พูดถึงอาชีพ "พริตตี้" กลายเป็นอาชีพที่ใครหลายคนมองว่าเป็นงานสบาย เงินตอบแทนดี ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่แต่งตัวโป๊ๆ แอ่นอก คดเอว ยั่วยวนด้วยท่าระริกระรี้เข้าหน่อยก็ได้เงินแล้ว ไม่แปลกที่อาชีพนี้จะถูกสังคมดูถูกแบบเหมารวม และมองในแง่ลบต่างๆ นานา เป็นต้นว่า
"บนเวทีคือนางฟ้า หลังเวทีคือ กะหรี่"
"สุจริตแต่ผิดประเพณีที่ดีงาม มานั่งเปิดสั้น เปิดอก มันน่าเกลียด"
"แต่งตัวโป๊ ทำท่าระริกระรี้ มันน่าชื่นชมตรงไหน"
"มันทำให้มาตรฐานแม่ของลูกในอนาคตต่ำลงเรื่อยๆ แล้วเด็กที่มาจากแม่เหล่านี้ก็คงเป็นต้นตอของปัญหาสังคมอีกมากมาย"
"รักงานสบาย เงินตอบแทนดี หวังเจอคนรวย"
นี่คือบางความเห็นจากโลกออนไลน์ที่ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live หยิบยกมานำเสนอให้เห็นกัน
แต่อีกด้านที่ลึกลงไปกว่านั้น หลายคนอาจไม่รู้ว่า อาชีพนี้ต้องเจอกับอะไรบ้าง มีอุปสรรคให้ฝ่าฟันมากมายขนาดไหน นี่คือการเปิดใจ "พริตตี้ตัวแม่" ในมุมที่คุณอาจคิดไม่ถึง
เริ่มกันที่ ประแป้ง ประณยา เปลี่ยนกิม พริตตี้วัย 30 ดีกรีเกียรตินิยมอันดับ 1 เปิดประเด็น "โรคจิต" ที่แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการทำงานพริตตี้ แต่ 7 ปีของการทำงาน ไม่มีครั้งไหนจะเจอหนักสุดเท่ากับการมีผู้ชายมายืนถ่ายรูป และช่วยเหลือตัวเองอยู่ตรงหน้า
"อุปสรรคแรกของงานพริตตี้คือโรคจิตค่ะ หลายคนอาจไม่รู้ เห็นมายืนยิ้มสวยๆ แต่พวกเราต้องยืนยิ้มให้กับคนที่จ้องจะมองนมเราอย่างเดียว หรือบางครั้งเห็นกล้องซูมมาเกือบจะแตะนมเราอยู่แล้ว ที่หนักกว่านั้นคือ มือซ้ายถือกล้องเพื่อถ่ายรูปเรา ในขณะที่มือขวาล้วงกระเป๋าแล้วชักว่าวตามก็มี ซึ่งตอนนั้นก็ได้แค่ยิ้ม และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่หนักสำหรับแป้งนะ ถ้าคนที่ไม่มีความอดทนพอ ไม่มีความรับผิดชอบพอ แป้งว่าทำอาชีพนี้ไม่ได้ ลองคิดดูสิ มีคนมาชักว่าวต่อหน้าเรา แล้วเป็นใครก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้อยู่ในเวลาทำงาน แป้งคงกระทืบคอหอยไปแล้ว หรือถีบได้ถีบไปแล้วค่ะ แต่เอาเข้าจริงก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ มากสุดก็แค่เดินหนี เพราะต้องอย่าลืมว่าเราเป็นแบรนด์สินค้า" ประแป้งเล่า
กระนั้น เธอยอมรับว่า การแต่งชุดเซ็กซี่เป็นตัวล่อตะเข้ให้เข้ามาหา แต่ด้วยหน้าที่การงาน และการแข่งขันที่สูง ความเซ็กซี่กลายเป็นจุดขาย และได้รับความสนใจจากตลาด ดังนั้นถ้าจะมอง อยากให้มองและแสดงพฤติกรรมแบบให้เกียรติในความเป็นมนุษย์กันด้วย
"ไม่เถียงค่ะว่าเราทำงานแต่งตัวโป๊ โพสท่าเซ็กซี่ ซึ่งคนก็ต้องมองเป็นธรรมดา แต่การมองมันมีหลายแบบ มองแบบให้เกียรติความเป็นคนกับมองแบบดูถูก มันต่างกันนะ จริงๆ คนเราก็เลือกได้ว่าจะมองด้วยความชื่นชมหรือดูถูก ถูกค่ะ พวกเราอาจแต่งตัวโป๊ ชูความเซ็กซี่ให้พวกคุณมอง แต่พวกเราไม่ได้ต้องการให้พวกคุณมาดูถูก หรือแสดงพฤติกรรมหื่นๆ ใส่แบบนี้ และการที่พวกเราแต่งตัวเซ็กซี่ก็ไม่ได้หมายความว่า ค่าความเป็นคนของพวกเราจะลดน้อยถอยลงไป" เธอขยายความก่อนจะให้ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับอาชีพพริตตี้ว่า
"อาชีพพริตตี้เป็นอาชีพที่มีค่ามาก (ลากเสียงยาว) ถึงอาชีพนี้จะกลายเป็นค่านิยมแต่งโป๊ นมโต แต่ไม่มีสมอง แค่คุณรู้ไหมว่า กว่าพริตตี้จะได้มายืนพูด ต้องผ่านการแข่งขันมาเท่าไร บางครั้งต้องผ่านการแข่งขันมาไม่ต่ำกว่า 300 คน ถ้าไม่มีความสามารถ ไม่เหมาะสม หรือไม่โดดเด่นจริง มายืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้นะคะ
นอกจากนี้ พริตตี้ ยังเป็นอาชีพที่ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด วันนี้ต้องพูด และรู้จักกับสินค้าตัวนี้ประหนึ่งว่าตัวเองใช้มาแล้วเกือบ 30 ปี วันรุ่งขึ้นต้องเข้าใจสินค้าตัวใหม่ ต้องไปพูดเหมือนว่าตัวเองรู้จักมันดี เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีสมอง อยู่ไม่ได้ ซึ่งสมองเป็นสิ่งเดียวที่ศัลยกรรมไม่ได้ ดังนั้นคิดจะเป็นพริตตี้ต้องเติมเต็มในเรื่องของความรู้รอบตัวให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องภาษา วิธีเอาตัวรอดอย่างชาญฉลาดที่ไม่ใช่ตามอีโก้ตัวเอง และที่สำคัญ ทำอย่างไรก็ได้ให้แบรนด์ยังคงดีอยู่ แต่เราเอาตัวรอดได้ พูดเลย ถ้ารักไม่จริง อยู่ไม่ได้ และไม่ใช่ใครก็ทำได้ด้วย
ส่วนตัวถามว่าถ้าเลือกได้จะมาเป็นพริตตี้ไหม เอาจริงๆ นะ งานนี้มันเป็นโอกาสของชีวิตนะ จะมีสักกี่อาชีพที่ทำให้คุณได้เจอกับเจ้าของผลิตภัณฑ์จริงๆ หรือได้มีโอกาสนำเสนอตัวเองให้คนเห็นได้เยอะขนาดนี้เพื่อที่จะก้าวไปถึงอีกจุดๆ หนึ่งที่สูงต่อไปเรื่อยๆ แป้งว่าอาชีพนี้ข้อดีคือโอกาส มันอยู่ที่คนทำมากกว่าว่าจะทำให้อาชีพนี้ตกต่ำหรือสูงขึ้น"
จบที่คำถาม "คิดอย่างไร ถ้าโลกนี้ไม่มีพริตตี้" เธอตอบคำถามนี้ไว้อย่างน่าสนใจ และนี่คือคำตอบของเธอ
"ถ้าในโลกนี้ไม่มีพริตตี้มันก็เหมือนกับโลกนี้ไม่มีดอกไม้อ่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วคุณจะมองอะไรล่ะ พริตตี้เป็นสีสันของงานอีเวนต์ทุกอีเวนต์นะ เพราะเป็นคนดึงดูดให้คนสนใจสินค้า ถ้าขาดพริตตี้ไปเหมือนคนกินข้าวแล้วไม่ใส่น้ำปลา ไม่มีเธอก็เหมือนไม่มีเครื่องปรุง แล้วอีกอย่าง ผลิตภัณฑ์เกือบทุกอย่างในสมัยนี้ ลูกค้าเขาฉลาดค่ะ ข้อมูลสินค้าทุกอย่างเขาหาได้ อินเทอร์เน็ตมันกว้างไกลขนาดนั้น แต่สิ่งเดียวที่ต่างกันคือการบริการ ทุกวันนี้มันอยู่ที่ว่าบริการของใครน่าสนใจกว่ากัน เวลาคนซื้อเขาดูที่การบริการนะ ถ้าบริการไม่ดี เขาก็ไม่เอา"
ด้าน บีบี๋ กฤตชกร ศิริสิทธิ์ อายุ 31 ปี พริตตี้ เอ็มซี และนางแบบ เธอพูดในประเด็นการปรับตัวของพริตตี้ในยุคที่มีแค่ความสวย อกโตอย่างเดียวไม่พออีกต่อไปแล้ว
"พริตตี้ยุคนี้ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาค่ะ ทั้งด้านภาษา การพูด การนำเสนอสินค้า โดยเฉพาะภาษานี่ถ้าได้ ค่าจ้างจะเพิ่มเป็นเท่าตัวเลยนะ หรือการพูดเอง ไม่ใช่ว่ามีไมค์คุณจะพูดอย่างไรก็ได้ ต้องมีการพูดที่ชัดถ้อยชัดคำ หรือพูดอย่างไรถึงจะดึงดูดคน ซึ่งไม่ใช่ใครก็ได้จะมาพูด มันต้องได้รับการฝึกฝน และมีชั่วโมงบินที่มากพอสมควร ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ท่องจำสคริปต์ได้อย่างเดียว แต่ต้องเป็นนักเอ็นเตอร์เทรนด้วย" เธอบอก
ส่วนเรื่องความสวยความงาม บี๋บอกว่า ไม่ใช่ทำแล้วจบ บางอย่างต้องปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาดและคนจ้างด้วย
"ทุกอย่างคือการลงทุนค่ะ ทั้งเนื้อทั้งตัวนี่หมดไปหลายบาทอยู่ เฉพาะหน้าก็ปาเข้าไปหลักแสนแล้ว หน้าอกก็ครึ่งแสน ประมาณนั้น แล้วมันไม่ใช่จบเลยไง ผิวอีกล่ะ คอลลาเจนอีกล่ะ ซองนึงก็เป็นร้อยนะคุณ หรือบางครั้งก็ต้องดูเทรนด์ด้วย อย่างตอนนี้จมูกเกาหลีมาแรง รูปจมูกต้องเป็นรูปหยดน้ำ แต่ที่เคยทำมามันดันเป็นแบบดั้งเหินยกสูง ซึ่งก็ต้องถอยใหม่อีก ดังนั้น ของบางอย่างไม่ใช่ใส่ครั้งเดียวแล้วอยู่ได้ตลอดนะจ๊ะ ใครที่บอกว่าสบาย ได้เงินเยอะวันละ 2-3 พัน แต่เงินที่ได้มา บางครั้งมันต้องเอาไว้เป็นทุนความสวยด้วย ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่จบสิ้น"
แม้สังคมบางกลุ่มจะมองว่า พริตตี้เป็นอาชีพที่วันๆ ยืนแต่ขายเรือนร่าง แต่ในฐานะที่เธอทำอาชีพนี้มา 8 ปี เธอมองว่า พริตตี้เป็นอาชีพที่มีประโยชน์
"พริตตี้เป็นเสมือนตัวแทนของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งคนที่จะเข้ามา จะเลือกมองอะไรก่อนระหว่างผลิตภัณฑ์ หรือคนที่เสนอผลิตภัณฑ์ ถ้าไม่มีพริตตี้ก็เหมือนของที่ตั้งวางไว้อยู่เฉยๆ อ่ะค่ะ ดังนั้น พริตตี้มีประโยชน์ค่ะ ไม่ใช่แค่ยืนสวยๆ เท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่เสนอสินค้าให้ลูกค้าได้รู้จักด้วย ขนาดรถราคาหลายสิบล้านยังต้องใช้พริตตี้เลย จริงอยู่ที่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ อาจขายได้ด้วยตัวของมันเอง แต่การมีพริตตี้จะช่วยเร่งยอดขายให้มากขึ้น"
ลึกลงไปถึงอาชีพพริตตี้ทุกวันนี้ ต้องยอมรับว่า มีทั้งดี และไม่ดี คนที่ดี ตั้งใจทำงานก็มีให้เห็นอยู่มากมาย ส่วนคนไม่ดี เน้นขายอย่างอื่นมากกว่าสินค้าก็มีอยู่เช่นกัน
"พริตตี้ทุกวันนี้ ดีๆ ก็มีนะ แก่งแย่งชิงดี แทงข้างหลังกันก็เยอะ หรือพริตตี้ผีที่แฝงตัวเข้ามาก็มีให้เห็นบ้าง ซึ่งพริตตี้กลุ่มนี้จะรับงานโดยมีนัยแอบแฝง เรียกว่างาน ST (ย่อมาจากคำว่า Something) ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามีงานแบบนี้ด้วย เรตคร่าวๆ อยู่ที่ 15,000 บาท เราก็สงสัยว่างานอะไร ได้เงินเยอะจัง สุดท้าย อ๋อ งานอย่างว่า นอกจากนี้ยังมีงาน ET (Entertrain) ด้วย พูดง่ายๆ คือ เป็นพริตตี้ด้วย เป็นเด็กนั่งดริงก์ด้วย ซึ่งเป็นการเอาชื่อพริตตี้ไปแอบอ้าง ทำให้พริตตี้ดีๆ ที่ตั้งใจทำงานถูกเหมารวมเสียๆ หายๆ" บี๋เล่า ก่อนจะเผยประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง
"ส่วนตัวเคยมีเสี่ยทาบทามให้ไปโน่น นี่ นั่นเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่โจ๋งครึ่ม อีกอย่าง เราก็ไม่ใช่แนวอย่างว่า วิธีแก้ปัญหาก็คือ ปฏิเสธแล้วบอกไปเลยว่า มีแฟนแล้วค่ะ ส่วนถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ไปแค่กินข้าว เหมือนเราเป็นไม้ดอกไม้ประดับ แต่ที่ไปส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้า หรือแขกที่ต้องไปรองรับมากกว่า ไม่ใช่เสี่ย หรือใครที่เราจะไปด้วยก็ได้ ซึ่งก็ต้องระวังตัวเองด้วยเหมือนกันค่ะ ถ้าเป็นอะไรมา ไม่สามารถโทษใครได้ นอกจากตัวเราเอง"
ด้าน นุ้ก อัญพัชญ์ วัฒนาตันต์รัตน์ พริตตี้สาววัย 25 ปี บอกคล้ายๆ กันว่า พริตตี้ยุคนี้มีความกดดันสูง และทำงานหนัก ไม่ใช่เป็นกันง่ายๆ อย่างที่ใครหลายคนคิด
"หลักๆ เลยคือการแข่งขันค่ะ เพราะเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ สมัยก่อน คนสวยต้องสวยจริงๆ สมัยนี้ คนดำก็ขาวได้ในพริบตา มันมีอุปกรณ์เสริมที่เข้ามาช่วยเยอะ ดังนั้น ใครๆ ก็สวยได้ งานพริตตี้ก็เลยมีการแข่งขันสูงขึ้น สวยด้วย เก่งด้วย ภาษาดี เงินก็ดีตามไปด้วย ส่วนตัวเริ่มทำงานพริตตี้ตั้งแต่อายุ 18 ปี เดินโน่น เดินนั่น กว่าจะได้งานทีก็ยาก เพราะที่บ้านก็ไม่ร่ำรวย ต้องดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงที่บ้านด้วยค่ะ"
อย่างไรก็ดี เธอเปิดเผยตัวตนว่า ไม่ใช่ผู้หญิงเซ็กซี่ตลอดเวลา และความเซ็กซี่ก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แต่ด้วยความต้องการของสังคม และตลาด ทำให้ความเซ็กซี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานพริตตี้ไปแล้ว
"สมัยนี้ต้องขาว สวย หมวย อึ๋ม เพราะเราต้องเปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาด ชุดทำงานจะหาแบบปิดคอไม่มีละ จริงๆ แล้วทุกตลาดเลยนะ ถ้ามองกันดีๆ เป็นดารา เดี๋ยวนี้ออกมาก็ต้องมีความเซ็กซี่เพื่อดึงดูดความสนใจจากสื่อ อาชีพพริตตี้ก็คล้ายๆ กัน เมื่อสังคม หรือตลาดต้องการแบบนั้น เจ้าของสินค้าอยากได้แบบนี้ พริตตี้ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับงานเพื่อที่จะได้งาน และเงินที่ดีตามมา ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยนะ บางทีการทำงานกับความเป็นตัวเราเองมันก็ขัดกันนะ บางคนมองเราในโลกโซเชียลว่าทำไมต้องถ่ายเซ็กซี่ด้วย จริงๆ มันก็คือการตลาดส่วนหนึ่ง แต่พอไปเดินห้าง หรืออยู่บ้าน นุ้กก็แต่งตัวธรรมดา ไม่ได้เซ็กซี่อะไร ใครที่รู้จักนุ้กก็จะรู้ดีว่า ตอนทำงานกับไม่ทำงาน คนละลุคกันเลย"
สำหรับการเป็นพริตตี้ในยุคนี้ กระแสการตอบรับคืออีกเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากมีผลต่อการได้งานหรือไม่ได้งานด้วย
"พริตตี้ยุคนี้ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกกระแส ถ้าไม่มีกระแส เราก็ไม่มีงาน สังคมให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้จริงๆ ค่ะ วันๆ นั่งต่อสู้กับคอมเมนต์ก็เหนื่อยเหมือนกันนะคะ แต่ถ้าไม่ลงภาพเซ็กซี่ในอินสตาแกรมก็ไม่ได้ เพราะบางงานยอดวิว ยอดฟอลโลมีผลต่อการได้งาน ถ้าเกิดยอดฟอลโลไม่ถึงยอดนี้ ห้ามทำ ทุกวันนี้รับเป็นพริตตี้ ถ่ายแบบ เวลาพักก็แทบไม่ค่อยมี เพราะใน 1 เดือนจะมีเวลาว่าง แค่ 3 วัน แต่ก็ถือว่าเป็นขาขึ้นของนุ้ก ซึ่งนุ้กจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ"
อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่สวยอย่างเดียว ความอดทน ความรับผิดชอบ และตรงต่อเวลาคือหัวใจสำคัญในการอยู่รอด และอยู่ยืดในวงการพริตตี้ด้วย
"บางงาน นุ้กต้องตื่นแต่งหน้าทำผมตี 2 เช้ามาก็ต้องเจอผู้คน บางบูทนี่คนรอหลายร้อยคน ไหนจะต้องจำสคริปต์ บางงานมีเต้นด้วย ก็ต้องซ้อมเต้นอีก บอกตรงๆ นะคะ เหนื่อยมาก ไม่มีความอดทนทำไม่ได้ เพราะพักยังไม่ถึง 5 นาทีก็ต้องออกมาอีกละ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ดังนั้น ภาพที่เราออกมายืนสวยๆ ยืนพูด ยืนให้ถ่ายรูป ลองมาดูข้างหลังเวทีสิคะ สลบหมดแรง ดูไม่ได้กันเลยทีเดียว เสื้อผ้า ยกทรงก็แขวนไว้เหมือนในห้องคนงานเล็กๆ" เธอเผยให้เห็นอีกมุมชีวิตของพริตตี้
ทั้งหมดนี้ เป็นอีกมุมที่สะท้อนให้เห็นว่า อาชีพพริตตี้ไม่ใช่อาชีพที่สบายอย่างที่ใครหลายคนคิด ถึงแม้ว่าจะเป็นอาชีพที่ต้องแต่งตัวโป๊-เซ็กซี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ค่าความเป็นคนของพวกเราจะลดน้อยถอยลงไปด้วย ส่วนน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ก็ควรดูรุ่นพี่ที่ดีเป็นแบบอย่าง อย่าเห็นแก่เงิน และเห็นแก่ตัวจนทำลายภาพลักษณ์วงการพริตตี้ให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
"บนเวทีคือนางฟ้า หลังเวทีคือ กะหรี่"
"สุจริตแต่ผิดประเพณีที่ดีงาม มานั่งเปิดสั้น เปิดอก มันน่าเกลียด"
"แต่งตัวโป๊ ทำท่าระริกระรี้ มันน่าชื่นชมตรงไหน"
"มันทำให้มาตรฐานแม่ของลูกในอนาคตต่ำลงเรื่อยๆ แล้วเด็กที่มาจากแม่เหล่านี้ก็คงเป็นต้นตอของปัญหาสังคมอีกมากมาย"
"รักงานสบาย เงินตอบแทนดี หวังเจอคนรวย"
นี่คือบางความเห็นจากโลกออนไลน์ที่ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live หยิบยกมานำเสนอให้เห็นกัน
แต่อีกด้านที่ลึกลงไปกว่านั้น หลายคนอาจไม่รู้ว่า อาชีพนี้ต้องเจอกับอะไรบ้าง มีอุปสรรคให้ฝ่าฟันมากมายขนาดไหน นี่คือการเปิดใจ "พริตตี้ตัวแม่" ในมุมที่คุณอาจคิดไม่ถึง
เริ่มกันที่ ประแป้ง ประณยา เปลี่ยนกิม พริตตี้วัย 30 ดีกรีเกียรตินิยมอันดับ 1 เปิดประเด็น "โรคจิต" ที่แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการทำงานพริตตี้ แต่ 7 ปีของการทำงาน ไม่มีครั้งไหนจะเจอหนักสุดเท่ากับการมีผู้ชายมายืนถ่ายรูป และช่วยเหลือตัวเองอยู่ตรงหน้า
"อุปสรรคแรกของงานพริตตี้คือโรคจิตค่ะ หลายคนอาจไม่รู้ เห็นมายืนยิ้มสวยๆ แต่พวกเราต้องยืนยิ้มให้กับคนที่จ้องจะมองนมเราอย่างเดียว หรือบางครั้งเห็นกล้องซูมมาเกือบจะแตะนมเราอยู่แล้ว ที่หนักกว่านั้นคือ มือซ้ายถือกล้องเพื่อถ่ายรูปเรา ในขณะที่มือขวาล้วงกระเป๋าแล้วชักว่าวตามก็มี ซึ่งตอนนั้นก็ได้แค่ยิ้ม และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่หนักสำหรับแป้งนะ ถ้าคนที่ไม่มีความอดทนพอ ไม่มีความรับผิดชอบพอ แป้งว่าทำอาชีพนี้ไม่ได้ ลองคิดดูสิ มีคนมาชักว่าวต่อหน้าเรา แล้วเป็นใครก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้อยู่ในเวลาทำงาน แป้งคงกระทืบคอหอยไปแล้ว หรือถีบได้ถีบไปแล้วค่ะ แต่เอาเข้าจริงก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ มากสุดก็แค่เดินหนี เพราะต้องอย่าลืมว่าเราเป็นแบรนด์สินค้า" ประแป้งเล่า
กระนั้น เธอยอมรับว่า การแต่งชุดเซ็กซี่เป็นตัวล่อตะเข้ให้เข้ามาหา แต่ด้วยหน้าที่การงาน และการแข่งขันที่สูง ความเซ็กซี่กลายเป็นจุดขาย และได้รับความสนใจจากตลาด ดังนั้นถ้าจะมอง อยากให้มองและแสดงพฤติกรรมแบบให้เกียรติในความเป็นมนุษย์กันด้วย
"ไม่เถียงค่ะว่าเราทำงานแต่งตัวโป๊ โพสท่าเซ็กซี่ ซึ่งคนก็ต้องมองเป็นธรรมดา แต่การมองมันมีหลายแบบ มองแบบให้เกียรติความเป็นคนกับมองแบบดูถูก มันต่างกันนะ จริงๆ คนเราก็เลือกได้ว่าจะมองด้วยความชื่นชมหรือดูถูก ถูกค่ะ พวกเราอาจแต่งตัวโป๊ ชูความเซ็กซี่ให้พวกคุณมอง แต่พวกเราไม่ได้ต้องการให้พวกคุณมาดูถูก หรือแสดงพฤติกรรมหื่นๆ ใส่แบบนี้ และการที่พวกเราแต่งตัวเซ็กซี่ก็ไม่ได้หมายความว่า ค่าความเป็นคนของพวกเราจะลดน้อยถอยลงไป" เธอขยายความก่อนจะให้ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับอาชีพพริตตี้ว่า
"อาชีพพริตตี้เป็นอาชีพที่มีค่ามาก (ลากเสียงยาว) ถึงอาชีพนี้จะกลายเป็นค่านิยมแต่งโป๊ นมโต แต่ไม่มีสมอง แค่คุณรู้ไหมว่า กว่าพริตตี้จะได้มายืนพูด ต้องผ่านการแข่งขันมาเท่าไร บางครั้งต้องผ่านการแข่งขันมาไม่ต่ำกว่า 300 คน ถ้าไม่มีความสามารถ ไม่เหมาะสม หรือไม่โดดเด่นจริง มายืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้นะคะ
นอกจากนี้ พริตตี้ ยังเป็นอาชีพที่ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด วันนี้ต้องพูด และรู้จักกับสินค้าตัวนี้ประหนึ่งว่าตัวเองใช้มาแล้วเกือบ 30 ปี วันรุ่งขึ้นต้องเข้าใจสินค้าตัวใหม่ ต้องไปพูดเหมือนว่าตัวเองรู้จักมันดี เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีสมอง อยู่ไม่ได้ ซึ่งสมองเป็นสิ่งเดียวที่ศัลยกรรมไม่ได้ ดังนั้นคิดจะเป็นพริตตี้ต้องเติมเต็มในเรื่องของความรู้รอบตัวให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องภาษา วิธีเอาตัวรอดอย่างชาญฉลาดที่ไม่ใช่ตามอีโก้ตัวเอง และที่สำคัญ ทำอย่างไรก็ได้ให้แบรนด์ยังคงดีอยู่ แต่เราเอาตัวรอดได้ พูดเลย ถ้ารักไม่จริง อยู่ไม่ได้ และไม่ใช่ใครก็ทำได้ด้วย
ส่วนตัวถามว่าถ้าเลือกได้จะมาเป็นพริตตี้ไหม เอาจริงๆ นะ งานนี้มันเป็นโอกาสของชีวิตนะ จะมีสักกี่อาชีพที่ทำให้คุณได้เจอกับเจ้าของผลิตภัณฑ์จริงๆ หรือได้มีโอกาสนำเสนอตัวเองให้คนเห็นได้เยอะขนาดนี้เพื่อที่จะก้าวไปถึงอีกจุดๆ หนึ่งที่สูงต่อไปเรื่อยๆ แป้งว่าอาชีพนี้ข้อดีคือโอกาส มันอยู่ที่คนทำมากกว่าว่าจะทำให้อาชีพนี้ตกต่ำหรือสูงขึ้น"
จบที่คำถาม "คิดอย่างไร ถ้าโลกนี้ไม่มีพริตตี้" เธอตอบคำถามนี้ไว้อย่างน่าสนใจ และนี่คือคำตอบของเธอ
"ถ้าในโลกนี้ไม่มีพริตตี้มันก็เหมือนกับโลกนี้ไม่มีดอกไม้อ่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วคุณจะมองอะไรล่ะ พริตตี้เป็นสีสันของงานอีเวนต์ทุกอีเวนต์นะ เพราะเป็นคนดึงดูดให้คนสนใจสินค้า ถ้าขาดพริตตี้ไปเหมือนคนกินข้าวแล้วไม่ใส่น้ำปลา ไม่มีเธอก็เหมือนไม่มีเครื่องปรุง แล้วอีกอย่าง ผลิตภัณฑ์เกือบทุกอย่างในสมัยนี้ ลูกค้าเขาฉลาดค่ะ ข้อมูลสินค้าทุกอย่างเขาหาได้ อินเทอร์เน็ตมันกว้างไกลขนาดนั้น แต่สิ่งเดียวที่ต่างกันคือการบริการ ทุกวันนี้มันอยู่ที่ว่าบริการของใครน่าสนใจกว่ากัน เวลาคนซื้อเขาดูที่การบริการนะ ถ้าบริการไม่ดี เขาก็ไม่เอา"
ด้าน บีบี๋ กฤตชกร ศิริสิทธิ์ อายุ 31 ปี พริตตี้ เอ็มซี และนางแบบ เธอพูดในประเด็นการปรับตัวของพริตตี้ในยุคที่มีแค่ความสวย อกโตอย่างเดียวไม่พออีกต่อไปแล้ว
"พริตตี้ยุคนี้ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาค่ะ ทั้งด้านภาษา การพูด การนำเสนอสินค้า โดยเฉพาะภาษานี่ถ้าได้ ค่าจ้างจะเพิ่มเป็นเท่าตัวเลยนะ หรือการพูดเอง ไม่ใช่ว่ามีไมค์คุณจะพูดอย่างไรก็ได้ ต้องมีการพูดที่ชัดถ้อยชัดคำ หรือพูดอย่างไรถึงจะดึงดูดคน ซึ่งไม่ใช่ใครก็ได้จะมาพูด มันต้องได้รับการฝึกฝน และมีชั่วโมงบินที่มากพอสมควร ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ท่องจำสคริปต์ได้อย่างเดียว แต่ต้องเป็นนักเอ็นเตอร์เทรนด้วย" เธอบอก
ส่วนเรื่องความสวยความงาม บี๋บอกว่า ไม่ใช่ทำแล้วจบ บางอย่างต้องปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาดและคนจ้างด้วย
"ทุกอย่างคือการลงทุนค่ะ ทั้งเนื้อทั้งตัวนี่หมดไปหลายบาทอยู่ เฉพาะหน้าก็ปาเข้าไปหลักแสนแล้ว หน้าอกก็ครึ่งแสน ประมาณนั้น แล้วมันไม่ใช่จบเลยไง ผิวอีกล่ะ คอลลาเจนอีกล่ะ ซองนึงก็เป็นร้อยนะคุณ หรือบางครั้งก็ต้องดูเทรนด์ด้วย อย่างตอนนี้จมูกเกาหลีมาแรง รูปจมูกต้องเป็นรูปหยดน้ำ แต่ที่เคยทำมามันดันเป็นแบบดั้งเหินยกสูง ซึ่งก็ต้องถอยใหม่อีก ดังนั้น ของบางอย่างไม่ใช่ใส่ครั้งเดียวแล้วอยู่ได้ตลอดนะจ๊ะ ใครที่บอกว่าสบาย ได้เงินเยอะวันละ 2-3 พัน แต่เงินที่ได้มา บางครั้งมันต้องเอาไว้เป็นทุนความสวยด้วย ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่จบสิ้น"
แม้สังคมบางกลุ่มจะมองว่า พริตตี้เป็นอาชีพที่วันๆ ยืนแต่ขายเรือนร่าง แต่ในฐานะที่เธอทำอาชีพนี้มา 8 ปี เธอมองว่า พริตตี้เป็นอาชีพที่มีประโยชน์
"พริตตี้เป็นเสมือนตัวแทนของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งคนที่จะเข้ามา จะเลือกมองอะไรก่อนระหว่างผลิตภัณฑ์ หรือคนที่เสนอผลิตภัณฑ์ ถ้าไม่มีพริตตี้ก็เหมือนของที่ตั้งวางไว้อยู่เฉยๆ อ่ะค่ะ ดังนั้น พริตตี้มีประโยชน์ค่ะ ไม่ใช่แค่ยืนสวยๆ เท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่เสนอสินค้าให้ลูกค้าได้รู้จักด้วย ขนาดรถราคาหลายสิบล้านยังต้องใช้พริตตี้เลย จริงอยู่ที่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ อาจขายได้ด้วยตัวของมันเอง แต่การมีพริตตี้จะช่วยเร่งยอดขายให้มากขึ้น"
ลึกลงไปถึงอาชีพพริตตี้ทุกวันนี้ ต้องยอมรับว่า มีทั้งดี และไม่ดี คนที่ดี ตั้งใจทำงานก็มีให้เห็นอยู่มากมาย ส่วนคนไม่ดี เน้นขายอย่างอื่นมากกว่าสินค้าก็มีอยู่เช่นกัน
"พริตตี้ทุกวันนี้ ดีๆ ก็มีนะ แก่งแย่งชิงดี แทงข้างหลังกันก็เยอะ หรือพริตตี้ผีที่แฝงตัวเข้ามาก็มีให้เห็นบ้าง ซึ่งพริตตี้กลุ่มนี้จะรับงานโดยมีนัยแอบแฝง เรียกว่างาน ST (ย่อมาจากคำว่า Something) ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามีงานแบบนี้ด้วย เรตคร่าวๆ อยู่ที่ 15,000 บาท เราก็สงสัยว่างานอะไร ได้เงินเยอะจัง สุดท้าย อ๋อ งานอย่างว่า นอกจากนี้ยังมีงาน ET (Entertrain) ด้วย พูดง่ายๆ คือ เป็นพริตตี้ด้วย เป็นเด็กนั่งดริงก์ด้วย ซึ่งเป็นการเอาชื่อพริตตี้ไปแอบอ้าง ทำให้พริตตี้ดีๆ ที่ตั้งใจทำงานถูกเหมารวมเสียๆ หายๆ" บี๋เล่า ก่อนจะเผยประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง
"ส่วนตัวเคยมีเสี่ยทาบทามให้ไปโน่น นี่ นั่นเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่โจ๋งครึ่ม อีกอย่าง เราก็ไม่ใช่แนวอย่างว่า วิธีแก้ปัญหาก็คือ ปฏิเสธแล้วบอกไปเลยว่า มีแฟนแล้วค่ะ ส่วนถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ไปแค่กินข้าว เหมือนเราเป็นไม้ดอกไม้ประดับ แต่ที่ไปส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้า หรือแขกที่ต้องไปรองรับมากกว่า ไม่ใช่เสี่ย หรือใครที่เราจะไปด้วยก็ได้ ซึ่งก็ต้องระวังตัวเองด้วยเหมือนกันค่ะ ถ้าเป็นอะไรมา ไม่สามารถโทษใครได้ นอกจากตัวเราเอง"
ด้าน นุ้ก อัญพัชญ์ วัฒนาตันต์รัตน์ พริตตี้สาววัย 25 ปี บอกคล้ายๆ กันว่า พริตตี้ยุคนี้มีความกดดันสูง และทำงานหนัก ไม่ใช่เป็นกันง่ายๆ อย่างที่ใครหลายคนคิด
"หลักๆ เลยคือการแข่งขันค่ะ เพราะเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ สมัยก่อน คนสวยต้องสวยจริงๆ สมัยนี้ คนดำก็ขาวได้ในพริบตา มันมีอุปกรณ์เสริมที่เข้ามาช่วยเยอะ ดังนั้น ใครๆ ก็สวยได้ งานพริตตี้ก็เลยมีการแข่งขันสูงขึ้น สวยด้วย เก่งด้วย ภาษาดี เงินก็ดีตามไปด้วย ส่วนตัวเริ่มทำงานพริตตี้ตั้งแต่อายุ 18 ปี เดินโน่น เดินนั่น กว่าจะได้งานทีก็ยาก เพราะที่บ้านก็ไม่ร่ำรวย ต้องดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงที่บ้านด้วยค่ะ"
อย่างไรก็ดี เธอเปิดเผยตัวตนว่า ไม่ใช่ผู้หญิงเซ็กซี่ตลอดเวลา และความเซ็กซี่ก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แต่ด้วยความต้องการของสังคม และตลาด ทำให้ความเซ็กซี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานพริตตี้ไปแล้ว
"สมัยนี้ต้องขาว สวย หมวย อึ๋ม เพราะเราต้องเปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาด ชุดทำงานจะหาแบบปิดคอไม่มีละ จริงๆ แล้วทุกตลาดเลยนะ ถ้ามองกันดีๆ เป็นดารา เดี๋ยวนี้ออกมาก็ต้องมีความเซ็กซี่เพื่อดึงดูดความสนใจจากสื่อ อาชีพพริตตี้ก็คล้ายๆ กัน เมื่อสังคม หรือตลาดต้องการแบบนั้น เจ้าของสินค้าอยากได้แบบนี้ พริตตี้ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับงานเพื่อที่จะได้งาน และเงินที่ดีตามมา ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยนะ บางทีการทำงานกับความเป็นตัวเราเองมันก็ขัดกันนะ บางคนมองเราในโลกโซเชียลว่าทำไมต้องถ่ายเซ็กซี่ด้วย จริงๆ มันก็คือการตลาดส่วนหนึ่ง แต่พอไปเดินห้าง หรืออยู่บ้าน นุ้กก็แต่งตัวธรรมดา ไม่ได้เซ็กซี่อะไร ใครที่รู้จักนุ้กก็จะรู้ดีว่า ตอนทำงานกับไม่ทำงาน คนละลุคกันเลย"
สำหรับการเป็นพริตตี้ในยุคนี้ กระแสการตอบรับคืออีกเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากมีผลต่อการได้งานหรือไม่ได้งานด้วย
"พริตตี้ยุคนี้ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกกระแส ถ้าไม่มีกระแส เราก็ไม่มีงาน สังคมให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้จริงๆ ค่ะ วันๆ นั่งต่อสู้กับคอมเมนต์ก็เหนื่อยเหมือนกันนะคะ แต่ถ้าไม่ลงภาพเซ็กซี่ในอินสตาแกรมก็ไม่ได้ เพราะบางงานยอดวิว ยอดฟอลโลมีผลต่อการได้งาน ถ้าเกิดยอดฟอลโลไม่ถึงยอดนี้ ห้ามทำ ทุกวันนี้รับเป็นพริตตี้ ถ่ายแบบ เวลาพักก็แทบไม่ค่อยมี เพราะใน 1 เดือนจะมีเวลาว่าง แค่ 3 วัน แต่ก็ถือว่าเป็นขาขึ้นของนุ้ก ซึ่งนุ้กจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ"
อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่สวยอย่างเดียว ความอดทน ความรับผิดชอบ และตรงต่อเวลาคือหัวใจสำคัญในการอยู่รอด และอยู่ยืดในวงการพริตตี้ด้วย
"บางงาน นุ้กต้องตื่นแต่งหน้าทำผมตี 2 เช้ามาก็ต้องเจอผู้คน บางบูทนี่คนรอหลายร้อยคน ไหนจะต้องจำสคริปต์ บางงานมีเต้นด้วย ก็ต้องซ้อมเต้นอีก บอกตรงๆ นะคะ เหนื่อยมาก ไม่มีความอดทนทำไม่ได้ เพราะพักยังไม่ถึง 5 นาทีก็ต้องออกมาอีกละ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ดังนั้น ภาพที่เราออกมายืนสวยๆ ยืนพูด ยืนให้ถ่ายรูป ลองมาดูข้างหลังเวทีสิคะ สลบหมดแรง ดูไม่ได้กันเลยทีเดียว เสื้อผ้า ยกทรงก็แขวนไว้เหมือนในห้องคนงานเล็กๆ" เธอเผยให้เห็นอีกมุมชีวิตของพริตตี้
ทั้งหมดนี้ เป็นอีกมุมที่สะท้อนให้เห็นว่า อาชีพพริตตี้ไม่ใช่อาชีพที่สบายอย่างที่ใครหลายคนคิด ถึงแม้ว่าจะเป็นอาชีพที่ต้องแต่งตัวโป๊-เซ็กซี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ค่าความเป็นคนของพวกเราจะลดน้อยถอยลงไปด้วย ส่วนน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ก็ควรดูรุ่นพี่ที่ดีเป็นแบบอย่าง อย่าเห็นแก่เงิน และเห็นแก่ตัวจนทำลายภาพลักษณ์วงการพริตตี้ให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE