กรุงเทพฯ ครองแชมป์คดีข่มขืนมากสุด มีผู้หญิง และเด็กถูกกระทำกว่าจำนวน 31,866 ราย เฉลี่ยวันละ 87 ราย หรือเฉลี่ยทุก ๆ 15 นาที จะมีเด็กและผู้หญิงถูกทำร้าย 1 คน
ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ เหยื่อเด็กหญิงถูกข่มขืนอายุน้อยที่สุดอายุเพียง 1 ขวบ 9 เดือน ส่วนอายุผู้ถูกกระทำที่มากที่สุด อายุ 85 ปี
เป็นสถิติตัวเลขจากการให้บริการของศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุขในปี 2556 ตอกย้ำให้เห็นว่า กรุงเทพฯ ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ยังไม่รวมเหยื่อที่ถูกฆ่าข่มขืนอย่างทารุณกรรมอีกเป็นจำนวนมาก มิหนำซ้ำยังเกิดขึ้นบ่อย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดนมนุษย์พวกนี้ได้
หรือทางเดียวที่หยุดพวกมันได้ แม้จะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เชื่อมั่นว่าคนไทยหลายคนอยากให้เกิดก็คือ การแก้โทษคดีข่มขืน (ทุกกรณี) ให้ประหารชีวิตสถานเดียว ไม่มีการลดโทษใดๆ ทั้งสิ้น แต่ท่ามกลางเสียงสนับสนุนก็ยังมีเสียงคัดค้านที่แย้งว่า การเพิ่มโทษประหาร อาจเป็นดาบสองคมที่ในบางกรณีฝ่ายหญิงใส่ความว่าตัวเองถูกข่มขืน หรือแท้ที่จริงเป็นการสมยอม กลายเป็นการจับแพะเกิดขึ้นได้
คำถามก็คือ โทษประหาร เหมาะสมหรือไม่กับคนร้ายคดี "ฆ่าข่มขืน" ในสังคมไทย
คนไทยอยากให้คดีข่มขืน = ประหารชีวิต
เป็นประเด็นเก่าที่ยังคงมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด สำหรับการแก้โทษคดีข่มขืน บางช่วงกระแสอาจเบาหน่อย บางช่วงกระแสหนักหน่อย แต่ช่วงไหนมีข่าวสะเทือนใจว่าด้วยคดีข่มขืนเด็ก ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่ผู้สูงวัย ก็จะยิ่งกลายเป็นกระแสพูดถึงในวงกว้าง แต่พอมีกระแสข่าวเรื่องอื่นเข้ามาแทน กระแสเหล่านั้นก็จะค่อยๆ เงียบหายไป หรือจะจริงตามคำกล่าวที่ว่า คนไทยลืมง่าย หรือแค่เริ่มชาชินกับคดีฆ่าข่มขืนไปแล้ว
แต่ไม่ใช่กับทุกคน เพราะยังมีบางกลุ่มที่ลุกขึ้นส่งเสียงอยู่เป็นระยะๆ หากใครยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ เคยมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ JaMiizz Punsawat เขียน และแชร์ภาพผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นภาพผู้ชายที่ออกมายืนถือป้าย "อยากให้คดีข่มขืน ถูกประหาร" อยู่บริเวณหน้าสยาม เธอเข้าไปพูดคุย และได้ข้อมูลว่า การออกมาครั้งนี้ของเขา เพื่อแสดงจุดยืน และบอกสังคมให้รู้ว่า
"แม้คดีข่มขืนจะมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่เอาเข้าจริงๆ ก็อาจเหลือแค่จำคุก อยู่ไปเรื่อยๆ ก็มีลดหย่อนโทษ สุดท้ายคนทำผิดก็ติดคุกอยู่ไม่กี่ปี พอพ้นโทษออกมาก็ก่อเหตุแบบเดิมซ้ำๆ อีก (อย่างเช่นคดีน้องการ์ตูน) แบบนี้มันไม่ถูกต้อง"
อย่างไรก็ตาม ผู้ชายที่บอกว่าตัวเองเป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดาๆ ได้บอกต่อไปว่า ไม่ใช่ทุกคดีที่มีการข่มขื่นต้องโทษประหารชีวิตสถานเดียว แต่ก่อนจะปล่อยคนผิดออกมา ควรมีกระบวนการตรวจสอบทางด้านจิตวิทยาให้แน่ใจก่อนว่า เขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ และจะไม่กลับไปทำผิดซ้ำอีก เพื่อจะได้ไม่ออกมาก่อปัญหาสังคม ไม่ทำให้คนบริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่ออีก
ทันทีที่ข้อความและภาพถูกแพร่ออกไปสู่โลกออนไลน์ ได้มีการส่งต่อ พร้อมยกย่องชื่นชมอย่างแพร่หลาย โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการออกมาส่งเสียงผ่านป้ายของผู้ชายท่านนี้ และสนับสนุนให้คดีข่มขืน ต้องได้รับโทษประหารสถานเดียว
ไม่เพียงแต่ผู้กล้าที่ออกมาแสดงจุดยืนตัวคนเดียวกลางย่านเมืองหลวงเท่านั้น ยังมีการตั้งเพจบนสังคมโซเชียลฯ อย่างเฟซบุ๊ก ให้แก้โทษคดีข่มขืนอีกหลายเพจด้วยกัน โดยเพจหลักๆ ที่มีคนติดตามจำนวนมาก ได้แก่ ร่วมลงชื่อเอาผิดกับคดีข่มขืนกระทำชำเรา-และคุกคามทางเพศกันเถอะ ซึ่งมียอดกดไลค์มากกว่า 9,000 หรือเพจ พวกเราต้องการเปลี่ยนกฎหมายคดีข่มขืนให้ลงโทษประหารชีวิตเท่านั้น ซึ่งมียอดกดไลค์มากกว่า 5,000 ในขณะที่เพจ เพิ่มโทษคดีข่มขืนให้ประหารชีวิต มียอดกดไลค์มากกว่า 1,000 ไลค์แล้ว
นอกจากนั้นยังมีการตั้งกระทู้ตามบอร์ดชื่อดังต่างๆ อีกจำนวนมาก แม้จะเป็นการแก้ไขปลายเหตุ แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขามองว่า น่าจะปราบปราม เอาผิดคนร้าย ไม่ให้เกิดคดีสะเทือนขวัญเกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วิพากษ์คดีข่มขืน ปล่อยติดคุกหรือสมควรฆ่า
มาดูปฏิกิริยาจากคนในโลกออนไลน์กันบ้าง เท่าที่มีการตั้งกระทู้ และติดตามอ่านจากบอร์ดชื่อดังต่างๆ โดยเฉพาะพันทิป ส่วนใหญ่โกรธแค้นแทนเหยื่อ หรือญาติของเหยื่อในคดีข่มขืน หรือถูกฆ่าข่มขืน พร้อมแสดงความเห็นว่า ผู้กระทำสมควรถูกประหารชีวิต ไม่ควรมีการลดโทษให้แต่อย่างใด แต่กระบวนการยุติธรรมก็ต้องเป็นหลักประกันของความยุติธรรมด้วย ไม่เช่นนั้นผู้บริสุทธิ์จะต้องกลายมาเป็นเหยื่อของกระบวนการยุติธรรมที่ผิดพลาด
เช่นเดียวกับการเปิดพื้นที่ในแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Live ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1 แสนคน โดยให้เข้ามาแสดงความเห็นในประเด็น "โทษคดีข่มขืน เห็นด้วยหรือไม่กับการประหารชีวิต" ปรากฎว่า ชาวเน็ตส่วนใหญ่เห็นด้วย และอยากให้มีการแก้โทษคดีข่มขืนให้หนักขึ้น
"เห็นด้วยค่ะโดยเฉพาะกับเด็กบริสุทธิ์ ส่วนผู้หญิงที่อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ถ้าพิสูจน์ออกมาแน่ชัดด้วยหลักฐานและสถานการณ์ว่ามีความเป็นไปได้และกรณีคนในครอบครัวเช่นพ่อข่มขืนลูกตัวเองหรือลูกเลี้ยง เป็นต้น และควรกำจัดสื่อลามกทั้งหลายที่มอมเมาเด็กและเยาวชนด้วย เพราะมีส่วนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้" Moo Moo
"เห็นด้วยมาก ช่วยเสนอท่านผบ.ทบ.ด้วย" Real Pop
"ทุกคนเกิดมาย่อมตาย ดับสูญไป จะเร็วช้าก็ต้องตาย การให้คนชั่วตายเร็วขึ้นย่อมเป็นผลดีต่อมวลมนุษย์โลก" 1111
ในขณะที่บางส่วนมองว่า ไม่ใช่ทุกคดีข่มขืนต้องถูกประหารชีวิต แต่ควรลดหลั่นโทษให้เหมาะสม
"ต้องพิสูจน์หลักฐานให้แน่ชัด ถ้าเป็นผู้กระทำผิดข่มขืนแล้วฆ่า ต้องประหารเท่านั้นโดยเฉพาะเหยื่อที่เป็นเด็ก สุภาพสตรีก็ควรจะแต่งกายให้มิดชิดไม่ใช่ล่อตะเข้" Jae Somjai
"แรงไปครับ ถ้าเขาไม่ฆ่าก็ไม่ควรถึงประหารชีวิต เขาเรียกว่ากฎหมายเกินกว่าเหตุ (ถ้าจับแพะมามันก็จะไม่ไปตายแทนกันพอดีหรอ กฏหมายนี้ช่องโหว่ใหญ่ไป) เปลี่ยนเป็นฆ่า + ข่มขืน = ประหารชีวิต ข่มขืน = จำคุกตลอดชีวิต" Wish Chaowish
"ผมขอเสนอ 2 ระดับระดับที่ 1. ข่มขืนแต่เหยื่อไม่ตาย โทษตัดอวัยวะเพศของโจรแล้วโยนให้ปลากิน ระดับที่ 2.ข่มขืนแล้วฆ่า โทษประหารสถานเดียว" Pakorn Raviyavong
"เอาประเภท ข่มขืนฆ่า ให้ประหารชีวิต แม้สารภาพ ดีกว่าข่มขืนทารุณ ให้ตัดอวัยวะเพศออก จึงจะสมควร ไม่ให้ตายทีเดียว แต่ให้ตายทั้งเป็นเหมือนที่มันทำกับเหยื่อ เห็นด้วยไหม?" Promjai Puntana
ประหารโหดไป ทำให้ตายทั้งเป็นดีกว่า
แม้บางคนจะไม่เห็นด้วยกับโทษประหาร เพราะมองว่า แรงไป ทั้งยังเป็นดาบสองคม แต่ก็นำเสนอวิธีทำให้ตายทั้งเป็นด้วยการฉีดยาทำลายเจ้าโลกให้เดี้ยงไปเลย น่าจะเป็นวิธีที่ดี แถมป้องกันไม่ให้อาชญากรก่อเหตุข่มขืนเด็กและสตรีซ้ำได้อีก
"ใช้ยาฉีดทำให้ลูกอัณฑะฝ่อครับ หรือไม่ก็จับตอนเลยจะได้ไม่ไปก่อกรรมกับใครอีก" ธนศักดิ์ ดนุชนินทร์
"ถ้าไม่ประหารก็ฉีดให้อัณฑะฝ่อหรือตัดอวัยวะเพศไปเลยค่ะ" Sirijit Sc
สำหรับวิธีในข้างต้น เป็นวิธีเดียวกับประเทศเกาหลีใต้ที่เริ่มใช้วิธีฉีดยาที่มีฤทธิ์ทำให้อัณฑะของนักโทษคดีข่มขืนใช้การไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้อาชญากรก่อเหตุข่มขืนเด็กและสตรีซ้ำอีก โดยวิธีการฉีดยาที่มีฤทธิ์ทำให้อัณฑะฝ่อนั้น เป็นวิธีการที่ผ่านร่างกฏหมายเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2010 แล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการกับอาชญากรคนใดเลย จนกระทั่งได้ดำเนินการฉีดยาดังกล่าวกับนายปาร์ค นักโทษข่มขืนต่อเนื่อง วัย 45 ปี เป็นรายแรก หลังจากที่เขาถูกตัดสินว่าข่มขืนเหยื่อ 4 ราย และพยายามข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 13 ในช่วงปี ค.ศ.1984-2002
โดยยาที่ใช้ในการฉีดให้กับนักโทษนี้ จะมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสมองในการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจากลูกอัณฑะซึ่งจะช่วยลดความต้องการทางเพศของนักโทษ และยังทำให้อัณฑะฝ่อ สร้างอสุจิได้น้อย หรือไม่สามารถผลิตอสุจิได้เลย นอกจากนี้ ยังส่งผลให้องคชาติเกิดการแข็งตัวได้ยากมากด้วย หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั่นเอง
อย่างไรก็ดี การใช้วิธีฉีดยาทำให้อัณฑะฝ่อแก่นักโทษนี้ จะมุ่งเป้าไปที่นักโทษที่ก่อเหตุข่มขืนเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะ ซึ่งมันจะช่วยลดการก่อคดีข่มขืนเด็กและเยาวชนซ้ำสองได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว หลังจากที่ดำเนินการฉีดยาให้อัณฑะฝ่อกับนายปาร์คแล้ว ทางคณะกรรมการกระทรวงยุติธรรม ก็จะพิจารณาฉีดยาดังกล่าวให้กับอาชญากรอายุต่ำกว่า 19 ปีทุกราย ที่ก่อเหตุข่มขืนเหยื่ออายุต่ำกว่า 16 ปีด้วย
ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า เกาหลีใต้ ไม่ใช่ชาติแรกที่ใช้วิธีการลงโทษด้วยการฉีดยานักโทษให้อัณฑะฝ่อ แต่บางประเทศในยุโรปก็ใช้มาตรการเดียวกันนี้จัดการกับนักโทษคดีข่มขืนมาหลายรายแล้ว
พักความแค้น แล้วลองอ่านทางนี้
แม้ว่าโทษประหารจะเป็นโทษที่ทารุณ โหดร้ายและรุนแรงเกินไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ ยังสนับสนุนให้มีโทษประหาร โดยเฉพาะในคดีข่มขืนที่นับวันยิ่งร้าย และแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้น ผู้สูงอายุยังตกเป็นเหนื่อของเดนมนุษย์พวกนี้มากขึ้นด้วย
แต่เมื่อถามไปยัง ผศ.ดร.ศรีสมบัติ โชคประจักษ์ชัด ประธานหลักสูตรปริญญาเอก สาขาวิชาอาชญาวิทยาการบริหารงานยุติธรรมและสังคม คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็เห็นอีกมุมชวนให้คิดตาม โดยนักวิชาการท่านนี้ บอกว่า เข้าใจความรู้สึกของคนที่ติดตามข่าวคดีข่มขืน แต่การเพิ่มโทษน่าจะมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการประหารชีวิต
"การทำวิจัยของนักศึกษาที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ส่วนใหญ่ไม่อยากให้มีการยกเลิก ยังอยากให้คงโทษประหารเอาไว้ แต่หลังจากลองเปลี่ยนวิธีโดยให้ความรู้ก่อนที่จะถามในทันทีว่าคิดอย่างไรต่อโทษประหาร ปรากฎว่า เปอร์เซ็นต์ที่อยากจะให้คงโทษไว้ก็ต่ำลงมา ส่วนตัวมองว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับโทษประหารหรือไม่ประหาร ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดว่าคนที่อยากให้ประหารจะเป็นคนใจร้ายใจดำ เพราะเข้าใจว่าถ้าลงโทษน้อยไปคนก็จะแค้นเคือง โดยเฉพาะญาติของเหยื่อ แต่ก็ละเลยไม่ได้ที่จะลงโทษ เพราะไม่อย่างนั้น คนก็จะไปทำกันเอง
ยกตัวอย่างประเทศทางตะวันออกกลาง มีการจับผู้กระทำผิดมาผูกคอรอให้ญาติของเหยื่อมาตัดเชือก ขยายความให้เห็นภาพจากกรณีแม่ของคนที่ถูกฆ่า ถูกพาตัวให้มาปลิดชีพเพื่อแก้แค้นฆาตกรที่ฆ่าลูกของตัวเอง สุดท้ายเธอก็ไม่ทำ แต่ขอตบหน้า 1 ที ทำให้เราเห็นว่า นางแค่แค้น แต่ลึกๆ แล้วไม่ได้อยากฆ่า สิ่งที่ทำได้คือ ตบหน้าคนที่ฆ่าลูกของตัวเอง แล้วเธอก็บอกให้ญาติๆ ดึงคนคนนี้ออกจากเชือก เพราะเธอให้อภัยแล้ว
นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า รัฐได้ทำแล้ว คุณก็เชิญฆ่าได้เลยอยู่ที่คุณจะฆ่าหรือไม่ แต่สำหรับคุณแม่รายนี้ได้แต่ร้องไห้ และตบหน้าแค่นั้น สะท้อนให้เห็นว่า คนเราไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นหรอก เราไม่ได้อยากจะฆ่าคน
กลับมาที่ประเทศไทย จากการสอบถามคนที่ต้องการคงโทษประหารเอาไว้ เราไม่ได้มองว่าเขาเป็นคนไม่ดี หรือเห็นด้วยกับการฆ่าคน แต่ในความคิดพวกเขา การมีโทษประหารมันโอเค แต่ที่มันไม่โอเคเพราะกระบวนการที่ลงโทษมันไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง พูดง่ายๆ คือ กระบวนการยุติธรรมที่เป็นอยู่มันไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง ไม่สามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้จริง หรือคนที่ผิดจริงไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะคิดว่าตัวเองรอด รอดจากกระบวนการที่ไม่เป็นธรรม หรือรอดจากการได้รับโทษประหาร เพราะมีขั้นตอนที่ช่วยเหลือได้
ดังนั้น จึงเป็นข้อมูลที่ทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มเห็นภาพว่า มันไม่ใช่ไปแก้ตรงยกเลิกโทษหรือไม่ยกเลิกโทษ ควรจะมาดูประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะคนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมต่างหาก ทำให้คนเราเกิดความกลัว พอคนเกิดความกลัวก็ขอให้มีโทษประหารเอาไว้" ผศ.ดร.ศรีสมบัติให้ทัศนะก่อนจะฝากทิ้งท้ายว่า
"ทุกวันนี้มีข้อกังขาเยอะ พอจับมาแล้วกลับไม่ใช่ผู้กระทำความผิดจริง กลายเป็นแพะที่ต้องมารับผิดแทน ดังนั้น ควรมีบทลงโทษที่เหมาะสม อาจไม่ใช่ว่า ฆ่าคนตาย แล้วต้องได้รับโทษด้วยการถูกฆ่าตาม แต่น่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่า" นักวิชาการคนเดียวกันเผย และบอกต่อไปว่า "อย่างประเทศเกาหลีใต้ เขาก็เปลี่ยนจากการประหารชีวิตมาใช้วิธีฉีดยาให้เจ้าโลกของนักโทษฝ่อแทน เพื่อจะได้ใช้การไม่ได้อีกต่อไป"
...หรือวิธีนี้ จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะกับสังคมไทยในอนาคตแทนการประหารชีวิตก็เป็นได้
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage ของ "ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!