เชื่อว่าภาพในโซเซียลเน็ตเวิร์กที่โดนใจหลายๆ คนช่วงนี้ หนึ่งในนั้นคงต้องเป็นภาพ “ฮีโร่กางเกงใน” หรือ “วีรบุรุษกางเกงใน” ที่หลายคนเห็นภาพแล้วให้สรรพนามชายคนนี้ จนเขากลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ เกิดกระแสแชร์ภาพเหล่านี้ในโซเซียลเน็ตเวิร์กมากมาย
ภาพที่ว่านี้เป็นภาพชายคนหนึ่งใส่กางเกงในตัวเดียวลุยสู้ตำรวจอยู่กลางม็อบ โดยที่มือถือถังดับเพลิงฉีดใส่ตำรวจ ส่วนอีกภาพเป็นภาพเขานอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น พร้อมกระแสข่าวว่า เขาสู้กับตำรวจจนตัวตาย!
มาวันนี้ชายคนในภาพ คือ “วีรชาติ เปรมกมล” หรือชื่อเล่นว่า “กบ” ชาวจังหวัดกำแพงเพชร วัย 33 ปีคนนี้ออกมาให้สัมภาษณ์กับเรา เพื่อยืนยันว่าเขายังไม่ตาย! พร้อมเผยเรื่องราวว่าทำไม "อดีตเสื้อแดง" อย่างเขาถึงกลับใจมาช่วยชาติในวันนี้
อดีตเสื้อแดงกลับใจ
วีรชาติเล่าว่า “ก่อนชอบใคร ผมก็ต้องสืบเสาะก่อนว่าฝ่ายนั้นเป็นยังไง เมื่อก่อนผมเคยรักคุณทักษิณมาก เลยเคยเป็นเสื้อแดงมาก่อน ช่วงที่มีม็อบกลางเมืองปี 2553 ผมก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเสื้อแดงที่ออกไปชุมนุมกับเขาด้วย ช่วงที่เหตุการณ์ชุลมุน รถมอเตอร์ไซค์ผมถูกยิงพังไปคันหนึ่งที่ซอยรางน้ำและตัวผมถูกปืนยิงเข้าที่ก้นได้รับบาดเจ็บ เพราะเข้าไปช่วยคน
“คิดว่าทุกคนคงรู้แก่ใจว่าคุณทักษิณทำอะไรบ้าง ถ้าเขาทำดี เขาจะหนีไปทำไม ทำไมไม่กลับเมืองไทยมาสู้ความจริง ตอนนี้ผมเลยกลับมาเป็นเสื้อเหลือง เพราะอะไรถูกต้อง ผมก็ไปทางนั้น ผมเป็นคนชอบความยุติธรรม รักความถูกต้อง ถ้าเห็นคุณทักษิณทำผิด ผมก็ไม่เอาเขาไว้”
ลุยม็อบช่วยชาติ
จากเสื้อแดงกลับใจ ก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะเมื่อชายคนนี้ตัดสินใจเลือกข้างมาอยู่กลุ่มของประชาชน เขาก็ลงทุนลางานมาร่วมม็อบที่ กปปส.จัดขึ้น แถมยังลงทุนซื้อเครื่องฉายหนังมาฉายหนังให้คนดูฟรีๆ อีกต่างหาก
“ตอนนี้ผมทำงานเป็นพนักงานขับรถ สังกัดกรมสรรพากรครับ แต่ก็มาร่วมม็อบด้วย โดยใช้เวลาหลังเลิกงาน บางครั้งก็ลางานมา แต่โชคดีที่ที่ทำงานเข้าใจ เจ้านายบอกว่าถ้ารักประชาธิปไตยก็ไปเลย เขาไม่ว่า ตอนหลังกลับไปกรมสรรพากร เห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์คนที่ทำงานผมมีแต่รูปผมเต็มไปหมด เพราะเขาชอบใจที่มีรูปผมขึ้นเวที และรูปผมใส่กางเกงในลุยม็อบ (หัวเราะ)
“ผมออกไปชุมนุมประท้วงรัฐบาล เพราะเห็นว่าเขาไม่สมควรทำงานต่อไป รัฐบาลทำงานต่อไปไม่ได้แล้ว เขาบริหารงานผิดพลาด ไม่ได้ทำงานเต็มที่ ดูแล้วมีคนสั่งการมาจากเมืองนอก นายกฯ ไม่ได้ทำงานเอง เห็นเขาทิ้งข้าวให้เน่าเป็นหมื่นๆ ตัน ถามว่าเอาข้าวเหล่านี้มาให้ประชาชนคนจนๆ ไม่ดีกว่าเหรอ
“ช่วงที่มาม็อบ ผมก็เอาหนังมาฉายให้ประชาชนดูฟรี ไม่ได้คิดตังค์อะไรเลย ช่วยกันทำกับพี่ชาย ชื่อ พี่โก๋
เขาขับวินมอเตอร์ไซค์แต่ก็เจียดเวลามาช่วยทำตรงนี้ด้วย เครื่องฉายหนังและเครื่องเสียงที่เอามาเป็นของผมทั้งหมดเลย รวมมูลค่าทั้งหมดแสนกว่าบาท แต่โชคดีที่ผมมีเครื่องเสียงอยู่แล้ว พอจะมาม็อบ เลยลงทุนซื้อเครื่องฉายหนังและจอหนังเพิ่มอีกสองหมื่นบาท ซึ่งผมใช้เงินส่วนตัวด้วยการเอารถมอเตอร์ไซค์ตัวเองและมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนไปจำนำ เพราะเพื่อนอยากช่วยด้วย แต่พอเงินเดือนออก ผมก็ไปเอาเงินไปไถ่รถออกมาแล้ว
“แม้จะต้องเสียเงินซื้อเครื่องฉายหนังและ ซื้อแผ่นหนังใหม่ๆ ทุกวัน แต่ผมก็มีความสุข เวลาเห็นคนดูนั่งดูหนังแล้วหัวเราะ บางคนถามว่าถูกจ้างมาเหรอ ผมก็จะตอบว่า “เปล่าครับ มาเองฟรีๆ” รู้สึกสุขใจที่ได้ทำอย่างนี้”
ไอ้อ้วนเสี่ยงตาย!
วันที่วีรชาติต้องจำไปอีกนานคือ เหตุการณ์ที่เขาเสี่ยงตายสู้กับตำรวจในม็อบด้วยสภาพกางเกงในตัวเดียว แถมยังถูกตำรวจยิงแก๊สน้ำตาลใส่เข้าที่หน้าผาก จนได้รับบาดเจ็บ กระทั่งหลายคนนึกว่าเขาจะไม่รอด
“วันเกิดเหตุ คือ วันที่ 1 ธันวาคม ผมไปลุยม็อบตั้งแต่เช้า เจอตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ แสบตาแสบตัวมาก เลยถอดเสื้อผ้าเหลือแต่กางเกงในแล้วใช้น้ำตักอาบน้ำอยู่ริมถนน จังหวะกำลังอาบน้ำอยู่ เห็นตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้ามาใส่ประมาณ 10 ลูก คนแตกฮือหนีกันใหญ่
เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังอาบน้ำอยู่แถวนั้น หันไปเห็นป้าคนหนึ่งโดนแก๊สน้ำตายิงเข้าที่ตัวแล้วฟุบอยู่ที่พื้น เลยหยุดอาบน้ำและวิ่งเข้าไปช่วยเขา เอาน้ำล้างหน้าล้างตาให้ป้า สักพักตำรวจยิงแก๊สน้ำตาอีกสองลูกมาโดนป้าคนนี้อีก ผมชักฉุนว่าลูกเก่าก็จะทำให้ป้าตายอยู่แล้ว นี่ยังยิงซ้ำเข้ามาอีก เลยลากถังดับเพลิงไปฉีดใส่ตำรวจทั้งๆ ที่ยังใส่กางเกงใน จนตำรวจต้องหนีร่นไปข้างหลัง หมดถังดับเพลิงไป 15 ถัง
“ตำรวจด่ากลับว่า “มึงเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง หน้ากงหน้ากากไม่ใส่” แต่ตอนนั้นผมลืมตัวไปแล้ว ลืมว่าตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อผ้า มีแค่กางเกงในตัวเดียว ขนาดคนใส่เสื้อผ้าครบเจอแก๊สน้ำตายังทนไม่ได้ แต่ทำไมผมทนได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่กล้าทำอย่างนั้น เพราะรู้สึกโกรธว่าทำไมต้องซ้ำเติมคนแก่ เพราะเขาโดนแค่ลูกเดียวก็จะตายอยู่แล้ว นี่ยิงมาอีกสองลูก”
ความที่วีรชาติเป็นคนกล้าอย่างนี้เอง ทำให้ตำรวจเห็นเขาเมื่อไหร่ เป็นต้องถอยกรูเมื่อนั้น แถมยังให้ฉายาเขาว่า “ไอ้อ้วน” ด้วย
“พอผมลุยเข้าไป ตำรวจจะเรียกผมว่า “ไอ้อ้วนมันมาแล้ว ถอยๆ” จนแกนนำประกาศว่าพอแล้วนะ ตอนนี้เราพัก ผมเลยเดินกลับเข้ามา กะจะมาใส่เสื้อผ้า แต่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผมอีกสี่นัดที่หน้าผากและมันเกิดระเบิดขึ้น ผมเลยฟุบทั้งยืน นอนนิ่งเลย เพราะเจ็บจากแรงระเบิด ตอนไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกคุณต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนะ เพราะแผลถูกยิงทะลุที่หน้าผากลึกมาก หมอต้องเย็บสี่เข็ม ผมบอกว่าถ้าหมอให้นอน ผมจะหนี หมอเลยต้องยอมให้ผมออกจากโรงพยาบาลมา
“จังหวะที่ผมบาดเจ็บและไปโรงพยาบาลอยู่นั้น ตำรวจประกาศว่า “ไอ้อ้วนตายแล้วๆ เป็นไงล่ะ อยากเข้ามาไหม อยากเป็นอย่างไอ้อ้วนมั้ย” ทุกคนจึงไม่กล้าบุกเข้าไป เพราะกลัวตาย บางคนเห็นภาพผมนอนจมกองเลือดก็นึกว่าผมตายไปแล้ว มีคนเฟซบุ้คบอกว่า “ขอขอบคุณวีรบุรุษที่ช่วยเรา ไม่น่าจากไปไวเลย ขอให้ขึ้นสวรรค์” ตอนหลังทนายนกเขาต้องเรียกผมขึ้นไปพูดบนเวที เพื่อชี้แจงให้ประชาชนรู้ว่าผมยังไม่ตาย
“พอกลับมาที่ม็อบ ผมยังมีพลาสเตอร์แปะอยู่กลางหน้าผาก ตำรวจเห็นผมก็บอกว่า “มันมาอีกแล้ว ไอ้อ้วนมาอีกแล้ว” ผมเอาถังดับเพลิงไปฉีดใส่ตำรวจอีกจนตำรวจบอกว่า “แกนนำบอกเขาหน่อยครับ ตอนนี้เราพักยกอยู่” แกนนำว่า “คุณเข้ามาข้างในนะครับ ไม่งั้นผมจะหาว่าคุณเป็นแดงปลอมแปลง” แต่พอแกนนำเห็นหน้าผมก็บอกว่า “อ้าวกบเองเหรอ ออกจากโรงพยาบาลได้ยังไง” เพราะผมไปโรงพยาบาลแค่สามชั่วโมงก็ออกมาลุยม็อบต่อเลย”
เริ่มดัง
ภาพที่วีรชาติออกมาลุยม็อบสู้ตำรวจด้วยกางเกงในตัวเดียว กลายเป็นกระแสฮือฮาในอินเทอร์เน็ตและถูกแชร์ภาพออกไปมากมาย คนส่วนใหญ่ประทับใจที่เขากล้าหาญ กล้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับตำรวจโดยที่ไม่ได้สวมหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตาแต่อย่างใด แต่แม้จะโด่งดังในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เจ้าตัวกลับไม่ได้รู้ตัวล่วงหน้าเลยสักนิด เพราะไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กและไม่มีโทรศัพท์มือถือ!
“ผมไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเฟซบุ๊ก เลยไม่รู้ว่ามีรูปตัวเองปรากฏในเฟชบุ๊กและโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีคนเอารูปไปแชร์มากมาย มารู้ว่าตัวเองดังตอนมีคนดึงผมไปถ่ายรูปแล้วบอกว่า “นี่ไงๆ กางเกงในตัวเดียว” ผมต้องถามว่ามันคืออะไรพี่ เขาเลยเปิดภาพผมในอินเทอร์เน็ตให้ผมดู และบอกว่าเป็นชาวต่างประเทศถ่ายไว้ได้ บางคนบอกว่ากบรู้ไหมว่าตอนนี้น้องดังไปทั่วโลกแล้ว หรืออย่างพี่เจ- เจตริน (เจตริน วรรธนะสิน) ก็บอกว่าอยากให้บัตรคอนเสิร์ตของเขาฟรีตลอดชีพกับฮีโร่กางเกงใน ซึ่งผมได้ยินอย่างนี้ ก็ดีใจครับ
“ล่าสุดมีคนโทรทางไกลจากมาเลเซียแล้วขอสายคุยกับผม เขาบอกผมว่า “พี่สอนลูกว่าให้เอาอย่างพี่คนนี้นะ เขาไม่กลัวอะไร สู้จนได้ชัยชนะ ผมตอบพี่เขาไปว่า ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนผิด ไม่ต้องกลัวเลย แต่ถ้าคนถูก ให้ความเกรงใจ ให้ความเคารพเขา ดังนั้น เราไม่ต้องไปกลัวรัฐบาล ผมไม่กลัวหรอก ถึงจะเป็นกระสุนจริง ผมก็ไม่กลัว เพราะถ้าผมไม่ไป คนแก่จะต้องเจ็บอีกเยอะ”
พอกลายเป็นคนดังแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?
“ผมมีความสุขที่ได้ทำความดีมากกว่า ส่วนตัวแล้วผมเองยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ผมก็จะยังไปลุยม็อบเหมือนเดิม มาฉายหนังให้คนดูเหมือนเดิม แต่คิดว่าสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือ เวลาคนเห็นผม เขาจะอุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ผมบอกกับคนอื่นเสมอว่า “ผมจะสู้แค่ตายนะพี่น้อง ผมจะปกป้องทุกคน ทุกคนเหมือนพี่น้องกัน”
“แม้เรื่องนี้จะทำให้ผมมีปัญหากับภรรยาบ้าง เพราะคนอื่นอาจจะหวังดีหรืออาจมาให้กำลังใจผม แต่แฟนผมคิดไปอีกอย่าง เขาไม่เข้าใจ ตอนนี้เราเลยไม่คุยกัน ไม่รู้จะทำยังไงกับเขาดี แต่คงต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เองครับ"
“อยากฝากบอกคนอื่นๆ ด้วยว่า สิ่งไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ทำเถอะครับ ประเทศไทยเหมือนบ้านเราที่กำลังจะถูกคนอื่นยึด แล้วคุณจะมองดูคนอื่นเอาบ้านตัวเองไปขายเหรอ คุณจะแค่ยืนมองเฉยๆ เหรอ แต่ถ้าคุณอยากรักษาบ้านตัวเองไว้ คุณก็ต้องออกมาสู้ ผมมองว่ารัฐบาลไม่ดี ผมก็จะสู้ต่อไป
“แม้ไม่รู้ว่าจะแพ้หรือชนะ แต่ผมก็จะอยู่เคียงข้างประชาชนต่อไปครับ”
งานนี้บอกได้คำเดียวว่า หัวใจคุณมันน่ากราบจริงๆ
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
สุพรรษา แก้วแสงธรรม