งานนี้ไม่มีกั๊กความสัมพันธ์ 'สายเอี๊ยม - กีรติกา สว่างแจ้ง' สาวพราวเสน่ห์เจ้าของตำแหน่ง Miss Intercontinental Thailand 2013 ในเวทีการประกวด Miss Grand Thailand 2013 ยอมรับเต็มปากว่าเธอนี่แหละ 'รักครั้งแรก' ของ 'เจมส์ - จิรายุ ตั้งศรีสุข'
แต่! อย่าเพิ่งตกอกตกใจเสียดายไปเลย เพราะเรื่องรักๆ ของทั้งคู่ เป็นแค่การจิ้นในภาพยนตร์เรื่อง เฟิร์สเลิฟ (First Love) ที่กำลังฉายทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ ก็เพียงเท่านั้น
ใบหน้าใสกิ๊งสดุดตาด้วยลักยิ้มตรงพวงแก้ม เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะมองผ่านเธอไป มุมแสงไฟสลัวในร้านกาแฟ ย่านรังสิต เป็นที่นัดหมายในครั้งนี้ สายเอี๊ยม หญิงสาวในชุดกระโปรงลูกไม้สีหวานเดินเข้ามาพร้อมคุณแม่ ทีมงาน M-Lite กล่าวทักทาย ก่อนทั้งคู่จะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้บุนวมนิ่ม ไม่นาน..เสียงสนทนาเคล้ากลิ่นกาแฟหอมกรุ่นเริ่มต้นขึ้น
ผู้หญิงคนนี้ เฟิร์สเลิฟ..เจมส์จิ
เท้าความถึงเรื่องรักครั้งแรกระหว่างเธอ กับ ซุปตาร์คนดัง ในภาพยนตร์เรื่อง เฟิร์สเลิฟ ถ้าเอ่ยถึงชื่อ เจมส์จิ หรือ เจมส์ - จิรายุ หลายคนคงคุ้นเคยกับหนุ่มขี้เล่นคนนี้เป็นอย่างดี เพราะเขาโด่งดังเป็นพลุแตกจากละครพีเรียดทางช่อง 3 แต่ก่อนหน้าที่จะมีผลงานละครเรื่องนี้ เจมส์จิ ตกลงปลงใจแสดงภาพยนตร์เรื่อง เฟิร์สเลิฟ ในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ ประกบคู่กับนางเอกป้ายแดง
สายเอี๊ยม เผยยิ้มบางบนใบหน้า ก่อนกล่าวถึงความรู้สึกที่ต้องมาแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคู่กับ เจมส์จิ เธอบอกว่าไม่รู้สึกกดดันเลย เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดกล้องตั้งแต่ช่วงต้นปี 55 ซึ่งในตอนนั้นพระเอกดังยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มโนเนม
“ก็ด้วยความที่อายุใกล้กัน ต่างกันแค่ปีเดียว เวลาที่เล่นด้วยกันก็เหมือนเพื่อนกันมากกว่า อาจจะแบบแกล้งกันเล่นกัน ความรู้สึกเหมือนเพื่อนค่ะ เวลาเข้าคู่มันก็เหมือนจะหลุดเพราะเล่นกันมากกว่า ไม่ใช่หลุดเพราะอาย”
ส่วนสิ่งที่ทำให้รู้สึกกดดันเนี้ย คือเรื่องของการแสดงให้ผู้ชมดูมากกว่า “กดดันนะค่ะ อย่างไดอาร็อคที่ได้ ถือว่ายาวมาก คือพอเราพูดผิดสลับไปแค่นิดเดียวความหมายมันเปลี่ยน เหมือนกับว่ามันไม่ชินปาก ไม่คุ้นปาก ยากเวลาเราไปพูดจำไมได้ อย่างเวลาเราไปเล่น คนดูเยอะคะ คนดูเหมือนว่า เค้าก็ตื่นเต้นมาแสดงอะไรกันที่นี่มามุงดู เค้าก็เหมือนว่าดีใจมาถ่ายที่บ้านเรา แล้วก็แบบกดดันมากขึ้น อย่างฉากเต้นลีลาศคนเต็มโรงยิม แล้วเราต้องเต้นกลางฟลอร์”
ในเรื่องรับบทเป็น ผักบุ้ง (สายเอี๊ยม) เด็กสาวผู้มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นแชมป์ลีลาศ เป็นคนจริงจังกับชีวิต และรักครอบครัว ซึ่งในเรื่องพระเอก น้ำน่าน (เจมส์จิ) จะเกิดอาการรักแรกพบนางเอก และพยายามทำทุกวิถีทางให้ตัวเองดูมีคุณค่าคู่ควรนางเอก ซึ่งในเรื่องก็ใช้การเต้นลีลาศเป็นสื่อเริ่มความสัมพันธ์
แน่นอนว่านางเอกป้ายแดงต้องไปหัดเรียนลีลาศ “ยากมาก มันต้องใช้อินเนอร์ให้เหมือนคู่รัก ใกล้ชิดคู่เรามาก ต้องเกรงทุกส่วนของร่างกายมันถึงจะสวยงาม มันยากตรงที่ว่าในบท ผักบุ้ง จะต้องเต้นเก่งมากเป็นแชมป์เลย เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่เต้นเก่งมาก แต่ว่า น้ำน่าน เต้นไม่ค่อยเป็น โดยที่ชีวิตจริงเจมส์เต้นเป็นอยู่แล้วเก่งอยู่แล้ว แต่เอี๊ยมไม่เป็นเลย (ยิ้ม)”
เฟิร์สคิส แต่แรกก็ผ่านฉลุย
เรื่องราวของ เฟิร์สเลิฟ ก็ชวนให้นึก เฟิร์สคิส นางเอกเจ้าของแก้มบุ๋ม เล่าถึงเนื้อหาในภาพยนตร์แก้มหยอดถึงพระเอกซุปตาร์ “ถ้าไปดูจริงๆ มันคอมเมดี้เลย โรแมนติกอาจจะมีน้อย เลิฟซีนอาจจะมีบ้าง ถือว่าเป็นหนังที่ดูแล้วไม่เครียดมากกว่า คิดว่าคนดูน่าจะยิ้มเพราะว่าหนึ่งเจมส์จิเล่น ตอนนั้นยังเอาะๆ อยู่เลย อาจจะได้เห็นเจมส์จิวัยใส”
สายเอี๊ยม บอกว่ารู้อยู่แล้วว่าต้องมีฉากโรแมนติกระหว่างพระเอกกับนางเอก แต่ที่คุยกับผู้กำกับในตอนแรกนั้นใช้มุมกล้องช่วย “ตอนแรกผู้กำกับบอกว่าไม่จูบจริง ใช้มุมกล้อง แล้วทีนี้หลายเทค กี่เทคๆ ก็ไม่ผ่าน เพราะว่ามุมไม่สวย มุมไม่ได้ ตอนนั้นตี 3 แล้วค่ะ ซีนสุดท้าย ทุกคนง่วงนอนอยากจะปิดกล้องด้วย งั้นก็จูบจริงไปเลยเทคเดียวผ่านจะได้เสร็จๆ พอจูบจริงเทคเดียวผ่านจริงๆ ก็เลยคิดในใจ เออ..เนอะ เราน่าจะจูบจริงแต่แรก (ยิ้มกริ่ม)”
สำหรับพระเอกกลายเป็นซุปตาร์ไปเสียแล้ว ก็ไม่รู้ว่านางเอกจะกลัวพระเอกแย่งซีนจนเกิดความรู้สึกน้อยอกน้อยใจบ้างหรือเปล่า
“(หัวเราะเสียงดัง..) ไม่น้อยใจค่ะ ถ้าสมมุติถ้าเจมส์ไม่ดังแล้วหนังฉายเจมส์ก็น่ารักอยู่ดี เค้าก็น่ารักใสๆ ขี้เล่นเหมือนเดิม ไม่รู้สึกน้อยใจอะไร”
อย่างไรก็ตาม การที่รับบทนางเอกแสดงนำในเรื่องนี้ เป็นเพราะว่าการพูดสำเนียงเหน่อพิษณุโลกอย่างเป็นธรรมชาติของเธอนั้นเอง สายเอี๊ยม เล่าถึงเมื่อตอนไปแคส
“กดดันมาก คือเดินเข้าไปในห้องใหญ่ๆ แล้วแอร์เย็นๆ คนหนั่งเรียงล้อมเยอะมาก นาทีนั้นรู้สึกว่าอยากออกอ่ะ รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรแล้วไม่กล้าทำ แล้วให้ลองแอคติ้งซีนอามรมณ์ให้ดู ดีใจที่สุดแต่ว่าห้ามพูดนะคะ ให้ออกทางแววตา เสียใจที่สุด โกรธ ให้เราทำ เอี๊ยมก็ทำ แล้วเค้าก็มีไดอาร๊อคให้เราพูด เสร็จแล้ว..พอเอี๊ยมเดินออก เค้าก็เรียกให้กลับมาแล้วถาม เอ๊ะ! ทำไมพูดเหน่อจัง พูดเหน่อธรรมดาหรือแอ๊บ เพราะมีบางที่คนมาแคสก็แอ๊บให้มันเหน่อๆ คือว่าคาแรกเตอร์เค้าอยากจะได้อย่างนั้น อยากได้คนเหน่อ แต่เอี๊ยมไม่เคยรู้ว่าเค้าอยากได้คนเหน่อ (หัวเราะ)
“เอี๊ยมถามเค้าว่าทำไมถึงเลือกเอี๊ยมเพราะว่าคนที่สวยกว่าก็มี เค้าชอบคาแรคเตอร์มันตรง ภาษา รูปร่าง เพราะว่าเป็นแชมป์ลีลาศ จะเอาคนที่ตัวเล็กๆ มันก็ไม่สง่าใช้มั้ยค่ะ ก็ต้องใช้คนตัวสูงๆ เวลาใส่ชุดรัดๆ ก็จะดูพลิ้ว สง่า แล้วเค้าชอบเอี๊ยมอย่างนึง คือตอนเขินอาย เค้าบอกชอบ (ยิ้ม แก้มบุ๋ม)”
ในภาพยนตร์ถ่ายทอดรักครั้งแรกของนักแสดงนำในช่วงมหาวิทยาลัย แล้วในชีวิตจริงนางเอกมีครั้งแรกเมื่อไหร่กัน สายเอี๊ยม นิ่งคิดก่อนตอบขึ้น “ประถมปลายๆ ค่ะ เป็นรักที่ไม่ได้สมหวังเป็นแฟนกัน แต่เป็นรักที่เหมือนว่าเอี๊ยมเองไปแอบชอบเค้า เค้าเป็นหนุ่มฮอตของโรงเรียน แต่ไม่ได้ไปจีบหรือเป็นแฟนกัน เค้าเป็นหนุ่มฮอตเก่งในเรื่องของการเรียนมาก แล้วตอนนั้น เด็กๆ ชอบหนุ่มที่แบบรักเรียนไงค่ะ เรียนเก่งจะเป็นอะไรที่แบบดูดีมากๆ”
นักล่ามงกุฏเวทีขาอ่อน
บอกเลยว่าสาวๆ ตระกูลนี้สวยมาตั้งแต่รุ่นคุณยาย สายเอี๊ยม เล่าว่า คุณยายเป็นนางแบบประกวดนางงามแต่ไม่ใช่เวทีใหญ่ พอมาถึงรุ่นคุณแม่ก็มีครองตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัยศรีปทุม ส่วนเจ้าตัวนั้นก็พ่วงตำแหน่ง Miss Grand Thailand 2013
สายเอี๊ยม เล่าว่าเริ่มต้นงานแสดง ก่อนที่จะเข้าร่วมประกวดฯ “เป็นคนที่ชอบประกวดอยู่แล้วค่ะ คือ ประกวดมาเรื่อยๆ ค่ะ ของจังหวัดบ้าง ของอะไรบ้าง เวทีนี้ทั้งคุณแม่ ครอบครัว และคุณยาย เหมือนว่าอยากจะให้ไปลองประกวดเวทีใหญ่ๆ ดู เพราะว่าคุณยาย เคยว่าอยากให้ได้ใส่มงกุฏใหญ่ๆ ได้ประกวดเวทีใหญ่ๆ ให้ยายดู ก็เลยไปลองสมัครดู”
ทีมงานฯ แซวว่าแบบนี้จัดว่าเป็นตระกูลนางงามนี่ สายเอี๊ยม โต้ทันที “(หัวเราะ) เรียกว่าชอบทางด้านนี้ดีกว่าค่ะ”
จะว่าไปเธอเริ่มต้นประกวดเวทีนางงามตั้งแต่เวทีเล็กๆ เมื่อครั้งยังเด็ก จำพวกเวทีนางนพมาศ ส่วนรางวัลก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง “ส่วนใหญ่ก็ได้ค่ะ แต่ยังไม่ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของเราก็ต้องตามหาความฝันต่อไป คือประกวดตั้งแต่ ป. 3 เลย แล้วก็ยาวมาทุกปีๆ ประกวดปุ๊บชอบค่ะ แล้วก็ไล่มาเลย มีประกวดที่ไหนแม่ส่งไปหมด”
เวทีแรกที่ได้รางวัล คือ การประกวดสุดยอดหนูน้อยสงกรานต์ ช่อง 3 เมื่อตอน ป. 5 จากนั้นก็ตระเวนประกวดอีกหลายต่อหลายเวที จนถึงจุดสูงสุดของการประกวดนางงาม คือการคว้าตำแหน่ง Miss Grand Thailand 2013 ซึ่งถือเป็นเวทีระดับประเทศเวทีแรกที่มาอวดขาอ่อน
“ตอนเด็กๆ คือไม่ได้มีความฝันว่าอยากจะเป็นนางงาม ต้องใส่มงกุฏ ประกวดเวทีใหญ่ๆ หรือว่าเป็นดารา มีความฝันเหมือนนคนอื่นทั่วไปอยากเป็น แอร์โฮเตรส แต่พอเราได้มีโอกาสเข้ามาก็ลองไปทำดู เพราะว่าโอกาสมันมาถึงแล้วก็ควรคว้าไว้
“สำหรับการประกวด วงการนางงาม ถือว่าเป็นเวทีที่สูงที่สุดสำหรับเอี๊ยมค่ะ เพราะว่าเราก้าวแรกมาเวทีใหญ่แล้วได้ขนาดนี้มันถือว่าเป็นสุดยอดของเอี๊ยมแล้วที่ได้ขนาดนี้ แต่ว่าอย่างวงการอื่น การเข้าวงการบันเทิงมันเป็นโอกาส”
สายเอี๊ยม เปิดใจว่าไม่คาดคิดว่าจะได้ตำแหน่งเลย เพราะคนที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายมีกว่า 37 คน “แต่ละคนเค้ามีวุฒิภาวะที่สูงกว่า สวยกว่า คือเหมือนว่าคนเรามันก็สวยคนละแบบไม่รู้ว่ากรรมการจะชอบแบบไหน เพราะว่าตอนนั้นเอี๊ยมอายุ 18 เอง กรรมการอาจจะเห็นว่าเราเด็กไป ไม่สามารถทำงานให้เค้าได้ แต่ว่าพอเราไปสมัครแล้วเนี่ย เก็บตัวไปได้ครึ่งทาง มันก็ต้องทำให้เต็มที่เพราะว่ามันเกินครึ่งมาแล้วจะถอยมันก็เสียดายเวลา”
ย้อนถามถึงคุณยายเสียหน่อย งานนี้หลายสาวได้รับมงกุฏคงปลื้มน่าดู “คุณยายดีใจค่ะ (ยิ้มกริ่ม) คุณยายดีใจมาก เพราะเห็นหลานใส่มงกุฎ เพราะตำแหน่งเอี๊ยมได้มงกุฏด้วย เค้าก็ชอบ ภูมิใจ เค้าก็เคยพูดแต่แรกอยากเห็นหลานใส่มงกุฏใหญ่ๆ”
ซึ่งการประกวดเวทีนี้ สายเอี๊ยม เปิดเผยว่าได้ประสบการณ์หลายอย่าง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการเรียนรู้ที่ต้องอยู่ด้วยตัวเองเพราะระหว่างการเก็บตัวกับทางทีมประกวดฯ ผู้เข้าร่วมประกวดต้องมาอยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างต้องดูแลตัวเอง
“ได้รับประสบการณ์หลายๆ อย่างค่ะ อย่างที่เอี๊ยมเจอครั้งแรกคือเราต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง คือเราไม่สามารถพึ่งใครได้เลย หมายถึงว่าพึ่งได้ในบางเรื่องแต่ส่วนใหญ่แล้วเราต้องช่วยเหลือตัวเอง ตื่นมาเราต้องแต่งหน้าทำผมเอง คือเราไม่สามารถที่จะมีช่างอยู่กับเราตลอดเวลา แล้วก็ได้รู้ประสบการณ์ การเรียนรู้ใหม่ๆ มีสังคมที่กว้างขึ้น”
จุดพลิกผันเด็กสายวิทย์
ไม่ผิดคาดเลยที่เจ้าตัวเผยว่าเป็นเด็กกิจกรรม “ตั้งแต่ประถมฯ มัธยมฯ เป็นเด็กกิจกรรมค่ะ ประถมฯ เป็นดรัมเมเยอร์ เป็นประธานนักเรียน ม.ปลายก็มาช่วยงานโรงเรียน รำไทยบ้าง เกี่ยวกับกิจกรรม (ยิ้ม)”
ทีมงานฯ ถามว่าแววนางงามของเปล่งประกายตั้งแต่สมัยเด็กๆ เลยหรือเปล่า สายเอี๊ยม บอกว่าก็ถือว่าโดดเด่น เป็นดาวโรงเรียนมาตลอด “ค่ะ ประถมฯ 1 โรงเรียน มัธยมต้น 1 โรงเรียน มัธยมปลาย 1 โรงเรียน ก็ถือว่าเด่นค่ะในโรงเรียน”
สาววัย 19 ปี เล่าว่า ความที่ตระเวนประกวดนางงามตั้งแต่ยังเด็ก ได้รู้จักช่างแต่งหน้า ได้รับการแนะนำจากครูจึงทำให้เธอมีงานติดต่อเข้ามาพอประมาณ ทั้งโชว์ความสามารถพิเศษอย่างรำไทย หรือ งานโชว์ตัวถ่ายภาพ ฯลฯ ซึ่งทำให้เธอรู้ว่าการทำงานแล้วเรียนไปด้วยนั้นเป็นการเปิดประสบการณ์ดีๆ
“เป็นโอกาสที่ดีค่ะ เราสามารถหารายได้ด้วยตัวเอง เหมือนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากกว่าเราไปเที่ยวเล่น แต่เราหันมาทำงาน เอี๊ยมว่ามันคุ้มค่านะ”
เมื่อช่วง ม.ปลาย เธอตัดสินใจเลือกเรียนสาย วิทย์-คณิตฯ แต่พอเรียนมาได้ครึ่งทางก็รู้ตัวเองว่าคงไปทางด้านนี้ไม่รุ่ง พอเข้ามหาวิทยาลัยฯ สายเอี๊ยม จึงเลือกเรียนในสายวิชาที่สนใจอย่างแท้จริง
“ตอนแรกเรียน วิทย์-คณิต แต่พอเรียนไปแล้ว รู้สึกว่ามันไม่ค่อยใช่ตัวเราเท่าไหร่ คือเรียนไปแล้วก็เหมือนต้องเรียนให้จบ บทเรียนมันอาจจะยากขึ้นด้วย เราก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ถ้าเกิดจะมาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยอีก 4-5 ปี ก็คงฝืน ก็เลยลองเปลี่ยนดูดีกว่ามันอาจจะสนุกมากกว่านี้
“เอี๊ยม เลือกเรียน คณะนิเทศฯ สาขาภาพยนตร์ฯ ม.รังสิต ต่างกับที่เรียนมาทั้งหมดเลย ตอนแรกก็ตั้งใจจะเลือกเรียนนิเทศศาสตร์อยู่แล้วค่ะ ก็จะมีสาขาให้เลือกค่ะ ทั้ง การแสดง, วิทยุโทรทัศน์ ก็ดูไปดูมาคือเอี๊ยมเล่นภาพยนตร์มาแล้ว เราอาจจะมีพื้นฐานเบื้องต้นในเรื่องภาพยนต์มาก่อนบ้าง ก็เลยเลือกเรียนภาพยนตร์ เอี๊ยมคิดว่าการแสดงมันเป็นงานเบื้องหน้า คือเบื้องหน้าเราสามารถทำได้อยู่แล้วถ้าไม่ได้ทำเบื้องหน้าแล้ว เรายังมีเบื้องหลังยังมีอาชีพอื่นรองรับอยู่”
ถามว่าอยากลองชิมลางทำงานอะไรเป็นพิเศษ สายเอี๊ยม ตอบ “เบื้องหลังมีหลายอย่างตอนแสดงภาพยนตร์ก็ได้ไปเห็นพี่ๆ ทีมงาน ถามว่าเหนื่อยมั้ย ทุกงานทุกอาชีพมันเหนื่อยหมด มันอยู่ที่เรามากกว่าว่าชอบมั้ย อย่าง พีอาร์ หรือ ผู้ช่วยผู้กำกับ มันก็น่าลองนะคะ คือว่าเป็นสิ่งท้าทาย น่าสนุกดี ออกกองถ่ายทุกวัน”
เห็นงานเบื้องหลังมาบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าลองเป็นผู้กำกับดูบ้างหรือเปล่า “หืมม.. (ยิ้มเขินๆ) ไม่ขนาดนั้นค่ะ คือ ผู้กำกับต้องเป็นคนที่แบบเขียนเป็น เขียนบทได้ ต้องมีจินตนาการสูง ก็อยาลองเขียนดู แต่ไม่ได้เขียนจริงจังขนาดเป็นหนังได้”
ติดครอบครัว รักเมืองสองแคว
สายเอี๊ยม เกิดและเติบโตที่จังหวัดพิษณุโลก จริงๆ ครอบครัวก็มีพื้นเพอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่มีธุรกิจอยู่นั้นและทุกคนก็หลงรักเมืองสองแควก็เลยลงหลักปักฐานเสียเลย
เจ้าของเสียงเหน่อพิษณุโลก เล่าถึงการเลี้ยงดูของครอบครัว “ถามว่าถึงขนาดไข่ในหินมั้ย? มันก็กึ่งๆ นะคะ เพราะว่าเอี๊ยมไม่ค่อยไปไหนคนเดียว จะไปไหนก็ไปกับครอบยครัวตลอด ส่วนใหญ่ไปกับครอบครัว พี่สาว คุณแม่ คุณยาย ไปด้วยกัน ส่วนเพื่อนก็มีบ้าง แต่น้อยค่ะ ติดครอบครัว”
โดยเฉพาะ คุณยาย คุณแม่ และหลานสาวคนเล็ก มีกิจกรรมโปรดที่ตรงกัน คือ ช้อปปิ้ง ถามว่าดื้อหรือเปล่า สายเอี๊ยม บอไข่กว่าเทียบกับคนอื่นก็ไม่รู้ว่าตัวเองเรียกกว่าดื้อหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ครอบครัวนี้ไม่มีทำโทษด้วยการตี “ส่วนใหญ่ก็ดุมากกว่า ปรึกษาตักเตือน ไม่ลงไม้ลงมือ”
ช่วงมัธยมฯ มีอยู่ครั้งหนึ่งต้องไปทำโครงงานกับเพื่อนๆ แต่กลับกลายเป็นวีรกรรมแสบที่จดจำมาถึงปัจจุบัน
“คือบอกแม่ไปทำโครงงานเกี่ยวกับส้มกับเพื่อน เป็นน้ำส้มคั้น ก็บอกแม่ว่าไปทำโครงงานกับเพื่อนก่อนนะ แล้วก็บังเอิญว่าไปทำส้มไม่มีค่ะ ก็เลยต้องขี่รถไปซื้อส้ม แล้วขี่ซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนไปแล้วบังเอินว่าเพื่อนพาล้ม แม่ก็เลยไม่เชื่อว่าทำโครงงาน นี่ไปทำทำโครงงานจริงๆ หรอ? แต่เราไปทำโครงงานจริงๆ (ยิ้ม) เราขับไปซื้อส้มกันก็เลยเกิดอุบัติเหตุ (ทีมงานฯ ถามแทรก แม่คิดว่าหนีเที่ยวแน่ๆ) ใช่ค่ะ! บอกทำโครงงานแต่ต้องไปเที่ยวแน่ๆ เลย แล้วก็ไม่บอก (ยิ้ม)"
เสน่ห์อย่างหนึ่งของคนพิษณุโลกก็คงเป็นเรื่องภาษา เพราะจะพูดติดเหน่อหน่อยๆ งานนี้ สายเอี๊ยม บอกว่าไม่ได้เป็นกันได้ทุกคนนะจะบอกให้
“บางคนก็ไม่เหน่อนะคะ แต่บางคนก็เหน่อ แต่ส่วนน้อยอะเหน่อ แต่เอี๊ยมอ่ะเหน่อ (หัวเราะ) ทั้งบ้านอย่างเนี้ยไม่มีใครเหน่อเลย เอี๊ยมเหน่อคนเดียว (หัวเราะดัง) อย่างเนี้ ย! เอี๊ยมก็ฟังตัวเองเอี๊ยมว่าไม่เหน่อ แต่คนฟังเค้าว่าเหน่อ (ยิ้ม)”
แต่พอเริ่มเข้ามาในวงการบันเทิง บวกกับช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัยฯ สาววัย 19 ปี และครอบครัวของเธอ จึงตัดใจเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ก็ยังคิดถึงและผูกพันกับบ้านเกิดอยู่
“เอี๊ยมอยู่อำเภอเมือง ไม่วุ่นวายอย่างกรุงเทพฯ ค่ะ กรุงเทพฯ เวลาเราจะออกไปไหน ออกก่อน 1-2 ชั่วโมง แต่อยู่พิษณุโลกไม่ต้องเลย เราเผื่อแค่ครึ่งชั่วโมงออกไป คือการจราจรไม่ติดขัดเลย ดีตรงที่รถไม่ติดมากกว่า จริงๆ ที่นั่นเจริญเลยก็ว่าได้ค่ะ ตอนนี้มีห้างสรรพสินค้า มีอะไรทุกอย่างครบเลยนะคะ คนก็น่ารัก คนต่างจังหวัดอะค่ะ ซื่อๆ อัธยาศัยดี (ยิ้ม)”
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง เฟิร์สเลิฟ เป็นภาพยนตร์ที่ว่าสร้างขึ้นเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวจังหวัดพิษณุโลกเลยก็ว่าได้ เพราะสถานถ่ายทำทั้งหมดก็อยู่ในตัวจังหวัด และใกล้เคียง สาวเจ้าถิ่น เล่าขึ้น
“ถ่ายที่พิษณุโลกหมดเลย แต่ไปดูแล้วคนอาจจะไม่รู้ว่าสถานที่นี้เป็นจังหวัดไหน กรุงเทพฯ หรือเปล่า หรือว่าปาย หรือว่าสถานที่ๆ เรารู้จักดีอยู่แล้ว คุ้นเคยอยู่แล้ว คือเค้าถ่ายทำที่พิษณุโลกหมดเลย เค้าต้องการให้คนดูเห็นว่า จังหวัดอื่นๆ ที่นอกจากเชียงใหม่ เชียงราย มันยังมีจังหวัดอื่นๆ ที่น่าสนใจ น่าท่องเที่ยว คืออยากให้คนมองเห็นตรงนี้บ้าง ในประเทศไทยยังมีอีกหลายที่ๆ สวยงาม”
ไกด์สาวมือสมัครเล่น เปรยว่า พิษณุโลกยังมีความสวยงามรอนักท่องเที่ยวอยู่อีกมาก ช่วงปลายฝนต้นหนาวที่ใกล้จะถึงนี้เชิญมาเที่ยวเมืองสองแควกันได้ ยกตัวอย่างสถานที่เที่ยวชิลๆ “ริมน้ำน่านค่ะ ก็ถือว่าเป็นที่ๆ มีบรรยากาศร่มเย็นสดชื่น ไนท์บาซาร์บรรยากาศพื้นบ้าน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ มีบริการล่องเรือ แล้วก็มีผักบุ้งลอยฟ้าเป็นไฮไลต์เลย (ยิ้ม)”
…..........................…..........
เรื่องโดย ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ LITE
ภาพโดย ปวริศร์ แพงราช
ขอบคุณภาพประกอบ : IG,FB @ saiiaeim
ขอบคุณสถานที่ : Kitchen plus Homepro สาขารังสิต
'สายเอี๊ยม' ชื่อนี้มีที่มา
เรื่องของเรื่องก็คือ 'คุณแม่' เป็นคนชอบชุดเอี๊ยมมาก ชอบใส่เอี๊ยม ชอบใส่สายเอี๊ยมมิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าชุดโปรด พอมีลูกสาวก็เลยเอา 'สายเอี๊ยม' มาตั้งเป็นชื่อเล่นเก๋ๆ เสียเลย
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : กีรติกา สว่างแจ้ง ชื่อเล่น : สายเอี๊ยม
วันเดือนปีเกิด : 25 ธันวาคม 2537 อายุ : 19ปี
น้ำหนัก/ส่วนสูง : 49 กก. / 172 ซม. สัดส่วน : 31-25-35
การศึกษา : กำลังศึกษาชั้นปีที่ 1คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต
มัธยมศึกษาตอนปลาย - โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคเหนือ
มัธยมศึกษาตอนต้น - โรงเรียนเซนต์นิโกลาส พิษณุโลก
ความสามารถพิเศษ : รำไทย, ลีลาศ, อูคูเลเล่
ผลงานที่ผ่านมา : Mv เพลงลูกทุ่งของ ต่าย อรทัย, อาร์ม ชิงช้าสวรรค์, ภ. เฟิร์ส เลิฟ (First Love)
รางวัลที่ได้รับ : Miss Intercontinental Thailand 2013