จากละครเย็นเรตติ้งแรงอย่าง แม่ปูเปรี้ยว ส่งให้เธอขึ้นแท่นนางเอกละครฟอร์มใหญ่ โดมทอง และยังมีละครดรามา - คอมมิดีอย่าง เล่ห์นางหงส์ จ่อคิวลงจอฉาย ในช่วงวันฝนพรำไม่ขาดสาย ทีมงาน M-Lite ตั้งหน้าตั้งตารอคอยนางเอกดาวรุ่งดวงใหม่แห่งวิกหมอชิต เปรี้ยว - ทัศนียา การสมนุช ฝ่าทั้งการจราจรติดขัด และคิวละครที่เบียดแน่นอยู่ในตารางชีวิตช่วงนี้ของเธอ
และในที่สุดเมื่อเธอมาถึงก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง กับความน่ารัก สดใส ภายใต้ดวงหน้าเข้มตามแบบฉบับนางเอกวิก 7 สี
“หนูเข้าวงการจากที่พี่พลอยกับพี่แพรไปเจอหนูแล้วพาไปประกวดซันซิลซึ่งมีพี่เอ(ศุภชัย) เป็นกรรมการอยู่พอดี” เธอเอ่ยถึงช่วงเข้าวงการ จากนั้นเธอต้องเข้ามาแคสต์ที่ช่อง 7 อีก 2 - 3 ครั้งก่อนจะได้ไปแคสต์ละครเรื่องแรก และได้เป็นนักแสดงเต็มตัวในที่สุด
หลังจากผ่านงานละครช่อง 7 ที่ถ่ายไปด้วย ออนแอร์ไปด้วย หากเรตติ้งดีก็จะมีการเพิ่มตอน เป็นงานที่ต้องอาศัยความอดทนอย่างสูง
“แรกๆก็ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ตอนนั้นหนูกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย เลยยังยุ่งๆ ยังงงๆ ปรับตัวไม่ได้ ไม่รู้แยกอะไรยังไง แต่พอถ่ายแม่ปูเปรี้ยวไปสักพักหนึ่งก็เริ่มโอเคแล้ว เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ช่วงเวลาเรียนมันน้อยกว่ามัธยมก็เลยโอเคขึ้น แต่พอละครออนแอร์ปุ๊บ ก็ถ่ายแบบนัดตี 5 กลับบ้านตี 4 หรือไม่บางทีก็ยาวเลย 3 วันรวดอยู่ในกองฯ” เธอเอ่ยพลางยิ้มหัวเราะเบาๆ ให้กับความโชคร้ายที่เหมือนจะเป็นความโชคดีในชีวิตเธอ ชีวิตที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยโอกาสที่พัดผ่านเข้ามาให้เธอเรียนรู้อย่างจัดเจนกว่าใครๆ
“หนูไม่ได้เหมือนเด็กทั่วไปที่ได้รับเงินไปโรงเรียนแบบปกติ ตั้งแต่เด็กๆ มาหนูต้องทำงานขายของถึงจะได้เงินไปใช้เอง แต่นั่นแหละ เพราะขายของเอง ตอนมัธยมก็เลยมีช่วงที่หนูเก็บเงินได้เป็นหมื่นเลยนะ” เธอย้อนนึกถึงวัยเด็กของเธอ
วัยเรียน วัยเด็ก นางรำ
ฉากหนึ่งจากละครเรื่องแม่ปูเปรี้ยวทำให้หลายคนให้เห็นเปรี้ยว - ทัศนียาในมาดอ่อนช้อยของนางรำ ซึ่งเป็นอีกบทบาทชีวิตที่เธอใช้เวลาอยู่กับสิ่งนั้นมาตลอดหลายปีในช่วงวัยเรียน ท่วงทำนองของเพลงแม่บทถูกเปิดคลอไปท่วงทำนองของชีวิตเธอ
“คือหนูก็รำมาตั้งแต่อนุบาลแล้วค่ะ ไปรำเป็นปกติ คือครูเรียกไปเราก็ไปรำ แต่พอมาเข้าม.1 น้าบอกให้เข้าโรงเรียนสตรีนนท์(โรงเรียนสตรีนนทบุรี) โดยใช้โควตาเป็นเด็กโควตานาฏศิลป์ ก็เลยรำมาตั้งแต่ม.1-ม.6”
นับแต่เข้าเรียนระดับมัธยม งานโรงเรียน วันพ่อ วันแม่ วันกีฬาสี แทบจะทุกกิจกรรมของโรงเรียนจะมีพิธีรำไทยเพื่อเปิดงาน ยิ่งเมื่อโรงเรียนของเธอเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด(นนทบุรี)ที่มีชื่อเสียงด้านการรำขนาดที่ว่า กระทรวงวัฒนธรรมจัดให้ไปโชว์ตามงานต่างๆ การฝึกของเธอจึงไม่ใช่เพียงเรื่องเล่นของกิจกรรมยามว่างสำหรับนักเรียนทั่วไป
“ช่วงม.1-6 หนูรำเยอะมาก แล้วบางทีมันก็เบื่อค่ะ ต้องซ้อมก่อนเข้าเรียน 7 โมงเช้าถึง 8.30 ให้ซ้อมรำไม่ต้องเข้าแถวขึ้นเรียนต่อเลย ซึ่งบางทีมันก็เบื่อ”
งานประจำจังหวัดเธอก็ต้องไปรำ เธอเล่าถึงงานวันพ่อที่ก่อนวันพ่อหนึ่งวันเธอจะต้องรำเปิดงานวันพ่อที่โรงเรียน พอถึงวันพ่อวันจริงที่โรงเรียนหยุด เธอก็ต้องไปรำเปิดงานวันพ่อที่ศาลากลางจังหวัด ด้วยความยาวนานของชีวิตในฝึกฝนอยู่กับการรำไทย ทำให้จนถึงตอนนี้หากจะให้เธอรำอีกครั้งก็ยังทำได้
“หนูก็รำได้เรื่อยๆนะ อย่างในแม่ปูเปรี้ยวก็มีฉากรำ มันรำมานานก็เลยชินแล้ว”
และจากชีวิตวัยเด็กที่อยู่ในห้องซ้อมรำมาตลอด สิ่งหนึ่งที่เธอได้รับคือสติและสมาธิในการจำท่ารำ ประกอบกับการต้องรำให้ลงทำนอง เข้าจังหวะพอดี เธอบอกเพิ่มอีกว่า ยิ่งถ้ารำเป็นกลุ่มกับคนอื่น เราก็ต้องแปรแถว เข้ากลุ่มให้พอดีกับทุกคนรำพร้อมกัน
แต่แม้ว่า เธอจะเป็นนางรำประจำโรงเรียน นางเอกจากช่อง 7 ยังยิ้มแบบเขินพร้อมสารภาพว่า ตอนนั้นก็ยังเป็นคนขี้อายอยู่
“จริงๆ เป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่ คือถ้าจะให้รำคนเดียว หนูก็ไม่เอา รำคนเดียวให้คนอื่นรำไป หนูขอรำเป็นกลุ่ม”
และด้วยความที่เป็นนางรำ จากการเป็นเด็กโควตา สิ่งนี้ก็ผูกมัดไม่ให้เธอได้ไปทำกิจกรรมอื่น อย่างการเป็นนักกีฬา วอลเลย์บอล เธอเผยว่า ชอบเล่นวอลเลย์บอลมาก ช่วงเข้าม. 1 ก็มีคนชวนไปเล่น แต่เมื่อเธอไปขออนุญาตจากครูสอนนาฏศิลป์ เธอก็ได้รับคำตอบในแบบที่นักเรียนโควต้าอย่างเธอต้องเข้าใจ
“ครูบอกว่า เป็นนางรำจะไปเล่นได้ไง เดี๋ยวตัวก็ล่ำกันพอดี หนูไม่เล่นก็ได้”
แต่การฝึกรำก็ทำให้เธอสร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียนได้สำเร็จ จากประกวดของโรงเรียนทั่วประเทศในงานเก่งสร้างชาติ ซึ่งจะมีการประกวดหลายรายการทั้งกีฬา วิชาการ และศิลปะที่มีนาฏศิลป์อยู่ในรายการแข่งขันด้วย แต่ละโรงเรียนก็จะจัดประกวดตั้งระดับจังหวัด ระดับภาค จนถึงระดับประเทศ
“โรงเรียนหนูชนะเลิศ 3 ปีซ้อน หนูไปทั้ง 3 ปีเลย” เธอเอ่ยถึงผลการประกวด
แต่สิทธิกับหน้าที่เป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน หน้าที่ของนางรำทำให้เธอได้รับสิทธิในการหยุดเรียน ยิ่งช่วงประกวดครูนาฏศิลป์จะเซ็นใบอนุญาตไปขอกับครูประจำวิชาเพื่อให้เธอไปซ้อมรำ แต่ที่บ้านเธอสอนว่า อย่าทิ้งการเรียน จึงมีครั้งหนึ่งแม้จะกลับจากประกวดถึงบ้านตี 3 เช้าอีกวันก็ยังต้องไปโรงเรียน แม้จะไม่ได้ไปเรียนหนังสือก็ตาม
“มันมีอารมณ์อู้เรียนบ้างนะคะ (หัวเราะ) คือโรงเรียนบังคับให้หนูไปประกวดนางนพมาศ ซึ่งหนูไม่อยากไปเลย ต้องใส่รองเท้าสูง 5 นิ้ว หนูไม่ถนัดแต่ก็ต้องไป ตอนนั้ก็คิดว่าคงไม่ได้เพราะหนูเพิ่งดัดฟังใหม่ แล้วฟันมันดูหลอ ยิ้มได้แบบเบาๆ นางนพมาศเขาต้องยิ้มกว้างให้เห็นฟัน”
นอกจากนั้น เธอยังไม่เคยไปประกวดที่ไหนมาก่อน เดินขึ้นเวทีก็ลืมหมุนตัว 1 รอบ ครูที่ดูแลถึงขั้นถามขึ้น เธอทำอะไรน่ะ ทัศนียา! เธอตอบกลับ หนูลืมค่ะ หนูตื่นเต้น จากนั้นเธอก็เดินสะดุดพรมอีกครั้งหนึ่ง แต่ผลกลับเป็นเธอชนะการประกวด ทว่าสิ่งที่เธอคิดในหัวคือ ต้องอยู่จนเลิกงาน และงานประกวดนั้นเสร็จสิ้นตอนตี 2
“ถึงบ้านมาก็ตี 3 พรุ่งนี้มีเรียน แต่ครูก็บอก เปรี้ยวไม่ต้องมาเรียนนะ คือตาของหนูแดงมากเพราะใส่คอนแทกเลนส์ แล้วตอนนั้นหน้าหนาว ตาเลยแห้งแดง แล้วหนูก็เป็นไข้ด้วย พอถึงบ้านตี 3 กะจะหลับยาว แต่ตอน 6 โมงเช้า ยายหนูเดินมาที่ห้องหนูแล้วมาเคาะหัวเตียง บอกไปเรียน หนูถามต้องไปเหรอยาย ยายก็บอก ต้องไป”
ผมเผ้าก็ยังไม่ได้สางทำควาสะอาดเพราะความเหนื่อยร้า เธอถูกสอนให้ทิ้งการเรียนไม่ได้ แต่แม้จะไปถึงที่โรงเรียน วันนี้เธอสารภาพว่าไม่ได้เรียน แต่ไปนอนที่ห้องนาฏศิลป์ เพราะเจ็บตาจนเรียนไม่ไหว
เรื่องป่วยๆ ในโรงเรียนหญิงล้วน
โรงเรียนสตรีนนทบุรีเป็นโรงเรียนหญิงล้วน การที่เธอเป็นนางรำคนหนึ่งของโรงเรียนก็ทำให้เป็นที่รู้จัก และเป็นที่ชื่นชอบของรุ่นน้อง
“แต่จริงๆ หนูเป็นแนวเซอร์ๆ” เธอตอบสบาย ย้อนกลับไปวัยเรียน เธอไม่รู้ว่าตัวเป็นสาวป็อปหรือเปล่า เพราะที่โรงเรียนไม่ได้มีการตำแหน่งดาวโรงเรียน แต่การที่เธอเป็นนางรำก็ทำให้เป็นที่รู้จัก แม้บางครั้งจะมีคนมองว่าหยิ่งจากลักษณะภายนอกก็ตาม
“คือตอนมัธยมก็มีค่ะ มองว่า เราหยิ่งหรือเปล่า แต่หนูเป็นคนที่เวลาเพื่อนเมาท์กัน หนูก็จะเหรอแบบเฉยๆ เวลาเดินปกติถ้าไม่ยิ้มหรืออะไรก็จะเฉยๆ หน้านิ่งค่ะ ก็จะมีรุ่นน้องที่รู้จักหนูเยอะ ตอนแรกไม่กล้ามาคุย เพื่อนหนูบอกว่า อีเปรี้ยวมันไม่ได้มีอะไรเลย ลองไปคุยกับมันดู มันปัญญาอ่อน พอน้องเข้ามาคุย ก็ตอบ เออ! จริงด้วย” เธอเล่าพลางหัวเราะ “กลายเป็นว่าเราปัญญาอ่อนซะงั้น คือจริงๆ หนูไม่ค่อยถือตัวเลยสนิทกับรุ่นน้องเยอะ”
โควต้าร์ของนางรำประจำโรงเรียนทำให้อดทำกิจกรรมอย่างอื่นที่อยากทำ ไม่เว้นแม้แต่การเป็นเชียร์รีดเดอร์ ไม่ใช่เพราะไม่เหมาะสม แต่เพราะเมื่อถึงช่วงเตรียมงานกีฬาสี กลุ่มนาฏศิลป์ก็ต้องมีการจัดชุดรำเปิดงาน งานกีฬาสีของโรงเรียนเธอก็ถือเป็นงานใหญ่อีกงานที่จะให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้
“ช่วงงานกีฬาสีเด็กรำเลยไปไหนไม่ได้ อย่างช่วงใกล้ๆกีฬาสี ตอนเช้าเรียน พอตอนบ่ายก็ซ้อมตลอด คือคนดูงานกีฬาสีเยอะ เขาก็อยากให้เป๊ะๆ ซ้อมรำทุกเช้า คือซ้อมปกติทุกวัน พอใกล้ถึงงานผอ.(ผู้อำนวยการ)มาแจ้ง ครูก็จะแบ่งกลุ่มรำแล้วต้องซ้อมแยกกัน”
ทว่าแม้จะเป็นนางรำซึ่งมักจะมีมาดคู่กับความอ่อนช้อย เธอก็บอกว่า ตัวจริงของเธอนั้นค่อนข้างจะเป็นคนเซอร์ๆ เลยด้วยซ้ำ
“เซอร์ค่ะ” เธอตอบพลางอมยิ้ม เหมือนรู้ว่าเรื่องที่เล่าต่อจากนี้ต้องทำให้เราหัวเราะ “ตอนม.ต้นหนูผิวดำมากคะ ก็กลัวดำเลยมักจะใส่เสื้อกันหนาวตลอด มาขาวขึ้นเอาตอนม.ปลาย ตอนนั้นก็ใส่เสื้อกันหนาวบ่อยมาก”
เธอใส่เสื้อกันหนาวตลอดเวลา แม้แต่ในช่วงที่อากาศร้อนมากๆ
“แต่นอกจากกลัวดำแล้ว ที่ต้องใส่เสื้อกันหนาวตลอดก็เพราะว่าหนูไม่ได้รีดเสื้อที่ใส่มาโรงเรียนด้วย” เธอเผยพร้อมเล่าว่า วันหนึ่งในช่วงหน้าร้อนที่เธอมาโรงเรียนสาย เหงื่อออกจากการวิ่งมาโรงเรียน ครูคนหนึ่งถามขึ้น ทัศนียา ทำไมต้องใส่เสื้อกันหนาวบ่อยนัก
“หนูก็บอก อาจารย์หนูให้ดูอะไร ก็เปิดเสื้อให้ดู ไม่รีดเสื้อ! อาจารย์พูดกลางแถว เด็กเยอะมาก หนูก็รู้สึกว่า มันตื่นไม่ทันรีด”
ต้องทำทุกอย่างเองได้
งานบ้านทั้งหมดเธอต้องทำเองมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน เธอเผยว่า เธออยู่กับน้าสาวมาตั้งแต่เล็ก เพราะเป็นเด็กที่ติดน้า ขณะที่พ่อแม่แยกไปอยู่บ้านคนละหลัง แต่ก็อยู่ในระแวกเดียวกัน
“ตอนแรกหนูอยู่กับน้า ตา ยาย พ่อกับแม่อยู่อีกบ้านหนึ่ง คือหนูติดน้ามาตั้งแต่เด็กค่ะ น้าก็สอนให้หนูทำทุกอย่างเป็น จะได้ทำเองได้ เวลาไม่มีใครอยู่แล้ว”
ฟังดูอาจเป็นเรื่องเศร้าที่เธอไม่ได้โตมากับพ่อแม่ แต่เธอก็ยืนยันว่า ไม่ได้แบบนั้น เพราะพ่อแม่ก็ยังอยู่ในระแวกเดียวกับบ้านเธอ ยังเจอพ่ออยู่บ่อย ทั้งยังโทร.คุยกับแม่เสมอๆ เพียงแค่มาอยู่กับน้าเท่านั้น และน้าเธอก็ค่อนข้างจะเข้มงวดกับเธอขนาดที่ว่า เลิกเรียน 4 โมงเย็น หาก 5 โมงยังไม่บ้าน โทรศัพน์ของเธอจะดังทันที เป็นการติดตามด้วยความเป็นห่วงจากน้าสาว
“เวลาเลิกเรียนแล้วไม่ได้ไปไหน ตรงท่าน้ำนนท์จะมีตรอกหนึ่ง มีร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำอร่อยมาก หนูจะชอบชวนเพื่อนไปนั่งกินก่อนกลับบ้าน ไปนั่งกินสัก 3 - 4 ชามเล็กๆ น้าจะโทรตามถามว่า อยู่ไหน? หนูก็บอก อยู่ร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ไปเที่ยวไหน น้าก็ฝากซื้อกลับบ้าน”
เธอไม่ใช่เด็กที่ชอบไปเที่ยวกลางคืน เท่าที่จำได้ในชีวิตมีเพียงไปเที่ยวงานวันเกิดเพื่อนเท่านั้น นอกจากน้าที่บ้านจะเข้มงวดกับเธอแล้ว ตากับยายก็เป็นอีก 2 คนในครอบครัวที่ดูแลเธออย่างจริงจัง
“จริงๆแล้ว ถามว่าดุมั้ย หนูว่าไม่มีใครดุเลยนะ มีแต่บ่น จริงๆเขาก็อยากให้หนูเป็นเด็กดี” เธอเล่าถึงชีวิตวัยเด็กที่ผ่านมา “คือหนูเป็นประเภทต้องบอกครั้งเดียว จะให้ทำอะไร ล้างจานนะ โอเคๆ ได้แต่เดี๋ยวก่อน หนูขอทำอะไรที่หนูอยากทำก่อนแล้วหนูค่อยไปทำอันนั้น แต่ถ้ามาจี้หนูบ่อยๆ หนูก็แบบ ไม่ทำ”
แม่ค้าคนสาวแห่งสวนจตุจักร
นอกจากชีวิตนางรำในโรงเรียน ในช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ที่เธอบอกว่าไม่ได้ไปเที่ยวไหนนั้น ก็เพราะเธอต้องมาช่วยที่บ้านขายของที่สวนจตุจักร และที่เธอต้องทำนั้นก็ไม่ใช่เพื่อใคร หากแต่เพื่อให้มีเงินกินข้าวในรอบสัปดาห์นั้นๆ เธอบอกเลยว่า ตั้งแต่เด็กมา เธอไม่ได้รับค่าขมนอย่างเด็กคนอื่นๆ ไม่มีการเพิ่มให้เมื่อโตขึ้นหรือเลื่อนชั้นปี มีแต่เธอต้องขายของ แล้วได้เงินเองเท่านั้น อย่างที่เธอบอกไว้ว่า น้าสอนให้เธอทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก
“ขายของวันเสาร์ - อาทิตย์ ได้เท่าไหร่ก็ได้เท่านั้นไปใช้ในรอบสัปดาห์ เหมือนเราต้องทำงานแลกเงิน อยากได้อะไรต้องเก็บเงินเอาเอง”
ทำให้ตั้งแต่เด็กมาเธอไม่คนไม่ใช่เดินห้าง ไม่ซื้อของในห้าง เพราะที่บ้านค้าขายในสวนจตุจักรมาตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงเดินตลาดเป็นเรื่องปกติ เวลาซื้อของอะไร เธอรู้ราคาจริงด้วยสัญชาตญาณแม่ค้า จากราคา 255 บาท เธอต่อให้เหลือ 150 บาทได้สบายๆ
“บอกเลย พี่จำหนูได้หรือเปล่า หนูขายอยู่หลังห้องน้ำนี้เอง แม่ค้าเหมือนกัน เขาก็จะเหรอๆ ลดให้ บางคนรู้จักหนูมาตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาไปซื้อของเขา เขาให้เลยก็มี แต่คือหนูรู้ราคาทุนที่เขาเอามาน่ะ เพราะแม่ค้าจะรู้กันดี”
เธอคุ้นเคยกับสวนจตุจักรมาก ยืนยันเลยว่า หลับตาเดินยังได้ โดยร้านของบ้านเธอนั้นจะมีขายอยู่ในหลายโซน มีอยู่หลังห้องน้ำ 3 เป็นร้านเครื่องประดับที่เธอขายมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ มีร้านของอาซึ่งทำผมทรงโมฮอร์กสายเฮฟวี่ เขามักจะพูดใส่โทรโข่งบ่อยว่า เฮฟวี่ไม่มีวันตาย! เขาขายหัวเข็มขัดพร้อมสายหนังขายอยู่ตรงข้ามการขนส่งแห่งประเทศไทย ยังมีข้างๆ โครงการ 3 เป็นร้านขายของแนวคาวบายของคนที่เธอเรียกว่า ป๊า อีกด้วย
จนถึงตอนนี้เธอยังจำของชิ้นแรกที่ขายตอนป. 6 ที่เริ่มตั้งแผงขายของในมุมหนึ่งร้านที่ขายเครื่องประดับ น้าของเธอสั่งชาเขียวที่เพิ่งเริ่มดังในช่วงนั้นมาให้ขาย 100 ขวด
“แล้วเมื่อก่อนหนูเป็นเด็กประเภทง่วงนอนตลอดเวลา คนที่อยู่ร้านตรงข้ามเห็นแบบนั้นก็แอบหยิบชาเขียวหนูไปซ่อน แล้วเขาก็ยกขึ้นมาดื่มให้หนูเห็น หนูก็สงสัย ร้านเราหรือเปล่า? เขาก็แซว แหม...!นั่งหลับไม่รู้เรื่องแล้วก็เอาตังค์มาจ่ายให้”
จากนั้นก็เริ่มขยายขึ้นมาขายของจำพวกกิฟต์ชอป น้าสาวพาเธอไปเดินสำเพ็ง เลือกซื้อพัดลมเล็กๆ มาขายในช่วงที่อากาศร้อนจัด ซื้อมา 80 บาท แต่ขาย 250 บาท เธอยิ้มปนเจ้าเล่ห์พร้อมบอก กำไรบานเลย
“แล้วคนก็ซื้อกันเยอะมาก ยังมีพวกพวงกุญแจตุ๊กตา พวกเด็กๆ ที่มากับผู้ใหญ่จะซื้อกัน หนูมีตังค์เป็นหมื่นเลยตอนอยู่ม.ต้น เพราะน้าลงทุนให้แต่กำไรให้เรา แบบนั้นทำให้หนูมีแรงกระปรี้กระเปร่าจะขายมาก (หัวเราะ)”
จากนั้นเมื่อขึ้นม.ปลาย เธอก็ได้ไปช่วยที่ร้านของน้าขายเสื้อผ้าที่คัดมาจากเนปาล เป็นเสื้อผ้าสไตล์ฮิปปี้ จนถึงตอนนี้ความเป็นแม่ค้าก็ทำให้การใช้เงินของเธอเต็มไปด้วยความคิดแบบแม่ค้า
“หนูถึงบอกไง หนูต่อแบบสุดเลยน่ะ บางทีหนูก็คิดว่า ต้นทุนมาเท่าไหร่? หนูรู้พี่ไม่ต้องมาอะไรอย่างนี้หรอกเป็นแม่ค้าเหมือนกัน ต่อให้เจอของที่อยากได้มากๆ ก็จะบอกว่า อย่างนั้นเอาไว้ก่อนแล้วกันนะ แล้วก็ทำเป็นเดินออกจากร้าน เขาก็จะมาๆ ก็ได้” เธอเอ่ยถึงขั้นตอน
เมื่อถามถึงอนาคตในการเป็นแม่ค้า เธอยิ้มพร้อมหัวเราะคิกก่อนเอ่ยว่า ตอนนี้ก็ยังขายอยู่ เธอเปิดเป็นร้านขายทางอินสตาแกรม พร้อมทั้งขายของให้พี่ที่กองถ่าย
“ขนตาปลอมก็ไปหาซื้อมา ร้านที่ถูกที่สุดแล้วโอเค”
ดารามักจะคู่กับความสวยความงาม พอเปิดร้านขายของ ผันตัวมาทำธุรกิจ หลายคนก็มักคิดว่า คงจะเกี่ยวกับความสวยความงามเป็นหลัก แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่โตมากับการเป็นแม่ค้าอย่างเธอ
“หนูก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาขายเรื่องความสวยความงาม ถ้าจะขายคงจะเป็นพวกของที่ดูแล้วว่า คนสมัยนั้นน่าชอบนะ น่าจะฮิตนะ ไม่ได้ฟิกซ์ว่าจะต้องเป็นร้านอะไร แค่ว่าขายอะไรที่คนเขาใช้เยอะ ก็จะหาลู่ทางมาขาย ของตามกระแส”
นิยามความรัก..ยังไงก็ได้
เมื่อถามถึงนิยามความรัก กับสาวน่ารักแก่นแก้วอย่างเธอ คำแรกที่เธอพูดคือ ยังไงก็ได้
“คือเป็นคนยังไงก็ได้ แค่เข้าใจเราก็พอ ถ้าเขาพร้อมที่จะเข้าใจเรา เราก็พร้อมที่จะเข้าใจเขาเหมือนกัน เพราะว่าความรักถ้าไม่ใช้ความเข้าใจ มันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้”
เมื่อนึกย้อนไปถึงความรักวัยเรียน เธอเผยว่ามีรุ่นน้องรุ่นพี่มาชอบบ้าง และเคยชอบรุ่นพี่คนหนึ่งทั้งที่ยังไม่รู้ว่า ทอม คืออะไร
“พี่เขาสวยมากเลยคะ ตาโต ตาหวาน ผิวขาว จมูกโด่ง คิ้วเข้ม เป็นผู้หญิงสวยน่ะคะ เราก็ปลื้มมากๆ” เธอเล่าถึงความรักสมัยเรียนที่หักมุมจบ “หลังจากพี่คนนั้นจบไป หนูก็ไปเจอเขาอีกทีนอกโรงเรียน ตกใจมากเลยค่ะ ผมยาวสยายไปแล้ว มีแฟนเป็นผู้ชาย แต่พี่เขาเป็นคนสวยมากๆ”
สำหรับหนุ่มๆ นอกโรงเรียนนั้น เธอเผยไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่ โดยมากแล้วพอเจอก็ชวนให้เธอหันหน้าหนีทุกที เธอไม่แน่ว่าพวกหนุ่มๆ โรงเรียนข้างเคียงอย่าง โรงเรียนวัดเขมาภิรตารามนั้นต้องการอะไรจากเธอกันแน่
“ก็คงมีโรงเรียนข้างๆ ไม่เชิงจีบ เขาชอบเดินๆ มาทำหน้าหล่อใส่เรา เหมือนจะให้เราคุยก่อน แต่หนูก็เฉยๆ ไม่เข้ใจเท่าไหร่ เลิกเรียนก็เลยกินก๋วยเตี๋ยวกลับบ้านอยู่กับเพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยมีใครเข้ามาจีบ”
การอยู่ในสังคมโรงเรียนหญิงล้วนทำให้หลายครั้งรู้สึกไม่ชินกับผู้ชาย การทำให้ในฐานะนักแสดงก็มีอุปสรรคของความไม่เคยชินอยู่บ้าง แต่ก็พอจะผ่านพ้นมาได้
ทว่าเมื่อถามถึงผู้ชายในสเปก เธอเผยว่า คงต้องเป็นคนที่สบายๆ เธอไม่ชอบคนที่บ่นเยอะๆ ถ้าเธอชอบอะไรก็อย่าห้ามให้เธอทำ
“บางทีอยู่ว่างๆ แล้วหนูชอบแต่งหน้าเล่น ก็ห้ามมาทำไมต้องมาแต่งหน้าเล่น ก็หนูชอบแต่งหน้าเท่านั้นเอง เหมือนต้องการแค่คนที่เข้าใจก็พอ”
แต่หากให้พูดถึงเรื่องหน้าตา หนุ่มในสเปกนั้น เธอเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาอย่างเขินดาย
“ชอบลีมินโฮค่ะ”
สาวกเกาหลีตัวยง
“อาตาฉิแปลลุงค่ะ เหมือนเวลาเราเรียกลุงคนขับแท็กชี่อะไรแบบนี้ คัมบังวะ คันซึมิดะ เป็นคำขอบคุณแต่ก็ใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป” เธอพูดถึงภาษาเกาหลี เป็นภาษาที่เธอไม่เคยเรียน แต่พูดได้เพราะในว่างช่วงว่างๆ เธอชอบดูซีรีส์เกาหลีเป็นชีวิตจิตใจ
แม้กระทั่งช่วงที่ทำงานละคร กลับบ้านดึก เมื่ออาบน้ำเสร็จ ตาสว่าง บางคืนเธอก็เปิดดูซีรีส์ก่อนเข้านอน ดูจนง่วงและหลับไปเอง หากย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของความชอบในวัฒนธรรมป็อปแบบเกาหลี เธอเล่าว่า มาจากการฟังและฝึกเต้นคัฟเวอร์ที่โรงเรียนสมัยมัธยมนั่นเอง
“แค่สนุกๆ ตอนนั้นถ้าเกิดวงที่ฮิตก็จะมีซอลโยชีแด (เกิร์ล เจเนอเรชั่น) แล้วก็เอฟเอ็กซ์ แล้วจะมีพวกทอมหรือเหมือนทอมก็เต้นซูเปอร์จูเนียร์ซึ่งเป็นวงผู้ชาย”
เมื่อเทียบการรำกับการเต้นแล้ว เธอเห็นต่างกันมากทีเดียว การรำนั้นต้องการความอ่อนช้อย ขณะที่การเต้นต้องเหวียงให้สุดๆ เธอสารภาพแอบชอบการเต้นมากกว่า หลังจากนั้นได้รู้จักเพลงเกาหลี เธอก็ได้ไปเที่ยวเกาหลี ได้พักที่โรงแรมนี้ย่านกังนัมซึ่งเป็นย่านหรูคล้ายสุขุมวิทของประเทศไทย
“มีพวกดาราอยู่เยอะ แล้ววันหนึ่งพี่หนูก็มาเคาะห้องหนู บอกว่า มีพระเอกเกาหลีมาถ่ายละครแถวนี้” เธอเอ่ยถึงจุดเริ่มต้นของการดูซีรีส์เกาหลี “พอหนูไปยืนดูก็เห็น ลีมินโฮ! สุดๆ เขาสูง 190 เขาหล่อมาก และที่เกาหลีเขาห้ามถ่ายรูปดารา หนูก็แอบทำหน้านิ่งๆ ถ่ายไว้ หนูก็ชอบมากไปมาเกาหลีมา 4 ครั้งแล้ว”
นอกจากนี้ เธอยังชอบดูรายการวาไรตี้อื่นๆ ของเกาหลีอีกด้วย ดูไปก็ขำอยู่คนเดียวจนที่บ้านหันมาว่าเธอ ดูเกาหลีอะไรนักหนา เธอท้าทายตอบกลับว่า มานั่งดูด้วยกันมั้ยละ? ท้ายที่สุดก็ติดกันทั้งบ้าน ความชื่นชอบในซีรีส์เกาหลี ทำให้เธอถึงขั้นพูดภาษาเกาหลีได้โดยไม่ต้องลงเรียน
“มันก็พูดได้แบบมั่วๆ ไม่ได้เป๊ะมาก” เธอเอ่ยพร้อมเล่าต่อว่าเคยไปคุยกับคนเกาหลีช่วงที่ไปเที่ยวและพบว่า คนเกาหลีเวลาพูดจะฟังยากกว่าเพราะจะพูดรวบคำทีเดียว
“บางทีก็สต็อปจำคำไหนมันพูดยังไง เคยมีว่าเพื่อนเป็นภาษาไทยเล่นๆด้วย”
เมื่อมาเป็นนางเอกละครไทย เธอก็มีการนำสิ่งที่ดูจากซีรีส์เกาหลีมาใช้บ้าง หากมีบทให้เล่นแบ๊วๆ น่ารักๆ เธอบอกเลยว่า สั่งได้ทันที
“ถ้าเขาให้เล่นแบบแบ๊ว ก็สั่งได้เลย ก็จะแบบเอาอย่างนั้นมา เพราะนางเอกเกาหลีจะแบ้วทุกคน”
ขึ้นแท่งนางเอกช่อง 7
หลังจากประเดิมนางเอกในละครเรื่องแรก ตอนนี้ก็มีงานละครรอเธออยู่ถึง 2 เรื่องติด เห็นคิวงานแล้วใจหนึ่งเธอก็นึกหวั่น แต่อีกใจก็คิดว่าโชคดีที่ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ให้มีงานอย่างต่อเนื่อง แต่ย้อนกลับไป เธอก็รู้สึกเกร็งๆ กับการทำงานครั้งแรก
“หนูอยู่สตรีล้วนก็ไม่ชินกับผู้ชาย” เธอเอ่ย “ไปถ่ายกับพี่อ้วน(รังสิต ศีรนานนท์) มันจะมีฉากกุ๊กกิ๊ก หอมแก้ม หนูชอบตกใจก่อนทุกที ทีมงานก็บอกห้ามรู้ก่อนว่าจะหอม แต่พอพี่อ้วนมา หนูหน้าตึงเลย ตอนนี้บางทีก็ยังเป็นอยู่”
หลังจากผ่านพ้นการถ่ายทำช่วงแรกมาได้ เธอก็เริ่มปรับตัวกับงานการแสดงได้มากขึ้นๆ ทว่าเมื่อละครออนแอร์วันแรก นักแสดงหลายคนอาจจะรู้สึกภูมิใจกับภาพตัวเองในจอทีวี ทว่าสิ่งที่เธอรู้สึกได้ในตอนนั้นคือ ชีวิตเริ่มผกผัน
“เริ่มไม่ได้กลับบ้านแล้ว เริ่มถ่ายทั้งวันทั้งคืน แล้วเราเป็นนางเอกด้วย พอละครออนปุ๊บ หนูเห็นคิวแล้วนั่งเบลอเลย ถ่าย 50 ซีนต่อวัน มีหนูเกือบทุกซีน ใช้พลังเยอะมาก”
สำหรับละครตอนนี้ที่ต้องถ่ายไปออนไป แม้ว่าจะมีสต็อกเก็บไว้เยอะ แต่ทุกวันที่ผ่านไปก็ไวเหมือนโกหก แต่สิ่งน่าภาคภูมิใจคือเรตติ้งของละครที่สูงถึง 18 สูงที่สุดในละครตอนเย็น และสูงติดต่อกันถึง 4 สัปดาห์
สิ่งหนึ่งเป็นกระแสเปลี่ยนแปลงชีวิตในฐานะนางเอกช่อง 7 เธอยิ้มพร้อมบอกว่า ไปเดินห้างไม่ค่อยมีคนทัก แต่ถ้าเป็นตลาดเพียบ ยิ่งต่างจังหวัด แฟนคลับเยอะมาก
“ไม่คิดว่าแฟนคลับจะเยอะขนาดนี้ ก็รู้สึกดีใจค่ะ ตอนแรกเขาจะมองๆ มองหน้าใช่หรือเปล่า เพราะในเรื่องจะถักเปีย หนูเคยไปงานทอดผ้าป่าของช่อง ไปถึงปุ๊บ ก็แต่งตัวตามสไตล์หนูเอง ใส่หมวก พอลงไปเขาก็แบบ แม่ปูเปรี้ยวหรือเปล่า? พอหนูตอบ ใช่ค่ะๆ เขาก็กรูเข้ามาถ่ายรูปกับหนู”
กับงานละครเรื่องใหม่อย่างโดมทองเป็นละครฟอร์มยักษ์ที่ขนทัพนักแสดงรุ่นใหญ่มากประสบการณ์มาประชันบทบาทกัน แม้ละครเรื่องแรกที่ผ่านมาจะช่วยให้เธอเริ่มปรับตัวได้แล้ว แต่งานละครทุกเรื่องก็ถือเป็นงานใหญ่ และมีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่าง ทำให้เธอรู้สึกเกร็งในช่วงแรกๆ อยู่เหมือนกัน
“โดมทองจะมีดารารุ่นใหญ่เยอะมาก เพราะว่ามันเป็นละครที่ซับซ้อนนิดหนึ่ง และเราต้องเล่นเป็นคนที่โตแล้ว เหมือนบุคลิกก็โตขึ้น เราต้องใช้สมาธิและแอ็กติ้งเยอะมาก มีเล่นเป็นผีด้วย ละครเลยเหมือนเล่นเป็น 2 คาแร็กเตอร์ แทบจะเรียกว่า 3 เลยก็ได้”
ในเรื่องนี้เธอรับบทเป็นวิรงรองนางเอกในปัจจุบัน และพลับพลึงที่เป็นคนในอดีตซึ่งหน้าตาบังเอิญเหมือนกัน พลับพลึงถูกขังให้ตายอยู่บนโดมกลายเป็นวิญญาณแค้น ละครเรื่องนี้เธอจึงต้องรับกับ 3 บทอารมณ์ ทั้งวิรงรอง พลับพลึงตอนเป็นคน และพลับพลึงตอนเป็นวิญญาณร้าย
“แม่ปูเปรี้ยวหนูก็ประหม่าแล้ว แต่เรื่องนี้ยิ่งประหม่ามากขึ้น เพราะมันคนละคาแร็กเตอร์กันเลย แล้วก็มีนักแสดงรุ่นใหญ่เยอะมาก และต้องเป็นผู้หญิงที่นิ่งแต่สู้คน อย่างพี่ติ๊บ(ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล) เล่นเป็นแสงแขตัวร้ายของเรื่อง เขาตบเรา เราก็ถามว่า มาตบทำไม แสงแขตอบ ฉันเกลียดแก! เราก็ตบกลับเลย ในเรื่องนะคะ”
เธอนึกถึงคิวหนึ่งในการถ่ายละครเรื่องนี้ที่ยากลำบากได้ โดยปกติแล้วคิวของละครจะเริ่ม 8 โมง เสร็จ 4 ทุ่ม แต่มีช่วงที่ถ่ายนั่งรถไฟ โดยเริ่มต้นการทำงานมีรถมารับเธอตอนตี 4 และกลับถึงบ้าน 8 โมงเช้าของอีกวัน
“พอดีบ้านหนูอยู่ใกล้บริษัทที่สุด เลยจะเข้าคนแรกและกลับบ้านคนสุดท้าย” จากนั้นเมื่อหัวลำโพงตอนตี 5 การถ่ายทำบนรถไฟก็เริ่มต้นและสิ้นสุดลงที่จังหวัดนครสวรรค์ ที่สถานีเนินมะกอกในช่วงเย็น โดยรถไฟที่ถ่ายทำกันนั้นก็ถูกจอดทิ้งไว้เพื่อให้รถไฟขากลับกรุงเทพฯ วิ่งมารับตอนตี 1
“ถ่ายเสร็จก็ประมาณเที่ยงคืน ก็นั่งเล่นกัน ร้องคาราโอเกะ ถึงตี 1 ครึ่ง ทุกคนก็เลยหลับพักผ่อน แต่ตื่นมาอีกทีตี 3 ก็พบว่ารถไฟยังไม่มาลากเลย!”
รถไฟยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เนินมะกอก กระทั่งเวลาล่วงเลยถึงตี 4 รถไฟจึงเริ่มส่งเสียงกึกกัก เธอเผยว่า ที่ทีมงานต้องรอให้รถไฟวิ่งนั้นเป็นเพราะต้องถ่ายทำฉากรถไฟวิ่งตอนกลางคืนด้วย
“งัวเงียมาก แล้วหนูต้องลงที่สถานีตาคลีเพื่อนั่งรถตู้กลับ ตอนนั้นกองถ่ายก็ถ่ายคนอื่นเสร็จแล้วมาถ่ายหนูคนสุดท้าย ถ่ายซีนหนูอ่านหนังสือ หนูอ่านไปเรื่อยๆ อยู่ๆ พี่ตากล้องก็มาเก็บขาตั้งกล้อง คือเขาถ่ายเสร็จแล้วแต่ไม่ได้บอกหนู ตอนนั้นก็ถึงสถานีที่ต้องลงพอดี หนูก็ต้องหิ้วกระเป๋า หิ้วชุดตัวเองกลับบ้านทั้งอย่างนั้นสรุปถึงบ้าน 8 โมงเช้า”
ถึงช่วงนี้ตารางเวลาในชีวิตของเธออัดแน่นไปด้วยงานจนเธอบอกว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอครอบครัว เพราะต้องออกจากบ้านตี 4 และกลับบ้านก็ดึกมาก พอตื่นมาบางครั้งทุกคนก็ออกไปทำงานแล้ว ไม่เจอหน้าทั้งที่อยู่ในบ้านเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่งานการแสดงให้เธอคือ ความอดทนในการดำเนินชีวิต
“สิ่งที่ได้จากงานการแสดงเลยคือความอดทนแล้วก็ความรับผิดชอบ เพราะอย่างพี่แพร พี่พลอย พี่ต้อง (ผู้ดูแล)มีเด็กต้องรับผิดชอบหลายคน ยังมีเด็กใหม่ด้วย พี่เขาก็กระจายกันเพื่อให้ดูแลได้ทั่วถึง บางทีเขาอาจจะไม่ได้มากับเราบ้าง เราก็ต้องมีความรับผิดชอบ”
ก่อนหน้านี้เธอเอ่ยว่า ที่ไม่ได้เรียนต่อด้านการรำไทยก็เพราะเริ่มเบื่อ เมื่อมองถึงงานละครก็ทำให้เราสงสัย เธอเริ่มเบื่อกับงานที่ประเดประดังด้วยมาหรือยัง?
“แรกๆ ตอนเล่นแม่ปูเปรี้ยวเป็นบ้างนะคะ บางทีเหนื่อยบ้าง เบื่อบ้าง ทำไมไม่เสร็จสักที คือมันเป็นละครที่ต้องใช้พลังเยอะคะ ถ่ายแดดทะเลด้วย หนูต้องไปขับเจ็ตสกี หนูไม่เคยขับมาก่อน แต่ถ้าเหนื่อยมากๆ ก็งีบหลับนิดหนึ่ง มันเป็นเส้นทางที่หนูเลือกแล้ว”
ชื่อจริง ทัศนียา การสมนุช
ชื่อเล่น เปรี้ยว
อายุ 19 ปี
ส่วนสูง 174 ซม. น้ำหนัก 49 กก.
ความสามารถพิเศษ ภาษาจีน, รำไทย, เต้น, ร้องเพลง
งานอดิเรก ดูซีรีย์, ดูหนัง, ฟังเพลง
ความสามารถพิเศษ รำไทย พูดภาษาจีน เต้น
การศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ ชั้นปีที่ 2
ผลงาน ชนะเลิศการประกวดผมสวย ซันซิล, ชนะเลิศการรำไทยในงานเก่งสร้างชาติ, ละครเรื่องแม่ปูเปรี้ยว, โดมทอง,เล่ห์นางหงส์
ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์