะมีโรคประจำตัว หรือโรคบางอย่าง หรือมีไขมันสูง ทำให้เลือดตกตะกอนจนคิดกันไปว่าเลือดเปลี่ยนเป็นสีขาวครับ”
สรุปคือเรื่องโอละพ่อ ทำเอาใจหายใจคว่ำ จนสุดท้ายก็ปิดคดีลงด้วยเรื่องความเข้าใจผิด และทางเพื่อนเจ้าของภาพได้ออกมาชี้แจงในภายหลังว่า ผู้โพสต์ภาพเพียงแต่ต้องการสื่อว่าการได้รับสารแปลกปลอมเข้าร่างกายมากๆ อาจมีผลให้ร่างกายผิดปกติและได้รับอันตราย ส่วนสาเหตุการป่วยของคนไข้รายนี้ยังต้องรอคำวินิจฉัยจากแพทย์
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนสีเลือดของมนุษย์เป็นสีขาว อาจไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ถึงกระนั้น อันตรายของมันก็ยังมากล้นเหลือเกิน แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อค่านิยมคลั่งความขาวยังฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ดังเช่นที่ เฟิร์น-ปณิตา พริตตี้สาวอีกคนหนึ่งที่ยอมเสี่ยงฉีดผิวขาวเพื่อการประกอบอาชีพ โอดครวญว่า คนขาวมักได้เปรียบอยู่เสมอ แต่เธอก็ยืนยันว่าไม่สนับสนุนให้ใครฉีดกลูต้าฯ เพราะความเสี่ยงมีมาก หากไม่ศึกษาข้อมูลให้ดี
“จริงๆ ก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดำนะ แต่ว่าก็อยากจะขาวให้มากกว่านี้อีก เพราะเห็นว่า คนขาวมักจะได้เปรียบ ใครๆ ก็จะมองที่คนขาวๆ ก่อน อีกอย่าง บางงานที่เรารับ ต้องมีเจอแดด แล้วก็ทำให้เราคล้ำลง เราเลยต้องไปฉีด เพื่อที่จะได้ขาวๆ สวยๆ โดยส่วนตัวไม่กลัวนะ กับข่าวเรื่องกลูต้าฯ เพราะคิดว่าคนอื่นเขาก็ฉีดกันเยอะแยะ อีกอย่างเราศึกษามาดีแล้ว ทั้งจากอินเทอร์เน็ต หรือทั้งจากพี่หมอที่ฉีดให้ คือรู้จักกับพี่หมออยู่แล้ว เลยไว้ใจเขา แล้วสถานที่ที่เราไปฉีดกลูต้าฯ นั้น ก็คือโรงพยาบาล ถ้าเขาไม่มั่นใจในความปลอดภัยเขาคงไม่กล้ามาฉีดในนี้ ส่วนเรื่องที่มีข่าวว่าฉีดแล้วตาบอดก็มีพี่ที่รู้จักเป็นนะ แต่ว่าคือเขาฉีดติดต่อกันมานานหลายปี แต่เราก็ไม่ได้ถึงขั้นนั้นไง คงไม่น่าจะเป็นอะไร
ส่วนเพื่อนๆ คนอื่น เค้าจะไม่ค่อยกล้าฉีดกัน มักจะเลี่ยงไปกินมากกว่า เพราะยังรู้สึกว่าปลอดภัย แต่มันก็เห็นผลช้ามากๆ แล้วยังต้องกินวิตามินซีนู่นนี่นั่น เยอะ วุ่นวายไปหมด เราก็เลยเลือกฉีด จบเป็นครั้งๆ ไป มันสะดวกสำหรับเรา หลายคนก็เตือนนะว่ามันอันตราย แต่เรามองว่า เราฉีดในสถานพยาบาล เรามีคุณหมอที่ไว้ใจได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นก็คิดว่าพอจะแก้ไขกันได้ เพราะเครื่องไม้เครื่องมือมันครบ แต่คนที่ไปฉีดกันเองอันนี้สิน่ากลัว ซึ่งเราไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ๆ มันเสี่ยงเกินไป สุดท้ายถึงจุดๆ หนึ่งเราก็คงจะหยุดฉีดไปเอง
สำหรับสาวๆ ที่อยากไปฉีดเพิ่มความขาว เฟิร์นไม่สนับสนุนให้ฉีดเลยค่ะ คือคุณต้องถามตัวเองก่อนว่า พร้อมจะยอมรับความเสี่ยงได้มั้ย กลัวตายมั้ย ถ้ากลัวก็เลิกคิดจะฉีดได้เลย อย่าเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยง แต่ถ้าตั้งใจมุ่งมั่นแล้วก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี และไปฉีดกับสถานพยาบาลเท่านั้น ขอเน้นเลยค่ะ อย่าไปเสี่ยงกับพวกหมอนัดเราหรือเปล่า แล้วที่ฉีดใช่กลูต้าฯ จริงมั้ย บางทีเป็นหมอปลอมก็เคยมีข่าวมาแล้ว”
เช่นเดียวกับ นพ. จินดา ก็ฝากข้อคิดเอาไว้เตือนใจสาวๆ ว่า หากฉีดกลูต้าฯ เป็นจำนวนมากในเวลานาน จะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับจอประสาทตาซึ่งอาจทำลายการมองเห็นได้
“ไม่แนะนำให้ฉีดเลยครับ ฉีดไปก็ได้ผลแค่ชั่วคราว มันต้องฉีดต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าฉีดต่อเนื่องในระยะยาว มันจะเกิดปัญหาอะไรต่อร่างกายเราหรือไม่ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือมันจะทำให้เม็ดสีเมลานินทั่วร่างกายเราลดลง โดยสิ่งที่น่าห่วงที่สุดไม่ได้เกิดขึ้นที่ผิวหนัง แต่คือจอประสาทตา จอประสาทตามันจะมีสีดำเพื่อรับแสง พอเราไปฉีดกลูต้าฯ เราก็ไม่รู้ว่ามันจะทำให้เมลานินตรงจอประสาทตาลดลงมั้ย ถ้าเมลานินตรงจอประสาทตาลดลงมันอาจจะทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นเช่น เห็นไม่ชัด ตามัว เพราะฉะนั้น จึงแนะนำว่า อย่าไปฉีดเลยครับ”
ภัยร้ายแฝง “กลูต้าไธโอน”
บางคนอาจจะยังไม่เชื่อว่า แค่การฉีดกลูต้าฯ จะส่งผลอันตรายต่อร่างกายขนาดนั้นเลยหรือ ซึ่งในทางการแพทย์มีการออกโรงเตือนอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะความอยากสวยมันบังตาเสียมิด กลัวสวยแต่ไม่กลัวตาย อย่างที่ข้อมูลจากภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การฉีดในความเข้มข้นสูง อาจทำให้ช็อกเป็นอันตรายชีวิตได้
“เนื่องจากตัวยากลูต้าฯ มีความไม่คงตัวในกระแสเลือด สลายตัวได้ง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นผู้ที่หวังผลในการรักษา จะต้องให้แพทย์ฉีดบ่อยๆ หรือถี่ๆ เช่น ในกรณีของการฉีดเข้าเส้นเลือดดำเพื่อหวังผลให้ผิวขาว โดยมากแพทย์มักจะฉีดร่วมกับวิตามินซี หากฉีดในความเข้มข้นสูง และฉีดอาทิตย์ละ 2 ครั้ง นอกจากจะเสียเงินมากแล้ว ที่สำคัญ การฉีดในความเข้มข้นสูง อาจทำให้ช็อก ความดันต่ำ เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง กล้ามเนื้อสั่น ประสาทหลอน หายใจติดขัด หลอดลมตีบ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และผู้ที่ได้รับยาฉีดนี้นานๆ เป็นประจำ อาจทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง ทำให้รับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต ทางวารสารการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา จึงจัดสารกลูต้าไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางสายตา”
กลูต้าไธโอนก็เหมือนดาบสองคม ใช้ให้ถูกก็มีประโยชน์ ใช้ผิดก็เป็นโทษ ซึ่งๆ จริงแล้ว นพ. จินดา อธิบายว่า กลูต้าฯ ช่วยให้ตับทำงานน้อยลง แต่เนื่องจากผลการศึกษายังมีน้อยจึงถูกนำมาใช้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น จนกระทั่งมีการค้นพบว่ามันช่วยหยุดการสร้างเม็ดสีผิว คนหัวใสเลยนำมาใช้เป็นสารเร่งความขาวให้ผิวเสียอย่างนั้น
“จริงๆ แล้วผมมองว่า การฉีดกลูต้าฯ เพื่อวัตถุประสงค์ให้ผิวขาวขึ้นเนี่ย มันเป็นการผิดข้อบ่งชี้ครับ กลูต้าฯ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาหารเสริม เพราะจริงๆ มันเป็นโปรตีนที่ร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ได้ พอสังเคราะห์เสร็จมันก็จะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ตับทำงานน้อยลง เพราะตับมีหน้าที่กำจัดสารพิษ กลูต้าฯ มันก็จะช่วยในการจับสารพิษ ตับก็จะทำงานน้อยลง แต่ด้วยความที่ยังไม่มีการศึกษาชัดเจนเลยยังไม่มีการกำหนดให้นำมาใช้กับผู้ป่วยโรคตับ
ทีนี้ บังเอิญมีคนมาพบว่ามันทำให้ลดการทำงานของเม็ดสีอีกด้วย ก็เลยมีคนพยายามเอามาใช้ทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งบางคนอาจจะได้ผล บางคนก็อาจไม่ได้ผล แล้วการจะฉีดให้ขาวมันต้องฉีดอย่างต่อเนื่อง ฉีดในปริมาณที่สูงพอสมควร ทีนี้ประเด็นปัญหาคือมันยังไม่มีการศึกษาอย่างชัดเจนว่า การฉีดกลูต้าฯ โดสสูงๆ ฉีดเป็นเวลานานๆ ต่อเนื่อง มันจะเกิดผลเสียระยะยาวอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรนำเอามาใช้นะครับ”
หลากผลิตภัณฑ์ อวยผิวขาว
นอกจาก กลูต้าไธโอน สารเร่งความขาวที่แพทย์หลายคนเป็นห่วงแล้ว ในช่วงก่อนยังได้มีการนำ “ยาทรานซามิน” ซึ่งเป็นยาช่วยหยุดเลือด และมีคุณสมบัติหนึ่งคือทำให้เม็ดสีลดความเข้มลง จึงทำให้มีการนำออกมาจำหน่ายในฐานะยาเร่งความขาวอีกด้วย
“ยาทรานซามินหรือยาทรานซามิค แอซิด (Tranexamic acid) ยาตัวนี้มีฤทธิ์ทำให้เลือดเเข็งตัว เช่น เวลาผู้หญิงมีประจำเดือนเยอะๆ หรือเวลาผ่าตัด และเลือดออกเยอะ โดยมากใช้ร่วมกับการผ่าตัดทางเดินปัสสาวะ จะใช้เป็นยาฉีดเข้าไปให้เลือดแข็งตัว ไม่ให้เสียเลือดมาก โดยมีผลข้างเคียงที่ทำให้ขาวคือ ทำให้เม็ดสีลดความเข้มลงได้บ้าง แต่หากรับประทานต่อเนื่องจะมีอาการข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียได้ ที่สำคัญคือ อาจทำให้เกิดลิ่มเลือด เพราะเป็นยาห้ามเลือดเพื่อให้เลือดแข็งตัว อาจส่งผลให้เส้นเลือดอุดตัน ยาไปสะสมในตับและไต
ความที่เป็นยา ฉะนั้น จึงทำให้มีผลข้างเคียงได้ ดังนั้นคนที่มีโรคเลือดห้ามอยู่แล้ว คนเป็นโรคตับ โรคไต ห้าม คนที่มีแนวโน้มว่าจะมีเลือดแข็งตัวได้ง่าย ห้าม แล้วมันก็ไม่ได้ปลอดภัย สำหรับคนทั่วไปที่จะเอาไปใช้กินเพื่อทำให้ผิวขาวเป็นปกติประจำวัน กินต่อเนื่องกันเป็นปี เพื่อให้ขาว อันนี้ไม่ปลอดภัย เพราะทรานซามินเป็นยาไม่ใช่อาหารเสริม ไม่ควรซื้อทานเอง มีผลต่อการเเข็งตัวของเลือด ดังนั้น ไม่ใช่วิตามินทานเพื่อให้ผิวขาว มีอันตรายและโทษมากมาย” ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าว
อีกส่วนหนึ่ง ณ ขณะนี้ มีจำหน่ายเกลื่อนอินเทอร์เน็ตก็คือ สบู่, โลชั่น โดยนำสารกลูต้าไธโอน มาผสมในผลิตภัณฑ์ประเภทครีม หรือเจล สำหรับทาผิวหนัง ซึ่งนายแพทย์คนเดิมให้คำตอบว่า นี่คือหนึ่งในความพยายามที่จะสร้างกระแสให้คนเห็นว่ามันมีผลิตภัณฑ์เพิ่มความขาวให้ใช้ได้ง่าย แต่แท้จริงแล้ว แทบจะไม่ได้ระคายผิวเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะโมเลกุลสารนี้ค่อนข้างใหญ่ ไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ ซึ่งขนาดยาเม็ดเองยังไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แล้วนับประสาอะไรที่กลูต้าฯ ในรูปแบบทาจะเห็นผลได้ทันที
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754