เซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทย “ดวง-มนตร์ลดา พงษ์พานิช” นอกจากเป็นสาวสังคมคนสวย หลายคนคงน่าจะรู้จักกับอีกด้านของชีวิตเธอ การเป็นดีไซน์เนอร์สาวคนเก่ง เจ้าของแบรนด์ MONLADA ที่เธอทุ่มแรงกาย แรงใจ แบบสุดๆ เพื่อเสกสรรผลงานเสื้อผ้าตามความรัก ความหลงใหลในศิลปะ ถึงแม้ในปัจจุบันทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างดังใจปรารถนา แต่วันนี้ ดวง-มนตร์ลดา จะมาเผยทุกซอกทุมมุมถึงชีวิตและเบื้องหลังการก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้าว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างใจคิดเลย
เปิดใจครอบครัวพงษ์พานิช
มาดสาวสังคมของเธอปรากฏตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น สาวร่างผอมเพรียว สวยสง่าในชุดสีดำในแบรนด์ของเธอเอง สะกดทุกอย่างให้หยุดลง ในวันนี้ “ดวง-มนตร์ลดา พงษ์พานิช” เซเลบฯ สาวและดีไซน์เนอร์คนเก่งแห่ง MONLADA จะมาเผยชีวิตส่วนตัวที่มีครบทุกอรรถรสให้อีกหลายๆ คน ได้รับรู้
ครอบครัวพงษ์พานิชย์เป็นอย่างไรบ้าง?
“ในครอบครัวดวง ดวงจะมีพี่ชายอีกหนึ่งคน เราสองคนก็สนิทกันนะคะ แต่ว่าตอนนี้พี่ชายมีครอบครัวแล้ว ก็เริ่มมีเวลาให้กับครอบครัว ภรรยา หลานสาวตอนนี้ 3 เดือนแล้ว ก็น่ารักค่ะ แต่ดวงไม่ค่อยได้เล่นกับหลานนะคะ เพราะบางทีเราไปทำงาน เราออกไปข้างนอกเรารู้สึกตัวเองสกปรก แล้วพี่เค้าก็นอนกันตั้งแต่สองทุ่ม ดวงกว่าจะเสร็จงานห้าทุ่ม ก็หลับกันไปหมดแล้ว ก็เลยเลือกจะไปเจอตอนช่วงวีคเอนท์ ไม่ก็ตอนเช้าก่อนออกไปทำงาน”
กับคุณพ่อ (มนตรี พงษ์พานิช) เป็นอย่างไร?
“คุณพ่อดุมาก (ลากเสียง) ดุแบบดุมากจริงๆ ค่ะ ดุแบบทุกคนในบ้านกลัวและดวงก็กลัว ยกเว้นคุณแม่คนเดียว ส่วนคุณแม่ก็จะสวนทางกัน จะไม่ดุพร้อมกัน แต่คอยเป็นต้นทางให้ อย่างสมัยเด็กๆ มีคนมาจีบ พ่อก็จะไล่ดุว่า ไป๊ กลับไป ขนจั๊กกะแร้ยังไม่ขึ้นเลย” (หัวเราะ)
มีคนในครอบครัวเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตหรือไม่?
“ต้นแบบหรอคะ คุณแม่จะชอบสอนดวงว่าให้อยู่กับความเหงาให้ได้ ถ้าคนที่อยู่กับความเหงาได้นั่นคือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต (หัวเราะเขิน) ตอนนี้ดวงอยู่กับความเหงาได้”
หลังจากที่คุณพ่อเสีย ชีวิตเราเปลี่ยนไปอย่างไร?
“เปลี่ยนค่ะ เละไปเลยค่ะ ปีนึง คือค่อนข้างเหมือนเด็ก ซึ่งดวงมองกลับไป ดวงก็ว่ามันน่าเกลียดอ่ะ คุณพ่อเสีย เราก็ยิ่งควรจะดูแลแม่ให้มากกว่าเดิม ถูกมั้ยคะ แต่ดวงคิดไม่ได้ไง มันเสียใจ ผิดพลาดไปแล้ว แต่ก็กลับมาแล้ว ตอนนั้นดวงอายุ 25 ปี เบญจเพสพอดี
ย้อนวันวาน วัยสุดเฮี้ยว
หลังบทสนทนาเกี่ยวกับครอบครัวของเธอจบลง ดวงก็ได้เล่าย้อนไปไกลถึงวัยเด็ก อธิบายความให้ฟังว่าที่เห็นเธอภายนอกเป็นสาวความมั่นใจสูงนั้น แท้จริงอาจไม่ใช่ทั้งหมด
“ถ้าตอนเด็กๆ ก็มีเรื่องที่จำได้คือ สมัยเข้าโรงเรียนใหม่ๆ ที่ดวงย้ายจากโรงเรียนอนุบาลมาเข้า ป.1 ดวงก็มีความรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนที่ เราก็จะรู้สึกเขินๆ แบบนี้ ดวงก็บอกแม่ แม่ก็บอกว่าไม่ต้องไปเขินหรอก เดินเข้าไปเลย ไม่ต้องกลัวใครนะลูก เดินเข้าไปเลย แล้วแม่ไม่ไปส่งดวงหรอคะแม่ ไม่ไป เธอเดินไปคนเดียวสิ (หัวเราะ)
ปกติป.1 พ่อแม่คนอื่นๆ เค้าก็จะจูงมือลูกไปโรงเรียน คือนึกถึงอารมณ์เด็กๆ อ่ะคะ การเปลี่ยนที่มันทำให้เรารู้สึกกลัว ซึ่งดวงแค่ 7-8 ขวบเอง”
ขี้อายขนาดนี้ คุณพ่อ-คุณแม่ ต้องตามใจและโอ๋เธอมากแน่ๆ
“ไม่เลยค่ะ คุณพ่อดวงเค้าจะเขียนสมุดรายงานหน้าชั้นหรือสมุดพก เค้าก็จะชอบเขียนหลังสมุดพกว่า ให้ลูกพูดหน้าชั้นบ่อยๆ แล้วเวลาดวงขึ้นไปพูดหน้าชั้น ดวงก็จะเขินอ่ะ (ยิ้ม) คือมันก็เป็นเรื่องสมัยเด็กนะ เล่าให้เพื่อนฟังก็จะขำๆ ก็จะอาย ตอนนี้ก็ยังเขินอยู่นะ จนถึงปัจจุบัน (หัวเราะเบาๆ)
จากนั้นขึ้นชั้นมัธยมเป็นอย่างไรบ้าง?
“ดวงเรียนชั้นมัธยมที่เตรียมอุดมค่ะ ตอนวัยรุ่นก็เฮี้ยวพอตัวเหมือนกัน พอเข้าไปที่เตรียมฯ ก็เข้าโรงเรียนใหม่ เจอเพื่อนใหม่อีกที่นึง ก็ไม่ค่อยเรียนหนังสือ ไม่ตั้งใจเรียน ดวงจะชอบวาดรูป แล้วห้องดวงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเรียนหนังสือเลย จะมีคนเรียนหนังสืออยู่แค่ประมาณแถวหน้า แล้วทุกคนก็จะมีกิจกรรมของตัวเอง บางคนก็จะจับกลุ่มคุยกัน บางคนก็นอนหลับ บางคนก็นั่งจีบกัน อันนี้เฉพาะห้องดวงนะ (หัวเราะเขิน) ส่วนตัวดวงก็จะชอบทำงานศิลปะนั่งแปะนั่นแปะนู่นไปเรื่อย”
อย่างนี้เรื่องเอ็นทรานซ์ ไม่เครียดเลยหรอ?
“จริงๆ ก็เตรียมเอ็นท์ฯ นะคะ แต่สอบไม่ติด ไม่ชอบอ่านหนังสือ ใจเราอยากไปเมืองนอกไง เวลาอยู่ในห้องจะเอาหนังสือมาวางไว้ข้างหน้าเล่มเบ้อเริ่มเลย ทำเหมือนนั่งอ่านหนังสือ พอแม่เดินมาเช็คก็เออ อ่านหนังสืออยู่นี่ แต่จริงๆ ไม่ได้อ่าน (หัวเราะเบาๆ) ก็ไปสอบตอนนั้นก็พอรู้ตัวอยู่แล้วว่าไม่ได้ แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยอยากสนับสนุนให้ไปเพราะหวง (ยิ้ม) ท่านอยากให้เรียนเอแบค (มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ) แต่ดวงก็ไม่ยอม”
ลัดฟ้าหนีไปเรียนนอก
ตัดสินใจไปเรียนเมืองนอก เพราะอะไร?
“เรามีความรู้สึกว่า อยู่เมืองไทยเราไม่ได้เรียนหนังสือแน่เลย เพราะดวงเพื่อนยอะ สนุก มีความสุขอยู่กับเพื่อน เลยคิดว่าไปเมืองนอกอาจจะได้เรียนบ้าง ไปอยู่คนเดียว ก็เลยบอกคุณพ่อว่าส่งดวงไปเรียนที่ไหนก็ได้ เป็นเมืองเล็กๆ ในหุบเขา ในบ้านนอก ไม่ต้องมีอะไรเลย ห่างไกลจากแสง สี เสียง คุณพ่อก็เลยส่งดวงไปที่โรงเรียนประจำ
ตอนนั้นดวงไปเรียนโรงเรียนมัธยมปลายก่อน ประมาณปีนึงมั้ง ไปเรียนโรงเรียนแม่ชี อยู่ในภูเขา ชื่อโรงเรียน St. Scholastica Academy อยู่ที่เมือง Canon City ก็จะเป็นเมืองที่อยู่ไกลมาก แล้วพี่ชายดวงเรียนอยู่อีกเมือง นั่งรถก็หลายชั่วโมงเหมือนกัน พอถึงช่วงวีคเอนท์ พี่ชายก็จะมารับน้องสาวกลับมานอนด้วย แล้วพอไปเจอดวงก็ร้องไห้ อยากกลับบ้าน โทรหาพ่อ-แม่ อยากกลับเมืองไทย เหงา พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยไงคะตอนนั้น”
สถานการณ์ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ในตอนนั้น แย่มากเลยใช่ไหม?
“โอ้โห พูดไม่ได้เลยค่ะ แต่ว่าตอนนั้นก็จะมีกลุ่มเพื่อนเม็กซิโก-เม็กซิกัน ก็จะพูดได้นิดหน่อย แล้วก็จะมีเพื่อนญี่ปุ่นอีกคนนึง คือโรงเรียนที่ดวงไปเรียนจะมีเด็กต่างชาติมาเรียนด้วย แล้วตอนนั้นดวงก็ไม่ถูกกับครูสอนเปียโน เค้าเป็นอะไรไม่รู้ เค้าก็ไม่ชอบดวง อยู่ดีๆ ดวงไปบ่นกับเพื่อนรูมเมทที่เป็นฝรั่งอ่ะนะคะ แล้วเค้าก็เอาเรื่องนี้ไปฟ้องครู ครูก็เรียกดวงไปด่า ดวงฟังออกแต่ว่าดวงพูดไม่ได้ ครูบอกว่าคนอย่างเธอเนี่ย ไม่มีทางประสบความสำเร็จในชีวิตหรอก
ดวงโกรธมาก (ลากเสียง) ดวงร้องไห้เลย พอออกมา เพื่อนๆ เม็กซิกันรออยู่ข้างหน้าก็ถามว่าดวงโอเคมั้ย ตอนนั้นดวงก็ร้องไห้อยู่ แต่พยายามเล่าให้เค้าฟังว่าครูว่าอะไรเราบ้าง ตอนนั้นคิดในใจว่าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อ่ะ ทำไงดี เราอึดอัด เหมือนโดนคนด่ามาแล้วเราเถียงกลับไม่ได้”
จากนั้นก็เลือกศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
“พอปริญญาตรีดวงมาต่อที่ Johnson and Wales University สาขา Advertising Public Relations เรียนอยู่ประมาณปีนึง ดวงก็คุยกับคุณแม่อีก เผอิญว่าไปเจอโรงเรียนด้านอาร์ต ดวงก็อยากไปเรียนกราฟิก ดีไซน์ คือดวงชอบอาร์ตไง ก็บอกแม่ว่า ดวงอยากเรียนอาร์ต อยากเรียนอะไรแบบสร้างสรรค์ พ่อกับแม่ดวงก็บอกว่า ไม่ได้หรอก ให้เรียนจบ Business ก่อนดีกว่า แล้วหลังเรียนจบค่อยว่ากัน ก็เลยต่อปริญญาโท International Business พอเรียนจบก็กลับมาทำงาน ก็มาทำงานอยู่สักประมาณ 2 ปีมั้ง”
รู้ตัวตอนไหนว่าใจตัวเราเองชอบไปทางศิลปะ
“ดวงรู้ตั้งแต่เด็กแล้วนะคะ อย่างที่ดวงบอกว่าจะชอบแปะนั่น แปะนี่ ชอบทำอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ทำให้พ่อ ทำรูป เป็นคนชอบงานศิลปะตั้งแต่เด็ก แล้ววิชาศิลปะดวงจะได้เอตลอด (ยิ้ม) รวมถึงศิลปะอย่างการเต้น การรำ คุณแม่ส่งไปเรียน อันนี้ก็ชอบค่ะ”
มีใครในบ้านชอบด้านศิลปะเหมือนกับเราบ้างไหม?
“ไม่เลยค่ะ คุณแม่ก็ไม่มีหัวด้านนี้เลย กับคุณพ่อตัวเราเองก็ไม่ค่อยสนิทเพราะคุณพ่อดุมาก แต่ตอนคุณพ่ออยู่คุณพ่อจะรักดวงมาก จะเข้ามากอดมาหอมแต่ไม่ค่อยได้คุยกันไงคะ เพราะดวงกลัวถ้าไปทำอะไรผิดมาก็จะไม่กล้าบอก ทีนี้ก่อนเค้าเสีย ตอนนั้นดวงก็ไม่ได้อยู่กับเค้านะ แล้วเค้าบอกแม่ดวงว่า เนี่ย ดวงมันมีหัวศิลปะนะ มันเป็นคนเซนซิทีฟนะ”
คิดว่าตัวเราได้เปรียบหรือไม่ที่มาเรียนเมืองนอก?
“คือเมืองนอกมันก็ดีนะ ดวงว่า มันไม่ได้อบอุ่นเหมือนอยู่เมืองไทย เมืองไทยเรามีเพื่อน เรามีทุกอย่าง ความสะดวกสบาย แต่อยู่เมืองนอกก็ต้องทำเอง ซักผ้า เก็บของ ทำกับข้าว รับผิดชอบเอง ดูแลตัวเองทุกอย่าง ไม่มีใครมาคอยทำให้ คอยดุ คอยว่า มันก็โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ดวงคิดว่า ชีวิตมันมีการต่อสู้มากขึ้นค่ะ”
ปาร์ตี้เกิร์ลตัวแม่
อดีตสาวปาร์ตี้อย่างดวง-มนตร์ลดา รีบสารภาพเลยว่า เธอเก่งมากเรื่องปาร์ตี้
“ปาร์ตี้หรอคะ ดวงนี่เก่งมากเลยเรื่องการปาร์ตี้ (หัวเราะ) พูดจริงๆ นะ ดวงจะมีวิธีปาร์ตี้ของดวงโดยที่ไม่ดวงไม่ต้องดื่มเหล้าก็ได้ คือมันก็สนุกสนาน ได้เต้นรำ ฟังเพลง แล้วดวงว่าการปาร์ตี้ไม่ใช่สิ่งผิด คือคนเราทำงานหนักก็มาปาร์ตี้ เพียงแต่อย่าให้มันเกินลิมิตเท่านั้นเอง
การปาร์ตี้คือการพบปะเพื่อนฝูง พบปะสังคม คือการที่เราได้สื่อสาร ได้คุย ได้แลกเปลี่ยน ถูกมั้ยคะ สมมติ ถ้าเราไม่ไปปาร์ตี้ เจอก็ทำงาน ก็คุยเรื่องงานปกติ ส่วนปาร์ตี้ดวงว่ามันคือการสานสัมพันธมิตรอ่ะค่ะ สำหรับเพื่อนในทุกๆ แบบ แล้วถ้าไม่ไปปาร์ตี้เลย วีคเอนท์ก็ไปกินข้าวกับเพื่อนสมัยเรียน ก็เจอเพื่อนเก่า แต่เราก็ไม่ได้เพื่อนใหม่ การที่เราทำงานมันต้องมีปาร์ตี้ไง คือมันเป็นของคู่กัน”
แล้วชอบไปปาร์ตี้ที่ไหน?
“ไม่ที่คอนโดนี้ ก็ตามงานต่างๆ แต่ช่วงนี้ดวงร้างปาร์ตี้ไปแล้วเหมือนกัน ไปน้อยลง เริ่มอายุมากแล้ว ก็จะ 40 แล้วนะ มันก็เหนื่อย บางทีมันก็ไม่ไหวนะ แต่อยากไปนะ ใจอ่ะอยากไป (หัวเราะ) พอถึงเวลาจริงๆ มันเหนื่อยไง แล้วดวงก็มีงานต้องรับผิดชอบ”
ตอนนี้อยากพักเรื่องปาร์ตี้บ้างหรือยัง?
“ตอนนี้ดวงถือศีลอยู่ (หัวเราะ) ไม่กินเหล้า ไม่ปาร์ตี้ จะเป็นช่วงเวลาไป ซึ่งคุณแม่ก็มีปรามๆ บ้างว่า ดวง เธอก็อายุเยอะแล้วเนอะ เพลาๆ ลงบ้าง แม่เป็นห่วง กลัวสุขภาพเราจะแย่ แต่ตอนนี้ดวงก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะคะ (ยิ้ม) เหมือนกับเรารู้ตัวเอง ถ้าไม่ไหวก็งดเหล้า ออกกำลังกาย ปาร์ตี้น้อยหน่อย ทำงาน ตื่นเช้า เทรนนิ่ง ทานอาหารที่มีประโยชน์”
เป็นสาวปาร์ตี้หนักขนาดนี้ เคยคิดว่า อยากกลับไปแก้ไขอดีตในจุดใดบ้าง?
“แก้ไขหรอคะ (คิดนาน) คงไม่มี เพราะว่า ดวงคิดว่า สิ่งที่ดวงทำมาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการที่ดวงเดินทางผิด หรือว่าเดินทางถูก หรือการทำอะไรก็ตามเนี่ย มันเป็นประสบการณ์ของดวง แล้วมันทำให้ดวงแข็งแรงมากขึ้น การที่ดวงเคยเลือกเดินทางผิด เคยเสียใจ เคยร้องไห้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ดวงเข้มแข็ง
ทุกวันนี้ถ้าดวงเจอเรื่องนั้นๆ อีก ดวงจะไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วดวงอยู่ได้ คือดวงโชคดีด้วยซ้ำไป เพราะว่าตอนนี้อายุเริ่มมากขึ้น ถ้าดวงไม่เคยเจอเรื่องเหล่านี้ในชีวิตเลย แล้ววันหนึ่งดวงไม่มีใครเลย ทุกคนจากดวงไปหมดอย่างนี้ อนาคตดวงจะอยู่ได้ไง แต่ตอนนี้ดวงยังมีคุณแม่อยู่ มีพี่ชายอยู่ แล้วถ้าสมมติดวงเกิดมีเรื่องหนักๆ แล้วไม่มีใครอยู่กับดวง ไม่มีประสบการณ์ที่เคยเสียใจมาก่อน ดวงต้องตายคาที่แน่ๆ เลย ดวงเลยคิดว่าสิ่งที่ดวงทำลงไปทุกอย่างในอดีต มันไม่จำเป็นต้องกลับไปแก้ไขเลย”
แล้วเปลี่ยนนิสัยจากคนใจร้อนมาเป็นคนใจเย็นขึ้นได้อย่างไร?
“ด้วยอายุที่มากขึ้นด้วย แล้วก็เหมือนได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง อย่างที่บอกไงคะ คือเหมือนประสบการณ์ที่ดวงได้มา ความใจร้อนมันเป็นการสูญเสีย หนึ่ง สูญเสียคนที่เรารักรอบข้าง สูญเสียความรู้สึก สูญเสียตัวเอง เพราะว่าเราทำร้ายตัวเองด้วยในเวลาเดียวกัน คือมันสูญเสียทุกอย่าง เพราะฉะนั้นดวงก็เลยพยายามเย็นขึ้น มันเหนื่อยไงคะ สุดท้ายตัวเราก็คือคนที่เจ็บที่สุด”
ตะลุยตามล่าความฝัน
กลับมาคุยถึงประเด็นเรื่องการเรียนด้านศิลปะอย่างจริงจัง ถึงตอนนั้นจะเรียนจบปริญญาโทแล้ว แต่ไม่มีใครแก่เกินเรียน ดวงเลยเริ่มปฏิบัติการเรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองใฝ่ฝัน
“ดวงเริ่มทำ Portfolio ก่อน ส่งไปที่ Saint Martin’s School of Art ที่ลอนดอนอ่ะนะคะ เพราะดวงได้ข่าวามาว่าแฟชั่นดีไซน์เนี่ย ต้องไปที่นั่น คือถ้าเข้าได้จะเจ๋งมาก ดวงอยากได้อยากเข้ามาก ตอนนั้นดวงก็อยู่ที่นู่น ก็สมัครไว้ 2 ที่ คือที่ Parsons ที่นิวยอร์ค กับ Saint Martin ที่ลอนดอน แล้วดวงก็เข้าได้ สองที่เลย ตอนนั้นดีใจมาก เพราะเกิดมาเรื่องเรียนไม่ค่อยเก่ง (ยิ้ม) ก็เลย ซึ่งสุดท้ายตัดสินใจไปเรียนที่พาร์สันในตอนหลัง”
สุดท้ายที่มาเลือกเรียนที่พาร์สัน
“ตอนหลังดวงก็เลือกมาเรียนที่พาร์สัน คือเหมือนนิวยอร์กมันมีโอกาสมากกว่าที่จะโตไปทางด้านของแฟชั่น ด้านของมาร์เก็ตติ้ง หรือการขาย เป็นแนวโน้มที่จะมีความสำเร็จเกี่ยวกับเรื่องแบรนด์ ดวงเลยตัดสินใจไปเรียนที่นั่น ซึ่งมันดีทั้งสองโรงเรียนนะคะ เป็นท็อปทั้งคู่ ไม่ได้ต่างกันเลย”
การเรียนทั้งสองที่มีความแตกต่างกันตรงไหน?
“ก็เหมือนเดิมค่ะ เรียนวาดรูป แต่มันจะใช้ระยะเวลาสั้นกว่าเซนต์มาร์ติน คือที่เซนต์มาร์ตินเนี่ยเค้าสอนให้เป็น Artist ระยะเวลาสามเดือนเนี่ย ดวงต้องทำสเกตช์บุ๊กเล่มนึง ประมาณสิบกว่าหน้า วาดอะไรลงไปก็ได้ วาดแปะ ทำนู่นทำนี่ สมมุติว่าให้ไปหา inspiration ที่ไชน่าทาวน์ ลอนดอน เดินไปเจออะไรก็ถ่ายรูป ถ่ายรูปเสร็จปุ๊ป เอารูปกลับมาทรานฟอร์มลงมาอยู่ใน สเกตช์บุ๊ก ตอนนั้นดวงทำรูปเท้า จำได้ ก็แกะทรานส์ฟอร์มออกมาเป็นนิ้วได้ไงก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ก็เอาลายนิ้วเท้าที่เป็นวงๆ เส้นๆ เนี่ยนะคะ มาทำลายผ้า นี่คือสิ่งที่เซนต์มาร์ตินสอน คือเค้าจะให้เอาดีเทลเล็กๆ ของสิ่งของ อย่างกล่องทิชชู่กล่องเดียวเนี่ย ต้องทำลายออกมา
สเกตช์เป็นยี่สิบหน้า
เก้าโมงเช้าถึงหกโมงเย็นดวงอยู่ที่โรงเรียนทุกวัน นั่งวาดรูป บางทีงานดวงครูเค้าไม่ชอบ เค้าโยนงานทิ้งเลยนะ ดวงเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำ แบบเสียใจมาก ดวงนั่งเย็บถึงตีสาม ตอนนั้นเราคิดว่างานเราเจ๋งแล้วไง แต่ตอนที่เอาไปให้ครูดู เค้าก็หยิบงานขึ้นมาแล้วบอกว่า Look Cheap! แล้วทุกคนจะต้องต่อสู้กันในวันพรีเซนเทชั่น ทุกคนต้องเจ๋ง ดวงก็ไม่ยอมแพ้ คือเราเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ต้องแข่งขันในเวลาเดียวกัน แต่เราก็รักกันนะ ซึ่งทุกคนก็จะมีไอเดียไปในทางของตัวเอง เป็นสไตล์ของตัวเอง ตอนนั้นก็เสียใจนะ แต่แปปเดียวแล้วก็กลับมาทำใหม่”
เรียนหนักขนาดนี้ แต่ก็จบมาอย่างภาคภูมิ เรารู้สึกอย่างไร
“คือดวงเคยคิดมองย้อนกลับไปนะ จริงๆ ครูเค้าต้องการจะผลักเราให้เรามีความพยายามมากกว่านี้ ขืนบอกว่าทุกอย่างดีหมด อย่างนี้เด็กนักเรียนก็ขี้เกียจ ไม่ทำอะไรเลยวันๆ เพราะเนี่ยเสร็จแล้ว พอเราทำงานเสร็จเราก็ภูมิใจ คิดว่า อุ้ย ชั้นทำได้ขนาดนี้เลยหรอ คือด้วยความที่เค้าพยายามผลักดันเรา ให้วาดๆๆๆๆ เป็นร้อยแบบ แล้วสุดท้ายเลือกเอาแค่แปดดีไซน์”
เปิดร้านเสื้อผ้าที่ใฝ่ฝัน
หลังจากดวงเรียนจบตามสิ่งที่เธอรักและฝัน ก็กลับมาเมืองไทย ในตอนนั้นร้านเสื้อผ้ายังไม่เกิดขึ้น แต่โดดลงมาช่วงงานธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่เธอเป็นหุ้นส่วนก่อน
“ตอนเรียนจบกลับมาเมืองไทยก็ทำงานนะคะ ดวงเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์หุ้นกับญาติ พี่ชาย เค้าอิมพอร์ตเข้ามา แล้วก็ช่วยเค้า เป็นหุ้นส่วนอยู่ประมาณ 2 ปี ดวงก็มาคลุกคลีกับวงการแฟชั่นเนี่ยแหละค่ะ เพราะมีเพื่อนเป็นดีไซน์เนอร์ รวมถึงเจอช่างแต่งหน้า สไตลิสท์ ที่เค้ามายืมสถานที่ถ่ายทำที่ร้าน คือร้านนี้แต่ก่อนเนี่ยจะมีคนมาชอบยืมเป็นสถานที่ถ่ายรูป ดวงก็ให้ยืม แลกกับการโปรโมตร้านอ่ะเนอะ”
จากนั้นเมื่อคลุกคลีกับด้านแฟชั่นมากขึ้น เลยอยากก้าวเข้ามาทำแบรนด์เสื้อผ้า ที่มีคุณแม่ (คุณหญิงธิดา พงษ์พานิช) ช่วยดันด้วยการยกบ้านหลังเก่าและเงินทุนจำนวนหนึ่งสำหรับการก่อตั้ง MONLADA Studio
“คุณแม่ก็สนับสนุนนะคะ ตอนนั้นท่านให้บ้านเก่ามา ไม่มีคนอยู่มาแล้ว 20 ปี (หัวเราะ) ตอนแรกดวงขอ ขอไปเช่าที่สุขุมวิทได้มั้ย คุณแม่ก็บอกว่า เธอจะไปเช่าที่ทำไม เสียดายเงิน เดือนละแสนสองแสน แล้วร้านเราเพิ่งจะเริ่ม มันเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็เลยถามดวงว่า เอาอย่างนี้มั้ย แม่มีบ้านหลังนึง แต่ว่าไม่มีคนอยู่เลยมา 20 ปี อยู่ตรงข้ามกับตลาดบองมาเช่ ตรงหน้าวัดเสมียนนารี ตอนแรกดวงก็ไม่ยอมนะ เอาแต่ใจตัวเอง พอมานั่งคิดทบทวนดูอีกที เออก็จริงของแม่ ก็เลยเดินเข้าไปขอโทษ
ส่วนเงินก็เป็นเงินทุนจากคุณแม่ ก็รีโนเวทไปหลายล้านอยู่เหมือนกัน เพราะดวงตกแต่งข้างในใหม่หมดเลย ก็คือบ้านมันเก่ามากเข้าไปแล้วรู้สึกหลอนๆ เหมือนมีวิญญาณ (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็กลายเป็นมนตร์ลดา สตูดิโอ (ยิ้ม) เป็นสตูดิโอก็คือเหมือนเป็นออฟฟิศนั่นแหละ แต่ดวงอยากใช้คำว่าสตูดิโอ เพราะว่ามันเป็นที่รวมคนทำงานหลายประเภท หลายแขนง ทั้งด้านของดีไซน์ ตอนนี้ก็กำลังขยายเพิ่ม แต่ส่วนมากลูกค้าจะไม่ค่อยได้เข้าไปตรงนั้น จะมาที่ร้านตรงทองหล่อซอย 13 ซีนสเปซ แล้วก็มีเซน เซนทรัลเวิล์ดชั้น 2 แล้วก็กำลังจะเข้าพารากอน เดือนตุลาคมนี้”
อนาคตอยากขยับขยายร้าน เพิ่มสาขาอีกหรือไม่?
“ก็ถ้ามีโอกาสก็อยากทำ จริงๆ มันยากนะ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปตามดั่งใจอยาก ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ทำไปเรื่อยๆ คือเรายังไม่คิดจะหยุดตรงนี้นะคะ”
นี่แหละ แบรนด์ MONLADA
“เรื่องแบรนด์ MONLADA ที่ทำอยู่ จะเป็นแบรนด์ผู้หญิงที่โมเดิร์น คลาสซี่ แล้วก็เซกซี่ ในแง่ของตัวแบรนด์ คือดวงพยายามทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำในแง่ของ คนมองมาแล้วรู้ว่าเนี่ยแหละคือ MONLADA ก็ทำมาขึ้นปีที่ 4 ปีนี้ (ยิ้ม) เร็วๆ นี้ก็อาจจะแฟชั่นโชว์ครบรอบ 4 ปีด้วย”
คำตอบจากเจ้าของแบรนด์ผู้ใส่ความเป็นตัวตนของเธอลงไปในเนื้องาน ซึ่งถึงแม้จะใส่ใจในรายละเอียดงานมากขนาดไหน สิ่งที่ต้องควบคู่ไปด้วยคือการขายและการตลาด
“ถามเรื่องงานขาย ยากมากค่ะ คือดวงเป็นเด็ก Artist มากกว่ามาร์เก็ตติ้ง แต่ก็พยายามอ่ะ ทุกอย่างดวงว่ามันต้องเรียนรู้แล้วเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าปัญหาที่สตูดิโอมีเรื่องอะไรบ้าง ก็จะมีเรื่องโปรดักชั่น เรื่องมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งมันเยอะเหมือนกัน แต่มันก็เป็นปัญหามานานแล้วพอสมควร ซึ่งตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้วนะ ตอนที่ออกคอลเลคชั่นแรก แทบไม่ได้ผลิตไง (หัวเราะ) ผลิตมาแค่บางแบบ แบบละประมาณ 4 ตัว มันผลิตไม่ทันไงคะ มีช่างแค่ 4 คน แล้วตอนนั้นเราก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ตอนนี้เราก็เริ่มส่งออกไปผลิตตามโรงงานบ้าง บางดีไซน์ที่สามารถนะคะ
แล้วดวงก็กำลังจะมีแบรนด์เล็กออกมา เอามาเสริม ชื่อว่า Noirz By Monlada แบรนด์นี้ก็จะจับตลาดวัยรุ่นอายุประมาณ 18-25 ปี ลักษณะเป็นวัยรุ่นที่มีความสามารถที่จะจ่ายเงินเอง ในการซื้อกางเกงดีๆ สักตัว ราคาก็จะอยู่ประมาณ 500 ไม่เกิน 2,000 ซึ่งดวงคิดว่าราคานี้ วัยรุ่นสามารถจับต้องได้ และร้านจะเปิดที่สยามสแควร์ซอย 2 สิ้นเดือนนี้ค่ะ”
ในยุคเริ่มแรก ดวงยอมรับว่าเสียงตอบรับค่อนข้างไม่ดีนัก ในเรื่องของราคา แต่ก็พยายามประคองมาเรื่อยๆ
“เริ่มทำใหม่ๆ มีฟีดแบ๊กเยอะมาก แพงไปหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ แล้วดวงเองก็ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน ก็ซื้อของเค้าใส่ปกติมันก็ราคาขนาดนี้อ่ะ (หัวเราะ) นึกออกมั้ย แล้วงานดวงมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ก็มีดีเทล เย็บยาก งานปักนู่นนี่ ใช้งานฝีมือเยอะ มีทั้งงานแฮนด์เมด ดีไซน์ก็ไม่ได้เหมือนคนอื่น นั่งคิดนั่งวาดมา แล้วอยู่ดีๆ จะให้ดวงดร็อปราคาลง ในความคิด ณ ตอนนั้น ที่เพิ่งเริ่มเปิดอ่ะนะคะ เพราะเราไม่รู้เรื่องการตลาดกับเค้าเลย ก็ใส่ไปเต็มๆ แต่ก็ไม่ได้ผลิตเยอะไงคะ ตอนนี้ก็ยังราคาไว้ในระดับเดิมอ่ะค่ะ ตามแบบ Luxury Brand”
ต้องออกแบบ ดูแล ควบคุมการผลิตด้วยตัวเองทุกอย่าง เหนื่อยและท้อบ้างไหม?
“จริงๆ มันยากมากค่ะ บางทีดวงเสียใจ เกือบจะเลิกทำ บางช่วงถึงขนาดร้องไห้บอกแม่ ว่าแม่ ไม่ทำแล้วนะ เพราะเคยมีคนว่าดวง แล้วดวงไม่ชอบไง แต่ดวงก็วางแผนทุกอย่างหมดเลยนะ แค่ขอให้แบรนด์ MONLADA มันโต มันติดตลาดมากกว่านี้ก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ปุปปับเปิดเลย เราต้องมีการควบคุมที่ดี มีเอกลักษณ์ก่อน ไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำ แล้วดวงทำคนเดียว ไม่มีที่ปรึกษา ทางครอบครัวดวงเป็นข้าราชการหมด ไม่มีใครเป็นนักธุรกิจ ดวงก็จะไม่มีที่ปรึกษาที่ดี ก็ต้องลองผิดลองถูกเองทุกอย่าง”
มองวงการแฟชั่นไทย
ตอนนี้ ปรากฏการณ์แบรนด์ไทยนิยม กำลังเข้ารุกตลาดเสื้อผ้าอย่างมาก พิสูจน์จากหลากหลายแบรนด์คุ้นหู บางครั้งมาจากมันสมองดีไซน์เนอร์ชาวไทย MONLADA คือหนึ่งในนั้น สำหรับดวง-มนตร์ลดา เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ตอนนี้หันไปทางไหนก็มีเสื้อผ้าแบรนด์ไทยหลายหลายให้เลือกละลานตาไปหมด
“เยอะมากค่ะ หลังแบรนด์ MONLADA ออก ตอนนั้นก็มีหลายแบรนด์ออกมาเยอะมาก ตอนแรกก็เยอะอยู่แล้วนะ ตอนนี้ยิ่งเยอะกว่าเดิมอีก (หัวเราะ) แต่ดวงคิดว่าแบรนด์แต่ละแบรนด์ เค้าก็มีเอกลักษณ์ของเค้าไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ส่วนเสื้อผ้าของดวง จะ Based on History Custom ก็คือจะออกแบบจากประวัติศาสตร์แต่ละสมัย อย่างสมมติเราได้ไปปารีส คอลเลคชั่นนี้ที่กำลังจะออกใหม่ ดวงก็เอาแรงบันดาลใจจากนโปเลียนมาผสมกับปี 1912 เอาความรู้สึกของมาเฟีย ความรู้สึกของยุค Gatsby ที่ตอนนี้กำลังดัง แล้วก็จะใช้โทนสีแบบ Black Swan คอลเลคชั่นนี้ เลยจะเป็นสีขาว-ดำ แต่ดวงก็มีจะมีที่เข้ามาแซมด้วยอย่างสีเบจ เขียวใบไม้เข้ม สีน้ำตาล แล้วก็สีดำออกเงินๆ นิดนึง”
วงการแฟชั่นไทย การแข่งขันสูงขนาดนี้ กลัวหรือไม่?
“ไม่นะคะ คงทำไปเรื่อยๆ อ่ะค่ะ คือดวงคิดว่า เราไม่ยอมแพ้ เราไม่กลัวอุปสรรค ต่อให้มันจะใหญ่จะเล็ก ดวงก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเรารับมันได้หรือเปล่านั้นเอง คือดวงก็คงทำต่อ ไปเรื่อยๆ จนกว่าดวงจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”
ความสำเร็จในวันนี้
ก้าวขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้ว สำหรับแบรนด์ที่มาจากเนื้อแท้ตัวตนของดวง-มนตร์ลดา คนภายนอกอาจมองว่า ธุรกิจของเธอประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เสื้อผ้าที่เกิดความตั้งใจและใส่ใจจากเจ้าของแบรนด์เป็นเครื่องการันตีได้ว่าเมื่อใส่เสื้อผ้าจาก MONLADA แล้วจะสวย-หล่อ-เริ่ด อย่างแน่นอน แต่กระนั้นผู้สร้างสรรค์อย่างดวง กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะเธอกล่าวว่า วันที่แบรนด์ MONLADA ประสบความสำเร็จคือวันที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักแบรนด์ของเธอ
“ถามว่าประสบความสำเร็จหรือยัง ยังนะคะ มันอีกนานเลย อีกสักพักนึง ซึ่งตัวดวงเองก็ไม่รู้อีกนานแค่ไหนเหมือนกัน (ยิ้ม) วันที่ประสบความสำเร็จในความคิดดวงคือวันที่ทุกคนรู้จัก Monlada Brand เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ทุกคนอยากซื้อ อยากใส่ อยากได้ เวลามีคอลเลคชั่นใหม่ออกมามีคนติดตาม อยากได้คอลเลคชั่นใหม่นี้ ต้องรีบไปจองก่อนนะ ต้องไปเข้าคิวรอ ต้องไปต่อคิวที่หน้าร้านเรา มีร้านอยู่ทั่วโลก นั่นเป็นความฝันของดวงค่ะ”
ความสำเร็จยังมาไม่ถึง แล้วความสุขในวันนี้คืออะไร?
“ความสุขของดวงคือเวลาที่ Monlada ออกมาเป็นหนึ่งคอลเลคชั่น แล้วก็ครบทั้งคอลเลคชั่นออกมา เสื้อผ้าทุกชุดที่ออกมาสวย งานออกมาถูกต้อง ตามที่ดวงต้องการ ความสุขของดวงตอนนี้อยู่ที่งาน มันสำคัญกับชีวิตดวงมาก บางคนเค้าอาจจะคิดเรื่องแฟน เรื่องอื่นๆ แต่ดวงไม่นะ ดวงอยู่กับงาน ดวงแฮปปี้มากกว่า อยากโฟกัสเรื่องงานมากกว่า เพราะถ้างานมันไม่สำเร็จ ดวงคงรู้สึกแย่มาก”
อนาคต อยากชิมลางงานด้านอื่นๆ บ้างหรือไม่?
“อยากทำรายการค่ะ ยังไม่ได้คิดคอนเซปต์แต่ว่า อยากทำรายการได้ไปเจอคนนู้นคนนี่ ได้เอาแบรนด์ Monlada ออกไป สัมภาษณ์ ไปสถานที่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาร์ต หรือจะเป็นการพักผ่อน อันนี้ดวงยังไม่แน่ใจ คือเป็นแค่ความคิดนะคะ ยังไม่ออกมาเป็นแผนการ แค่คิดออกมา” (ยิ้ม)
จากคุณหนูสุดไฮโซ จับพลัดจับผลูมาทำธุรกิจเสื้อผ้าที่เธอตั้งใจลงมือทำเองทุกขั้นตอน เริ่มนับหนึ่งจากการเข้าไปเรียน ฝึกฝน สั่งสมประสบการณ์ จนกลายมาเป็นแบรนด์เสื้อผ้า MONLADA วันเวลาที่ผ่านมา อุปสรรค ความสูญเสียที่ย่างกรายเข้ามาเป็นบททดสอบกับเธออยู่เสมอ กลับกลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้เธอคนนี้ “ดวง-มนตร์ลดา พงษ์พานิช” เติบโตอย่างเข้มแข็งและมั่นคง ดังนั้น จึงสมควรยกตำแหน่งดีไซเนอร์สาวสวยคนเก่งของเมืองไทยให้เธอได้อย่างเต็มภาคภูมิ
เปิดพื้นที่ฝันของสาวดีไซน์เนอร์
*-*-*-อยากร่วมงานกับดีไซน์เนอร์คนไหน??-*-*-*
ดวงอยากร่วมงานกับ Asava นะคะ เพราะว่าพี่หมูเค้าทำแบรนด์ได้ค่อนข้างโมเดิร์นมากๆ ซึ่งเสื้อผ้าของ Monlada ก็มีความเป็นโมเดิร์นเหมือนกัน เลยคิดว่าสองแบรนด์นี้น่าจะเอามาผสมกันได้
*-*-*-ดาราคนไหนใช่เลย-*-*-*
ตอนนี้คงเป็น อั้ม-พัชราภา มั้งคะ ชมพู่-อารยา ก็ได้นะ (ยิ้ม) แต่เธอต้องเลือกจริงๆ ขอเป็นอั้ม-พัชราภาก่อนดีกว่าค่ะ (หัวเราะ)
*-*-*-อยากเห็นนางแบบคนไหนใส่ MONLDA-*-*-*
นางแบบตอนนี้ดวงก็ชอบหลายคน สิ (พิชญ์สินี ตันวิบูลย์) ก็น่ารักดี ก็อยากให้สิมาใส่เสื้อผ้า ถ่ายหน้าปกสักคอลเลคชั่นนึง
*-*-*-ถ้าเป็นแบรนด์ต่างประเทศล่ะ??-*-*-*
แบรนด์ต่างประเทศหรอ ดวงว่าแบรนด์ Prada ค่ะ เพราะสไตล์เค้าก็จะโมเดิร์นๆ แบรนด์เราก็เหมือนกัน แต่ Chanel ก็น่าร่วมงานด้วยนะ สองจิตสองใจอ่ะ (หัวเราะ)
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : มนตร์ลดา พงษ์พานิช
ชื่อเล่น : ดวง
การทำงาน : เจ้าของแบรด์เสื้อผ้า Monlada
สีโปรด : ดำและชมพู
แบรนด์ไทยที่ชอบ : Asava, Milin, Soda, Issue, Greyhound, Kloset, Sretsis, Anchavika
แบรนด์ต่างประเทศที่ชอบ : Alexander McQueen, Vivienne Westwood, John Galliano, Chanel, Prada, Lanvin, Tom Ford, Christian Louboutin, Gucci
เครื่องประดับชิ้นโปรด : แหวนหัวกะโหลกของ Dior ที่ได้มาเมื่อเก้าปีที่แล้ว
เรื่องโดย ทีมข่าว M-lite
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพประกอบจาก อินสตราแกรม @monlada_pongpanit