กลายเป็นกระแสขึ้นมาเมื่อเพจเซเล็บแมวอย่าง “ทูนหัวของบ่าว” ถูกตั้งกระทู้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการเลี้ยงดูแมวอย่างรุนแรง จนเจ้าของเพจต้องปิดเพจตัวเอง ก่อนจะกลับมาเปิดเพจอีกครั้งหลังปิดไปได้แค่ 1 วัน ล่าสุดกลายเป็นเรื่องดราม่าอีกรอบ เพราะถูกแฉว่าเคยหากินกับแมวมาก่อนด้วยการเพาะแมวขาย จนเจ้าของเพจต้องออกมาชี้แจงข้อครหา ด้านนักสังเกตโลกโซเชียลมีเดียชื่อดังชี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปรากฎการณ์คลั่งแมว หากไม่รู้จักใช้โซเซียลเน็ตเวิร์กก็อาจจะถูกชักจูงได้ง่ายๆ!
เพจแมวชื่อดังกลับมาอีกครั้ง
“นัชญ์ ประสพสิน” เจ้าของเพจ “ทูนหัวของบ่าว” ได้กลับมาเปิดเพจตัวเองอีกรอบหลังจากปิดเพจไปแล้ว 1 วัน โดยนัชญ์ได้โพสต์ชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ได้รับ รวมถึงชี้แจงเหตุผลที่กลับมาเปิดเพจอีกรอบว่า
“การกลับมาเปิดเพจครั้งนี้อีกครั้ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีระยะเวลายาวนานแค่ไหน ส่วนหนึ่งมาจากกำลังใจของแฟนเพจทุกท่านที่บอกว่า นี่คือความสุขของเขา เพื่อนเราสูญเสียครอบครัว ภรรยาที่สูญเสียสามี พี่สาวที่สูญเสียน้องชาย ที่เคยมาพบแมวเราบอกว่านี่คือกำลังใจของเขาในทุกวัน เราอยากบอกว่าคุณคือกำลังใจของการกลับมาในครั้งนี้ “
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า “หากินกับแมว” นั้น นัชญ์ชี้แจงในเพจตัวเองว่า
“ ก่อนงาน Pet Expo เรากล้าพูดเลยว่าอาหารแมวแทบทุกยี่ห้อติดต่อเข้ามายื่นข้อเสนอในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ ตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้าน จนหลายล้าน เรากล้าพูดว่าเราปฏิเสธไปทุกเจ้า เราสละเงินที่มากมายมหาศาล เราเป็นคนหากินกับแมวประเภทไหนคะ ยังจะขอย้ำอีกทีว่าการเอาแมวไปในทุกรายการหรือ event ที่จัด เราไม่เคยได้รับเงิน (ขีดเส้นใต้ Highlight สีแดง Bold 72) นอกจากค่าน้ำมันในบางครั้ง
“การขายสินค้า ทุกอย่างมีต้นทุนในการผลิต สินค้าทุกชิ้นมีค่าสมองในการออกแบบของดีไซเนอร์ หรือคุณค่าในตัวมันเอง ถ้าคุณเจ้าของกระทู้บอกว่าขายสินค้าแพง มันเป็นเรื่องของความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ชาย เป็นเรื่องของรสนิยมคนซื้อที่เข้าใจในสินค้า และ พึงพอใจที่จะจ่าย เราไม่เคยบังคับคุณเลยว่า ซื้อ-เดี๋ยว-นี้ คุณอาจไม่ชอบในการออกแบบ หรือ ไม่ชอบใจในราคา นั่น! เป็นเรื่อง รส-นิ-ยม-ส่วน-ตัว-ของ-คุณ”
ส่วนข้อกล่าวหาที่หลายคนมองว่าเจ้าของเพจอยากหากินกับแมว เพื่อเอาเงินไปเปิดรีสอร์ตหรือทำคาเฟ่แมวนั้น เจ้าตัวระบุว่าเป็นแค่ความฝันที่ตั้งใจอยากลงทุนเปิดคาเฟ่แมวกับเพื่อน แต่เลิกล้มโปรเจกต์นี้ไปนานแล้ว บอกครอบครัวฐานะดีพอที่จะลงทุนเปิดรีสอร์ตเอง ไม่จำเป็นต้องหากินกับแมว ระบุเจ้าของเพจฝ่ายตรงข้ามที่พยายามโจมตีตนทำเพราะแค้นที่ถูกหักอก ถึงขั้นตนเองเคยไปลงบันทึกประจำวันกับตำรวจเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกล่าวโจมตีในโซเซียลเน็ตเวิร์กอีก
ถูกแฉเคยหากินกับแมว?
ล่าสุดกลายเป็นเรื่องดราม่าอีกรอบ เมื่อเพจ “Drama-addict” ได้โพสต์ข้อความในวันที่ 11 มิ.ย.ว่า
“มีคนส่งเบาะแสน่าสนใจมาให้ดูครับ เป็นเรื่องของแม่ค้าขายแมวคนนึงชื่อ madcat ในเว็บ catandkittenstory
แม่ค้าคนนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เธอก็เพาะพันธ์ุแมวขายไปตามเรื่องตามราว แล้วขายลูกแมวตัวละประมาณสี่ห้าพันบาท ในช่วงเวลาหนึ่งปีตั้งแต่ 2552 - 2553 เธอเพาะพันธ์ลูกแมวขายดังต่อไปนี้
ต.ค. 52 เพาะแมวเปอร์เซีย คอกแรก 6 ตัว
พ.ย. 52 ขายลูกแมวเปอร์เซีย ทั้ง 6 ตัว ตัวละ 4,000 บาท
มิ.ย. 53 ประกาศขายลูกเปอร์เซียทั้ง 5 ตัว ตัวละ 4,000-5,000 บาท
ก.ค. 53 ประกาศขายลูกครึ่งเปอร์เซีย ทั้ง 4 ตัว ตัวละ 500 บาท
ก.ย.53 เพาะลูกเปอร์เซีย คอกที่ 3 คลอดออกมา 6 ตัว เลยลง ประกาศขาย แลกกับ อาหารแมว 1-2 กิโล โดยอ้างว่าต้องการลดประชากรแมวในบ้าน
ต.ค. 53 ประกาศขาย ลูกเปอร์เซียคอกที่ 3 ทั้ง 6 ตัว ตัวละ 4,500 บาท
พ.ย. 53 ประกาศขาย ลูกครึ่งเปอร์เซีย คอกที่ 3 จำนวน 5 ตัว ตัวละ 1,000 บาท
หนึ่งในแม่พันธ์ของลูกแมวเหล่านี้ชื่อ "แม่มะลิ" ครับ”
จากข้อความนี้เอง จึงกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าแม่ค้าคนที่ว่านี้หมายถึง “นัชญ์ ประสพสิน” เจ้าของเพจ “ทูนหัวของบ่าว” นี่เอง ทำให้ยิ่งตอกย้ำภาพ “หากินกับแมว” ของเพจนี้มากขึ้น
ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์ “นัชญ์ ประสพสิน” เจ้าของเพจแมวชื่อดัง ซึ่งนัชญ์ยอมรับว่าเคยขายแมวมาก่อนจริง เพราะแมวเปอร์เซียที่เลี้ยงไว้คลอดลูกออกมาหลายตัว ตนเองเลี้ยงแมวหลายตัวในคอนโดฯไม่ไหว จึงได้ตัดสินใจขายลูกแมวไป แต่ก็เป็นการขายให้กับคนรู้จักหรือเพื่อนฝูงเท่านั้นเอง
ส่วนประเด็นที่ทำให้คนมองว่าหากินกับแมวมาก่อนนั้น เจ้าตัวบอกเลี้ยงแมวเพราะรักจริงๆ ระบุไม่อยากแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้มาก เพราะอยากให้เรื่องทุกอย่างจบและไม่อยากให้คนนำไปโจมตีเป็นประเด็นใหม่
“ คือเรื่องไหนจริง นัชญ์ก็บอกว่าจริง ยอมรับว่าเคยขายแมวจริง แต่ แต่มันก็ไม่ได้ผิดอะไรร้ายแรง เราไม่ได้ผิดขนาดนั้น เป็นเรื่องเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว นัชญ์แค่ขายแมวเพราะเลี้ยงไม่ไหว ประกาศขายในอินเทอร์เน็ต แต่ส่วนใหญ่คนเอาไปก็เป็นพี่น้องเพื่อนหรือคนรู้จัก ดังนั้น ไม่อยากพูดอะไรมากล่ะ อยากให้เรื่องมันจบๆลงไป เพราะการไปเติมเชื้อฟืนหรือเติมเชื้อใหม่ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร และเรื่องก็จะไม่จบสักที” นัชญ์กล่าว
จวก “วิวาทะเพจแมว” สะท้อนความว่างเปล่าของมนุษย์?
ด้าน “วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ” บรรณาธิการนิตยสาร GM และนักเขียน ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ใช้และนักสังเกตโซเชียลมีเดียมานานว่า “วิวาทะเรื่องเพจแมว” เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยกำลัง ”คลั่งแมว” ในขณะเดียวกันก็เป็นการสะท้อนให้เห็นความว่างเปล่าของมนุษย์ที่ต้องการถูก “กระตุ้นความรู้สึก”ตลอดเวลา
“ผมมองว่าตอนนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เราทุกคนกำลังคลั่งแมวมากกว่า เพราะทุกวันนี้จิตใจคนเราต้องรับการกระตุ้นตลอดเวลา เราไม่สามารถจะหยุดคิดหรือหยุดเปิดรับอะไรได้เลย เนื่องจากเรามีเครื่องมือสื่อสารอยู่บนฝ่ามือ และเราปรารถนาจะถูกกระตุ้นตลอดเวลา เราเลยเปิดเฟซบุ๊ซ เปิดอินสตาแกรม เพื่อจะรับทุกสิ่งทุกอย่างแบบเรียลไทม์ ตอนนี้เราเลยเสพรูปแมวเหมือนเสพรูปโป๊เมื่อ 20 ปีก่อน เพราะแมวตัวเล็กๆ ขนปุยๆ ดูไร้เดียวสา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราดูแล้วกระตุ้นอะไรบางอย่างในใจเรา สิ่งเหล่านี้เลยเป็นคอนเทนต์ที่น่าปรารถนาของคนในโลกโซเซียลเน็ตเวิร์ก และความจริงมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องแมว แต่ยังรวมถึงทุกอย่าง เช่น อาหาร จักรยาน หรือการเมือง คืออะไรก็ตามที่กระตุ้นความรู้สึกโกรธ เกลียด อยาก คลั่งไคล้ หรือความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เราต้องการ มันคือเหตุผลว่าเพจแมว เพจอาหาร หรือเพจการเมืองถึงได้เยอะ และเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องแชร์ภาพแมว ดูรูปแมวตลอดเวลา”
“ผมไม่คิดว่าเพจแมวชั่วร้าย แต่ผมอยากจะด่าความเป็นมนุษย์ของเราว่าที่ดำรงอยู่ได้ เพราะเรามักจะไปกดสิ่งอื่นที่อยู่รอบตัวให้ต่ำลงไปด้วยการดูภาพผู้หญิงโป๊ ดูภาพแมว สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่สะท้อนความว่างเปล่าของมนุษย และมนุษย์ทำเพื่อกระตุ้นความรู้สึกของตัวเองทั้งนั้น “
วุฒิชัยยังระบุว่าจากกรณีวิวาทะของเพจแมว สะท้อนให้เห็นว่ากระแสโซเชียลมีเดียมีความสำคัญกับมนุษย์มาก หากไม่รู้จักวางตัวให้ถูกต้อง ก็อาจจะง่ายต่อการถูกชักจูงให้รัก- ให้เกลียดอะไรได้ง่ายๆ
“ผมมองว่าทุกอย่างมันเป็นประแสหมดเลย มาและก็ไปแป๊บๆ มันเหมือนทุกคนพร้อมใจที่จะเปลี่ยนอะไรพร้อมกัน รักอะไรพร้อมกัน คือ พอเทคโนโลยีสื่อสารมันเปิดกว้างมาก เราก็มักจะทำตามกระแส เหมือนกับคลิปนักร้องใบเตย เราก็เลียนแบบท่าเต้นใบเตย คลั่งไคล้ใบเตย แต่ทุกวันนี้เราพร้อมใจกันเกลียดใบเตย มีเปิดเพจแอนตี้ใบเตย มันเป็นปรากฏการณ์ที่เราทุกคนรู้สึกว่าเราต้องพร้อมใจกันรัก หรือพร้อมใจกันเกลียดมากกว่า” วุฒิชัยกล่าว
ส่วนวิธีที่จะใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้ถูกเทคโนโลยีครอบงำนั้น วุฒิชัยแนะนำว่า
“วิธีที่ผมทำได้ผลดีคือ ผมหยุดแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นรายวัน เพราะการแสดงความคิดเห็นก็เหมือนเราเอาตัวเองไปผูกกับความคิดเห็นนั้น เหมือนเอาตัวเองไปยืนบนหลังเสือ ทำให้เราถอนตัวออกมายากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ถ้าเราสนับสนุนการเมืองฝั่งนี้ไปสักพัก ก็เหมือนเราขึ้นหลังเสือไปกับคณะนี้ไปแล้ว แล้วพอวันหนึ่งคณะนี้ทำอะไรไม่ดี เราจะรู้สึกเงิบ เพราะเราเอาตัวเองไปผูกกับมันไปแล้ว เราเลยเสียหายไปกับมันด้วย มันเป็นเหมือนเราตกอยู่ในกับดักความคิด ดังนั้นถ้าไม่แสดงความคิดเห็น เราก็ไม่ต้องไปเหนื่อยกับเรื่องราวแบบนี้ครับ”
เรื่องโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754