xs
xsm
sm
md
lg

คำสารภาพจากหญิงค้ากาม บนเส้นทาง “สินค้ามีชีวิต”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ยามอาทิตย์เริ่มอัสดงและนกประจำถิ่นเริ่มบินกลับรังนอน แสงไฟรอบๆ สนามหลวงพลันสว่างขึ้น นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า “นาฏกรรมชีวิต” บนท้องถนนสายนี้ในฉากยามค่ำคืน กำลังเริ่มเคลื่อนไหว ตัวละครนิรนามจำนวนหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ใต้ฉากมืดสังคม หรือมีตัวตนอย่างไร้คุณค่าค่อยๆ ตื่นขึ้นจากหลับใหล ผุดพรายขึ้นตามซอกมุมต่างๆ เพื่อออกมาดำเนินวิถีชีวิตไปตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายจากโชคชะตา 
 
ผัดแป้งแต่งหน้า พาร่างอันบอบช้ำจากการถูกปู้ยี่ปู้ยำออกมาจากห้องพักในซอยเปลี่ยว แหล่งหลบเร้นซ่อนกายในเวลากลางวัน เพื่อมอบกลีบกุหลาบให้แด่ชายแปลกหน้าได้เด็ดดมสนองความใคร่ 

ใช่... พวกเธอคือ “โสเภณี” และวันนี้เราจะพาทุกท่านบุกไปยังรังของพวกเธอนั่นก็คือ “ซอยสาเก” แหล่งค้ากามยามวิกาลที่เต็มไปด้วยห้องพักม่านรูดราคาถูก ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ บนถนนราชดำเนิน เพื่อล้วงลึกความในใจที่คนภายนอกอาจไม่เคยได้ยินมาจากที่ไหนๆ ผ่านคำสารภาพของสินค้ามีชีวิตวัยเก๋า ระดับเจ้าแม่ประจำถิ่น ให้ได้รู้กัน

 
ยามกุหลาบยังเบ่งบาน
 
 
“พี่ทำเพื่อลูก” โสเภณีร่างท้วม ในวัย 39ปี หรือ "พี่อ้วน" ชื่อเรียกที่คนในซอยสาเกคุ้นหูกันดี จนถึงวันนี้เหตุผลเบื้องหลังของเธอยังคงชัดเจน
 
“เมื่อก่อน พี่ก็เป็นแม่บ้านธรรมดานี่แหละ ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาทำงานแบบนี้ แต่พอสามีเลิกกับพี่ไปมีเมียใหม่ พี่กับลูก 2 คนก็ถูกทิ้ง ต้องกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของพี่ที่กาญจน์ งานก็ไม่มีทำ ตอนนั้นพี่เครียดมาก วุฒิก็แค่ม.3 ไม่รู้จะไปทำอะไรได้”

เมื่อชีวิตที่เคยสดใสเข้าสู่โหมดมืดแปดด้าน สิ่งเดียวที่ทำได้ในวันนั้น คือย้อนนึกถึงใบหน้าของลูกที่กำลังรอความหวังจากคนเป็นแม่ เพื่อใช้เป็นพลังในการดิ้นรนสู้ชีวิต ควานหาหนทางเอาตัวรอด แล้วเธอก็พบมันเข้าจริงๆ เมื่อเพื่อนคนหนึ่งที่ช่ำชองในการขายบริการ ชี้ให้เห็นว่าเธอหน้าตาดี ถ้าอยากมีรายได้ ก็ตามรอยมาให้เข้าวงการค้ากามกัน ตั้งแต่วันนั้น การเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปยังบ้านหลังใหม่อย่าง "สนามหลวง" จึงเริ่มขึ้น

 
“ตอนมาอยู่ใหม่ๆ พี่ก็ไม่กล้า รู้สึกเขินๆ อายๆ เหมือนกัน เพราะไม่เคยนอนกับผู้ชายแปลกหน้า แต่หลังๆ ก็พยายามไม่คิดอะไร ทำตัวให้เริ่มชิน คิดว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว อีกอย่างเงินก็ดี มันทำให้พี่ส่งลูกเรียนได้”

พูดถึงเรื่องเงิน พี่อ้วน บอกกับเราว่า การร่วมกิจกรรมดับตัณหาครั้งหนึ่ง เธอจะคิดตั้งแต่ 350 - 400 บาท ซึ่งราคานี้ เป็นราคาที่หญิงค้าบริการวัย 30 ปีขึ้นไปย่านสนามหลวงตั้งเป็นมาตรฐาน การหากินด้วยวิธีนี้จึงดำเนินต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง เมื่อ กทม. มีการประกาศ ขอถิ่นคืนจากคนไร้ราก วางมาตรการขั้นเด็ดขาดในการเข้าใช้สนามหลวง วิถีชีวิตของเธอและเพื่อนร่วมอาชีพรายอื่นๆ จึงยากลำบากขึ้น เพราะจำนวนคนที่เคยแวะเวียนเข้ามายังสนามหลวงยามค่ำคืนเริ่มซบเซา ต่างคนจึงต้องแสวงหาที่ทำกินใหม่ ทว่านี่กลับไม่ใช่เหตุผลหลักๆ ที่เธอและเพื่อนต้องย้ายหนี

ดอกไม้รายใหม่
 

“จริงๆ แถวนั้นตอนนี้ก็ยังมีอยู่นะ ลองมาดูสิ ตั้งแต่หลัง 5 ทุ่ม ถึงตี 4 เลย แค่เหลือแต่เด็กๆ แล้ว” พี่อ้วนเผยความจริงให้ฟังว่า เวลานี้สนามหลวงกลายเป็นพื้นที่ขายบริการทางเพศของ "สาวสก๊อย" ไปแล้ว ยิ่งนับวัน เด็กเหล่านี้ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น และแน่นอนว่า ดอกไม้สด ใหม่ กลิ่นหอมยั่วยวน ย่อมน่าเด็ดดมมากกว่า จึงทำให้หญิงบริการรุ่นเก่าๆ หน้าเดิมๆ ตกกระป๋อง ต้องย้ายมุมขายใคร่หนีเพื่อนร่วมอาชีพรุ่นใหม่ไปโดยปริยาย

“แรกๆ พี่ก็รู้สึก ไม่ดีนะ พอเด็กพวกนั้นเข้ามาแขกก็หายไปเยอะ แต่หลังๆ ก็เริ่มเข้าใจ แหม.. ผู้ชายที่ไหนก็ชอบเอ๊าะๆ สดๆ เป็นธรรมดา”

แม้จะมีราคาค่าเด็ดกลีบครั้งหนึ่ง สูงถึง 700 - 1,000 บาท (ยังไม่นับรวมค่าห้องดำเนินกิจกรรม) ทว่าถึงอย่างไร ขึ้นชื่อว่าหน้าใหม่ ซ้ำกำลังอยู่ในวัยผลิดอกเบ่งบาน 14 - 20 ปี ก็ชวนให้บรรดาหนุ่มออฟฟิศ ไปจนถึงเฒ่าหัวงู รู้สึกว่าคุ้มเสีย พากันมารุมตอมเรียงคิวกันอยู่ดี


ส่วนที่มาที่ไปของเหล่าสก๊อยสาวที่กำลังชูช่อปกคลุมสนามหลวงยามวิกาลนั้น แม่ค้ากามวัยเก๋าละลายช่วยข้อสงสัยอีกว่า
 
“เด็กๆ มันอยากได้เงิน ก็เลยชวนๆ กันมาตามเรื่อง บางคนก็มากับเพื่อน หลอกพ่อแม่ว่าขอไปค้างบ้านเพื่อน บางคนมีแฟนมาคุม แล้วแฟนเองก็เป็นคนคอยขี่มอไซค์รับส่งไปโรงแรม เด็กมันคิดแต่ว่าแค่อยากได้เงินเที่ยว อยากหาเงินแต่งรถมอไซค์ให้แฟน”


ความในใจที่ไม่มีใครรู้

อาชีพบำบัดความใคร่ให้แก่ชายไม่ซ้ำหน้าเป็นอาชีพที่ไม่มีใครอยากปรายตามอง หรือถ้าจะมองก็มองด้วยแววตาย่ำยี มองผ่านอย่างไร้คุณค่าราวกับว่าไม่มีตัวตน


“มีเหมือนกัน บางทีเจอผู้หญิงเดินผ่านแล้วเบะปาก หรือซุบซิบว่าเราเป็นผู้หญิงบริการ แรกๆ ก็เจ็บ บางทีก็ท้อแท้ว่าทำไมเราต้องมาทำแบบนี้ ฝนตกก็ต้องมาเดินตะลอนๆ ต้องออกมาทำงานแบบนี้ตอนกลางคืน แต่คนอื่นได้นอนหลับสบายอยู่บ้าน” นอกจากถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นคน ซ้ำยังต้องกล้ำกลืนกับอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจในงานของตน อีกเรื่องหนึ่งที่จำใจต้องกัดฟันทนของชีวิตโสเภณี นั่นก็คือ “อารมณ์ของลูกค้า”

“บางรายงี่เง่า บอกว่าเขายังไม่เสร็จ เราจะไปได้ไง ทั้งที่หมดเวลาแล้ว พอเราไม่ฟัง เขาก็ตบ ทำร้ายร่างกาย จนเราต้องหนีออกมาทั้งกระโจมอก ออกมาบอกคนในโรงแรมว่าพี่ช่วยหนูที กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต” แม้จะหัวเราะระหว่างเล่า แต่แววตาของเธอก็ฉายให้เห็นชัดเจนว่าแอบซุกความเจ็บช้ำเอาไว้ลึกๆ

มีเรื่องราวความไม่ลงรอยระหว่างเธอกับผู้กำหนัดกามอีกมากมาย พรั่งพรูออกมาจากปากคำของพี่อ้วน เธอเล่าว่า ครั้งหนึ่ง เคยมีแขกมาติดต่อขอซื้อเพื่อนของเธอไปร่วมเพศ แล้วเพื่อนของเธอ เกิดหน้ามืดตามัวเพราะความโลภ เห็นว่าแขกมีอาการเมาไร้สติ จึงขโมยเงินและของมีค่าในตัวแขก รวมแล้วหลักแสนหนีไป หลังจากวันนั้น ก็นำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อมอเตอร์ไซค์ เพื่อใช้สัญจรมาทำงานในซอยสาเกอย่างเคย หารู้ไม่ว่าลูกค้าผู้เสียหาย ตามสืบทุกที่ที่เธอไป กระทั่งนำลูกน้องมารุมทำร้ายร่างกายอาการสาหัส แล้วออกคำสั่งทิ้งท้ายไว้ว่า เงินทั้งหมดต้องผ่อนจ่ายเป็นรายเดือน

ดูเหมือนว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องแบกรับปัญหามากมายไว้บนบ่า ไหนจะเรื่องโรคติดต่อ ทั้งถูกตราหน้าว่าเป็นตัวแพร่เชื้อ ทั้งยังต้องคอยหวาดระแวงลูกค้าที่ปล่อยเชื้อ บอกได้คำเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย


“ส่วนใหญ่คนแถวนี้ไม่ค่อยดูแลตัวเอง เห็นแก่เงินเลยไม่ป้องกัน จริงๆ แล้วพี่ก็อยากให้คนที่จะมาใช้บริการระวังบ้าง พี่เองก็ไปตรวจเลือดประจำ เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขบอกว่าแถวโรงแรม 39 (ห้องพักยอดนิยมในซอยสาเก) คนเป็นกันเยอะ น้องรู้จักคนชื่อนี้มั๊ย ถ้ารู้จักบอกให้เขามากินยาบ้าง ไม่อยากให้ไปแพร่เชื้อ เพื่อนพี่ก็เป็นโรคและเสียชีวิตไปหลายคนเหมือนกัน พี่ก็กลัวโรคนะ แต่ก็พยายามป้องกันตัวเอง แขกก็กลัวเรา เราก็กลัวเขา”


“ส่วนที่เป็นโรคกันเยอะๆ เพราะผู้หญิงบางคนโลภ อย่างคนรู้จักพี่ที่ตายไป เพราะเขาอยากได้เงินมาก พอลูกค้าบอกว่าขอไม่ใส่ถุงยาง แต่จะหลั่งข้างนอกให้ เดี๋ยวเพิ่มเงินให้อีกสองสามร้อย เขาก็ยอม เลยติดเชื้อ มันมาจากตรงนี้เอง”


มุมยิ้มๆ ของหญิงค้ากาม

ตามหลักแล้วการเลือกคู่นอนชั่วคราวส่วนใหญ่จะต้องเกิดจากความพึงพอใจของบุคคลทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ แต่สำหรับพี่อ้วน เธอกลับไม่ใส่ใจข้อนี้

 
“ถ้าเป็นผู้หญิงสาวๆ มักจะเลือกคนนะ เห็นว่าดูสกปรกหน่อย หน้าตาน่ากลัวบางทีก็ไม่รับ หรืออาจจะรับ แต่ก็ไม่ยอมให้จูบ ให้ดูดหน้าอก กลัวหัวนมดำ เพราะบางคนมีแฟนแล้วแต่แอบมาทำ ก็กลัวแฟนจับได้ แต่กับพี่ พี่ไม่ค่อยเลือก เมื่อก่อนยอมรับว่าเลือก เพราะตอนนั้นแขกเยอะ คืนๆ หนึ่งพี่มีลูกค้าเป็นสิบคน แต่ตอนนี้มีเรื่องม็อบเข้ามา คนเลยกลัวไม่กล้ามาแถวนี้ มันใกล้ที่ชุมนุม เต็มที่คืนหนึ่งเลยได้ไม่เกินสามคน”
 
เพราะการรับแขกไม่เลือกหน้า มีคำว่า "เงิน" เป็นที่ตั้ง บ่อยครั้งจึงมักเกิดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นกับเธอเสมอ แต่ท่ามกลางความมืดมนสับสน ยังมีเรื่องราวของใครบางคนคอยปลอบประโลมให้ชื่นใจเสมอ ทุกครั้งเมื่อได้นึกถึง

“จะมีคนกลุ่มหนึ่งเรียกว่า เสี่ยดม คนพวกนี้จะมายืนดูหุ่นของผู้หญิงกลางคืนแล้วจำกลับไปช่วยตัวเอง ดูอย่างเดียวไม่เที่ยว เพราะขี้เหนียว ชอบมาเป็นกลุ่ม ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี่ประจำ พอมากันทีพวกพี่ก็จะบอกว่า มาอีกแล้วพวกเสี่ยดม” เจ้าตัวเล่าด้วยเสียงหัวเราะ ก่อนจะเริ่มบรรยายความภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองต่อ


“แขกที่มาซื้อบริการ มีตั้งแต่อายุ 14 - 15 ปี ที่แก่ที่สุด คือ 80 กว่าปี พี่เพิ่งเจอเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนเขาเข้ามาหาพี่ พี่ยังถามเขาเลยนะว่า ป๋า ยังไหวเหรอ เขาก็ตอบว่า อั๊วยังไหว แค่ขอเวลามากหน่อย พี่ก็ขำๆ แต่ก็ช่วยนะ ถือว่าทำให้เขามีความสุข ส่วนเด็กๆ พวกเขาก็จะใช้บริการรุ่นๆ เดียวกัน” หลังจากนี้จึงมีคำถามต่อว่า ประทับใจเรื่องใดเป็นพิเศษจากแขกแปลกหน้า แม่ค้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เขาระบายเรื่องบนเตียงของเมียตัวเองให้ฟัง”


“ที่มาซื้อบริการ เพราะเมียที่บ้านไม่ค่อยช่วยทำอะไร ทำการบ้านไม่เก่ง เลยอยากมาใช้บริการ แล้วพอมาเจอผู้หญิงอย่างเรา ที่เรียกว่าสุดยอด บางรายติดใจจนกลายเป็นกิ๊กหรือลูกค้าประจำก็มี อย่างพี่ก็มีแขกประจำนะ เป็นแขกเก่าตั้งแต่พี่เริ่มทำอาชีพนี้เลย เพราะเขาชอบที่เรานิสัยดี บริการดีไม่โกหก ส่วนมากแขกจะชอบที่นิสัยและการบริการ หรือบางคนอาจชอบไซส์นี้ หุ่นแบบนี้อยู่แล้ว อีกอย่างการให้บริการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบเลือก บอกว่าห้ามดูดนม ห้ามทำนั่นห้ามทำนี่ พูดง่ายๆ คือ นอนได้อย่างเดียว แขกเลยไม่ชอบ เพราะเขาอยากทำมากกว่านั้น”


เจ้าแม่โสเภณี แฉธุรกิจนวด
 

เมื่อโสเภณีเจ้าถิ่นอย่างพี่อ้วนเริ่มเปิดอกระบายความอัดอั้นตันใจให้ฟังร้อยแปด เราจึงไม่รอช้าที่จะหยิบเอาคำร่ำลือของธุรกิจรับนวดปูเสื่อขึ้นมาให้เธอคลี่ปม เพราะเท่าที่ทีมข่าวลงพื้นก็ที่เกิดข้อสงสัยว่า เหตุใด“หมอนวดแผนไทยริมถนนราชดำเนิน” บางคนจึงอายุไม่ถึง 20 แถมแต่งกายนุ่งสั้นโปะแป้งหนาเตอะ ซ้ำยังละเลงลิปสติกสีฉูดฉาดบนริมฝีปาก ชอบส่งยิ้มยั่วสวาทให้ชายทุกคนที่เดินผ่านมา หรือว่าพวกเธอจะรับนวดบังหน้า แล้วรับนาบเป็นหลัก ข้อนี้ทีมข่าวได้ทดลองกับตัวเองจนได้ความว่า

ในระหว่างใช้บริการนวดตัวชั่วโมงละ 150 บริเวณจุดนวดปูเสื่อหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ เมื่อคุยกับหมอนวดได้สักระยะ ทีมข่าวจึงยิงโคดลับไปว่า “รับแขกไหม” เพียงแค่คำเดียว ทำให้แรงบีบของผู้นวด เพิ่มขึ้นมหาศาล ก่อนจะค่อยๆ เหลียวซ้ายแลขวากระซิบว่า “พี่ไม่ได้รับ แต่พี่ตามเด็กให้ได้”


พอเห็นว่าเริ่มมีผู้สนใจ หญิงนวดแผนไทยจึงเริ่มเปิดฉากถามลักษณะรูปร่างหน้าตาที่เราต้องการร่วมละเลงบทรัก ตั้งแต่สีผิว อายุ และที่น่าตกใจมากที่สุด คือมีเด็ก 14 อยู่ในตัวเลือกด้วย
มองไปรอบๆ แหล่งแฝงกายค้ากามพบว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัย เวลาประมาณ 23.14 น. มีชายวัยกลางคนแต่งกายสุภาพ ดูมีฐานะ ออกมาจากรถกระบะวีโก้สีขาว เดินมานั่งบนเสื่อ แล้วคุยเล่นหยอกล้อกับหมอนวดสาวราวสนิทสนม จากนั้นทั่งคู่ก็พากันเดินขึ้นรถแล้วบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว กลับมาอีกทีราวเที่ยงคืนครึ่ง ไม่ได้กลับมาเป็นคู่ มีเพียงหญิงนวดรายนั้นโดยสารรถแท็กซี่มาลงแหล่งเดิม

แม้เหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะยังฟันธงไม่ได้ว่าบริการนวดแผนโบราณริมถนนราชดำเนิน เป็นฉากบังตาของอาชีพโสเภณีหรือไม่ แต่ข้อมูลที่ทีมข่าวได้จากหมอนวดระหว่างการสนทนา ก็ช่วยการันตีไปได้ว่าหญิงบริการนวดที่เห็น พร้อมนาบอยู่จริงไม่น้อยเหมือนกัน
สอดคล้องกับคำบอกเล่าของพี่อ้วน โสเภณีเจ้าถิ่น เผยเอาไว้ “ทั้งนั้นแหละ ถ้ากะประมาณร้อยคน น่าจะมีราวๆ 70 คนได้ ที่ขายบริการทางเพศด้วย ส่วนคนที่ไม่ขายก็สังเกตได้จะเป็นคนมีอายุ พวกนั้น รับแต่นวดจริงๆ”


มาเฟียในเครื่องแบบ

เท่าที่เคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับธุรกิจโสเภณี เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง ภาพมาเฟียคุมซ่อง เดินเก็บหัวคิวสาวบริการ แต่พี่อ้วนยืนยันว่า ละแวกที่เธอทำมาหากินทุกวันนี้ ไม่มีการกระทำแบบนั้นแน่นอน หญิงบริการทุกคนมีอิสระ เพราะผ่านการเสีย "ค่าปรับ" ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว
 

"เมื่อก่อนตำรวจจะเข้ามาปรับทุกวันคนละ 300 บาท แต่ช่วงนี้ดีหน่อย คงเห็นว่าคนเที่ยวน้อย อีกอย่างมีผู้ชุมนุมแถวนี้เยอะ เลยไม่ค่อยกล้าเข้ามา เปลี่ยนเป็น 2 วันครั้ง"
ถึงแม้พวกเธอจะไม่ได้เรียก “ผู้คุมชุดกากี” ว่าเป็นมาเฟีย แต่พฤติกรรมดังกล่าวของพวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก “มาเฟียในเครื่องแบบ” ซ้ำยังเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่แวะมาใช้บริการพวกเธอบ่อยๆ อีกด้วย
 

นี่คืออีกมุมมองของชีวิต ผ่านคำบอกเล่าของหญิงกร้านโลก ผู้ยืนหยัดอยู่บนถนนสายโลกีย์.. เส้นทางที่ไม่มีพรมแดงปูรอให้บรรดานักเดินทาง เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งการต่อสู้ด้วยรอยยิ้มและน้ำตา ที่ทำให้ทีมงานรู้สึกน่าเศร้าและแสนประทับใจในคราวเดียวกัน


ใครจะรู้บ้างว่า สาวค้าประเวณีจำนวนไม่น้อย ได้รับโอกาสดีๆ ที่พวกเขาอาจไม่ได้พบมันหากไม่ได้เข้าสู่วงจรนี้ บางคนลืมตาอ้าปากได้ เพราะเก็บหอมรอมริบมีเงินเดือนละแสน บางคนได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี มีบ้านมีรถ มีผู้อุ้มชูอุปถัมภ์ส่งเสียให้เรียน ในขณะที่บางราย กลายเป็นแม่ของลูก แต่งงาน อยู่กินกับชายนิรนามที่เขาและเธอพบรักกันช่วงข้ามคืน ได้รับอิสรเสรี มีชีวิตใหม่ไร้มลทิน

แต่อีกหลายชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้รับโชคเหล่านี้ เช่นเดียวกับพี่อ้วน โสเภณีรุ่นเก๋า ที่ยังต้องดิ้นรนกัดฟันสู้ เสียตัวแลกเศษเงินให้ชายไม่ซ้ำหน้า ต้องร้องไห้ไม่เว้นวัน เมื่อนึกถึงคำถามของลูก “แม่ทำงานอะไร?”


“อีกสองปีพี่จะเลิก ถ้าสะสมเงินได้ตามเป้า พี่จะไปเปิดร้านขายของอยู่กับลูก” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เราได้ยินจากเธอ กุหลาบกลีบช้ำยามราตรี สาวร่างท้วม แววตาอมทุกข์ รอยยิ้มขื่นขม ก่อนร่างของเธอจะค่อยๆ เดินหายลับเข้าไปในซอยเปลี่ยว เพื่อก้มหน้าปลดหนี้ชะตากรรมต่อไปในฉากแห่งชีวิตหมองหม่นยามค่ำคืน
 

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE

เรื่องโดย ธิติ ปลีทอง

ภาพโดย อธิเจต มงคลโสฬศ


ภาพชายนิรนามมาใช้บริการนวดแผนโบราณกลายเป็นเรื่องคุ้นชินของผู้คนในย่านถนนราชดำเนิน
โดยมากทั้งหมอนวดและโสเภณีจะรู้จักกันเพราะใช้พื้นที่แห่งเดียวกันหาเงิน
บริการรับนวดแผนโบราณกระจายตัวไปจนถึงฝั่งตรงข้ามสนามหลวง เยื้องทางเข้ามหลาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ภาพกลุ่มหญิงขายบริการทางเพศริมถนนราชดำเนิน
เมื่อฟ้ามืดสนิท หญิงขายบริการเริ่มทยอยออกมาตามซอกมุมจุดต่างๆ ในซอยสาเก
ยามค่ำคืนในซอยสาเก
เสื่อและพัดลมของบริการปูเสื่อรอปลดปล่อยความเหนื่อยอ่อนผู้มาใช้บริการ

กำลังโหลดความคิดเห็น